ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ค่ายรถดวลหมัดชิงตลาดอีโคคาร์ มิตซูส่งมิราจตัดหน้าสวิฟท์-นิสสันดันรุ่นลิมิเต็ดตั้งรับ





ตลาด "อีโคคาร์" ระอุ มิตซูบิชิฉวยจังหวะส่ง "มิราจ" เคาะราคาเริ่มต้น 3.8 แสน คลอดตัดหน้าซูซูกิ สวิฟท์ ด้านนิสสันลั่นยังมั่นใจ "มาร์ช-อัลเมร่า" ครองใจลูกค้าด้วยความ คุ้มค่าคุ้มราคา ฟันธงปีนี้อีโคคาร์แข่งขันสนุก ยอดขายทั้งปี ทะลุ 100,000 คัน ส่วนโตโยต้าทุ่ม 6,000 ล้าน เพิ่มกำลังผลิตเครื่องเบนซิน 100,000 เครื่องต่อปี




นายโนบุยู กิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ บริษัทฯ จะเริ่มการผลิตรถรุ่นดังกล่าว ณ โรงงานใหม่แห่งที่ 3 ในชื่อรุ่น มิตซูบิชิ "มิราจ" เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ของทั้งตลาดในประเทศและประเทศในเขตเศรษฐกิจ ใหม่ รวมถึงตลาดทั่วไป

มิตซูบิชิ "มิราจ" ได้รับการออกแบบโดยเน้น "ความกะทัดรัด" "ราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย" และ "ให้การประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม สอดคล้องกับคุณลักษณะของโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐาน สากล หรือ อีโค คาร์ ของรัฐบาลไทย ที่มี บริษัทมีแผนจะแนะนำ ในวันที่ 20 มีนาคมนี้ กับสื่อมวลชนก่อน ซึ่งเป็นการเปิดตัวก่อนค่ายคู่แข่งซูซูกิที่มีแผนจะเปิดตัวในวันที่ 21 มี.ค. ส่วนรายละเอียดและสเป็กต่าง ๆ ขณะนี้ยังไม่เปิดเผย แต่เป็นเครื่องเบนซินขนาด 1.2 ลิตรเช่นเดียวกับ นิสสัน, ฮอนด้า และซูซูกิ

ก่อน หน้านี้มิตซูบิชิเปิดเผยว่า ตั้งเป้ายอดขายมิราจไว้เดือนละ 2,000-2,500 คัน โดยอีโคคาร์มิราจจะช่วยให้มิตซูบิชิมียอดขายสูงถึง 90,000 คัน โดยรถอีโคคาร์จะส่งผลให้ส่วนต่างทางการตลาดรถยนต์มิตซูบิชิขยับจาก 7% เป็น 10% 

ด้านบริษัทซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย มีกำหนดเปิดตัวรถยนต์อีโคคาร์สวิฟท์ใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 มี.ค.นี้ที่โรงแรมดุสิตธานี และจะโชว์พร้อมกันทุกโชว์รูมทั่วประเทศไทยในวันที่ 22 มีนาคมนี้

สวิฟท์ โฉมใหม่มีให้เลือก 3 รุ่น GA, GL และ GLX ใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส K12B ขนาด 1,242 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ VVT วาล์วแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ระบบเกียร์ CVT อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ซึ่งในรุ่น GA และ GL มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา ขณะที่รุ่น GLX มีแต่เกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ซูซูกิจะเริ่มผลิตรถยนต์อีโคคาร์ทั้งสิ้น 10,000 คัน ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก และจะผลิตเพื่อการส่งออกบางส่วนไปยังประเทศในแทบภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะเริ่มส่งออกได้ราวช่วงเดือนกรกฎาคม โดยมีเป้าหมายทั้งปี 15,000 คัน 

