ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #3 วัดเซนโซจิ, Tokyo DisneySea
เช้าวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้ากว่าๆเลย อาการเจ็บคอและน้ำมูก ก็ไม่ค่อยมีแล้ว (สงสัยเพราะอัดยามาเต็มที่ และนอนอัดมาเยอะมาระหว่างเดินทาง) เช้าวันนี้เป็นวันเดียวที่มีเวลาเที่ยวได้เต็มวันครับ เดี๋ยวเราจะออกไปถ่ายรูปกับอาคารเบียร์อาซาฮี และ Tokyo Skytree กันครับ 
โฮสเทลที่ผมเลือกเข้าพักก็คือ Khaosan Tokyo Original ครับ ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าใกล้กับประตูสายฟ้าคามินาริมอน และวัดเซนโซจิมากๆ แถมยังเห็นวิวของ Tokyo Skytree กับอาคารเบียร์อาซาฮีอีก ถือว่าเป็นการเที่ยวรอบๆที่พักแบบรวบรัดไปเลยละกันครับ 
เดินออกมาจากซอยของที่พัก ก็จะเจอทางเข้ารถไฟสาย Ginza Line ตรงนี้คือ Exit 4 ที่เราออกมาเมื่อคืนน่ะเองครับ 
เมื่อมองออกไป ก็จะเจอกับอาคารที่มีรูปร่างสีทองเหมือนฟองเบียร์ที่ล้นออกจากแก้ว นั่นคือ อาคารสำนักงานใหญ่ของเบียร์อาซาฮีนั่นเองครับ ตัวอาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อ Phillippe Starck ครับ
สำหรับอาคาร Tokyo Skytree เป็นอาคารเพื่อส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์แห่งใหม่ครับ ที่ใช้แทน Tokyo Tower ที่มีอาคารสูงๆบดบังการส่งสัญญาณทำให้การทำงานของอาคารเดิมลดประสิทธิภาพลง ใจผมน่ะอยากขึ้นไป Tokyo Skytree มากๆ แต่ด้วยเวลาจำกัดจริงๆครับ 

แม่น้ำที่เห็นก็คือ แม่น้ำ Sumida ที่มีเรือให้บริการชมวิว และสามารถไปลงที่โอไดบะได้ด้วยครับ
เดี๋ยวเราจะเดินไปยังประตูสายฟ้ากันครับ ให้เดินผ่านร้าน Burger King's แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนครับ 
เดินไปเล็กน้อยก็จะเจอประตูสายฟ้าที่ฝั่งตรงข้ามแล้วล่ะครับ 


ประตูสายฟ้าคามินาริมอน มีลักษณะเด่นก็คือ โคมไฟยักษ์ที่สูงถึง 4 เมตร (หนักกว่า 670 กก.) ด้านหน้าเขียนด้วยอักษรคันจิ เป็นชื่อของประตู Kaminarimon ข้างประตูทั้งสองข้างคือ เทพแห่งสายลม ฟูจิน และเทพแห่สายฟ้า ไรจิน ที่คอยดูแลรักษาวัด สำหรับด้านหลังของโคมไฟ จะเขียนด้วยอักษรคันจิ เป็นชื่อเก่าของประตู นั่นคือ Furaijinmon ครับ 

สำหรับถนนทางเข้าวัดเซนโซจิ ก็คือถนนนากามิเซะ ที่รวบรวมร้านค้าต่างๆย้อนยุคเอโดะ ในระยะทาง 250 เมตรนี่ก็มีร้านค้าร่วมร้อยร้านเลยล่ะครับ แต่ว่าแวะมาเดินแต่ตอนเช้าๆอย่างนี้ ร้านค้ายังไม่เปิดเลย แต่ได้บรรยากาศคนญี่ปุ่นหลายๆคนมาวิ่ง มาเดินออกกำลังกาย แถมพาน้องหมาออกมาเดินเล่นกันไปด้วยแทนครับ 

