Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน ฮานอย+นิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์พันปีแห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 3: วัดเจดีย์น้ำหอม)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda), Vietnam
พิกัด GPS : 20° 37' 4.82" N 105° 44' 47.52" E

วันที่สาม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปที่ฮานอย+นิงห์บิงห์ของเราครับ โดยเรายังมีเวลาเที่ยวอีกเต็มวัน ก่อนจะถึงเวลาบินกลับกรุงเทพในช่วงค่ำๆ ตอนแรก ผมวางแผนไว้ว่า จะไปเที่ยวที่ วัดตามจุ๊ก (Tam Chuc Temple) ซึ่งกำลังเป็นไวรัลอยู่ตามเพจเที่ยวเวียดนามต่างๆ (ในรูปด้านล่างนี้) แต่พอปรึกษากับทางทัวร์ ทางนั้นบอกว่าไม่แนะนำ เพราะอาจจะกลับเย็น และไม่ทันไฟลท์

 
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปเที่ยวที่ วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda) ซึ่งอยู่แถบชานเมืองของกรุงฮานอย โดยผมซื้อทัวร์กับคุณเฮือง แกคิดค่าทัวร์อยู่ที่คนละ30 USD หรือประมาณ 1 พันบาท รวมอาหารกลางวัน โดยทริปวันนี้ใช้รถลีมูซีน ซึ่งมีลูกทัวร์แค่ 6 คน รวมพวกผมด้วยครับ


ถ้าใครสนใจจะซื้อทัวร์ไปเที่่ยวที่นี่ สามารถติดต่อสอบถามคุณเฮืองได้ตามเฟสบุ๊คด้านล่างนี้ครับ
 

 
ที่ตั้งของกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม

ที่นี่ตั้งอยู่ที่ชานกรุงฮานอยครับ ผมค่อนข้างแปลกใจเหมือนกัน ว่าในขณะที่ในกรุงฮานอยเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่พอออกมาบริเวณชานเมือง กลับเจอสถานที่ๆเงียบสงบแบบนี้

จริงๆแล้ว สมัยก่อนตรงบริเวณวัดเจดีย์หอมก็ไม่ใช่กรุงฮานอยหรอกครับ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ จังหวัดห่าเต็ย (Ha Tay Province) แต่ว่าตอนปี 2008 จังหวัดนี้ได้ถูกยุบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของกรุงฮานอยครับ

 

ประวัติของวัดเจดีย์น้ำหอม

จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้เป็นวัดๆเดียว แต่ประกอบไปด้วยวัดย่อยๆ รวมทั้ง สำนักสงฆ์ ถ้ำสำหรับวิปัสสนา ที่ตั้งอยู่บน ภูเขาหวงติกเซิน (Huong Tich Son Mountain) ตามตำนานกล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2 พันปีก่อน แต่จากการศึกษาทางโบราณคดี เชื่อว่าวัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึง 17 ในสมัย ราชวงศ์เลยุคหลัง (Later Le dynasty) ครับ

 
 
ปัจจุบัน กลุ่มวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้อยู่ในบัญชีเบื้องต้นมรดกโลก ตั้งแต่ปี 1991 ทำให้มีโอกาสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในอนาคต และถ้าหากได้รับการขึ้นทะเบียน ที่นี่จะเป็นมรดกโลกแบบผสมแห่งที่สองของประเทศเวียดนามและอาเซียน ต่อจาก แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Landscape complex) ที่ผมรีวิวเอาไว้ในตอนที่แล้ว
 
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยววัดเจดีย์น้ำหอม

แนะนำให้มาในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงธันวาคมครับ เพราะนักท่องเที่ยวจะน้อย และอากาศดี ถ้ามาในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นี่จะเต็มไปด้วยชาวเวียดนามท้องถิ่นที่ออกมาเที่ยว ไหว้พระ และมี เทศกาลวัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda Festival) ที่จะจัดในช่วงหลังเทศกาลเต็ด (ตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีน) ทำให้ในช่วงนั้นคนจะเยอะแบบนี้ 

 

