Group Blog
  •  

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  ชีวิตในญี่ปุ่น
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
All Blog
35. “โรคขี้กังวล”ของแม่  แพร่ไปติดลูกได้
    คุณแม่ชอบพูดว่า “ลูกคนนี้ขรึมเหมือนพ่อเค้า” หรือ “ขี้หลงขี้ลืมเหมือนพ่อเค้าค่ะ” คือส่วนไม่ดีของลูกก็ชอบเหมาเอาว่าเหมือนพ่อ ส่วนไหนดีก็เหมือนแม่ แต่คุณแม่ที่ชอบอ่านหนังสือของผมมาถึงตรงนี้เข้าใจดีแล้วว่า ส่วนดีส่วนเสียของลูก เป็นผลจากการอบรมเลี้ยงดูของคุณแม่ตั้งแต่ลูกเกิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

    เมื่อพูดถึงการศึกษาระดับประถมวัย ก็มักเข้าใจผิดกันว่าเป็นเรื่องการพัฒนาความสามารถที่ตรวจวัดได้ด้วยดัชนีของไอคิว(IQ) ได้โปรดอย่าลืมว่าการพัฒนาความสามารถที่ตรวจวัดไม่ได้ เช่น ความกล้าตัดสินใจ การรู้จักวินิจฉัย ความรูสึกเร็ว ฯลฯ มีความสำคัญมากกว่านั้นเสียอีก เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ “การศึกษา” ชนิดที่ต้องตั้งท่าเรียนและสอนแต่เป็นการเรียนรู้จากพฤติกรรมและอารมณ์ของแม่ในแต่ละวัน จึงมีอิทธิพลมากต่อเด็ก

    ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงโดยแม่ซึ่งร้องเพลงเสียงหลงจะกลายเป็นคนร้องเพลงเสียงหลงไปด้วย ในทำนองเดียวกัน เด็กที่ถูกเลี้ยงโดยแม่ที่เศร้าซึม ก็จะกลายเป็นคนเศร้าซึมไปด้วย ถ้าถูกเลี้ยงโดยแม่ที่ขี้หลงขี้ลืม เด็กก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย แม่ที่รู้ตัวเองว่าร้องเพลงเสียงหลงๆอาจแก้ไขให้ลูกได้ โดยพยายามไม่ร้องเพลงให้ลูกฟัง หรือหาเพลงดีๆให้ลูกฟังบ่อยๆ

    แต่เรื่องเกี่ยวกับอุปนิสัย, อารมณ์. ความรู้สึก, มักเป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่ค่อยรู้ตัว หรือถึงจะรู้ตัวก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นแม่ควรระวังตัวให้มากสักหน่อย

    เวลาแม่เป็นหวัด ลูกจะติดหวัดได้ง่าย ดังนั้นแม่จึงพยายามป้องกันทุกทางเพื่อไม่ให้ลูกติด เช่นพยายามบ้วนปากฆ่าเชื้อ สวมผ้าปิดปากแบบหมอและพยาบาล แต่กลับมีแม่จำนวนน้อยที่พยายามระวังไม่ให้ข้อบกพร่องของตนเองแพร่ไปติดถึงลูก เราน่าจะระวังไม่ให้ข้อเสียของเรา ซึ่งตรวจวัดไม่ได้นี้แพร่ไปติดลูกของเรา

    เชื้อโรคกังวล ซึ่งอยู่ในตัวของคุณแม่ขี้กังวลนั้น แพร่เชื้อไปติดลูกได้รวดเร็วและรุนแรงกว่าเชื้อหวัดเสียอีก



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 13:58:20 น.
Counter : 420 Pageviews.

