ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

[รีวิว] Samsung Galaxy Tab 7.7 แท็บเล็ตแรงจัด หน้าจอ Super AMOLED Plus



[รีวิว] Samsung Galaxy Tab 7.7 แท็บเล็ตแรงจัด หน้าจอ Super AMOLED Plus ใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ (Samsung Galaxy Tab 7.7 review)


ถ้ากล่าวถึงผลิตภัณฑ์ในตระกูล แท็บเล็ต (Tablet) ตัวเด่นๆ นอกจาก ไอแพด 2
(iPad 2) ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ iOS แล้ว อีก 1 ยี่ห้อที่ถือว่า
มีแท็บเล็ต (Tablet) เปิดตัวค่อนข้างเยอะมาก นั่นก็คือ Samsung กับ Samsung
Galaxy Tab นั่นเอง เรียกได้ว่า นับตั้งแต่เปิดตัว Samsung Galaxy Tab
รุ่นแรก ขนาด 7 นิ้ว เมื่อปลายปี 2010 จนถึงวันนี้ แท็บเล็ตในตระกูล Galaxy
Tab จากซัมซุง (Samsung) ก็มีถึง 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Samsung Galaxy Tab
7, Samsung Galaxy Tab 10.1, Samsung Galaxy Tab 8.9, Samsung Galaxy Tab
7.0 Plus และรุ่นล่าสุด Samsung Galaxy Tab 7.7 ซึ่งเว็บไซต์ TechmoBLOG
จะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้นั่นเอง


ย้อนกลับไปที่งาน Thailand Mobile Expo 2012 เมื่อปลายเดือนมกราคม 2555
ที่ผ่านมา ที่บูธของซัมซุง (Samsung) ได้มีการนำ Samsung Galaxy Tab 7.7
มาเปิดตัวในงานด้วยเช่นกันครับ เรียกได้ว่า Samsung Galaxy Tab 7.7
ถือเป็นแม่ทัพของ Galaxy Tab ในขณะนี้เลยก็ว่าได้
เนื่องจากมีครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน และหน้าจอแบบ Super AMOLED Plus
ที่ให้สีสันสว่าง สดใส และคมชัด อีกทั้ง
ยังสามารถใช้เป็นโทรศัพท์ได้ในตัวอีกด้วย


ก่อนจะไปชมตัวเครื่องงามๆ มาดูสเปค Samsung Galaxy Tab 7.7 กันก่อนครับ


- จอแสดงผลขนาด 7.7 นิ้ว แบบ Super AMOLED Plus ความละเอียด 1280x800 พิกเซล
- ระบบประมวลผลแบบ Dual-core Cortex A9 Processor ความเร็วในการประมวลผล 1.4GHz
- ระบบประมวลผลภาพ (GPU) Mali-400MP GPU
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 1GB
- ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.2 Honeycomb
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับการใช้งาน Video Call
- แบตเตอรี่ขนาด 5100 mAh


สัมผัสเบาๆ กับ Samsung Galaxy Tab 7.7




สำหรับ Samsung Galaxy Tab 7.7 นั้น ยังคงเป็นแท็บเล็ต (Tablet)
ที่เน้นคอนเซปท์เดิมๆ นั่นก็คือ บาง และเบา ซึ่งจะเห็นได้จาก แท็บเล็ต
(Tablet) รุ่นถัดจาก Samsung Galaxy Tab 10.1 เรื่อยมา จนถึง Samsung
Galaxy Tab 7.0 Plus ซึ่งขนาดของ Samsung Galaxy Tab 7.7 นั้น พบว่า
บางเพียง 7.89 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมยังมีน้ำหนักเพียง 335 กรัมเท่านั้น
ซึ่งเบากว่า Samsung Galaxy Tab 7.0 Plus (ที่ตัวเครื่องเล็กกว่า) 10
กรัมด้วยกันครับ




พลิกกลับมาด้านหลังตัวเครื่อง พบว่า ทำมาจากวัสดุประเภทโลหะครับ
ที่ให้ความรู้สึกแข็งแรง ทนทาน ไม่ใช่กรอบหลังแบบพลาสติกก๊องแก๊งอีกต่อไป
ส่วนโลโก้ Samsung ด้านหลังนั้น อยู่ในแนวเดียวกับการวางเครื่องในแนวตั้ง
ซึ่งน่าจะเน้นให้เห็นว่า Samsung Galaxy Tab 7.7 นั้น
เหมาะกับการใช้งานในแนวตั้ง (Samsung Galaxy Tab 10.1 โลโก้ซัมซุง
อยู่ในตำแหน่งแนวนอน) อย่างไรก็ดี Samsung Galaxy Tab 7.7
รองรับการใช้งานทั้งแนวตั้ง และแนวนอนครับ