เดินมาไม่ไกลนักก็จะถึงวัดเซนโซจิกันแล้วครับ 

วัดเซนโซจิเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียวครับ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.645 ด้านหน้าก็คือประตู Hozomon 
วิธีไหว้พระขอพร ในวัดญี่ปุ่นทั่วๆไปก็จะเริ่มจากการล้างมือ ป้วนปาก ชำระร่างกายตรงบ่อน้ำทางเข้าวัด ตามรูป ก็จะให้เราใช้มือขวาตักน้ำล้างมือซ้าย แล้วใช้มือซ้ายถือกระบวยตักน้ำล้างมือขวาบ้าง แล้วใช้มือขวาตักน้ำใส่มือซ้ายเพื่อบ้วนปากอีกครั้ง ก่อนจะวางกระบวยเก็บ 

ต่อไปก็เป็นการโบกควันจากกระถางธูปเข้าหาตัวเราครับ นำโชคลาภและสุขภาพดีไปกับตัวเรา (ตอนเช้า คนเพิ่งมาไหว้ไม่กี่คน ควันน้อยไปหน่อยครับ) 
ต่อไปก็ขึ้นมาไหว้องค์พระประธานครับ แล้วโค้งคำนับ เขาว่าให้โยนเหรียญ 5 เยนลงในกล่องบริจาคด้วย (เพราะเหรียญ 5 เยน ออกเสียงว่า go-en พ้องเสียงกับคำว่า ผูกพัน เขาว่ากันว่า เราจะได้ผูกพันกับพระพุทธเจ้า)
แต่ผมไม่มีเหรียญ 5 เยน เลยโยนเหรียญ 10 เยนลงไป นี่จะผูกพัน 2 เท่าเลยไหมเนี่ย
หลังจากนั้นก็ โค้งคำนับสองครั้ง ปรบมือสองครั้ง ก่อนที่จะตั้งจิตอธิฐานขอพร แล้วโค้งคำนับ จบครับ 

น้องหมาเรียบร้อยมาก รอคุณยายที่มาไหว้พระ 
ถ้าใครเสี่ยงเซียมซี ก็สามารถรับคำทำนายได้ในราคาใบละ 100 เยนครับ แต่ถ้าใครได้คำทำนายไม่ดี ก็สามารถแก้เคล็ดได้โดยผูกคำทำนายทิ้งไว้ที่วัดก็ได้ครับ 
นอกจากนี้ยังมีร้านขายพวกเครื่องรางพกติดตัวสไตล์ญี่ปุ่นหลากหลายแบบครับ แต่มาเช้ายังงี้ ยังไม่มีส่วนไหนเปิดเลย 
เก็บบรรยากาศรอบๆวัดกันหน่อยครับ 






เดินย้อนกลับมาที่ทางเข้าสถานีรถไฟทางเดิมครับ จะมีร้านอาหารหลายร้านที่เปิดแล้วล่ะครับ ผมเลยเลือกร้านตรงหัวมุม ที่มีตู้หยอดเหรียญหน้าร้าน ผมเลือกเป็นเมนูที่ 9 ครับ (ที่แนะนำด้านบนเลย) ก็ใส่แบงค์เข้าไป 1000 เยน เครื่องก็ทอนเงินมา 500 เยนพร้อมกับตั๋วอาหารที่เราสั่ง แล้วเราก็เข้าไปในร้าน เอาตั๋วนี่ให้คุณลุงที่ทำอาหารอยู่ได้เลยครับ 


เป็น 500 เยนที่คุ้มค่ามาก แค่ข้างแกงกะหรี่ก็อิ่มแล้วล่ะครับ นี่มาคู่กับโซบะ อีก ชามหลังนี่ผมทานไม่หมดเลยนะครับ รู้สึกผิด สำหรับน้ำดื่มบริการตัวเองได้เลยครับ มีแก้วตั้งไว้ด้านหน้า และกระติกน้ำร้อน เหยือกน้ำเย็น 

