Rome wasn't built in a day.!
|
|||
ฟื้นคืนชีพ กลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมแล้วนะ ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปนานมาก น่าจะ 2 - 3 ปีที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์วิกฤตของชีวิต วิกฤตเศรษกิจ วันๆ ไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากนอนๆๆ ป่วยใจตลอดเวลา ป่วยกายบ้าง สามวันดี สี่วันไข้ อย่างว่า เราก็อายุสี่สิบกว่าแล้วนี่เนอะ ในที่สุด ความอดทน ก็หมดไป เราก็ได้เออรี่รีไทร์ ด้วยอายุ 45 ปี และไม่อยากทำงานออฟฟิส อีกต่อไป ขอเป็นแม่บ้าน อยู่เฉยๆ ตอนนี้ ฟื้นตัวมาได้ครึ่งปีพอดี อาการเริ่มอยากทำงานฝีมือ อยากอ่านนิยาย อยากดู Series อยากดูหนัง อยากดูละคร อยากดูทีวี อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด ฯลฯ เริ่มกลับมาแล้ว ที่บ้าซื้อๆ หรือ ช้อปปิ้งไว้ ตอนเครียด ก็จัดมาเรียงๆๆๆ ไว้ ทั้ง DVD ทั้งหนังสือนิยาย เตรียมอ่าน เตรียมทยอยดู ฉันกลับมาเป็นคนปกติ คนเดิมแล้ว ฉันไม่ต้องไปเครียดกับการทำงาน ที่ได้เงินเดือนน้อยนิด ความรับผิดชอบใหญ่หลวง เจ้าของได้กำไร ได้เงินจากสินค้าที่เราทำให้พวกเขาได้ ปีละ 50 - 100 ล้านบาท ทำงานที่นี่ มา 16 ปี ก็ไม่เท่าไรหรอกคะ อย่างน้อย พวกเขาน่าจะมีเงินเพิ่มขึ้นพันล้านบาทเอง คนรวย ความร่ำรวย - มีเงินมีทรัพย์สิน สินทรัพย์มากแล้ว ก็ยังอยากได้อยากมีเพิ่มมากขึ้น ใช้เพียงข้ออ้างว่า เพื่อให้บริษัทอยู่ได้ เพื่อมีเงินเดือนจ่ายพนักงาน ฯลฯ คนที่ดีต่อหน้า พวกที่ลับหลังนินทา บางคน ถึงขนาด แทงข้างหลังเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ นินทาว่าร้าย ใส่ร้าย ตอแหล๋ โยนความผิดให้คนอื่น หาคนที่แหน่งเท่ากัน มาทำงานเดียวกัน กดดันต่างๆ เพื่อให้บริษัท มีกำไร? หรือ เพื่อให้ เงินในกระเป๋าตัวเองมีมากขึ้น? ก็ไม่รู้สินะ "พอเพียง" พวกเขาเหล่านั้นคงไม่รู้จักคำนี้ พอกันที คนแบบฉัน มันเป็นคนตรงๆ ไม่โกหก ไม่ตอแหล๋ ผิดก็ยอมรับผิด รับผิดชอบในแผนก /ฝ่ายที่ดูแล งานทำเต็มที่ ทำไม่ทันก็อยู่ต่ออีกหน่อย ทำให้เสร็จกลับบ้าน ช้า 1-2 ชั่วโมงก็ไม่เป็นไร (ไม่ได้ค่า โอทีนะคะ, ไม่ได้อยู่เล่นเกมส์ หรือแชท แล้วทำเป็นรูดบัตรช้า กลับบ้านช้า เอาใจหัวหน้า) คนที่รับเราเข้าทำงาน หัวหน้าคนที่เราเคยรัก มันมีวันเปลี่ยนไป เค้าเคยรักและเอ็นดูเรา เขาเคยชอบวิชาความรู้ที่เรามี ที่เราแก้ปัญหาให้กับสินค้าให้กับบริษัทได้ มันคือภาพแค่ความหลัง คนตรงๆ แบบฉันเค้าไม่ชอบ เค้าชอบตอแหล๋ เฮ้ยไม่ใช่สิ เค้าเรียก ภาษาทางวิชาการว่า Positive thinking, Positive Talking,... ฉันแต่งหน้าสวย แต่งตัวสวย ก็หาว่า เราไม่ทำงาน เอาเวลาไปแต่งหน้า กินขนมใต้โต๊ะ ในออฟฟิส ก็บอกว่า เราทำให้กฎของบริษัทไม่เข้มงวด เอากล้องวงจรปิด มาติดบนหัวฉันเลย ส่องดูสิว่าวันๆ มันแต่งหน้ากี่ครั้ง กินขนมกี่ชื้น กดดันฉัน ลดจำนวนคน ลดน้องๆที่ช่วยงาน จนเหลือฉันคนเดียว ต่อให้มี สิบมือ ก็ทำงานที่มอบหมายมาไม่ทันหรอกคะ ไม่เป็นไร "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง" หรือ ทำอย่างไร คุณก็ได้อย่างนั้น, รู้หน้าไม่รู้ใจ, หน้าเนื้อใจเสือ, น้ำลดตอผุด, ปลาใหญ่กินปลาเล็ก, น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย, ตบหัวแล้วลูบหลัง, ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด, แกะดำ, พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง, สวมหัวโขน และใส่หน้ากากเข้าหากัน,.... รู้จักสำนวน คำพังเพย สุภาษิตเหล่านี้มั้ย ฉันให้อภัย และอโหสิกรรม ให้กับทุกๆ คน ที่เคยทำงาน ร่วมงานกับฉันมา เกือบ 20 ปี ไม่ทำงาน ไม่มีเงินเดือน ขอเงินสามีกินก็ได้ ไม่เดือดร้อน แค่ใช้ให้น้อยลง ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัว แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ และกลับมาเป็นคนธรรมดาเหมือนเดิม แม้ไม่ได้รวยแบบพวกเขา แค่นี้ฉันว่า ฉันก็พอใจ พอเพียง และมีความสุขกับครอบครัว กับลูก และสามีแล้วคะ ขอให้ทุกคนที่ทำงานอยู่ในบริษัทโชคดี อย่าได้เจอะเจอ แบบฉันเลย แบบที่เรียกว่า "บีบให้ออก" อะคะ โชคดีทุกๆ คนคะ สำหรับมนุษย์เงินเดือน โดย: NongPenquin วันที่: 7 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:06:41 น.
|
NongPenquin
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] น้องเพนควิน เองค่า......... จงทำดีต่อไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น อย่างน้อย ตัวเราที่เห็น ทำดี แล้วมีความสุข อย่างน้อยก็ สุขใจ...ที่ได้ทำความดี All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
แวะมาอ่านเก็บไว้เป็นประสบการณ์ค่ะ
เราก็เป็นมนุษย์เงินเดือน
สังคมออฟฟิศ บางที
ความจริงมันก็เป็นเรื่องเลวร้าย
ขอให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณนะคะ
แอบอิจฉา เบาๆ หมดเวลาพัก
ก็ต้องกลับไปทำงานต่อแล้วว