0 comment
34. เด็กแรกเกิด  ก็รู้ว่าพ่อแม่ทะเลาะกัน
     เด็กทารกซึ่งถูกเลี้ยงโดยพ่อแม่ที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่นนั้น เราเห็นหน้าเด็กก็รู้ทันที เพราะหน้าตาแกมีแววเศร้าและหมอง ท่านอาจคิดว่าเด็กทารกแรกเกิดนั้นไม่มีทางเข้าใจเรื่องละเอียดอ่อนของสามีภรรยาได้หรอก แต่อันที่จริงเด็กทารกมีสมองอันแหลมคม ซึ่งสามารถจับปฏิกิริยารอบกายได้อย่างว่องไว และถ้าหากพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงอยู่ใกล้ๆเด็กทารกเกือบทุกวัน อะไรจะเกิดขึ้น

    แน่นอน เด็กทารกคงไม่เข้าใจความหมายของการทะเลาะวิวาท มีแต่ความขุ่นเคืองในอารมณ์เครียดแค้นเท่านั้นที่เด็กรับรู้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสมองของเด็กถูกสร้างขึ้นมาในสภาพนั้น และไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเด็กถึงมีหน้าตาหม่นหมอง การที่ทารกมีตาโตหรือจมูกโด่งคงเป็นเรื่องกรรมพันธุ์ แต่สีหน้าของเด็กนั้นเป็นกระจกที่ส่องให้เห็นสภาพชีวิตของพ่อแม่ มีนักสังคมสงเคราะห์เล่าว่า เธอต้องตกใจมากเมื่อเห็นใบหน้าคุณแม่ยังสาวซึ่งมาปรึกษาเรื่องหย่าร้างกับใบหน้าเด็กทารกในอ้อมกอดของแม่เหมือนกันไม่ผิด

    เด็กทารกซึ่งเติบโตขึ้นมากับอารมณ์ขุ่นเคืองเคียดแค้น เมื่อเข้าโรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนประถมกลายเป็นเด็กอย่างไร ท่านผู้อ่านคงวาดภาพออกนะครับ

    เมื่อตรวจสอบประวัติของเยาวชนผู้ประพฤติผิด ก็พบว่าส่วนใหญ่เด็กเหล่านี้มีชีวิตในวัยทารกซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สุดในชีวิตที่อยู่ในครอบครัวไม่ปกติสุข

    รากฐานของพฤติกรรมและสภาวะจิตใจในวัยเด็กรู้ความแล้วคือประสบการณ์ที่เด็กรับรู้โดยไม่รู้ตัวในวัยทารกนั่นเอง

    อาจารย์อิชอ ซูซูกิ เคยพูดในปาฐกถาครั้งหนึ่งว่า “วันนี้ กลับบ้านไปแล้ว ลองเรียกลูกๆมาเข้าแถวดูซิครับ พวกคุณคงอ่านประวัติความเป็นสามีภรรยาของคุณสองคนได้จากหน้าๆของลูกละครับ” ข้อความที่ท่านพูดนี้ยังติดฝังแน่นอยู่ที่มุมสมองของผมตลอดเวลา

    เมื่อพูดถึงการศึกษาในวัยเด็กเล็กนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำกิจกรรมพิเศษอะไรขึ้นมา ถ้าพ่อแม่รักกันดี ครอบครัวมีความสุขแจ่มใส ก็ไม่มีอะไรดีสำหรับการเรียนรู้ในวัยเยาว์ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 13:56:02 น.
Counter : 1236 Pageviews.

0 comment
33.  ความกลัวของเด็กเกิดจากประสบการณ์ ที่ผู้ใหญ่ไม่คาดคิด
     เรามักคิดกันว่าวัยเด็กเล็ก เป็นวัยที่เด็กยังไม่เข้าใจถึงความทุกข์ หรือความกลัวอันเรื่องสลับซับซ้อน และเป็นวัยที่มีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เราก็ไม่รู้สึกว่ามีความสุขเปี่ยมลันอยู่ตลอดเวลาในวัยเด็กคนในวัยชราอายุ 60 ปี มีความไม่สบายใจของคนอายุ 60 เด็กอายุ 2 ขวบก็มีความหวาดวิตกในวัยเด็กของแกเช่นกัน

     ความรู้สึกไม่มั่นใจหรือความหวาดวิตกที่เกิดขึ้นในวัยเด็กไร้เดียงสา นี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่พ่อแม่นึกไม่ถึง คุณโซตะโร มิยาโมโตะ ซึ่งเป็นหัวหน้าของหอดูดาวคะซัง (Kazan Astronomical Observatory) แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้เขียนเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กลงในวารสารสมาคมเพื่อการพัฒนาเด็กเล็กว่า......

