Group Blog
 
All Blogs
 
ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #4 Shibuya, สะพาน Nijubashi, Narita Express

วันสุดท้ายของทริปสั้นๆทริปนี้กันแล้วครับ สำหรับวันนี้เรามีเวลาประมาณครึ่งวันเช้า ก่อนที่จะไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับในเวลา 16.00 น.ครับ ผมวางแผนแค่จะไปเดินเล่นแถบชิบูย่า ก่อนจะเที่ยวรอบๆสถานีรถไฟโตเกียว ซึ่งจะมีพระราชวังอิมพีเรียลอยู่ใกล้ๆกัน แล้วก็ขึ้นรถไฟ Narita Express ตรงจากสถานีโตเกียว ไปยังสนามบินนาริตะเลย



จากที่พักของผมที่สถานี Asakusa ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza Line มาจนสุดสายทางฝั่ง Shibuya ครับ (ประมาณ 23 สถานี ใช้เวลาไม่ถึงครึ่ง ชม.ครับ) ค่าโดยสาร 230 เยน

เป้าหมายของเราคือ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ ที่อยู่ตรงห้าแยกชิบูยะครับ มองหาป้าย Hachiko ได้เลย (ออกจากรถไฟให้มองทางขวาได้เลยครับ) หรือหาทางไปยังห้างโตคิว






ฮาจิโกะเป็นสุนัขสายพันธ์อากิตะ ซึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 1923 ในจังหวัดอากิตะ โดยเมื่ออายุได้เพียง 2 เดือนเจ้าฮาจิโกะถูกส่งตัวไปอยู่กรุงโตเกียวกับเจ้านายของมันคือ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) ศาสตราจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน) ซึ่งศาสตราจารย์รู้สึกภาคภูมิใจกับเจ้าฮาจิโกะเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นสุนัขอากิตะสายพันธุ์แท้ซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น

 ในทุกๆวันที่นายต้องไปสอนหนังสือ ฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน โดยอุเอะโนะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ จากนั้นเมื่อถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว เจ้าฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟชิบุยะอยู่เสมอ


จนวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม 1925 ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น ฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว เนื่องจากเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ


หลังจากที่ศาสตราจารย์อุเอะโนะเสียชีวิต ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้านไปและนำเจ้าฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่ อยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟหลายกิโลเมตร แต่ว่าเจ้าสุนัขพันธุ์อากิตะผู้ซื่อสัตย์กลับไม่ยอมอยู่กับเจ้านายใหม่ของมัน เพราะทันทีที่มันหนีหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมันแต่เมื่อไม่เจอใคร มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่ โดย คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลเจ้าฮาจิโกะแทน

ทุกวันพอถึงเวลา 15.00 น. เจ้าฮาจิโกะก็จะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟไม่เคยขาด ทุกครั้งที่รถไฟเข้า มันก็จะชูคอชะเง้อมองหานายของมัน ทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมเช่นทุกๆ วัน ปฏิบัติแบบนั้นตลอดระยะเวลา 10 ปี หลายคนสงสัยว่าเพราะมันหิวอาหารหรือเปล่า มันจึงมาที่เดิมทุกวัน แต่เมื่อดูพฤติกรรมอย่างถ่องแท้แล้ว มันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะการชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอด จึงไม่ใช่การมาเพื่อหาอาหารกินแน่ๆ ทำให้เรื่องราวความซื่อสัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของ ญี่ปุ่นในปี 1932 ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดู มาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย





ชื่อเสียงความภักดีของฮาจิได้รู้ไปถึงพระราชินีญี่ปุ่น พระองค์จึงได้ทรงให้ช่างหล่อรูปทองแดง ฮาจิโกะ ขึ้น ในเดือนเมษายน 1934 โดย อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดัง เพื่อยกย่อง และนำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 มีนาคม 1935 มีคนพบว่าฮาจิโกะนอนตายยังจุดที่มันคอยมารอเจ้านายของมัน ที่ทำมาทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก จนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น สำหรับร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว


และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เหล็กและโลหะเป็นอย่างมาก จนถึงกับต้องเอารูปหล่อของเจ้าฮาจิโกะมาหลอมเลยทีเดียว กระนั้นความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะยังคงไม่เคยถูกลืมไปจากใจชาวญี่ปุ่น เพราะในเวลาต่อมาได้มีการจัดทำรูปหล่อของฮาจิโกะขึ้นมาอีกครั้งในเดือน สิงหาคม 1947 และศิลปินผู้รับหน้าที่นี้ก็คือ อันโดะ ทะเคะชิ ลูกชายของ อันโ ดะ เทะรุ ผู้ที่ทำหน้าที่สร้างรูปหล่อฮาจิโกะเมื่อครั้งแรกนั้นเอง ซึ่งปัจจุบันจุดที่รูปหล่อฮาจิโกะตั้งอยู่นั้นได้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยม ของย่านชิบูยะ


สำหรับเรื่องราวของฮาจิโกะได้นำออกมาสร้างเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นมาแล้ว และฮอลลี่วู๊ดก็ได้นำไปสร้างอีกครั้งในชื่อ Hachi โดยมีริชาร์ด เกียร์รับบทเป็นศาตราจารย์อุเอะโนะเจ้าของฮาจิโกะ นับเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผมน้ำตาไหลในโรงภาพยนตร์เลยล่ะครับ



เมื่อลงมาก็จะเจอห้าแยกชิบูยะที่อยู่ในหนังหลากหลายเรื่องครับ เพราะว่าเป็นย่านที่คับคั่ง ด้วยปริมาณฝูงชนที่เดินผ่านทางม้าลายบนห้าแยกชิบูยะ จึงถูกกำหนดจังหวะด้วยไฟเขียวไฟเดียว เหมือนกับเป็นคลื่นมนุษย์เลย ถ้าใครอยากชมบรรยากาศและแสงสียามค่ำคืนด้วย แนะนำให้มาช่วงเย็นๆหลังเลิกงานครับ โดยอาจจะหาที่นั่งบนชั้นสองของร้าน Starbuck ที่อยู่ตรงห้าแยกพอดีเลยก็ได้






มาตั้งไกลขอหาอะไรทานแถวนี้หน่อยครับ ผมเดินไปทางถนนหลังร้านสตาร์บัคจนไปเจอร้านที่ขายอาหารในตอนเช้า คนในร้านก็มีนั่งอยู่หลายคน (ปกติผมหิว พอเจอร้านที่น่าทานก็ทานนะครับ ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องตามหาร้านดังอะไร) เลือกเป็นเซ็ทข้าวหน้าเนื้อแบบไม่ได้โป๊ะบนชามข้าวมาพร้อมกับซุปมิโซะ ราคา 440 เยน คุ้มค่ามากๆครับ






ว่าแล้วก็หาเรื่องไปนั่งพักขาบนชั้นสองของร้าน Starbuck ซะหน่อยครับ ยอมรับว่าเมื่อยขามากๆ เมื่อวานหลังหกโมงเย็นนี่ เรียกว่าแทบจะยืนคอยคิวเล่นเครื่องเล่นอย่างเดียวเลย โดยผมย้อนกลับไปเก็บ Tokyo Disneyland พวกเครื่องเล่นคิวยาวๆอีกที ก่อนที่จะกลับไปเล่น Toy Story Mania! ตอนสามทุ่มใน Tokyo DisneySea อีก สี่ชั่วโมงกว่ากับการยืนรอคิวอย่างเดียวเลย


นั่งละเลียดวนิลาปั่นไปพลางๆ (Peppermint Mocha Freppuchino ทำไมไม่ทำขายตลอดปีนะ ผมชอบอยู่รสนี้รสเดียว) พร้อมกับนั่งดูบรรยากาศรอบห้าแยกชิบุยะ สลับไปกับการโดนทวงของฝากจากใน  Line