ด้านนายประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการทำตลาดอีโคคาร์มาร์ช และอัลเมร่า ว่ายังคงได้รับการตอบรับค่อนข้างดี และแม้ว่าในเร็ว ๆ นี้จะมีคู่แข่งอีก 2 รายเข้าตลาด ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันและทำให้ อีโคคาร์เติบโตถึงระดับ 100,000 คันหรือมากกว่า ในแง่การแข่งขันนั้นนิสสัน คาดว่า 2 ค่ายที่จะส่งรถออกสู่ตลาดนั้น น่าจะใส่ออปชั่นและทำราคาออกมาให้ลูกค้าชาวไทยเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ดังนั้นประโยชน์จากการแข่งขันตรงนี้จะส่งผลไปยังกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง และทำให้ลูกค้าได้ซื้อได้ใช้รถยนต์ในราคาที่สมเหตุสมผล

"หากคิดโดย หลักสถิติย้อนหลังแล้ว สินค้าหมวดไหนที่มีผู้เล่นเยอะย่อมเกิดการแข่งขัน ทำให้เกิดการพัฒนาและตลาดโตขึ้น ส่วนเราคงไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเพราะตอนนี้มาร์ชก็มียอดขายหลายหมื่นคัน ล่าสุดส่งอัลเมร่าออกสู่ตลาดเราก็มียอดจองเกือบ ๆ ครึ่งแสนแล้ว" นายประพัฒน์กล่าว

สำหรับแผนการทำตลาดของนิสสัน มาร์ช และอัลเมร่า ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นจุดขายของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นคือ มาร์ช ที่มีจุดขายเรื่องการดีไซน์ รูปร่างหน้าตา และความกว้างขวาง ขณะที่อัลเมร่าเน้นความเป็นรถซีดานเพื่อครอบครัวที่มีความกว้างขวางเช่นเดิม แต่สำหรับนิสสัน มาร์ชอาจจะมีลูกเล่นและสีสันการตลาดออกมา โดยบริษัทมีแผนจะส่งรถนิสสัน มาร์ช รุ่นพิเศษ หรือสีพิเศษออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 2 ปีนิสสัน มาร์ช และอาจจะมีการเพิ่มออปชั่นพิเศษด้วย ขณะที่แคมเปญหรือโปรโมชั่นส่งเสริมการขายนั้น เชื่อว่าดึงดูดใจลูกค้าดีอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน นิสสัน ลีสซิ่งเองก็ได้พยายามนำเสนอเงื่อนไขเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทั้งนี้จะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมกับมียอดขายมากกว่า 80,000 คันไปแล้ว แบ่งเป็นนิสสัน มาร์ช ปี 2553 จำนวน 27,000 คัน ปี 2554 จำนวน 50,000 คัน และนิสสัน อัลเมร่า 10,000 คัน ในช่วงที่ผ่านมายังมียอดค้างส่งอีกประมาณ 10,000 คัน โดยปีงบประมาณนี้นิสสันตั้งเป้า ยอดการ จำหน่ายนิสสัน มาร์ช และอัลเมร่ารวมกัน 50,000 คัน 

นอกจากนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแผนเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์เบนซิน ZR สำหรับรถยนต์โตโยต้า โคโรลล่าอีกจำนวน 100,000 เครื่องต่อปี ด้วยเงินลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 200 อัตรา ในบริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด นอกจากนี้ยังเพิ่มสายการผลิตการหล่ออะลูมิเนียมอีกด้วย โดยคาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2557 

ปัจจุบันความต้องการ ของลูกค้าในตลาดรถยนต์นั่ง (passenger car) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีแนวโน้มสูงขึ้น การขยายเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้ส่งผลให้กำลังการผลิตของสยาม โตโยต้าฯจะเพิ่มขึ้นเป็น 840,000 เครื่องต่อปี หรือประมาณ 10% ของการผลิตรวมของโตโยต้าทั่วโลก 

บริษัทยังมีแผนการส่งออกเครื่อง ยนต์เบนซิน ZR ไปยังกลุ่มโตโยต้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้กับประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี อนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่ารถยนต์อีโคคาร์ของค่ายโตโยต้าที่จะออกสู่ตลาดอย่างเป็น ทางการราวปี 2556 นั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาจากโรงงานแห่งนี้ ด้วย



Create Date : 05 มีนาคม 2555
Last Update : 5 มีนาคม 2555 15:17:25 น. 0 comments
Counter : 1705 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]