     “ คุณพ่อของผมสมัยหนุ่มๆสนใจเพลงละคร ”โน” (ละครโบราณญี่ปุ่นผู้แปล) มาก บางทีเพื่อนๆมาซ้อมร้องเพลงกันที่บ้าน คุณแม่ก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมน้ำชาและขนมเลี้ยงแขก ผมถูกปล่อยให้นอนอยู่ในห้องคนเดียว ได้ยินเสียงเพลงที่เค้นออกมาจากคอแล้วผมรู้สึกกลัวจนร้องไห้ออกมาบ่อยๆคุณแม่ผมก็รีบกล่อมให้ผมนอนเพราะกลัวว่าเสียงผมจะรบกวนแขก แม้แต่ทุกวันนี้ผมได้ยินเสียงพระสวดมนต์ แทนที่ผมจะเกิดความสบายใจกลับเกิดความกลัว” (วารสาร”พัฒนาเด็กเล็ก”ปี ค.ศ.1961 เล่มที่4)

     คุณพ่อคุณแม่ของคุณมิยาโมโตะ คงไม่คิดไม่ฝันว่างานอดิเรกของคุณพ่อกลับก่อให้เกิดความกลัวขนาดฝังจิตฝังใจลูกไปจนกระทั่งโต ในขณะเดียวกันคุณมิยาโมโตะก็จดจำเรื่องของหลวงพ่ออิกคิว และนิทานก่อนนอนที่คุณย่าเล่าให้ฟังได้ดี รวมทั้งเพลงคาร์เมน (Carmen)และมูนไลท์ โซนาตา (The Moonlight Sonata) ซึ่งคุณพ่อชอบเปิดเปียโนอัตโนมัติให้ฟัง เขาก็จำไว้ได้อย่างมีความสุข

     เพลงโนและเพลงจากเปียโนเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กเหมือนกัน แต่เพลงโนกับก่อให้เกิดความกลัวอย่างฝังจิตฝังใจคุณมิยาโมโตะ เรื่องนี้ให้บทเรียนแก่เราข้อหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการเรียนรู้ในวัยเด็ก ผมคิดว่าความกลัวคงไม่ได้เกิดเพราะเสียงเพลงที่เค้นความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งคงจะมืดและอ้างว้าง จนกระทั่งเกิดความกลัวขึ้นมา

     แน่นอน ผมไม่ได้คิดจะสรุปว่าเราควรทำอย่างไรจากตัวอย่างข้างต้นนี้หรอกครับ ผมเพียงแต่อยากบอกว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย อาจฝากแผลไว้ในหัวใจเด็กก็ได้นะครับ

 



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 13:53:40 น.
Counter : 584 Pageviews.

0 comment
32.  การไม่เอาใจใส่ลูกนั้นเลวร้าย ยิ่งกว่าการตามใจลูก
      ในสหรัฐอเมริกา ปัญหาชนผิวดำซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั่วประเทศนั้นมิใช่เป็นปัญหาเฉพาะผิวเท่านั้น หากเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงดูเด็กก่อนเข้าโรงเรียนด้วย นักจิตวิทยาจำนวนมากได้ทำการสำรวจพื้นที่ที่ชนผิวดำอาศัยอยู่ เช่น แถบฮาร์เลมในนิวยอร์ก และพบว่าความแตกต่างระหว่างระดับสติปัญญาและอุปนิสัยของเด็กผิวขาวและเด็กผิวดำนั้น เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมในระยะปฐมวัย ดังนั้น เมื่อเด็กเข้าเรียนความแตกต่างจึงเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นช่องว่างระหว่างชนผิวขาวและผิวดำ ซึ่งแตกต่างกันมากมายจนยากที่จะแก้ไข