อิ่มเรียบร้อยกันแล้ว เดี๋ยวเราจะไปตะลุย Tokyo DisneySea กันครับ
ตอนนี้เราอยู่ที่สถานี Asakusa บน Ginza Line เราก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Ueno (160เยน) ที่สถานี Ueno เราจะต่อรถไฟสาย JR Yamanote Line เพื่อไปยังสถานี Tokyo (160เยน) และที่สถานี Tokyo เราจะใช้รถไฟสาย JR Keiyo Line หรือ JR Musashino Line เพื่อไปลงที่สถานี Maihama (210เยน)
วันนี้เราจะไป DisneySea พอออกจากสถานี Maihama ให้เลี้ยวซ้ายเลยครับเพื่อต่อรถไฟของดีสนีย์ 
สำหรับการเดินทางภายในโครงการ Tokyo Disneyland resort จะมีรถไฟฟ้าโมโนเรลสำหรับเดินทางภายในครับ ค่าโดยสารก็ค่อนข้างแพง (เพราะลงทุนสร้างเองเลย) อยู่ที่เที่ยวละ 250 เยน (เด็กอายุต่ำกว่า 11 ขวบ 130 เยน) สำหรับคนที่จะเที่ยว Tokyo Disneyland ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถไฟฟ้านี้หรอกครับ เพราะจากสถานีรถไฟ Maihama จะมีทางเดินเชื่อมมาถึงด้านหน้าสวนสนุกอยู่แล้ว (ประมาณ 300-400 เมตร) แต่การจะไปเล่น Tokyo DisneySea นี่ ถ้าเดินไปก็จะร่วมหนึ่งกิโลเมตรได้ครับ แนะนำให้เซฟแรงขา แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่าครับ 
สำหรับคนที่คิดจะกลับมาเก็บเครื่องเล่นทั้งสองสวนสนุก (อย่างผม) แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋ววันเลยครับ ในราคา 650 เยน (เด็ก 330 เยน) หรือใครอยากได้บัตรรถไฟเป็นที่ระลึกน่ารักแบบนี้ ถ้าไป-กลับ DisneySea ก็ 250x2=500 เยนแล้วครับ ซื้อตั๋ววันไปเลยก็นึกว่าซื้อบัตรที่ระลึกก็ได้ครับ 
เตรียมขึ้นรถไฟกันครับ 

ดูคิวคนที่รอจะเข้า Tokyo Disneyland กันซะหน่อยครับ เยอะมากกกก 
แป๊ปเดียวก็ถึงด้านหน้า Tokyo DisneySea ครับ คิวด้านหน้าก็เยอะไม่แพ้กันครับ ตั้งแต่คิวรอซื้อตั๋ว คิวรอเข้าสวนสนุก ดีที่ผมเตรียมตัวซื้อตั๋วมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว 

เอาราคาตั๋วมาบอกกันอีกทีละกันครับ 
หลังจากที่ Tokyo Disneyland ได้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1983 ก็ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง จึงเกิดความคิดที่จะเปิดสวนสนุกเพิ่มในพื้นที่ที่เหลืออยู่ จึงเกิดโครงการ Tokyo DisneySea ขึ้นมาครับ โดยเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2001 โดยใช้ธีมของทะเลและชายฝั่งต่างๆทั่วโลกมารวมเอาไว้ ปัจจุบัน Tokyo DisneySea ได้แบ่งออกเป็น 7 โซนได้แก่ Mediterranean Harbor, Mysterious Island, American Waterfront, Port Discovery, Lost River Delta, Arabian Coast และ Mermaid Lagoon 
Mediterranean Harbor ท่าเรือเมดดิเตอร์เรเนียน ที่เป็นทางเข้าสู่สวนสนุกนอกจากเป็นแหล่งรวมร้านค้าของฝาก ของที่ระลึกแล้ว ยังมีโรงแรม Hotel MiraCosta ตั้งอยู่ด้านหน้าด้วยครับ 


