ความเป็นมาของวันวาเลนไทน์และการมอบช็อกโกแลต



ต้นกำเนิดวันวาเลนไทน์


วันวาเลนไทน์นั้นที่จริงแล้วมีมานานตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันยังเรืองอำนาจ โดยมีรูปแบบของประเพณีเลือกคู่ เพราะการดำเนินชีวิตของชาวโรมันในยุคนั้นเด็กหนุ่มสาวจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่ในทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการเฉลิมฉลองเทพธิดาจูโน (Juno Februata) เทพธิดาแห่งอิสตรีและการแต่งงาน ในคืนของการเฉลิมฉลองชื่อของเด็กสาวทุกคนในหมู่บ้านจะถูกเขียนใส่เศษกระดาษเล็กๆ และนำไปหย่อนใส่ในเหยือกน้ำ เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลองและทดลองเป็นคู่รักกันในเวลา 1 ปี เพื่อศึกษานิสัยใจคอว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ โดยใน 1 ปีนี้บรรดาคู่รักจะพากันขอให้เทพธิดาจูโนเป็นผู้ดูแลความรักของพวกเขาในช่วงระหว่างการทดลองเป็นคู่รักกัน ซึ่งการจับคู่นี้บางครั้งก็จบลงด้วยการแต่งงาน

.................................................................................


ที่มาของชื่อ “วันวาเลนไทน์”


ในยุคการปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง จึงจำเป็นต้องหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม แต่จักรพรรดิคลอดิอุสคิดว่า เพราะผู้ชายชาวโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนรักไปจึงได้ประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดที่มีในกรุงโรม แต่ในตอนนั้นได้มีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " เกิดความเห็นใจตอ่ความรักของคนหนุ่มสาวจึงได้ลับลอบจัดพิธีแต่งงานให้กับบรรดาคู่รักที่ต้องการทำพิธีแต่งงาน จากการกระทำนี้เองทำให้ นักบุญวาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์


แม้ว่านักบุญวาเลนไทน์ จะถูกนำชื่อมาใช้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แต่ว่านักบุญวาเลนไทน์กลับไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีเลือกคู่ของชาวโรมันแต่อย่างใด แต่ที่ชื่อของท่านกลายมาเป็นชื่อเรียกขานของวันแห่งความรักนี้ก็เป็นเพราะว่า


หลังจากยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ผ่านไปหลายร้อยปีจะเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 4 ชาวโรมันส่วนใหญ่หันมานับถือศาสนาคริสต์ แต่ประเพณีจับคู่ของหนุ่มสาวเพื่อทดลองเป็นคนรักกันในทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพียงแต่ว่าหนุ่มสาวโรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนนั้นจะไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดา พวกเขาจึงหันมาเลือกนักบุญในคริสตศาสนาที่มีวันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มีนักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง ชาวโรมันจึงได้นำท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์องค์ใหม่แทนเทพเจ้าองค์และนำชื่อของท่านมาใช้เป็นชื่อเรียกของวันนี้ ดังนั้นที่มาของวันวาเลนไทน์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่เป็นเพราะความสำคัญอยู่ที่เป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ต่างหาก


และความหมายของวันวาเลนไทน์ไม่ใช่เพื่อให้คนได้แสดงรักต่อกัน แต่เพราะความเชื่อที่ว่า ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวไป ดังนั้นความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ ก็คือการช่วยให้หนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

ดังจะเห็นได้จากคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในการ์ดที่มอบให้แก่กัน ซึ่งประโยคนี้ตามความหมายเดิม มีความหมายว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น

2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม

3. ให้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทย ไม่เฉพาะในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต

...........................................................................................





สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์


คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน คิวปิดมีลักษณะเป็นเด็กน่ารักมีปีกอยู่ข้างหลัง ในมือถือคันธนูกับลูกศร มีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร

ศรรักของ คิวปิด หมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิด จะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ เทพเจ้าของสงคราม และวีนัส เทพเจ้าแห่งความงามและความรัก


ในตำนานความรักของเทพเจ้าคิวปิดนั้นมีอยู่ว่า ในเวลานั้นมีกษัตริย์องค์หนึ่ง มีธิดาชื่อว่าไซกี เป็นหญิงสาวที่มีความงดงามมาก จนทำให้เทพเจ้าวีนัสเกิดความอิจฉา นางจึงสั่งให้เทพเจ้าคิวปิดไปลงโทษไซกี แต่แทนที่จะลงโทษเทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพานางกลับมาที่วัง โดยจะมาหานางเฉพาะในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร ทั้งสั่งห้ามไม่ให้ไซกีมองหน้าตนเองอีกด้วย แต่ไซกีกลับจุดตะเกียงเพื่อแอบดูหน้าเทพเจ้าคิวปิดในขณะนอนหลับ ทำให้เห็นว่าเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม

ด้วยความตื่นเต้นทำให้ไซกีทำน้ำมันในตะเกียงหยดใส่จนให้เทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพบว่าไซกีผิดสัญญา จึงโกรธมากที่นางขัดคำสั่งและไม่กลับมาหานางอีกเลย เมื่อถูกคิวปิดทิ้งไป ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจจึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกัน

............................................................................................


ธรรมเนียมการมอบช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์


เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยฝ่ายหญิงนิยมที่จะมอบช็อกโกแลตให้กับฝ่ายชาย ส่วนผู้ชายจะมอบของขวัญตอบแทนให้กับผู้หญิงในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเรียกวันนั้นว่า White Day หรือ วันสีขาว

ความนิยมการมอบช็อกโกแลตนั้นเกิดขึ้นมาจากบริษัทผลิตช็อกโกแลตหวังทำการตลาดโดยผู้หญิงญี่ปุ่นถูกกระตุ้นให้บอกรักอย่างชัดเจนกับผู้ชายด้วยการมอบช็อกโกแลตและ ของขวัญชนิดอื่นในวันที่ 14 กุมภาของทุกปี ทำให้ตามร้านขายของชำ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อจะนำช็อกโกแลตหลากหลายแบบออกมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำให้ยอดขายของช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์มียอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายช็อกโกแลตทั้งปี

เพราะผู้หญิงที่ญี่ปุ่นจะซื้อช็อกโกแลตเพื่อแจกให้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อนชาย พี่ชาย คุณพ่อ สามี แฟน และผู้ชายที่เธอรู้จักและมีความยินดีที่จะมอบให้


ช็อกโกแลตที่ผู้หญิงมอบให้ผู้ชายที่ไม่ใช่คนรัก จะถูกเรียกว่า “giri-choco” แปลว่า ช็อกโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ หรือ ช็อกโกแลตตามมารยาท และผู้ชายส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายอย่างมากถ้าพวกเขาไม่ได้รับช็อกโกแลตในวันนั้น พวกผู้หญิงจึงพยายามมอบ giri-choco ให้กับผู้ชายทุกคนที่รู้จัก เพื่อไม่ให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่ได้รับการใส่ใจ ราคาโดยเฉลี่ยของ giri-choco ตกประมาณอันละ 100 – 300 เยน


ส่วนผู้ชายคนพิเศษนั้น พวกผู้หญิงจะให้ช็อกโกแลตที่เรียกว่า "honmei-choco" แปลว่า ผู้ชนะที่คาดหวังไว้ (prospective winner) ควบคู่ไปกับของขวัญ เช่น เนคไทค์ หรือเสื้อผ้า ซึ่งช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีราคาที่แพงกว่า giri-choco แต่ผู้หญิงบางคนจะทำช็อกโกแลต Honmei-choco ขึ้นมาเอง ซึ่งผู้ชายที่ได้รับจะถือว่าโชคดีมาก และผู้ชายบางคนจะพอใจช็อกโกแลตที่ทำขึ้นเองมากกว่า เพราะมันจะแสดงออกถึงความตั้งใจของคนทำนั่นเอง




.......................................................................................

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก //www.weddinginlove.com



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:05:39 น.
Counter : 2656 Pageviews.

20 comment
14 วิธีการออมเงินและหาเงินอย่างง่ายที่สุด!
14 วิธีการออมเงินและหาเงินอย่างง่ายที่สุด!