ห้างที่ดังที่เน้นสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นในย่านนี้คงจะเป็น Shibuya 109 ที่เห็นเนี่ยแหละครับ (ถึงขนาดในเมืองไทยมีตั้งชื่อเลียนแบบเลย แต่เหลือแค่ 19) ผมไม่ได้แวะนะครับ เพราะไม่ได้กะมา Shopping ทั้งทริปนี้เลยแบกเป้มาใบเดียว




ขากลับจากสถานี Shibuya สามารถใช้ JR Yamanote Line (ในส่วนที่เป็น Inner Loop) เพื่อตรงไปยังสถานี Tokyo ได้เลยครับ ขากลับนี่คนแน่นมาก เกือบโดนเจ้าหน้าที่รถไฟอัดเข้าตู้รถไฟไปซะแล้ว ค่ารถไฟเที่ยวนี้ 190 เยน



เมื่อมาถึงสถานีรถไฟโตเกียวให้ออกมาด้านนอกเลยครับ  ตัวสถานีรถไฟด้านนอกสร้างสไตล์ยุโรปด้วยอิฐแดงรอบอาคาร ปัจจุบันนอกจากจะเป็นสถานีรถไฟสำคัญสถานีหนึ่งของโตเกียวแล้ว ยังมีโรงแรมในปีกซ้ายด้วยครับ ในส่วนของสถานีรถไฟก็จากบนผิวดินก็ยังมีชานชาลาใต้ดินลงไปอีกถึง 4 ชั้นด้วยกัน ภายในยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ถ้าใครจะหาของฝาก โดยเฉพาะ Tokyo Banana ที่สถานีโตเกียวนี่มีให้เลือกมากมายครับ






ถ้าเราจะไปชมพระราชวังอิมพีเรียล ให้เลือกทางออก Marunouchi Central แล้วเดินตรงไปด้านหน้าสถานีได้เลยครับ (แต่ถ้าใครจะไปถ่ายรูปกับสะพานแว่นตา Nijubashi bridge ให้ใช้ทางออก Marunouchi South แทนจะเดินใกล้กว่าครับ)


เดินไปเกือบกิโลเลยมั้งครับ แถมอากาศยังร้อนมากๆด้วย ก็จะเจอกำแพงของพระราชวังชั้นนอกครับ







ผ่าน Wadakura Fountain Park



พระราชวังอิมพีเรียล หรือพระราชวังโตเกียว เป็นพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ซึ่งภายในพระราชวังรายล้อมไปด้วยสวนขนาดใหญ่ รวมไปถึงตำหนักใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของพระราชวงศ์ ภายในพระราชวังยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ในพระองค์และสำนักพระราชวัง เดิมทีพระราชวังนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอะโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ แต่พระราชวังเดิมถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาในปี ค.ศ. 1964 ก็ได้รับการบูรณะ ซึ่งตัวพระราชวังมีขนาดที่ดินทั้งหมด 3.41 ตารางกิโลเมตร


ที่เราเห็นนี่เป็นเพียงป้อมปราการด้านนอกพระราชวังเพียงเท่านั้นนะครับ ถ้าจะเข้าชมด้านในจะต้องมีการจองล่วงหน้าครับ





ทางซ้ายมือจะเป็นสวนญี่ปุ่นชื่อ Kokyo Garden ครับ เดี๋ยวเราจะเดินผ่านสวนไปทางซ้ายมือ เพื่อที่จะยังสะพาน Nijubashi กัน




Nijubashi Bridge หรือสะพานแว่นตา ที่เรียกเช่นนี้เพราะเมื่อเงาสะท้อนของสะพานในน้ำ จะดูเหมือนแว่นตานั่นเองครับ (แต่วันนี้ในน้ำตะไคร่เขียวครึ้มเลย)





เดินออกมาเพื่อที่จะกลับก็จะผ่าน Statue of Kusunoki Masashige บริเวณปีกซ้ายของสวนครับ