ตรงท่าเรือ Mediterranean นี้นอกจากท่าเรือใหญ่ที่จะเป้นการแสดงโชว์หลักด้านหน้า ยังมีภูเขาไฟ Mount Prometheus ตั้งอยู่ตรงกลาง (เปรียบเหมือนกับปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงกลางของ disneyland น่ะเองครับ) แถมเจ้าภูเขานี่ เดี๋ยวก็มีลาวาไหล เดี๋ยวก็มีเสียงร้องคำราม ต้องคอยสังเกตุกันดีๆครับ 
สำหรับเครื่องเล่นในโซนนี้ จะเป็นการนั่งเรือ ล่องเรือครับ ตั้งแต่
- DisneySea Transit Steamer Line เป็นเรือกลไฟลำใหญ่ที่แล่นรอบหาด 
- Venetian Gondolas นั่งเรือกอนโดล่า แบบในเมืองเวนิช แต่ว่าเป็นหมู่คณะมากกว่า 
- Fortress Explorations เข้ามาสำรวจภายในป้อมปราการ และเรือใบที่อยู่ในอ่าวครับ 
Mysterious Island ตรงกลางของ DisneySea จะเป็นเกาะลี้ลับที่มี Mount Prometheus ตั้งอยู่ และมีเครื่องเล่นที่ให้เราได้เข้าไปสำรวจใต้โลก และใต้สมุทร ได้แก่
Journey to the Center of the Earth ด่ำดิ่งลงไปสำรวจใต้โลกกับยานที่ออกแบบโดยกัปตันนีโม่กันครับ 


20,000 Leagues Under the Sea หลังจากที่ไปสำรวจใต้โลกกันแล้ว คราวนี้มานั่งเรือดำน้ำลำเล็กเพื่อลงไปสำรวจโลกใต้สมุทรกันบ้างครับ 



ทั้งสองเครื่องเล่นนี้ สามารถใช้ FastPass ได้นะครับ แต่แนะนำให้กดใช้กับ Journey to the Center of the Earth ดีกว่าครับ เพราะสนุกกว่ากันมา อันหลังออกจะเป็นการนั่งชมวิวเฉยๆ
แล้ว FastPass คืออะไร FastPass คือการกดบัตรคิวเพื่อจองเครื่องเล่นไว้ล่วงหน้าน่ะครับ โดยเราจะต้องใช้บัตรผ่านประตูของเรา นำไปสอดใส่เครื่องสำหรับกด FastPass (ที่ญี่ปุ่นนี่เป็นการ scan บัตรที่เครื่อง) แล้วเราจะได้บัตร FastPass ออกมาครับ ในบัตรก็จะบอกเวลาที่ให้เราย้อนกลับมาเล่นที่เครื่องเล่นนี้ว่าต้องมาเวลาเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาเราก็จะสามารถลัดคิวเข้าไปเล่นได้เลยครับ นอกจากนี้ในบัตรยังจะบอกเวลาที่ให้เราไปกดคิว FastPass ได้อีกครั้งตอนกี่โมงด้วย ดังนั้นเก็บบัตรนี้ไว้ให้ดีครับ 
แต่สำหรับวันที่ผมไปเล่นนี่ คนเยอะมาก ผมสามารถกดใช้ FastPass ได้แค่ 2 เครื่องเล่นเอง นั่นคือ Journey to the Center of the Earth กับ Tower of Terror เพราะหลังบ่ายโมง เครื่องกด FastPass ก็ปิด ไม่ให้เราเข้าไปกดบัตรคิวล่วงหน้าแทบจะทุกเครื่องแล้วล่ะครับ เพราะคนเยอะมาก คิวล่วงหน้านี่ยาวไปถึงสามทุ่มแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับ การได้เล่นเครื่องเล่นไวๆนอกจากใช้ FastPass แล้ว เรายังสามารถใช้สิทธิ Single Riders ได้อีกด้วยครับ (ซึ่งไม่ต้องกดบัตรอะไร แถมคิวยังไวกว่ากันมากๆ)
American Waterfront มาถึงโซนชายฝั่งอเมริกัน ที่มีเครื่องเล่นยอดนิยม และคิวยาวมากที่สุดเลยล่ะครับ
ถึงแม้ว่า Tokyo Disneyland และ DisneySea ไม่มีโซน Toy Story Land เหมือนอย่างที่ฮ่องกงและปารีส แต่ก็มีมุมเล็กๆ (แต่คิวยาว) อย่าง Toyville Trolley Park อยู่ในโซน American Waterfront ครับ ซึ่งเหมือนกับเป็นหมู่บ้านของคาวบอยวู๊ดดี้และเพื่อนๆของเล่นในห้องของแอนดี้ครับ 