ในเวลาปัจจุบัน เงินเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับคนทุกคน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเราใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดหรือฟุ้มเฟือย ปัจจัยชนิดนี้ก็จะหมดไปโดยฝากความลำบากไว้ให้กับเราในอนาคต ดังนั้นการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อยเพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเจ้าปีศาจที่ไม่เป็นที่ประสงค์ของคนทุกคนคือ ความจนกับความลำบาก นั้นเอง


วิธีการในการออมเงิน สามารถทำได้ดังนี้


1. ลงทุนซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ้มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ

2. หัดรู้จักคำว่า “ความจำเป็น” กับ “น่ารัก” เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่คำว่าน่ารักแล้วอยากได้อย่างเดียวนั้นไม่พอดังนั้นจึงควรคิดพิจารณาก่อนหยิบยื่นตรงแคชเชียร์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริงๆ เห็นสิ่งอื่นๆที่สวยกว่าเราไม่สนและเหมาะสมกับสภาพเงินที่มีก็สมควรซื่อได้เพื่อสนองความต้องการ

3. วิธีนี้สำหรับคนที่ชอบจดชอบเขียนคือทำ “แบบบันทึกรายรับรายจ่าย” อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป พอครบกำหนดก็รวมรายรับรายจ่าย วิธีนี้สามารถตรวจต่อมความฟุ้มเฟือยของเราได้เป็นอย่างดี

4. หากรู้ตัวว่าต้องไปในที่ๆมีแต่ของฟุ้มเฟือย แพงหูฉีกจนแม้แต่เกิดใหม่ซักกี่ชาติก็ไม่สามารถหาตังค์มาซื้อได้ ให้ท่านยืนสงบนิ่งซักแป็บ แล้วเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องพกให้เมื่อยกุงเกงแถมประหยัดอีกต่างหาก

5. ซื้อกระเป๋าที่มีช่องลับเยอะๆสำหรับพกไปเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของสุรุ่ยสุร่าย เอาไว้ซ่อนเงินแล้วเวลาเกิดอยากได้อะไร พอเปิดกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียเงิน ประหยัดแบบวัยรุ่นยุคใหม่ ได้ทั้งความเท่ ประหยัดและปลอดภัยจากมิจฉาชีพ (แต่ต้องไม่ซ่อนจนลืมที่ซ่อนนะ)

6. เอาเงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยม ปลอดภัยสุดๆเมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้นิรภัยหนากว่าฟุต

7. ฝึกทำงานพิเศษ หารายได้ด้วยตนเอง (อย่างถูกต้องและเหมาะสม) วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว เพื่อฝึกให้เห็นถึงความลำบากของการหาเงินและคุณค่าของเงินที่หลายคนหลงลืมไป

8. ซื้อของลดราคา สามารถหาได้ง่ายตามศูนย์การค้าทั่วไป (แม้แต่คนเขียนยังชอบ)

9. เอาล่ะสิ วิธีนี้เหมาะกับแม่บ้านหัวไวหรืออนาคตนักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ คิดเลขเร็วไง...เวลาซื้ออะไรก็รวมรายจ่ายไว้ในสมอง ใช้ประกอบกับข้อสองวิธีนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เผลอๆโตขึ้นได้ติดอันดับกินเนสบุคด้านคิดเลขเร็ว

10. อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากปากโฆษกขี้โว (ขี้โม้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชอบชวนคุยและพวกที่ยิ่งคุยเข้าหูเราก็ยิ่งต้องระวังกันใหญ่

11. ฝากเงินไว้ที่เพื่อน คนสนิท หรือแฟน แล้วนัดเวลาเอาเงินคืน แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนหรือคนที่ซื่อสัตย์ต่อเราจริงๆ เดี๋ยว (ข้อนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่นะ..สำหรับการแนะนำข้อนี้ พิจารณาให้ดีดีก่อนนะจ๊ะ)

12. อยู่ว่างๆร้องเพลง "คนมีตังค์" ดังๆ ได้ทั้งความสนุก สู้ชีวิต เผลอๆได้ (เศษ) ตังค์จริงๆด้วย....และหากคุณเชื่อเรื่องการดึงดูด เมือเราคิดแต่เรื่องดีดี สิง่ดีดีจะถูกดูดเข้ามาในชีวิตของเรา!

13. เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถวายเป็นความภักดีเพื่อพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย

14. จงมีความขยัน อดทน อดกลั้น อดออม ประหยัด เพียรพยายาม อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา และอย่าเชื่อคำแนะนำในนี้ทั้งหมด จนกว่าคุณจะลงเริ่มทำด้วยตนเอง!



ขอบคุณ : //www.dek-d.com/board/view.php?id=979352 (ของเดิมมีเพียง 13 ข้อจ้า)

ยกเว้นข้อที่ 11 ,12 และ 14 ที่เราขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางส่วนด้วยเหตุผลที่เหมาะสมตามความเป็นจริงในปัจจุบันจ้า



Create Date : 10 กรกฎาคม 2554
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:05:54 น.
Counter : 1667 Pageviews.

25 comment
ความหมายของสีในศาสนาคริสต์
สี ดำ (Black)


เป็นสัญลักษณ์ของความตายและยมโลกมาตั้งแต่
ก่อนยุคของคริสตศาสนา พวกนอกรีตสังเวยสัตว์สีดำ
เป็นเครื่องบวงสรวงบรรดาเทพเจ้าในยมโลกใน สัญลักษณ์
ศาสนาคริสต์สีดำเป็นสีของเจ้าชายแห่งความมืดหรือซาตาน


ในยุคกลางสีดำมีความสัมพันธ์กับศาสตร์ของพวกแม่มด
ซึ่งเรียกกันว่า ศาสตร์แห่งความดำมืด (Black art) โดยทั่วไป
สีดำใช้เป็นสัญลักษณ์ของความโศกเศร้าความเจ็บป่วยและความตาย


ส่วนสีดำและสีขาวเมื่ออยู่ด้วยกันเป็นสัญลักษณ์
ของความถ่อมตน และความบริสุทธิ์แห่งชีวิต
ด้วยเหตุนี้สีดำหรือสีขาว-ดำจึงใช้เป็นสีเสื้อผ้าของ
บาทหลวงบางนิกาย อาทิ นิกายออกุสติเนียน (Augustinian Order)

นิกายเบเนดิคทีน (Benedictine Order) และนิกายโดมินิกัน
และเนื่องจากสีดำเป็นสีของความเศร้าโศก
จึงเป็นสีที่ใช้ในพิธีสวดมนต์ในวัน Good Friday
อันเป็นวันตรึงกางเขนพระคริสต์ด้วย




สี น้ำเงิน (Blue)


เป็นสีของท้องฟ้าจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์
และความรักแห่งสรวงสวรรค์ นอกจากนี้สีน้ำเงิน
ยังใช้เป็นสีแห่งสัจธรรมด้วย เพราะเป็นสีที่ปรากฏบนท้องฟ้า
เมื่อเมฆหมอกหมดไป


ภาพพระคริสต์ระหว่างที่ ทรงปฏิบัต ิภารกิจในโลกมนุษย์
ทรงเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เช่นเดียวกับภาพพระนางมารีย์
ขณะกำลังอุ้มหรือเฝ้าพระกุมาร ทางศาสนจักรถือว่าสีน้ำเงิน
เป็นสีประจำตัวพระนางมารีย์ จึงใช้สีนี้ในวันสำคัญทางศาสนา
ที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตของ พระนาง




สีน้ำตาล (Brown)


เป็นสีของความตายแห่งจิตวิญญาณและความเสื่อมทราม
รวมทั้งการสละโลก ด้วยเหตุนี้นิกายฟรานซิสกัน และนิกายคาปูชิน
(Capuchin Order) จึงใช้สีน้ำตาลเป็นสีเครื่องแต่งกาย




สี เทา (Gray)


เป็นสีของเถ้าถ่านซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเศร้าโศก
และความถ่อมตน เป็นสีที่บางครั้งใช้ในระหว่างฤดูถือบวช
และเนื่องจากสีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความตายทางเนื้อหนัง
และความเป็นอมตะแห่ง จิตวิญญาณ บางครั้งศิลปินจึงเขียนภาพ
พระคริสต์ทรงฉลองพระองค์สีเทาในวันตัดสินโลก
สีเทาเป็นสีของนิกายวอลลอมโบรเซียน (Vollombrosian Order)
และนิกายเบเนดิคทีน