ส่วนที่เพิ่มมาในด้านหน้าตัวเครื่อง นอกจากกล้องความละเอียด 2
ล้านพิกเซล สำหรับการใช้งาน Video call แล้ว
ยังมีลำโพงสำหรับสนทนาเพิ่มเข้ามาด้วย เนื่องจาก Samsung Galaxy Tab 7.7
รองรับการใช้งานโทรศัพท์นั่นเองครับ




ด้านข้างตัวเครื่อง ประกอบด้วยปุ่มแบบ Hardware 2 ปุ่ม ได้แก่
ปุ่มเปิด-ปิด-ล็อคเครื่อง และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ส่วนที่เห็นถัดลงมานั้น คือ
อินฟราเรดครับ ซึ่งจะมีเฉพาะรุ่นที่นำมารีวิวเท่านั้น
ส่วนเครื่องที่จำหน่ายจริง จะไม่มีอินฟราเรดครับ




พลิกมาอีกด้าน จะเจอกับ ช่องสำหรับ microSD ที่สามารถเพิ่มได้สูงสุด
32GB และช่องสำหรับใส่ SIM card ขนาดปกติ ที่รองรับการใช้งานทั้ง GSM
(850/900/1800/1900 MHz) และ 3G (850/900/1900/2100 MHz) เรียกได้ว่า
ไม่ว่าจะใช้เครือข่ายไหน ก็สามารถรองรับได้หมดครับ




ด้านล่างตัวเครื่อง เป็นพอร์ตแบบ 30-pin สำหรับการเชื่อมต่อต่างๆ เช่น
ชาร์จแบตเตอรี่, เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ และช่องไมโครโฟน
สำหรับการใช้งานโทรศัพท์ และลำโพงแบบ Stereo อีก 2 ช่อง




ด้านบน เป็นหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร และไมโครโฟน




ด้านหลัง เป็นกล้องความละเอียด 3 ล้านพิกเซล แบบ Auto-focus พร้อมไฟแฟลช และสามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้สูงสุดที่ขนาด 720p




เปรียบเทียบขนาดกับ iPad 2 ครับ จะเห็นว่า เครื่องเล็กกว่ามาก
และที่สำคัญ บางกว่า iPad 2 อีกด้วย (Samsung Galaxy Tab 7.7 หนา 7.9
มิลลิเมตร ส่วน iPad 2 หนา 8.8 มิลลิเมตร)




เปรียบเทียบความหนาระหว่าง 2 เครื่องแบบชัดๆ ครับ มองด้วยตาเปล่า แยกไม่ค่อยออกเท่าไหร่

มาดูเรื่องซอฟท์แวร์บน Samsung Galaxy Tab 7.7 กันบ้าง


1. User Interface




สำหรับหน้าตาของ UI หรือ User Interface บน Samsung Galaxy Tab 7.7 นั้น
มีชื่อว่า TouchWiz UX ซึ่งเมนูด้านล่างซ้ายนั้น ประกอบด้วย ปุ่ม Back,
ปุ่ม Home, ปุ่มแสดงการใช้งานแบบ Multi-tasking และปุ่ม Screen capture
ซึ่งถือว่า สะดวกมากๆ ครับ เพราะเราไม่จำเป็นต้องหาโปรแกรมมาลงเพิ่ม
กดเพียงปุ่มนี้ปุ่มเดียว ก็สามารถ capture ได้แล้ว


ในส่วนของหน้า Widgets สามารถเพิ่ม-ลด Widget ได้ตามใจชอบ
โดยอาศัยหลักการเดิมๆ คือ เลือกจากลิสด้านล่าง แล้วลากไปยังกรอบด้านบน
นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์ ได้โดยตรงจากหน้านี้อีกด้วย


นอกจากนี้ ด้านล่าง ยังมี Quick Menu ซึ่งเป็น Widgets เล็กๆ ด้านล่าง
สามารถเรียกใช้งานได้ทุกที่ และรองรับการใช้งาน Multi-touch ได้สูงสุด 10
จุดด้วยกัน