American Waterfront มาถึงโซนชายฝั่งอเมริกัน ที่มีเครื่องเล่นยอดนิยม และคิวยาวมากที่สุดเลยล่ะครับ
ถึงแม้ว่า Tokyo Disneyland และ DisneySea ไม่มีโซน Toy Story Land เหมือนอย่างที่ฮ่องกงและปารีส แต่ก็มีมุมเล็กๆ (แต่คิวยาว) อย่าง Toyville Trolley Park อยู่ในโซน American Waterfront ครับ ซึ่งเหมือนกับเป็นหมู่บ้านของคาวบอยวู๊ดดี้และเพื่อนๆของเล่นในห้องของแอนดี้ครับ 

กว่าผมจะได้เล่นก็ต้องยอมมาต่อคิวช่วงสามทุ่มน่ะครับ แถมกว่าจะได้เล่นก็สี่ทุ่มกว่าๆไปแล้ว 

มันคือเกมส์ยิงเป้าแบบ interactive และ 3 มิติครับ คือเราจะใส่แว่นสามมิติ เพื่อเข้าไปในฉากต่างๆของเกมส์ เพื่อยิงทำคะแนนแข่งกับเพื่อน แถมแต่ละฉากก็มันส์และเล่นกับฉากแบบสามมิติได้ดีครับ ถือเป็นการรอคิวชั่วโมงกว่าๆที่ถือว่าคุ้มค่าอยู่ครับ 

บริเวณรอบๆก็จะประกอบไปด้วย 


นอกจากนี้ยังมีซุ้มเครื่องเล่น ในสไตล์สวยสนุกคานิวัลแบบอเมริกันด้วยครับ 


American Waterfront เข้ามาโซนชายฝั่งอเมริกันกันจริงๆซะทีครับ ด้านหน้าก็จะเป็นการตกแต่งเหมือนนิวยอร์คในอดีต 

เราจะพบกับรถไฟ DisneySea Electric Railway ที่ใช้เชื่อมระหว่างโซน American Waterfront กับโซน Port Discovery ซึ่งรถไฟสายนี้มีประโยชน์มากๆสำหรับผมครับ เนื่องจากเครื่องเล่นคิวยาวๆมักจะอยู่โซนอเมริกัน เราสามารถนั่งรถไฟจากสถานีข้างใน (เพราะคิวไม่ถึงสิบนาที) เพื่อออกมาเล่นหรือชมการแสดงที่โซนนี้สะดวกครับ ไม่ต้องเปลืองแรงวิ่งหรือเดินออกมาด้วยครับ อย่างผมใช้ไป 4 เที่ยวเลย 



Big City Vehicles เป็นรถชมวิวรอบๆเมืองนิวยอร์กครับ 
Broadway Music Theatre โรงละครที่มีโชว์ของวง Big Band Beat เป็นวงแจ๊สสวิงพร้อมกับนักร้องและมีการแสดงบนเวทีร่วมกับตัวการ์ตูนของดีสนีย์ครับ 