Kusunoki Masashige เป็น Samurai และขุนนางในสมัย Kamakura วีรกรรมที่สำคัญก็คือ จุดจบของชีวิตเค้าคือหลังจากต่อสู้อย่างทรหดเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเต็มในสงครามครั้งหนึ่งที่ถูกทหารของฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนจนจนมุม Kusunoki Masashige พร้อมกับน้องชายจึงฆ่าตัวตาย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้าม


ในยุคฎิวัติวัฒนธรรมในสมัยเมจิ มีการค้นหาซามูไรในอดีตเพื่อเป็นตัวแทนในการบ่งบอกถึงความเป็นนักรบผู้เสียสละ จงรักภักดี กล้าหาญ และมีเกียรติของชายชาวญี่ปุ่น Kusunoki Masashige จึงได้รับการคัดเลือก และมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ซามูไรผู้ภักดีต่อจักรพรรดิ ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่สองการต่อสู้ของทหารญี่ปุ่น รวมถึงการขับเครื่องบินชนเรือของศัตรูแบบ kamikaze ล้วนเป็นการยอมตายแบบมีเกียรติเพื่อจักรพพรดิเช่นเดียวกับ Kusunoki Masashige นั่นเองครับ




เดินตากแดดเปรี้ยงๆกลับมาที่สถานีโตเกียวกันดีกว่าครับ ร้อนมากๆจัดกระทิงแดง (No Sugar) ไปซะหนึ่ง



เผลอเข้ามาชั้นใต้ดินของรถไฟ Narita Express ไปซะได้ครับ ร้านอาหารที่เล็งๆไว้ ตอนไป-กลับ Disneyland เลยไม่ได้แวะเลย แถมผ่านร้านที่ขายกะเพราไก่ไข่ดาว ส้มตำซะด้วย เลยขอไปหาพวกข้างกล่องหรือ bento มาทานดีกว่าครับ ร้านค้าก็มีให้เลือกหลายแบบ คงสำหรับซื้อไปเป็นของฝากอีกทีน่ะครับ




ในสถานียังมีมุมที่ให้เรานั่งทานอาหารแบบนี้ด้วยครับ ซึ่งคนญี่ปุ่นหลายๆคนก็เอาอาหารกล่องของตัวเองออกมานั่งทานบริเวณนี้ด้วยเหมือนกันนะครับ ได้บรรยากาศญี่ปุ่นซะจริงๆ




เบนโตะชุดนี้ 1000 เยนครับ รวมอาหารทะเล ทั้งหอยเซลล์ ปูอัด



ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วล่ะครับ จากวันแรกที่ผมซื้อตั๋ว Suica+N’EX เอาไว้ที่ราคา 5500 เยน เราจะต้องใช้ตั๋วที่สำรองขากลับไว้ มาจองที่นั่งอีกครั้งครับ (สามารถทำได้ที่ตู้ซื้อตั๋วเองเลย ในคู่มือจะบอกอย่างละเอียด) และต้องเก็บตั๋วที่สำรองที่นั่ง กับตั๋วเลขที่นั่งจริงๆไว้ด้วยกัน เพื่อสอดในประตูทางเข้าและทางออกทั้งคู่นะครับ


ว่าแล้วก็มารอที่ชานชาลาครับ



รถไฟมาตรงเวลามากๆ




ภายในตู้จะมีที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เอาไว้ด้านนอกที่นั่งโดยสารครับ ภายในจะเป็นตู้โดยสาร อย่าลืมนั่งให้ตรงกับหมายเลขของที่นั่งของเรานะครับ





นอกจากนี้จะมีจอแสดงเวลาขึ้นลงของแต่ละสายการบิน ทั้งสอง Terminal ครับ ทำให้เราทราบสถานะของเที่ยวบินที่เราจะเดินทาง



ไปสำรวจห้องน้ำกันครับ แยกออกเป็นห้องที่มีโถฉี่ และห้องน้ำ ส่วนด้านนอกจะเป็นอ่างล้างมือ นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นรถไฟ คงนึกว่าเ็นห้องน้ำในโรงแรมหรูๆนะเนี่ย