ในส่วนของหน้าแอพพลิเคชั่นนั้น จะแบ่งเป็น 3 แท็บใหญ่ๆ ก็คือ All
หน้ารวมแอพฯ, My apps หน้ารวมแอพฯ ที่ดาวน์โหลดมาจาก Android Market และ
Frequent หน้ารวมแอพฯ ที่เปิดใช้งานบ่อยๆ ซึ่งเราสามารถเข้า Android Market
จากปุ่มด้านบนขวาได้เลยทันทีครับ


2. Polaris Office




หมดห่วงเรื่อง การจัดการเอกสาร จำพวก Word, Excel, PowerPoint
บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ด้วย Polaris Office
ซึ่งมีให้ใช้งานบนเครื่องได้เลยครับ โดยสามารถแก้ไขไฟล์เอกสาร,
สร้างไฟล์เอกสาร เปลี่ยนสีตัวอักษร เพิ่มขนาดตัวอักษร เพิ่มรูปภาพใส่เอกสาร
และอื่นๆ อีกมากมาย ได้เหมือนกับการใช้งานบนพีซีเลยทีเดียว


3. Task Manager




การเปิดหลายๆ โปรแกรมทิ้งไว้ อาจจะทำให้ RAM ในตัวเครื่องหมดได้
และเกิดปัญหาเครื่องกระตุก เราสามารถจัดการปิดโปรแกรมที่เปิดทิ้งไว้ได้
โดยใช้ Task Manager ครับ จากนั้น ก็ทำการปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน
โดยการกดปุ่ม End


4. Opera Web Browser






Opera เว็บเบราเซอร์ที่ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ นิยมดาวน์โหลดมาใช้งานกัน
สามารถเปิดไฟล์ Flash Player ได้ นอกจากนี้ ยังรองรับการ Pinch-to-Zoom
อีกด้วย


5. การใช้งานโทรศัพท์




นอกจาก Samsung Galaxy Tab 7.7 จะใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้แล้ว จุดเด่นของ
Samsung Galaxy Tab 7.7 คือ สามารถใช้เป็นโทรศัพท์ได้อีกด้วย
โดยมีฟังก์ชั่นการใช้งานโทรศัพท์เหมือนกับแอนดรอยด์โฟน ส่วนการใช้งานนั้น
แนะนำให้หา Bluetooth Headset ซักตัวครับ


6. Music Player




User Interface หน้า Music Player มีลักษณะที่เรียบง่าย ใช้งานง่าย
ซึ่งสามารถค้นหาชื่อเพลงตามตัวอักษร, เรียงตาม Playlists, อัลบั้ม,
ชื่อศิลปิน และอื่นๆ อีกมากมาย


7. กล้องถ่ายรูป




สำหรับกล้องดิจิตอลที่อยู่ด้านหลังตัวเครื่องนั้น มีความละเอียด 3
ล้านพิกเซล แบบ Auto-focus พร้อม Flash
ซึ่งเมื่อใช้งานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ พบว่า ภาพที่ได้ค่อนข้างดีครับ
แต่ถ้าหากแสงน้อย ก็จะเกิด noise ลองไปดูภาพตัวอย่างกันดีกว่า
(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่ครับ)


ราคา Samsung Galaxy Tab 7.7


สำหรับราคาของ Samsung Galaxy Tab 7.7 อยู่ที่ 19,900 บาทครับ
(ถ้าเป็นราคาที่จำหน่ายในงาน TME 2012 เมื่อปลายเดือนมกราคม จะจำหน่ายที่
18,900 บาท)


บทสรุป การใช้งาน Samsung Galaxy Tab 7.7


หลังจากที่ได้ทดสอบการใช้งาน Samsung Galaxy Tab 7.7 แบบคร่าวๆ
ก็พบสิ่งที่ประทับใจกับการใช้งานในหลายๆ ด้าน จึงขอสรุปเป็นจุดเด่น
และจุดด้อย จากความคิดเห็นส่วนตัว ดังนี้ครับ