ด้านหน้าของ Tower of Terror ยังเป็นลานน้ำพุ Waterfront Park ให้เด้กๆได้เล่นน้ำกันด้วย 

Tower of Terror เครื่องเล่นระทึกใจอีกชิ้นหนึ่งครับ ให้เราเข้าไปในโรงแรมร้าง ที่อดีตเจ้าของโณงแรมเป็นนักสำรวจและชอบสะสมของเก่า แล้วมาวันหนึ่งเขาได้นำตุ๊กตาเครื่องรางจากแอฟริกามาไว้ที่โรงแรม แต่เจ้าตุ๊กตาเครื่องรางนั้นกลับเอาชีวิตของทุกคนในโรงแรมไป 



ผ่านห้องที่เล่าตำนาน แล้วเราจะได้เข้าไปในลิฟต์ของโรงแรมครับ ก่อนที่เราจะเคลื่อนขึ้นด้านบน ก่อนที่ลิฟต์จะตกลงมาให้ระทึกใจครับ

บรรดาเหล่าตัวการ์ตูนออกมาถ่ายรูปกับคนที่มาเที่ยวครับ 



ทางด้านเรือลำใหญ่อย่าง S.S.Columbia นอกจากจะเป็นภัตตาคารแล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีเครื่องเล่นอย่าง Turtle Talk ที่เป็นตัวเต่าทะเลออกมาคุยและทักทายคนในห้อง (แบบ interactive) แล้วพาเราออกไปสำรวจทะเล เป็นเครื่องเล่นที่คิวยาวมากเหมือนกันครับ (ร่วมชั่วโมง) เพราะเป็นเครื่องเล่นเหมาะกับเด็กๆที่มาพร้อมพ่อแม่ผู้ปกครอง แถมเป็นภาษาญี่ปุ่นซะด้วยนะ 

อีกมุมหนึ่งของเรือ S.S.Columbia ก็ยังเป็นเวทีการแสดงกลางแจ้ง Dockside Stage ที่มีการแสดงที่นำทีมโดย ลูมิแอร์ (เชิงเทียนจากเรื่อง Beauty And the Beast) มากับเพลง Be Out Guest ภาคภาษาญี่ปุ่น และมีกู๊ฟฟี่และคนอื่นๆมาโซโล่เต้นร่วมกับอาหารญี่ปุ่นต่างๆครับ 


ผ่าน Cape Cod ก็จะออกไปสู่โซน Port Discovery ครับ 

Port Discovery ท่าเรือแห่งการค้นพบและการสำรวจครับ 
นอกจากรถไฟที่เชื่อมกับท่าเรืออเมริกันแล้ว เครื่องเล่นอีกสองชิ้นในโซนนี้ก็สนุกมากๆครับ 

StormRider นั่งยานสำรวจเข้าไปในพายุกันเลยครับ จะคล้ายกับการนั่งชมหนังแบบสี่มิติน่ะแหละครับ แต่เก้าอี้โยกสั่นกว่ามากๆ เสียอย่างเดียวที่ถ้าต้องรอคิวด้านหน้านี่ร้อนมากๆครับ เพราะให้รอคิวด้านนอกที่แดดเปรี้ยงๆนี่เลย 
ห้อง build อารมณ์ที่เล่าถึงยานและภารกิจที่เราจะต้องขึ้นไปสำรวจวันนี้ 