สีเขียว (Green)


เป็นสีของพฤกษชาติและฤดูใบไม้ผลิ จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ
ที่ฤดูใบไม้ผลิมีต่อฤดูหนาว ซึ่งก็คือชัยชนะของชีวิตที่มีต่อความตาย
นั่นเองและเนื่องจากสีเขียวเป็นสีผสมระหว่างสีเหลือง
และสีน้ำเงินจึงใช้เป็นเครื่อง หมายของความเมตตา และการเกิดใหม่
ของวิญญาณ


พวกนอกรีตใช้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของน้ำที่ใช้ในพิธีรับสามชิกใหม่
เข้าสู่ ลัทธิของตน สีเขียวจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการชักนำ
จิตวิญญาณเข้าสู่ศาสนา ด้วยเหตุนี้นักบุญจอห์นผู้บันทึก
พระคริสตประวัติจึงสวมเสื้อคลุมสีเขียว


ในบางรูปสีเขียวเป็นสีที่ใช้ในเทศการเอพิฟานี (Epiphany)25
ซึ่งทางคริสตจักรจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการมาเยือนของพวกมาจิ
เพราะในวาระนี้ พระคริสต์ทรงปรากฏพระองค์
ต่อพวกนอกศาสนาเป็นครั้งแรก




สี ม่วงแดง (Purple)


เป็นสีที่ใช้กับกษัตริย์และแสดงให้เห็นถึงอำนาจของจักรพรรดิ์
ด้วยเหตุนี้ในบางครั้งจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
นอกจากนี้สีม่วงแดงยังเป็นสีของความโศกเศร้าและความสำนึกบาป
เป็นสีที่ใช้ในเทศกาลรำลึกถึงการเสด็จลงมาประสูติ
ในโลกมนุษย์ของพระคริสต์ และฤดูถือบวช




สีแดง (Red)


เป็นสีของโลหิตซึ่งมีความสัมพันธ์กับอารมณ์จึงเป็นสัญลักษณ์
ของทั้งความรัก และความเกลียดชัง ในหมู่ชาวโรมันถือว่าสีแดง
เป็นสีของพลังที่ยิ่งใหญ่ คตินี้เหมือนกับของทางคริสต์ซึ่งใช้สีแดง
เป็นสีเครื่องแต่งกายของพระคาร์ดินัล


ตามคตินิยมของคริสตจักรสีแดงเป็นสีที่ใช้กับบรรดา
นักบุญผู้ยอมรับทัณฑ์ทรมาน เพราะท่านเหล่านี้ยอมรับ
ความทรมานจากการประหัตประหารของพวกนอกรีตยิ่งกว่า
ละทิ้งศรัทธาในองค์พระคริสต์ และเนื่องจากสีแดง
เป็นสีของไฟจึงใช้ในเทศกาลเพนตีคอสต์ด้วย




สี ม่วงคราม (Violet)


เป็นสัญลักษณ์ของความรักและสัจธรรมหรือความทุกขเวทนา
และความเจ็บปวด จึงใช้เป็นสีเครื่องแต่งกายของผู้สำนึกบาปอาทิ
นางมารีย์ แมกดาลีน และบางครั้งใช้เป็นสีเสื้อผ้า
ของพระนางมารีย์หลังการตรึงกางเขน และพระคริสต์ ด้วย




สีขาว (Write)



เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
แห่งจิตวิญญาณและ ความศักดิ์ สิทธิ์แห่งชีวิต พระคริสตธรรมคัมภีร์
กล่าวถึงสีขาวในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความสะอาดบริสุทธิ์
ไว้หลายแห่ง อาทิ ของทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นฮิสสอพ
เพื่อข้าพระองค์จะได้สะอาดชำระข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์
จะได้ขาวยิ่งกว่าหิมะ (เพลงสดุดี 51 : 7)