จุดเด่น


1. ระบบประมวลผลแบบ Dual-core Processor ความเร็ว 1.4GHz ทำให้ใช้งานได้อย่างรื่นไหล เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ
2. รองรับการใช้งานโทรศัพท์ แต่ควรหา Bluetooth Headset มาใช้งานต่างหาก เพราะการยกเครื่องขึ้นคุย คงไม่สะดวกนัก
3.
หน้าจอแบบ Super AMOLED Plus สว่างมาก สีสดใส ใช้งานได้อย่างชัดเจน
แม้กระทั่งที่ที่มีแสงจ้า เหมาะกับการใช้งานในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการดูหนัง
เพราะให้สีสันที่สดมาก
4. รองรับการใช้งาน 3G ทุกเครือข่าย จะเป็น Dtac, AIS หรือ Truemove H ก็สามารถใช้งานได้หมดครับ
5. Polaris Office ใช้งานได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาแท็บเล็ต ที่มี Office เจ๋งๆ ซักตัว
6. ขนาดไม่ใหญ่ และไม่เล็กจนเกินไป พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า Samsung Galaxy Tab 10.1
7. ตัวเครื่องด้านหลังเป็นโลหะ ให้ความรู้สึกที่แข็งแรง ทนทาน
8. น้ำหนักเบามาก
9. มีฟังก์ชั่นการ capture หน้าจอได้เลย ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมมาลงเพิ่ม


จุดด้อย


1. กล้องดิจิตอลด้านหลัง ความละเอียดน้อยไปนิด (3 ล้านพิกเซล) คนที่ชอบเล่นกล้องอยู่แล้ว น่าจะไม่ชอบ
2. คนที่มือเล็ก คงจะใช้งานได้ไม่ถนัดเท่า Samsung Galaxy Tab 7.0 Plus เนื่องจากตัวเครื่องกว้างกว่า
3. แอพพลิเคชั่นบางอย่าง ไม่รองรับการใช้งานในไทย คาดว่า ในอนาคตคงจะรองรับได้มากกว่านี้


ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ : TechmoBLOG










 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2555 15:45:41 น.   
Counter : 3307 Pageviews.  

นิสสัน ลีฟ เกินคาด เหนือคำบรรยาย


คอลัมน์ เทสต์คาร์โดย วุฒิณี ทับทอง




ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างดีในการส่งโปรดักต์แชมเปี้ยนส์ตัวแรกอย่างรถปิกอัพ ขนาด 1 ตัน ตัวถัดมาก็พยายามสานต่อด้วยการปลุกปั้นโปรดักต์แชมเปี้ยนส์ตัวที่ 2 อย่าง "อีโคคาร์" ที่ตอนนี้หลายค่ายรถยนต์ ต่าง ๆ ทยอยส่งออกมาทำตลาด และต้องยอมรับว่ามียอดขาย "ดีวันดีคืน"

และว่ากันว่าโปรดักต์แชมเปี้ยนส์ตัวต่อไปที่ประเทศไทยกำลังช่วยกันผลักดันให้เกิด ก็น่าจะเป็นรถอีวี (Electric Vehicle) หรือรถไฟฟ้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดได้จริง ๆ ในระยะเวลาอันใกล้หรือไกล แต่ที่แน่ ๆ ทุกคนพร้อมจะเดินหน้าสนับสนุนอย่างเต็มที่ 

โดยเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา "นิสสัน มอเตอร์" ได้จัดแถลงข่าวเพื่อต่อยอดผู้นำรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมจัดทดสอบนิสสัน ลีฟ (LEAF) โดยเชิญหัวหน้าวิศวกรอย่าง "ฮิเดโทชิ คาโดตะ" จาก นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น มาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ในตลาดโลกถือว่านิสสันมีความโดดเด่นต่อการพัฒนา และส่งรถไฟฟ้าอย่างนิสสัน ลีฟ ออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยยอดขายที่มากกว่า 2 หมื่นคัน ส่วนประเทศไทยนั้นถือว่ายังอยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้น




แต่ความสำคัญที่นิสสัน มอเตอร์ได้วางโจทย์ให้กับนิสสัน ประเทศไทยนั้น คือไทยได้เป็นประเทศที่นิสสันเลือกให้มีการเริ่มต้นและพัฒนาทดสอบรถยนต์ นิสสัน ลีฟ เป็นประเทศกลุ่มแรก ๆ สำหรับโครงการดังกล่าว โอกาสและความเป็นไปได้ที่ลูกค้าชาวไทยจะได้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันนี้จะมีมากน้อยแค่ไหน คงจะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายการสนับสนุนของรัฐบาล 

การสนับสนุนการส่งเสริมเรื่องสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องภาษีที่หลายค่ายรถยนต์มองว่า นี่คือแรงจูงใจอันดับต้น ๆ ในการตัดสินใจทำตลาด ระบบสาธารณูปโภค สถานีบริการไฟฟ้า ก็จะต้องมีความพร้อม สามารถรองรับความต้องการใช้ได้อย่างเพียงพอ รวมถึงความรู้และความเข้าใจของลูกค้า จะมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด 

นิสสัน ลีฟ เป็นรถไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาและอยู่ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมใหม่ "นิสสัน กรีน โปรแกรม 2016" (NGP 2016) ที่ต้องการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์ไร้มลพิษ โดยตั้งเป้าภายในปี 2559 นิสสันจะต้องมียอดขายรถยนต์ไร้มลพิษที่ 1.5 ล้านคัน 

สำหรับการทดสอบครั้งนี้ ทีมงานนิสสันใช้เส้นทางทดสอบบริเวณพื้นที่รอบ ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ บนระยะทาง 12 กิโลเมตร ซึ่งแม้จะไม่มากนัก แต่เพียงพอ งานนี้ได้รับความสนใจจากบรรดาสื่อมวลชนบ้านเราเพียบ หลังจากรับฟังข้อมูลพื้นฐานจาก "ฮิเดโทชิ คาโตตะ" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาสัมผัสประสบการณ์ระบบขับเคลื่อนพลังงานสะอาดของนิสสัน ลีฟ คันนี้ 

ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกถือว่าหน้าตาละม้ายคลายคลึงกับรถรุ่นน้องอย่างนิสสัน มาร์ช ถ้าไม่ใช่ ก็ใกล้เคียง ภายในห้องโดยสาร ถูกเน้นที่ความเรียบหรู กว้างขวาง ด้วยโทนสีเทา (airy grey) แผงประตูข้าง ใช้วัสดุหนังสังเคราะห์และหนังกลับ ที่แผงคอนโซลกลางแบบ flat-panel center cluster อุปกรณ์ดิจิทัล จอแสดงผล 2 ชั้น เน้นฟังก์ชั่นและง่ายต่อการใช้งานมาตรวัดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และมาตรวัดความเร็วจะแสดงผลอยู่ทางด้านบน ง่ายต่อการอ่าน








ขณะที่มาตรวัดด้านล่าง หรือ Power Meter แสดงกำลังไฟฟ้าและการชาร์จของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงจอแสดงข้อมูลแบบ Multi Information ซึ่งให้ข้อมูลด้านการชาร์จและประสิทธิภาพของกระแสไฟฟ้า ความจุแบตเตอรี่ที่ยังเหลือ ระยะทางในการขับขี่ และสัญญาณเตือนต่าง ๆ 

เมื่อถึงเวลาทดสอบจริง หลังจากปรับตำแหน่งที่นั่ง พวงมาลัย อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมแล้ว สิ่งแรกที่สัมผัสได้ คือที่นั่งคนขับ เมื่อมองออกไปด้านหน้ากระจก พบว่ารถคันนี้ให้ทัศนวิสัยค่อนข้างดีเยี่ยม ทันทีที่สตาร์ตเครื่องยนต์ สัมผัสได้ถึงความเงียบของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า สตาร์ตเครื่องยนต์ไปแล้วหรือยัง ?

ส่วนเกียร์นั้นมีรูปร่างคล้ายเมาส์หรือจอยสติ๊ก ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่งประกบไปในรถอธิบายว่า หากต้องการเดินหน้า (D) ให้ดึงเข้าหาตัว แล้วกดลง ต้องการหมวดประหยัด (ECO) ดึงเข้าหาตัวมากขึ้น แล้วกดลงเช่นกัน เกียร์ถอยหลัง (R) ดึงเข้าหาตัว แล้วดันขึ้น ใส่เกียร์ว่าง (N) ดึงเข้าหาตัว ค้างไว้ 1 นาที ส่วนเกียร์จอด P ก็ง่ายมาก แค่กดเบา ๆ ที่หัวเกียร์ ก็เป็นอันเข้าใจ ทุกอย่าง เคลียร์ 