Aquatopia มานั่งเรือในอนาคต ที่สามารถขับเคลื่อนไปด้วยตัวเองได้ครับ แถมเจ้าเรือนี่ เดี๋ยววิ่งใส่น้ำวน วิ่งใส่น้ำพุ เรียกว่าเปียกไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ แล้วแต่ดวงจริงๆ แต่สนุกดีครับ 
Lost River Delta บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำในป่าของทวีปอเมริกากลางที่มีแหล่งอารยธรรมโบราณซ่อนตัวอยู่ เครื่องเล่นในโซนนี้นอกจากจะระทึกใจ ใช้ FastPass ได้ ยังเป็นสองเครื่องเล่นที่ใช้สิทธิ Single Riders ได้อีกด้วยครับ ทำให้เราสามารถเก็บเครื่องเล่นในโซนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
แวะที่โรงละคร Hangar Stage กันก่อนครับ 
จะเป็นการแสดงในธีมป่า ที่ใช้ผีเสื้อตัวหนึ่งเป็นตัวดำเนินเรื่องครับ ว่าไปเจอกับสัตว์ต่างๆและเทพที่ดูแลรักษาป่า เจอทั้งไฟ ทั้งฝนครับ (การแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนครับ แต่ก้เข้าใจได้ด้วยภาษากายและการแสดงครับ) 


เดี๋ยวเราไปเล่นเครื่องเล่นกันครับ 


Indian Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull นั่งรถผจญภัยไปกับอินเดียน่า โจนส์ เพื่อตามหาหัวกะโหลกคริสตัลเหมือนในภาพยนตร์ครับ 


Raging Spirits รถไฟเหาะที่วิ่งในรางไม้ ที่แอบตีลังกาหนึ่งรอบก่อนจบด้วยครับ 

ทั้งสองเครื่องเล่นนี้ ถ้าเรามาคนเดียว (หรือแยกกันเข้ามาเล่นคนเดียว) เราสามารถเข้าแถวของ Single Riders (แถวกลาง ไม่มีคนเลย) ได้ครับ คิวสั้นกว่าคนที่กด FastPass (ช่องซ้าย) เข้ามาซะด้วยซ้ำครับ ส่วนช่องขวาคือแถวที่รอคิวธรรมดาครับ 
สุดท้ายคือ DisneySea Transit Steamer Line เรือที่ล่องชมวิวในโซนนี้ครับ 
Arabian Coast ชายฝั่งอาหรับ สำหรับคนที่ชื่นชอบตำนานอาหรับไม่ว่าจะเป็นอะลาดินหรือซินแบดครับ เป็นโซนนี่อยู่ลึกเข้ามาหน่อย คิวคนเล่นเลยไม่เยอะมากเท่าไหร่ รอคิวไม่ถึง 20 นาทีดีครับ 

เพิ่งก็เพิ่งได้รองท้องด้วย pop corn รสแกงกะหรี่ ที่โซนนี้นะครับ ทั้งๆที่ตู้ขาย pop corn มีกระจายอยู่ทั่วไปในสวนสนุกแต่คิวคนซื้อก็เยอะมากครับ 
popo corn ราคาปกติก็ 300 เยนต่อกล่อง (อย่างน้อยๆมันก็ถูกกว่า pop corn ของ major cineplex) ถ้าใครอยากได้เป็นกล่องตัวการ์ตูน (ซึ่งมารีฟิลทีหลังได้ในราคาพิเศษอีก) ก็ 1800 เยนครับ รีฟิลอีกครั้งละ 500 เยน 

Jasmine's Flying Carpets นั่งพรมวิเศษและเหาะไปกับเจ้าหญิงจัสมินครับ 

Sindbad's Storybook Voyage ออกเรือไปกับซินแบดและเจ้าเสือน้อยคู่ใจกันครับ แล้วร่วมผจญภัยไม่ว่าจะเจอกับคนป่า ปิศาจและยักษ์ ก่อนที่จะนำสมบัติกลับมายังหมู่บ้านของตนครับ 


เดี๋ยวเราจะไปดูหนังสามมิติกันบ้างครับ ด้านหน้าก็มีวงดนตรีมาเล่นโชว์ 

The Magic Lamp Theater โรงละครในตะเกียงวิเศษของยักษ์จินนี่ ซึ่งใช้การแสดงของคนจริงๆด้านหน้า ร่วมกับภาพบนจอหนังที่เป็นสามมิติ เล่าเรื่องของจินนี่ก็ยังตกอยู่กับนักมายากลเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง โดยช่วงเล่นกลนี้เอง จินนี่ก็แกล้งและป่วนนักมายากลเจ้าเล่ห์นี้คืนบ้างน่ะครับ 