เมื่อพระคริสต์เสด็จสู่สวรรค์ทรงฉลองพระองค์ที่มีสีขาวกระจ่าง
ดังแสงสว่าง (แมทธิว 17 : 2) นักบุญแมทธิวกล่าวถึงเทวทูต
ผู้มาผลักก้อนหินที่ใช้ปิดปากอุโมงค์เก็บพระศพ พระคริสต์ไ ว้ว่า
ลักษณะของเทวทูตราวกับแสงฟ้าแลบส่วนเครื่องแต่งกาย
ก็ขาวราวหิมะ (แมทธิว 28 : 3) สีขาวเป็นสีฉลองพระองค์
ของพระคริสต์ภายหลังที่ทรงฟื้นคืนพระชนม์



นอกจากนี้ยังใช้เป็นสีเสื้อผ้าของพระนางมารีอาในรูปที่แสดงถึง
ความคิดอันบริสุทธิ์ และเป็นสีเสื้อผ้าของพระนางมารีอา
ในรูปการถวายตัว และรูปที่แสดงเหตุการณ์ในชีวิตของพระนาง
ก่อนที่เทวทูตจะมาแจ้งข่าวประเสริฐ



บรรดา สาวพรหมจารีย์ของเทวีเวสตา (Vestal virgins)
ในคติของชาวโรมันสวมเสื้อผ้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของ
ความบริสุทธิ์และความไร้ เดียงสา คตินิยมนี้รับมาใช้ต่อ
กับเสื้อผ้าเจ้าสาว เสื้อผ้าของผู้ที่ได้รับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก

และเสื้อผ้าของผู้รับศีลแบพติสม์ สีขาวเป็นสีที่ใช้ในการทำพิธีในโบสถ์
ระหว่างเทศกาลคริสต์มาส อีสเตอร์ และเทศกาลรำลึก
ถึงวันเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์เพราะบาดหลวงในยุคแรก ๆ
สวมเสื้อผ้าสีขาว และเนื่องจากถือกันว่าสีขาวเป็นสีของแสงสว่าง
บางครั้งจึงมีการใช้สีเงินแทน




สี เหลือง (Yellow)



เป็นสัญลักษณ์ของสองสิ่งตรงข้ามกันแล้วแต่ว่าจะใช้อย่างไร
สีเหลืองทองเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และพระผู้เป็นเจ้า
ภาพเขียนยุคเรอเนสซองส์หลายรูปใช้สีเหลืองทองเป็นสีพื้น
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งที่ปรากฏในภาพนั้น


รูปนักบุญโจเซฟและนักบุญปีเตอร์(เปโตร) บางครั้งอยู่ในเสื้อผ้าสีเหลือง
นักบุญปีเตอร์(เปโตร) สวมเสื้อคลุมสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์
ของสัจธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเผยให้มนุษย์รู้


ในทางตรงกันข้ามบางครั้งสีเหลืองใช้เป็นสัญลักษณ์ของไฟนรก
ความเสื่อมทราม ความริษยา ความทรยศและความหลอกลวง
ด้วยเหตุนี้ยูดาสผู้ทรยศจึงมักสวมเสื้อผ้าสีเหลืองมอ ๆ


ในยุคกลางพวกนอกรีตถูกบังคับให้สวมเสื้อสีเหลือง และเนื่องจาก
ไม้กางเขนสีเหลืองใช้บอกเขตโรคระบาดจึงเกิดคตินิยมในการ
ใช้สี เหลืองเป็น สัญลักษณ์ของโรคระบาดด้วย






Create Date : 20 มกราคม 2554
Last Update : 2 มีนาคม 2554 18:51:59 น.
Counter : 1860 Pageviews.