หลังจากเข้าเกียร์ไปที่ D พร้อมกดแป้นคันเร่ง อดที่จะประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อรถมีการออกตัวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีจังหวะที่จะเพิ่มน้ำหนักกดแป้นทำความเร็วเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าปรี๊ด ไม่น่าเชื่อว่ารถคันนี้สามารถทำความเร็ววิ่งขึ้นไปได้เกือบ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแทบไม่น่าเชื่อ เพราะไม่ต้องรอรอบ รอจังหวะ กดปุ๊บ มาปั๊บ

ส่วนระบบช่วงล่างนั้น นิสสันเซตมาได้ค่อนข้างแน่นหนึบ แม้เข้าโค้งแรง ๆ ก็ไม่มีอาการยวบยาบให้จับได้ ที่สำคัญ พวงมาลัยค่อนข้างแม่นยำ กับระยะทางที่ได้ทดสอบครั้งนี้ ต้องบอกว่า ค่อนข้างประทับใจกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันนี้ที่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC 3 เฟส ให้กำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร สร้าง แรงบิดสูงสุดตั้งแต่เริ่มออกตัว หลังจากการทดสอบ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน "เหลือเชื่อ" และค่อนข้างประทับใจ 




ส่วนปัญหาที่หลาย ๆ คนกังวล คือเรื่องการชาร์จไฟที่อยู่ใต้กระโปรงหน้า ใช้เวลา 8 ชั่วโมง หลังจากไฟเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับการชาร์จไฟ 200 โวลต์แบบปกติ หรือจะชาร์จแบบเร็วภายในเวลา 30 นาที โดยสามารถชาร์จได้ถึง 80% แบบควิกชาร์จ สายชาร์จขนาดความยาว 7.5 เมตร สำหรับการชาร์จไฟ 200 โวลต์แบบปกติ มีให้เป็นมาตรฐาน ส่วนควิกชาร์จเป็นอุปกรณ์เสริม ต้องเพิ่มเงินโดยการชาร์จ 1 ครั้ง นิสสันเคลมว่า วิ่งได้ 200 กิโลเมตร ก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว 





วันนี้โอกาสที่คนไทยจะได้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เพียงแต่หากนำเข้ามาขายในวันนี้ ราคาคงยากต่อการจับต้อง แต่อนาคต หากรัฐบาลให้การสนันสนุนและส่งเสริม ทำให้ราคาจำหน่ายต่ำลงแล้ว เชื่อว่าสมรรถนะแบบนี้ ความประหยัดขนาดนี้ ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ จะต้องได้รับ การตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทย หัวใจสีเขียวได้อย่างแน่นอน








 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2555 20:47:38 น.   
Counter : 1661 Pageviews.  

“เครปเค้กซอสสตรอเบอร์รี่” อร่อยนุ่ม หวานละมุน ต้อนรับวาเลนไทน์ :))














ช่วงเทศกาลแห่งความรัก ความหวานแบบนี้ “กุ๊กเล็ก” ก็ต้องขออิน
เทรนด์ตามกระแสด้วยการหาของหวานอร่อยๆ มาทำกินเองที่บ้านบ้าง และไหนๆ
ก็ยังมีสตรอเบอร์รี่สดๆ เหลืออยู่ในตู้เย็นที่บ้าน
ก็เลยจัดการแปลงร่างให้กลายเป็น “เครปเค้กซอสสตรอเบอร์รี่” ได้ขนมหวานอร่อยๆ มาลิ้มรสให้อิ่มใจ


ส่วนผสมมีดังนี้
ส่วนผสมเครป
แป้งอเนกประสงค์ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/8 ช้อนชา
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ 4 ฟอง
นมสด 500 ซีซี
กลิ่นวนิลา 1/2 ช้อนชา
เนยจืดละลาย 40 กรัม


ส่วมผสมวิปปิ้งครีม
วิปปิ้งครีมสด 4 ถ้วย
น้ำตาลไอซิ่ง 3 1/2 ช้อนโต๊ะ


ส่วมผสมซอสสตรอเบอร์รี่
น้ำเปล่า 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เกลือ 1/8 ช้อนชา
ผลสตรอเบอร์รี่สด 300 กรัม
แป้งกวนไส้ 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ลูก


วิธีทำเริ่มจากตัวเครป นำแป้งอเนกประสงค์ เกลือ ผงฟู ร่อนรวมกันไว้ก่อน
จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไปผสม นำไข่ไก่ นมสด กลิ่นวนิลา
และเนยจืดละลายผสมจนเข้ากันดี แล้วค่อยๆ
ใส่ส่วนผสมก่อนหน้านี้ลงไปคนจนเข้ากันดีและไม่จับตัวเป็นก้อน
จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งเซ็ตตัว
หรือจะแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้