จากสถานีโตเกียวใช้เวลา 56 นาทีก็ถึงสนามบินนาริตะ Theminal 2 ครับ ขาออกเราจะต้องเสียบบัตรรถไฟทั้งสองใบพร้อมกัน แล้วมันจะคืนมาหนึ่งใบ เพื่อให้เราเอาใบที่ได้คืนมาเสียบออกกับที่กั้นอีกอันครับ




สายการบินไหน ใช้ Terminal อะไรไปดูกันครับ



สำหรับ Air Macau จะให้บริการเช็คอินอยู่ที่แถว I ครับ เรียกว่า ขึ้นมาจากบันไดเลื่อนนี่ออกมาก็เจอกันเลย แต่กว่าจะให้เริ่มเช็คอินก็ 2 ชม.ตรงก่อนเวลาเครื่องออกนะครับ (ทั้งจากสุวรรณภูมิและนาริตะ) ซึ่งผมว่ามันก็กระชั้นชิดไปหน่อย สำหรับไฟลท์ที่บินต่างประเทศนะครับ


สำหรับคนที่มีกระเป๋าจะโหลด ก็สามารถไปรอรับกระเป๋าได้เลยที่ปลายทางอย่างสุวรรณภูมินะครับ (น้ำหนักกระเป๋า 20 กก.) เพราะ Air Macau เป็นสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ Low Cost Airline




รอเวลาเช็คอิน เลยได้ขึ้นมาด้านบนที่รวมร้านค้า ร้านของฝากที่ชั้นบนครับ




ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้า KitKat ชาเชียวนี่ กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมจากญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ แต่ก่อนเราอาจจะคิดถึง Tokyo Banana แต่เดี๋ยวนี้คิทแคทมาแรงแซงทางโค้งมากๆ แต่ก็สะดวกดีครับ สำหรับการซื้อไปเป็นของฝาก อย่างที่สนามบิน ห่อแบบ 12 ซองเล็ก ยอดนิยม อยู่ที่ 525 เยน (ลดเหลือ 420 เยนด้วย) และแบบกล่อง (ด้านในมี 3 ซองเล็ก) อยู่ที่ 157 เยน แถมซื้อยกแพ็ค 10 กล่อง 1570 เยน ยังแถมอีกหนึ่งกล่องด้วยครับ เสียอย่างเดียว ร้านนี้รับแต่เงินสด


ไปรอกันที่หน้าเกทดีกว่าครับ ไกลมากเกทที่ 85 ต้องนั่งรถโมโนเรลมาอีกทีนึง



ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้า KitKat ชาเชียวนี่ กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมจากญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ แต่ก่อนเราอาจจะคิดถึง Tokyo Banana แต่เดี๋ยวนี้คิทแคทมาแรงแซงทางโค้งมากๆ แต่ก็สะดวกดีครับ สำหรับการซื้อไปเป็นของฝาก อย่างที่สนามบิน ห่อแบบ 12 ซองเล็ก ยอดนิยม อยู่ที่ 525 เยน (ลดเหลือ 420 เยนด้วย) และแบบกล่อง (ด้านในมี 3 ซองเล็ก) อยู่ที่ 157 เยน แถมซื้อยกแพ็ค 10 กล่อง 1570 เยน ยังแถมอีกหนึ่งกล่องด้วยครับ เสียอย่างเดียว ร้านนี้รับแต่เงินสด


ไปรอกันที่หน้าเกทดีกว่าครับ ไกลมากเกทที่ 85 ต้องนั่งรถโมโนเรลมาอีกทีนึง




ได้เวลากลับกันแล้วครับ NX861 NRT-MFM 16.00-19.50



บนเครื่องเล่นฉายหนังจีนเกี่ยวกับอาหาร เล่นเอาผมหิวซกๆเลย แต่กว่าจะได้ทานก็ร่วมหกโมงเย็นแน่ะ