และเครื่องเล่นสุดท้ายในโซนนี้ Caravan Carousel ม้าหมุนสองชั้นสไตล์อาละดิน 

Mermaid Lagoon จำลองบรรยากาศมาจากเรื่อง Little Mermaid เหมือนเมืองใต้บาดาล ของเงือกน้อยแอเรียลครับ โซนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสวนสนุกในร่มที่เย็นสบายครับ จะมีเพียงสองเครื่องเล่นที่อยู่ด้านนอกครับ 
Flounder's Flying Fish Coaster นั่งรถไฟเหาะที่น่ารักของปลาการ์ตูนอย่างฟาวเดอร์ 

Scuttle's Scooters นั่งม้าหมุนที่เป็นบรรดาสัตว์ทะเลไม่ว่าจะเป็นหอย ปู ปลา 

แล้วเราก็เข้ามาในโดมด้านในกันครับ 



สิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับโดมด้านในก็คงจะเป็น Mermaid Lagoon Therter ครับ ที่เป็นการแสดงของแอเรียลเงือกสาวที่ใช้คนแสดงๆจริงๆ ที่นำเพลงและเนื้อเรื่องจากภาพยนตร์มาเล่าในรูปแบบละครครับ 

ด้านในโรงละคร เวทีตรงกลาง ที่นั่งชมทั้ง 360 องศาเลยครับ 


Jumpin' Jellyfish นั่งกระเช้าแมงกะพรุนกันครับ 
Blowfish Balloon Race 

The Whirlpool อ่าวน้ำวนที่เป็นถ้วยหมุนนั่นเอง 
Ariel's Playground สวนสนุกของเจ้าหญิงแอเรียลที่เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ 


เล่นสนุกจนเพลินลืมหิวไปเลยล่ะครับ กว่าผมจะได้หาอะไรทานเป็นมื้อกลางวันก็เลยไปถึงบ่ายสี่โมงแล้วน่ะครับ ผ่านไปยัง American Waterfront พอดี เลยหาอะไรรองท้องเป็นแซนวิชกับแรตทาทูอี้สลัดครับ มื้อนี้ประมาณ 1200 เยนครับ 


ผมกำลังจะข้ามฝั่งกลับไปเล่นเครื่องเล่นที่ Disneyland น่ะครับ แต่ก็ยังทันโชว์ The Legend of Mythica บริเวณด้านหน้า Mediterranean Harbor อยู่ครับ ในรอบ 16.30 


ยังเจอกระรอกสาวด้านหน้าทางออกมาทักทายแฟนๆด้วย 
ตอนสามทุ่ม ผมยังกลับเข้ามาเล่น Toy Story Mania! นะครับ ถึงแม้จะต้องรอคิวถึงชั่วโมงกว่า ทำให้ออกมาจากเครื่องเล่นสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว ทิ้งบรรยากาศยามค่ำคืนของ Tokyo DisneySea เอาไว้ตรงนี้ก็แล้วกันครับ 


ขนาดสี่ทุ่มครึ่งแล้ว Mount Prometheus ยังคงพ่นลาวาและร้องคำรามอยู่เลยครับ เหนื่อยแต่มีความสุขมากๆครับ (ก่อนที่จะไปปวดขาในวันพรุ่งนี้) เหลืออีกตอนเดียวก็จะจบทริปนี้แล้ว อย่าลืมติดตามนะครับ
Create Date : 14 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 14 สิงหาคม 2556 6:59:19 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3855 Pageviews. |
 |
|
เพลินกับภาพเลยค่ะ
ชอบๆ การเที่ยวคนเดียวแบบนี้จังค่ะ
ว่าแล้วขออนุญาตแอคลงเฟรนลิงค์