34 comment
ความหมายของตัวเลขในศาสนาคริสต์
เลขหนึ่ง (One)

เป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพ


เลขสอง (Two)

แสดงถึงคุณลักษณะสองประการในองค์พระคริสต์ คือความเป็นมนุษย์และความเป็นพระเจ้า


เลขสาม (Three)

เป็นตัวเลขที่พิธากอรัสเรียกว่า ตัวเลขที่สมบูรณ์แบบ เพราะประกอบด้วยจุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางและจุดจบ ในคริสตศาสนาตัวเลขนี้กลายเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงพระตรีเอกานุภาพ อันประกอบด้วย พระบิดา พระบุตร และพระจิต และระยะเวลาสามวันที่พระคริสต์ทรงอยู่ในอุโมงค์เก็บพระศพ


เลขส ี่ (Four)

โดยทั่วไปเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญผู้บันทึกพระคริสตประวัติ (Evangelist) ทั้งสี่ท่าน


เลขห้า (Five)

เป็นสัญลักษณ์ของบาดแผลห้าแห่งซึ่งพระคริสต์ทรงได้รับจากการตรึงกางเขน


เลขหก (Six)

เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งมวลเสร็จสิ้นในหกวัน เลขหกจึงเป็นตัวเลขแห่งการสร้างสรรค์และความเสร็จสมบูรณ์เป็นสัญลักษณ์ของ มหิทธานุภา พ ความศักดิ์สิทธิ์ พระปัญญา ความรัก ความเมตตา และความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า



เลขเจ็ด (Seven)

เป็นตัวเลขที่แสดงถึงความเมตตากรุณาและพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นักเขียนในยุคแรกใช้เลขเจ็ดเป็นตัวเลขแห่งการสร้างสรรค์และความเสร็จสมบูรณ์

เช่นเดียวกับเลขหก ดังจะเห็นได้จากข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์หลายตอน อาทิ เมื่อตอนที่เพื่อนของโจบ (Job)26 มาปลอบโยนโจบพวกเขา นั่งอยู่กับโจบเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน (โจบ 2 : 13)

นอกจากนี้ในพระ คริสตธรรมคัมภีร์ ยังกล่าวถึงจาคอบ (Jacob) ว่าแสดงการยอมตนอยู่ใต้พวกพี่ชายด้วยการโค้งคำนับเจ็ดครั้ง กล่าวถึงของขวัญที่จะได้รับจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็ดเท่า บาปหรือความชั่วเจ็ดประการ และความสุขกับความทุกข์เจ็ดประการของพระนางมารีย์



เลขแปด (Eight)

เป็นตัวเลขแห่งการฟื้นคืนพระชนม์เพราะพระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ แปดหลังจาก เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเลม ด้วยเหตุนี้อ่างน้ำมนต์ที่ใช้ในพิธีแบพติสม์จึงมักทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม


เลขเก้า (Nine)

เป็นตัวเลขของพวกเทวทูต เพราะในพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า กลุ่มเทวทูตที่ร้องเพลงประสานเสียงมีทั้งหมดเก้าองค์


เลขสิบ (Ten)

เป็นจำนวนของพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้กับโมเสส พระบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของพระบัญญัติสิบประการ


เลขสิบสอง (Twelve)

เป็นจำนวนของอัครทูตผู้เผยแผ่พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในยุคแรก (Apostles) จึงเป็นตัวเลขที่นิยมใช้กันในสัญลักษณ์ศาสนาคริสต์ บางครั้งเลขสิบสองใช้เป็นสัญลักษณ์ของคริสจักรทั้งหมด


เลขสิบสาม (Thirteen)

เป็นตัวเลขที่แสดงถึงความไม่มีศรัทธาและการทรยศโดยมีที่มาจากตอนที่พระ คริสต์ทรงเสวย พระกระยาหารมื้อสุดท้าย มีผู้เข้าร่วมโต๊ะเสวยทั้งหมด 13 ท่าน คือ องค์พระคริสต์ และสาวกอีก 12 ท่าน รวมทั้งยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซู


เลขสี่สิบ (Forty)

เป็นสัญลักษณ์ของระยะเวลาที่ชนชาติอิสราเอลถูกลงทัณฑ์ โดยต้องเร่ร่อนไปตามแถบถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี และต้องตกเป็นทาสของพวกฟิลิสตินส์เป็นระยะเวลาเท่ากัน