      ครอบครัวชนผิวดำจำนวนมาก พ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่เพื่อหารายได้ประทังชีวิต เด็กที่เกิดมาถูกปล่อยให้เติบโตขึ้นมาเองตามอัตภาพทางฝ่ายลูกชนผิวขาวนั้นถูกเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่จากพ่อแม่คนรอบข้างจำนวนมาก ความแตกต่างนี้กล่าวได้ว่าเป็นต้นตอของความแตกต่างอันยากที่จะแก้ไขระหว่างชนผิวขาวและผิวดำ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องโฉงฉางอยู่สักหน่อย แต่อันที่จริงในครอบครัวของพวกเราก็มีเรื่องคล้ายคลึงกันนี้ ซึ่งก่อให้เกิดความแตกต่างขึ้นในหมู่เด็กๆ ใช่หรือไม่ ความแตกต่างระหว่างเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำ ระหว่างเด็กที่มีอุปนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายและโอบอ้อมอารีย์กับเด็กดื้อรั้นเห็นแก่ตัว ความแตกต่างเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว แต่น่าจะเกิดขึ้นจากความแตกต่างทางทัศนคติเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูในระยะปฐมวัยมากกว่า

     มีสถิติชี้ให้เห็นว่า ยิ่งพ่อแม่เลี้ยงดูลูกแบบปล่อยปละละเลยมากเท่าไรเด็กยิ่งจะเกิดความไม่มั่นใจและมีความก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเด็กกระหายความรักอยู่ตลอดเวลา แกจึงมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่เสมอ (จากวารสารชื่อ”Gendal no Esprit " วิญญาณสมัยใหม่ เล่มที่43) การเลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลยในที่นี้หมายถึงการให้นมลูกอย่างไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ คือให้เฉพาะเวลาที่เด็กต้องการเท่านั้น หรือให้ของเล่นลูกโดยไม่สนใจที่จะเลือก หรือขี้เกียจเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เป็นต้น

      ในทางตรงกันข้าม การเลี้ยงดูลูกแบบปกป้องมากเกินไปจะมีปัญหาทำให้เด็กขี้ขลาดขวัญอ่อน แต่พูดโดยส่วนรวมแล้ว เด็กที่พ่อแม่รักมากเกินไปนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่พ่อแม่ไม่ใส่ใจ จะมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าสังคมได้ง่ายกว่าและมีอารมณ์ที่มั่นคงกว่า

      ปัจจุบันนี้ เราถือว่าแม่บ้านเป็นปัจเจกบุคคลและเป็นสมาชิกของสังคมและมีสตรีจำนวนมากที่ต้องการออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่ยอมจำกัดบทบาทของตนอยู่เฉพาะในเรื่องการดูแลบ้านและเลี้ยงดูลูกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นเด็กที่ต้องเฝ้าบ้านอยู่ตามลำพังเพิ่มมากขึ้น และมีพ่อบ้านที่ต้องเข้าไปหาอาหารในครัวเองมากขึ้น

      ผมเองไม่ได้คัดค้านในเรื่องของสามีภรรยาออกไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่หรอกครับ แต่ผมอยากให้พ่อแม่ทุกคนตระหนักว่าการเลี้ยงดูลูกอย่างปล่อยปละละเลยนั้นไม่เพียงมีผลกระทบต่อระดับสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังมีผลร้ายอย่างมากต่อพัฒนาการทางด้านอุปนิสัยของเด็กด้วย



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 13:51:54 น.
Counter : 445 Pageviews.

0 comment
31. ไม่จำเป็นต้อง  พูดภาษาเด็กกับลูก
     วันก่อน ผมกำลังรับประทานอาหารอยู่ในภัตตาคาร บังเอิญได้ยินเสียงมาจากข้างๆว่า”คราวนี้แหละ “ฉันจะเลิกกับแม่ซะที !" คำพูดอันไม่ปกติธรรมดานี้ทำให้ผมตกใจถึงกับหันไปดู ปรากฏว่าคนพูดคือเด็กชายอายุ 2 ขวบ ซึ่งมากับพ่อแม่ของแก ตรงหน้าของพ่อหนูมีชามสตูวางอยู่ ผมรู้สึกแปลกใจจึงถามแม่ของเด็กดูว่าทำไมเด็กจึงพูดเช่นนั้น เธออธิบายให้ฟังว่า “ลูกคนนี้จำโฆษณาของบริษัทผลิตสตูจากทีวีน่ะค่ะ พอมีสตูมาวางข้างหน้าแกจะนึกถึงโฆษณากระมังคะ”