การเดินทางไปยังวัดเจดีย์น้ำหอม

เนื่องจากเราเป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาเวียดนาม วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือ ซื้อทัวร์แบบผมนี่แหละครับ เพราะค่าทัวร์ไปที่นี่ไม่แพง ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง และยังมีไกด์คอยบอกเล่าประวัติของที่นี่ให้เราฟังด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบไปเที่ยวแบบไปกับทัวร์ แนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์จากกรุงฮานอย เพราะที่นี่ไม่มีขนส่งสาธารณะใดๆทั้งสิ้น

 
ล่องเรือในแม่น้ำเอียน (Yen river)

เนื่องจากวัดนี้อยู่ติดกับ แม่น้ำเอียน (Yen river) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ แม่น้ำแดง (Red river) อันเป็นแม่น้ำสายสำคัญในแถบเวียดนามตอนบน เราจึงสามารถเข้าถึงวัดนี้ได้โดยทางน้ำ โดยปกติแล้ว ทางทัวร์จะไปส่งเราที่ท่าเรือของ หมู่บ้านเบ่นดึ๊ก (Ben Duc Village) จากนั้นก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการล่องแม่น้ำไปยังวัด รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรครับ





 
ระหว่างทางจะได้ชมธรรมชาติของภูเขาหินปูน บ้านของผู้คนคน ไปจนถึงเรือของแม่ค้าที่พยายามตื๊อขายของ
 





ไกด์เล่าให้เราฟังว่า ในช่วงเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนมีนาคม ที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาแสวงบุญ เรือก็จะพายกันเต็มแม่น้ำไปหมด ร้านค้าต่างๆริมแม่น้ำก็จะเปิดกันเต็มที่ แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปเป็นเดือนตุลาคม ร้านค้าต่างๆเลยปิด แต่ช่วงนี้ก็มีข้อดีคือ บรรยากาศเงียบสงบ ผ่อนคลาย ได้ยินแต่เสียงน้ำไหล และเสียงนกร้อง 




ผ่านไป 1 ชั่วโมง ในที่สุด เราก็มาถึงที่วัดแล้วครับ ตรงบริเวณท่าเรือของวัดก็จะเต็มไปด้วยแม่ค้าที่ขายของที่ระลึกต่างๆให้นักท่องเที่ยว รวมทั้งปลา เต่า และสัตว์ต่างๆให้ผู้ที่มาทำบุญที่วัดนี้
 



 
วัดเทียนฉัว (Thien Chua) เป็นวัดแรกในกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอมที่เรามาเยี่ยมชมในวันนี้ครับ
 



วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในยุคกษัตริย์ราชวงศ์เลยุคหลัง (Later Le Dynasty) เช่นเดียวกับวัดส่วนใหญ่ในกลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม โดยคำว่า เทียนฉัว มาจากภาษาจีน แปลว่า วัดที่จะนำพาเราไปสู่สวรรค์
 

ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของ เจดีย์เทียนตรือ (Thien Tru Pagoda) ซึ่งมีความหมายว่า ห้องครัวแห่งสรวงสวรรค์ เพราะด้านในมีหินที่รูปร่างเหมือนแม่ครัวกำลังทำอาหารอยู่ครับ
 

ภายในวัดจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะมาจากจีนค่อนข้างเยอะครับ เพราะสมัยก่อนจีนเคยปกครองเวียดนามตอนเหนือ











 







ถัดจากวัดเทียนฉัว จุดต่อไปที่ไปชมก็คือ ถ้ำหวงติก (Houng Tich cave) ซึ่งอยู่ด้านบนของภูเขาหวงติกซาน การเดินทางไปยังถ้ำจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ เดินขึ้น หรือนั่ง เคเบิ้ลคาร์ (Cable Car) แต่ทัวร์นี้จะไม่รวมค่าตั๋วเคเบิ้ลคาร์ซึ่งมีราคาไปกลับ 180,000 ดอง หรือประมาณ 90 บาทครับ
 

 

พอขึ้นมาถึงข้างบน เราต้องเดินลงบันไดต่อไปอีกเล็กน้อยเพื่อไปยังถ้ำ แต่ระหว่างทางร่มรื่น เย็นสบาย และเงียบสงบมากครับ
 



 
ถึงตัวถ้ำแล้ว ว่ากันว่า ปากถ้ำมีรูปร่างเหมือนมังกรกำลังอ้าปากอยู่
 

บนผนังถ้ำมีจารึกตัวอักษรภาษาจีน ที่แปลว่า ถ้ำแห่งสรวงสวรรค์
 

 
ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และเจ้าแม่กวนอิม จึงมีคนเวียดนามท้องถิ่นมาทำพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน
 