โมเสสอยู่บนเขาซีนายเป็นเวลา 40 วัน ฝนที่ตกลงมาคราวน้ำท่วมโลกตกอยู่เป็นเวลา 40 วัน 40 คืน หลังจากพระคริสต์ทรงรับศีลแบพติสม์จากนักบุญจอห์นแล้วก็ได้ประทับอยู่ในถิ่น ทุรกันดาร 40 วัน ในช่วงเวลานี้เองที่พญามารพยายามชักชวนให้ทรงละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า ฤดูถือบวชซึ่งมีระยะเวลา 40 วันในแต่ละปีจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ บางครั้งเลขสี่สิบจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพแห่งศาสนจักรผู้ต่อสู้กับความชั่วร้าย


เลขหนึ่งร้อย (One Hundred)

เป็นตัวเลขแห่งความอุดมสมบูรณ์


เลขหนึ่งพัน (One Thousand)

ครั้งหนึ่งถือกันว่าเลขหนึ่งพันเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความเป็นอมตะ เนื่องจากเลขหลักต่อไปเป็นภาษาอังกฤษทำได้โดยการเติมจำนวนตัวเลขเข้าไปข้างหน้าหลักพันเช่น 10,000 เท่ากับสิบพัน (ten thousand) 100,000 เท่ากับหนึ่งร้อยพัน (one hundred thousand)



Create Date : 20 มกราคม 2554
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:10:39 น.
Counter : 705 Pageviews.

1 comment
ความหมายของรูปทรงในศาสนาคริสต์
รูปวงกลม


วงกลมหรือวงแหวนเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์และชีวิตอมตะ นอกจากนี้ยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของความดีเลิศแห่งพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นอมตะ ผู้ทรงอยู่ ณ จุดเริ่มต้น ทรงอยู่ในปัจจุบันและจะทรงคงอยู่ชั่วนิรันดร์.. หากรูปวงกลมสามรูปซ้อนกันเป็น3 เหลี่ยม จะมีความหมายถึงพระตรีเอกานุภาพ



รูปสามเหลี่ยม


รูปสามเหลี่ยมด้านเท่าเป็นสัญลักษณ์ขององค์สามเพราะแสดงให้เห็นถึงองค์ ประกอบสามส่วน ที่เข้ามารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รังสีรอบศีรษะรูปทรงสามเหลี่ยมใช้กับพระบิดาหรือองค์สามเท่านั้น ส่วนรูปสามเหลี่ยมที่มีวงกลมสามวงอยู่ภายในเป็นตัวย่อขององค์สามอันประกอบ ด้วย พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งเข้ามารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในองค์พระผู้เป็นเจ้า



รูปสี่เหลี่ยม


เป็นสัญลักษณ์ของโลกและการมีชีวิตอยู่ในโลก (ตรงข้ามกับรูปวงกลม ด้วยเหตุนี้จึงใช้เป็นรูปแบบของรังสีรอบศีรษะผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่)



รูปห้าเหลี่ยม


เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มียอดแหลมห้ายอดเช่นเดียวกับดวงดาวที่มีห้าแฉก จึงมีความสำคัญในแง่ของสัญลักษณ์มานาน โดยเริ่มแรกลูกศิษย์ของ "พิธากอรัส" (Pythagoras) ผู้เป็นนักปราชญ์ นักคณิตศาสตร์ และเป็นนักปฏิรูปศาสนาชาวกรีก เป็นผู้ริเริ่มใช้ก่อน ต่อมานักไสยศาสตร์ในยุคกลางรับมาใช้ต่อ ในทางโลกรูปห้าเหลี่ยมใช้เป็นเครื่องป้องกันความชั่วร้ายของคุณไสย ทางคริสตศาสนาใช้รูปห้าเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ของบาดแผลห้าแห่ง ที่พระคริสต์ทรงได้รับจากการถูกทรมานและถูกตรึงบนไม้กางเขน



Create Date : 20 มกราคม 2554
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:10:56 น.
Counter : 2126 Pageviews.

0 comment

radakorn
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ

เจ้าของบล็อคนี้ชอบอ่านหนังสือทุกแนว จึงทำให้เขียนหนังสือและอีบุ๊กได้หลายแนวไปด้วย
งานเขียนในเวบนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ห้ามคัดลอกดัดแปลง เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นอาจมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

เพื่อนๆ สามารถเข้าชมใน Facebook ได้ค่ะ