     พวกเราผู้ใหญ่พอเห็นโฆษณาทางโทรทัศน์ไม่นานนักก็ลืมหมด แต่เด็กเล็กๆสามารถจำคำโฆษณายาวๆรวมทั้งท่วงทำนองการออกเสียงได้หมดอย่างถูกต้อง เวลาเราพูดกับเด็ก 0- 3 ขวบเราชอบใช้ภาษาเด็กกับแก เช่น “คุณพ่อ” เป็น “คุณป้อ” “ไม่เอา” เป็น “ม่ายอาว” ฯลฯ แต่วิทยุหรือโทรทัศน์ไม่ได้ใช้ภาษาเด็กกับเด็กเลย ถึงกระนั้นก็ตาม เด็กอายุ 2 ขวบ ก็สามารถเข้าใจได้พอสมควรทีเดียว

     แน่นอนเวลาเด็กเริ่มหัดพูด แกจะพูดไม่ชัดเจน ทั้งนี้คงเป็นเพราะระบบอวัยวะออกเสียงของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ถึงเด็กอยากพูดให้ชัดปากของแกก็ยังขยับไม่ได้ดังใจ ทำให้ผู้ใหญ่รอบๆข้างเข้าใจผิดว่าถ้าไม่พูดภาษาเด็ก เด็กคงไม่เข้าใจ แต่ถ้าผู้ใหญ่พูดไม่ชัดกับเด็กเรื่อยๆไป เส้นสายของภาษาที่ถูกต้องก็คงไม่เกิดในสมองของเด็กสักที

     ถ้าจะพูดอย่างสุดขั้ว ก็อาจพูดได้ว่าการที่เส้นสายของภาษาที่ถูกต้องเกิดขึ้นในสมองของเด็กนั้น ไม่ใช่เกิดจากการคุยกับพ่อแม่ แต่เป็นเพราะเด็กได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่ เวลาพ่อแม่คุยกับเองหรือคุยกับคนรอบด้านต่างหาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องพยายามพูดภาษาเด็กเล็กกับลูกได้ เด็กเล็กมีความสามารถเข้าใจภาษาที่ถูกต้องได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ถ้าคุณพ่อคุณแม่พูดแต่ภาษาเด็กกับลูกมาตลอด แต่พอลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลกลับพูดว่า “หนูโตแล้วไม่ใช่เด็กแดงๆต้องพูดให้ชัดซีลูก” และพยายามแก้ไขภาษาเด็กของลูกให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้เด็กถึง 2 เท่าโดยไม่จำเป็น

     ผมได้ยินว่าแม่ชาวฝรั่งเศสยกลูกสาวให้แต่งงานจะพูดกับว่าที่ลูกเขยว่า “ลูกสาวฉันไม่มีสมบัติอะไรหรอก แต่ก็พูดภาษาฝรั่งเศสได้ดีเยี่ยม” เด็กจะพูดภาษาได้ถูกต้องก็ต่อเมื่อพ่อแม่คุยกับแกด้วยภาษาที่ถูกต้อง ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเช่นนั้น อาจจะถูกพวกเด็กๆประท้วงเอาว่า “คราวนี้แหละ เลิกพูดภาษาเด็กกันซะที”



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2556 13:48:24 น.
Counter : 607 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

Harutoaki
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



ตอนนี้ผันตัวมาเป็นแม่ค้าทำขนส่งจากจีนมาไทย หาตังค่าขนมให้เจ้าหนูฮิโร ใครสนใจติดต่อมาได้เลยนะคะ เราคิดราคาถูกสุดๆ

ส่วนอะไรที่เป็นข้อมูลเอามาแชร์กับเพื่อนๆเท่าที่จะทำได้นะคะ เพื่อนๆจะได้ไม่เจอเหตุการเซ็งแบบเรา หากเพื่อนๆมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็เขียนแนะนำเราเอาไว้ได้เลยนะคะจะได้เป็นความรู้กับเราด้วย.

สำหรับเพื่อนๆที่สงสัยเกี่ยงกับเรื่องวีซ่า สามารถทิ้งอีเมล์ไว้ให้เราได้นะค่ะ เวลาตอบบางทีบางคนไม่ใช่สมาชิกเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นข้อความเราไหม

เรื่องวีซ่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่ที่ลงข้อมูลไว้เผื่อคนที่ต้องการทำวีซ่าอย่างเราจะได้มีที่หาข้อมูลได้