ประมาณทุ่มกว่าๆ ก็เริ่มลดระดับการบินลงครับ เห็นเกาะฮ่องกงด้วย



เครื่องถึงมาเก๊าตามกำหนดเวลานะครับ ไฟลท์ต่อไปของผมจะเป็น NX880 MFM-BKK 22.30-00.30 (รอเวลาต่อเครื่องอีกสองชั่วโมงครึ่ง) ขากลับนี่เวลาสวยกว่าขาไปมากๆครับ สองชั่วโมงครึ่งนี่เรียกว่า เล่นเน็ตแป๊ปเดียวก็หมดเวลาแล้ว แถมสนามบินมาเก๊ายังมี Free Wifi ให้บริการด้วย เลยเหมือนไม่นานครับ แต่แล้วประมาณสามทุ่ม ก็เริ่มประกาศว่าเครื่อง Delay แล้วล่ะครับ ผมเลยไปหาอะไรทานแก้เซ็งที่ห้องอาการด้านบน



สรุปแล้ว เครื่องดีเลย์ไปประมาณ 40 นาทีครับ กว่าเครื่องจะออกก็ห้าทุ่มกว่าๆ และเวาเสริฟ์อาหารก็กลายเป็นตอนเที่ยงคืนพอดี



กว่าจะถึงสุวรรณภูมิก็ตีหนึ่งสิบหน้านาทีไปแล้วครับ ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็ Happy กับทริปนี้มากครับ ถึงจะมีเวลาน้อย ที่ตั้งใจจะไป Tokyo Disneyland และ DisneySea ก็ไปเที่ยวได้ครบ





มาลองสรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริปนี้กันครับ


ค่าตั๋วเครื่องบิน 10,850 บาท

ค่าที่พักโฮลเทล 2 คืน 1,477 บาท

ซื้อบัตร Suica+N'EX 5500 เยน

ตั๋วเข้า Disneyland วันแรก, DisneySea วันที่สองและ Disneyland วันที่สอง 3300+6200+3300=12,800 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันแรก

bento บนรถไฟ 1100 เยน

Tokyo->Maihama 210 เยน

Hotdog ที่ Disneyland 1200 เยน

Maihama->Tokyo->Ueno->Asakusa 210+160+160=530 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันที่สอง

แกงกะหรี่+โซบะ 500 เยน

Asakusa->Ueno->Tokyo->Maihama 160+160+210=530 เยน

ตั๋วรถไฟใน Disneyland 650 เยน

Pop Corn ไอติม ใน DisneySea 300+300+300=900 เยน

แซนวิชมื้อเย็น ใน DisneySea 1200 เยน

Maihama->Tokyo->Ueno->Asakusa 210+160+160=530 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันที่สาม

Asakusa->Shibuya 230 เยน

ข้าวหน้าเนื้อมื้อเช้า 440 เยน

Starbuck 450 เยน

Shibuya->Tokyo 190 เยน

bento ในสถานีรถไฟ 1000 เยน

ชีสเค็ก+beer ที่สนามบินมาเก๊า 79 MOP (316 บาท)


นอกจากนี้ผมยังได้เติมเงินลงไปในบัตร Suica อีก 2000 เยนเพื่อซื้อพวกน้ำดื่มที่ตู้กดน้ำอีกด้วย และกดเพลินเลยล่ะครับ เพราะอากาศร้อนจริงๆ (เครื่องดื่ม 500cc. ราคาประมาณ 150 เยนครับ ถ้าน้ำเปล่าจะอยู่ที่ 100-120 เยน)


เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเยน ก็ 29,960 เยน  (ปัจจุบัน 100 เยน=32 บาท) ประมาณ 9,588 บาทครับ


รวมแล้วทั้งทริปนี้ ใช้จ่ายไปประมาณ 22,231 บาทครับ




Create Date : 15 สิงหาคม 2556
Last Update : 15 สิงหาคม 2556 7:29:19 น. 2 comments
Counter : 5999 Pageviews.

 
รีวิว ละเอียดดีจังค่ะ จะไปตามรอยบ้างนะคะ


โดย: hot oil IP: 171.5.184.113 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:52:22 น.  

 
สุดยอด ละเอียดดีคับ


โดย: Matthew IP: 171.6.197.46 วันที่: 23 กรกฎาคม 2557 เวลา:2:37:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.