48. เด็กจะมองสิ่งที่เขาสนใจเป็นสิ่งดี และสิ่งที่ว่าไม่ชอบก็ว่าไม่ดี
เวลาลูกของคุณฉีกกระดาษปิดบานประตูเลื่อน คุณดุลูกว่าอย่างไร(ประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นเป็นประตูกรอบไม้ปิดด้วยกระดาษว่าวสีขาว-ผู้แปล) คุณคงใช้ประสบการณ์ที่มีมานานปีกับหลักความประพฤติทางสังคมเป็นเครื่องวัดความถูกผิด แต่สำหรับเด็กที่เกิดมาในโลกเพียงปีสองปี แกไม่รู้หรอกว่าการฉีกกระดาษหรือการปิดประตูนั้นถูกหรือผิด เมื่อพ่อแม่ดุ เด็กไม่อยากพบเหตุการณ์เช่นนี้อีก จึงไม่ฉีกกระดาษนั้นอีก อย่างไรก็ดี การดุลูกเช่นนี้อาจเป็นการทำลายความคิดสร้างสรรค์ของแกก็ได้
นายเชชิโร อาโอคิ (Seishiro Aoki) นักจิตวิทยาด้านเด็กได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องเด็กคิดว่าอะไรดีอะไรไม่ดีอย่างไร ผลปรากฏว่า สิ่งที่เด็กคิดว่าดีคือสิ่งคิดว่าดีคือสิ่งที่ น่าสนใจ น่าสนุก ตัวอย่างเช่น กรณีเด็กถูกหลอกพาตัวไปซึ่งปราฏกตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เมื่อเด็กกลับมาแล้วเราถามว่าทำไมถึงตามเขาไป เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า คุณลุงเค้าเป็นคนสนุก ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ ทางฝ่ายผู้ร้ายมักจะรู้ถึงจิตวิทยาของเด็กได้ดี จึงใช้ของเล่นหรือเล่าเรื่องสนุกให้เด็กสนใจ เด็กเห็นว่าเป็นคนสนุกน่าสนใจจึงคิดว่าเป็นคนดีจึงติดตามไป
ในวัยเริ่มต้น เด็กคิดว่าสิ่งสนุกเป็นสิ่งดี แต่เมื่อเด็กมีประสบการณ์มากขึ้น เด็กจะคิดว่าสิ่งดีจะทำให้แกได้รับคำชมเชย เช่น ไปซื้อของให้แม่แล้วได้รับคำชม แกก็คิดว่าการไปซื้อของเป็นสิ่งที่ดี ในทางตรงกันข้าม สิ่งไม่ดีคือสิ่งที่ทำให้เด็กรู้สึก เสียใจ ไม่สนุก เจ็บใจ คือสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ทั้งหลายเพราะฉะนั้นเวลาเด็กถูกแม่ดุ ตี เด็กไม่สบอารมณ์จึงรู้ว่าทำสิ่งไม่ดีลงไป
สมมุติว่าคุณดุลูกอย่างรุนแรง เมื่อเด็กเล่นไวโอลินไม่เก่งหรือจำตัวหนังสือไม่ได้ เด็กจะจำไว้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ตนลำบากไม่ชอบ เพราะฉะนั้นสิ่งไม่ดีในความคิดเด็ก การสีไวโอลินจึงกลายเป็นสิ่งไม่ดีเหมือนกับการฉีกกระดาษปิดประตูเลื่อน การที่พวกเราเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่ชอบไวโอลินไม่ชอบภาษาอังกฤษ คงเป็นเพราะในวัยเด็กเรามีประสบการณ์ที่ไม่สบอารมณ์กับสิ่งเหล่านี้นั่นเอง
เพราะฉะนั้น หลักการพื้นฐานในการอบรมเด็ก คือไม่ยัดเยียดความคิดว่าอะไรทำผิดอะไรถูกแบบผู้ใหญ่ให้เด็ก สิ่งใดที่ไม่อยากให้เด็กทำก็ต้องทำให้เด็กไม่สบอารมณ์ สิ่งใดที่อยากให้เด็กทำก็ต้องทำให้เด็กสนุกและชื่นใจกับสิ่งเหล่านั้น วิธีการดุหรือชมของพ่อแม่นั้นส่งผลให้เด็กพัฒนาความสามารถของตนที่มีอยู่ต่อไป