เมื่อได้แป้งเครปแล้ว นำออกจากตู้เย็น คนให้เข้ากันอีกรอบ
แล้วนำกระทะเทฟล่อน (ขนาดกลาง) ตั้งไฟอ่อนๆ
เมื่อกระทะเริ่มร้อนให้ตักแป้งหยอดลงกระทะ เอียงกระทะให้แป้งกระจายไปทั่วๆ
ให้แป้งเครปเป็นแผ่นบางๆ สังเกตเมื่อขอบแป้งเครปเริ่มร่อนออกมาเล็กน้อย
ให้กลับด้านแล้วทอดต่อไปอีกเล็กน้อย ดูให้สีเหลืองอ่อนๆ
แล้วตักขึ้นพักไว้ให้เย็นบนตะแกรง ทำแป้งเครปไปเรื่อยๆ จนหมด


ส่วนวิปปิ้งครีม
ให้ใส่วิปปิ้งครีมสดลงไปผสมกับน้ำตาลไอซิ่งในเครื่องปั่น
ตีจนวิปปิ้งครีมขึ้นฟูตั้งยอดได้ ก็นำมาปาดลงบนแป้งเครปทีละชั้น
โดยวางแป้งเครปแผ่นแรกลงไป ปาดด้วยวิปปิ้งครีมบางๆ จนทั่ว
แล้ววางแป้งเครปทับลงไป ปาดด้วยวิปปิ้งครีม วางทับด้วยแป้งเครป
ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าแป้งเครปจะหมด ชั้นบนสุดจะเป็นแป้งเครปเปล่า
จากนั้นนำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา แช่ให้เครปเค้กเซ็ตตัวประมาณ 2-4 ชั่วโมง


วิธีทำซอสสตรอเบอร์รี่ เริ่มจากนำผลสตรอเบอร์รี่สดมาปั่นจนละเอียด
จากนั้นนำแป้งกวนไส้มาละลายกับน้ำเปล่า 1/2 ถ้วย พักไว้ก่อน นำน้ำเปล่า 1/2
ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทรายและเกลือ ใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ ให้ละลาย
พอเริ่มเดือดแล้วให้ใส่สตรอเบอร์รี่ที่ปั่นแล้วลงไปคนให้เข้ากัน
พอเริ่มเดือดอีกครั้ง ใส่น้ำมะนาว คนให้เข้ากัน
จากนั้นใส่แป้งกวนไส้ที่ละลายแล้วลงไป ค่อยๆ คนให้เข้ากัน
เมื่อเดือดอีกครั้งก็ปิดไฟ ยกลงจากเตา รอให้เย็น เมื่อจะกินเครปเค้ก
ก็ตัดออกมาเป็นชิ้นพอประมาณ แล้วนำซอสสตรอเบอร์รี่ราดลงไป ตักกินพร้อมๆ กัน
ก็จะได้รับรสความหวานนุ่มละมุนลิ้น






//board.postjung.com/601673.html




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2555 20:44:10 น.   
Counter : 2774 Pageviews.  

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! แรมซี่ย์ยิงต้องมีคนดังตาย


ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! แรมซี่ย์ยิงต้องมีคนดังตาย

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! แรมซี่ย์ยิงต้องมีคนดังตาย

อะไรจะบังเอิญเหมาะเจาะขนาดนี้เมื่อมีแฟนบอลได้ตั้งข้อ
สังเกตถ้าวันไหน อารอน แรมซี่ย์ กองกลางเลือดเวลส์ของ"ปืนใหญ่"อาร์เซน่อล
ยิงประตูได้จะมีคนดังตายตาม อันนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่กัน
ไปดูข้อมูลที่แฟนบอลรายที่จดสถิติไว้กันว่าเป็นเช่นไร


ทั้งนี้ "เดอะซัน"สื่อดังของอังกฤษ รายงานข่าวว่า มีแฟนบอลเมืองผู้ดีกลุ่มหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองดู อารอน แรมซี่ย์ มิดฟิลด์ทีมชาติเวลส์ของ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล สโมสรชื่อดังในเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นนักเตะอาถรรพ์