 
เชื่อกันว่า น้ำที่ไหลลงมาจากผนังถ้ำเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ชาวเวียดนามจะนำมือมารอง แล้วนำไปพรมตามร่างกาย


ของเซ่นไหว้ครับ หนึ่งในของที่น่าสนใจ ที่ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นก็คือ ส้มโอมือ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Buddha’s Hand Fruit
 

 

ได้เวลากลับแล้วครับ เราต้องเดินย้อนทางเดิม ขึ้นเขาไป เพื่อขึ้นกระเช้า
 

 
จากนั้นก็เดินไปยังท่าเรือ ระหว่างทางก็เจอคนขายนกเพื่อให้คนซื้อไปทำบุญปล่อย (เหมือนเมืองไทยเลย)
 

 
นั่งเรืออีก 1 ชั่วโมงพื่อกลับไปยังท่าเรือเดียวกับที่เราขึ้นเรือมาตอนแรก จากนั้นก็นั่งรถกลับไปยังเมืองเก่าฮานอย (Hanoi Old Quarter) ครับ
 

เนื่องจากเรากลับมาถึงที่ใจกลางกรุงฮานอยประมาณสี่โมงครึ่ง เราเลยยังพอมีเวลามากินกาแฟที่ร้าน Cong Caphe ซึ่งเป็นร้านกาแฟอันดับต้นๆของเวียดนามที่มีเฟรนไชล์อยู่เยอะมาก แทบจะทุกเมืองหลักของเวียดนาม
 

 
ประมาณ 5 โมงครึ่ง เราก็กลับโรงแรมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ จากนั้นก็เรียก grab ไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับไทย เป็นอันจบทริปเวียดนามเหนือครับ
 


สำหรับภาพรวมทริปนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจครับ จริงๆการมาเวียดนามของผมรอบนี้ ถือเป็นครั้งที่สี่แล้ว และกรุงฮานอยถือเป็นเมืองที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวมากที่สุด (ทั้งๆที่หลายคนมักจะมองว่าที่นี่เป็นแค่เมืองทางผ่าน) คหสต.ผมมองว่า ที่นี่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เป็นเมืองแปลกๆ ที่มีความวุ่นวายจากมอเตอร์ไซค์ มีความไม่เป็นระเบียบ บางมุมก็แอบสกปรกด้วย แต่ที่นี่ก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อาหารอร่อย ประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษา วิถีชีวิตของผู้คน รวมทั้งอัธยาศัยไมตรีของคนที่นี่ ทำให้ฮานอยเป็นเมืองที่ผมยังคงอยากมาเยือนอีกเรื่อยๆครับ

นอกจากฮานอย การมาทัวร์ที่ จังหวัดนิงห์บิงห์ (Ninh Binh) และ กลุ่มวัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda) ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่เกินคาดครับ โดยเฉพาะการมาทัวร์วัดน้ำหอมในวันสุดท้าย ที่จริงๆตอนแรก ผมกะว่าจะเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอบินกลับกรุงเทพ และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ๆเราอยากไปตอนแรกด้วย แต่พอไปจริง ผมกลับชอบที่นี่มาก อาจจะเป็นเพราะวัดเจดีย์น้ำหอม ยังไม่ใช่จุดหมายยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ การมาก็ยังลำบาก (ถ้าไม่ได้มากับทัวร์) ที่นี่เลยยังไม่ถูกทำลายโดยการท่องเที่ยวกระแสหลัก ถ้าใครชอบสถานที่แบบนี้ ผมแนะนำให้ซื้อทัวร์มาที่นี่เลยครับ

สุดท้ายนี้ ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่จะไปเที่ยวเวียดนามแถบนี้ และถ้าไม่รบกวนเกินไป ฝากคอมเม้นใต้บล็อกเป็นกำลังใจให้หน่อยนะครับ ผมจะได้มีกำลังใจในการเขียนบล็อกต่อไป ขอบคุณครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 08 ธันวาคม 2565
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2567 8:56:04 น. 1 comments
Counter : 2642 Pageviews.

 
cialis 40mg ca tadalafilise.cyou/#


โดย: Kevinjoync IP: 37.139.53.22 วันที่: 20 สิงหาคม 2566 เวลา:8:39:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.