หลังจากทุกครั้งที่ยิงประตูให้กับต้นสังกัดได้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา จะต้องมีเหตุการณ์บุคคลชื่อดังระดับโลกเสียชีวิตตายตาม

พร้อมยกตัวอย่างรายล่าสุด ก็คือ วิตนี่ย์ ฮุสตัน
ป็อปสตาร์สาวรุ่นใหญ่ชาวอเมริกัน ที่ลาโลกอย่างกะทันหันด้วยวัย 48 ปี
เมื่อวันเสาร์ที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา และก็พบว่าตายเพียงไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากที่ แรมซี่ย์
ได้สังหารประตูตีเสมอให้"ปืนใหญ่"ในเกมที่บุกชนะซันเดอร์แลนด์ 2-1
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

นับเป็นรายที่ 4 แล้ว สำหรับบุคคลดังระดับโลกที่เสียชีวิตในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็ โอซาม่า บิน ลาเดน
อดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ ที่ถูกสังหารเพียง 1 วัน
หลังจากที่แข้งมิดฟิลด์วัย 21 ปียิงประตูได้ในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด เมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว

ต่อมาเป็น สตีฟ จ็อบส์ อดีต
ประธานบริษัทแอ็ปเปิ้ล ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชื่อดังระดับโลก
ที่ถูกมะเร็งคร่าชีวิต หลังจากที่ แรมซี่ย์ ลั่นไกยิงประตู ท็อตแน่ม
ฮ็อทสเปอร์ เพียง 3 วัน ในช่วงเดือนต.ค.ปีที่แล้ว

และรายล่าสุด พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่
อดีตผู้นำลิเบีย
ก็ถูกปลิดชีพในวันรุ่งขึ้นต่อจากเกมที่อดีตดาวรุ่งคาร์ดิฟฟ์
ทำประตูโอลิมปิก มาร์เซย ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ในเดือนเดียวกัน

นอกจากนี้แล้วเรื่องลึกลับของ อารอน แรมซี่ย์
ยังมีคนโยงไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 17
กุมภาพันธ์ ในปี 2010 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,000 คน

และเป็นวันเดียวกันนี้ แรมซี่ย์ ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ลืมไม่ลงในฐานะนักฟุตบอลเพราะโดน ไรอัน ชอว์ครอสส์ กองหลังจอมโหดของ สโต๊ค ซิตี้ เสียบอย่างหนักใส่จนขาหักสะบั้นและพักยาวร่วมปี

ซึ่งมีสาวก "เดอะ กันเนอร์ส" รายหนึ่งกล่าวถึงนักเตะอาถรรพ์อย่าง แรมซี่ย์ ที่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะเกิดขึ้นถึง 4 ครั้งแล้วให้ฟังว่า "ผมค่อนข้างกังวลมากกับสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมแบบนี้และถ้าหากเขายิงประตูต่อไปได้เรื่อยๆ"














 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2555 20:42:25 น.   
Counter : 1429 Pageviews.  

สุดวาบหวาม!กับแฟชั่น แนบเนื้อของคู่เลิฟ'ซี-เอมี่'














‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม
‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม






ต้องเรียกว่าทั้ง Hot!! SWEET !! และ Sexy แบบ เต็มสตรีมส์!!จริงๆจ้า
สำหรับแฟชั่นสุดวาบหวิวของคู่เลิฟประจำวิก หมอชิต อย่าง ‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ และ แฟนสาว 'เอมี่ กลิ่นประทุม' ที่จับมือควงคู่กัน มาถ่ายแฟชั่นแนวหวาบหวิวสะท้ายทรวงลงปก นิตยสาร IMAGE ทำเอาแฟนๆถึงกับอ้า ปากค้าง

เมื่อ
เห็นแฟชั่นทั้งเซ็ท เพราะบอกได้คำเดียว ว่า หวิว และ หวาน โคตร โคตร !!
โดยเฉพาะภาพที่หนุ่มซี เกือบเปลือย และ สาวเอมี่
ก็อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสุดเซ็กซี่ ทำเอาคนดูอย่างเราๆใจสั่น
และกำเดาไหลไปตามๆกันเลยทีเดียว...







‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม
‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม








‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม
‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - เอมี่ กลิ่นประทุม








‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์
‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์








‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์
‘ซี’ ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์







ภาพจากนิตยสาร IMAGE






 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2555 20:39:44 น.   
Counter : 3915 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]