All Blog
ตอนที่ 04 +++ ห่วง +++


กลับมาต่อฟิคให้ตามคำเรียกร้องครับผม


........






“หวัดดีคับแม่” พีรวิชญ์เอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้สตรีสูงวัยที่อยู่ในบ้านของธีรศิลป์


“สวัสดีจ้ะพี ไม่เจอกันตั้งนาน ไปอยู่เมืองไทยเป็นไงบ้าง” หญิงสูงวัยรับไหว้และตอบกลับ


“ก็ดีคับ นอกจากเรื่องพี่พัฒน์แล้ว นอกนั้นก็ดีคับ”


“แม่เสียใจเรื่องพี่ชายเราด้วยนะ พีรู้มั้ย ยายเมบ่นคิดถึงเราด้วยแน่ะ”


“แล้วนี่ เมยังไม่กลับมาหรอคับ”


“ยังหรอกจ้ะ ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนั้นน่ะ ใครหรอ” หญิงสูงวัยชี้ไปที่ชายหนุ่มที่พีจูงเข้ามา


“อ้อ...นี่ก้องคับแม่ ก้อง นี่คุณแม่ของทีน่ะ” พีแนะนำให้ก้องรู้จักกับแม่ของที ก้องยกมือไหว้ทั้งๆที่มองไม่เห็น หญิงชรารับไหว้และไปช่วยพีจูงก้องมานั่งที่โซฟา ขณะนั้น ทีและจอนก็เดินเข้ามาในบ้านพอดี พร้อมกับคุณทรายที่เดินตามมาข้างหลัง


“ชื่อก้องเหรอลูก เห็นทีบอกว่าก้องเป็นคนพิเศษของพี แบบที่จอนเป็นคนพิเศษของก้องใช่มั้ยลูก”


“ครับคุณป้า” ก้องบดินทร์ตอบแบบประหม่า


“ก้องกล้าหาญมากนะลูก ฟังจากทีเล่า เราช่วยพีจนถูกรถชนใช่มั้ย พีนี่โชคดีนะ เหมือนเมื่อตอนนั้นเลย ที่จอนเข้าไปช่วยทีตอนไฟไหม้พลาซ่าน่ะ” แม่ของทีเล่าเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนทำให้จอนกับทีนึกถึงความหลังแล้วบีบมือกันแน่นขึ้น ด้วยความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันและกัน แต่ขณะเดียวกัน คุณทรายกับรู้สึกหดหู่ เพราะนึกอาลัยถึงคนรักที่จากไป จอนที่นึกขึ้นได้เช่นกันจึงหันกลับมามองที่คุณทรายพลางสะกิดให้ทีดู


“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปนึกถึงมันเลยครับแม่ ก้องเพิ่งมาถึง คงยังเหนื่อยอยู่ ให้ไปพักก่อนดีมั้ยครับ” จอนบอกกับแม่ของที ทำให้แม่ของทีนึกออกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ทัศน์เพื่อนของจอนเสียชีวิตจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน


“จริงสินะ เพิ่งมากันเหนื่อยๆ ทีมาเพื่อนไปที่ห้องสิลูก จะได้พักผ่อนกันก่อน แล้วค่อยลงมาทานข้าว” หญิงสูงวัยบอกกับลูกชาย ส่วนจอนก็พาคุณทรายมาแนะนำให้แม่ของทีรู้จัก


“คุณทราย นี่แม่ของทีนะ แม่ครับ นี่คุณทราย เพื่อนของพวกผมที่เมืองไทยครับ”


“สวัสดีค่ะคุณป้า” ทรายทักคุณป้าจบก็รับแก้วน้ำมาจากทีที่เดินส่งให้แขกผู้มาเยือน


“สวัสดีจ้ะหนูทราย ขอบใจที่ช่วยก้องไว้นะ”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บังเอิญจังนะคะ ที่พีกับก้องเป็นเพื่อนของจอนกับคุณที”


“ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณทรายมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” พีกล่าวขอบคุณทราย แต่มือยังกุมมือก้องอยู่


“เอางี้นะ ไปพักผ่อนกันก่อน แล้วเดี๋ยวมาทานข้าวด้วยกัน ให้ป้าเลี้ยงต้อนรับพีกับก้องแล้วก็เลี้ยงขอบใจหนูทรายด้วย” แม่ของทีเสนอความเห็น


“พอดีทรายติดธุระน่ะค่ะ ไว้โอกาสหน้าจะแวะมาเยี่ยมแล้วกันนะคะ”


“เอางั้นเหรอครับ” ทีถามทราย


“งั้น ขอบคุณมากนะครับคุณทราย ขอบคุณจริงๆครับ” ก้องขอบคุณทราย มือนึงถือแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ดื่ม อีกมือนึงก็จับมือของพีเอาไว้


“ไม่เป็นไรหรอกก้อง งั้นทรายไปก่อนนะ ลาก่อนนะคะคุณป้า” ทรายไหว้ลาผู้อาวุโสแล้วเดินออกนอกประตูบ้านไป ทิ้งให้ก้องยิ้มลาอย่างนึกขอบคุณในน้ำใจ จากนั้น ทีก็พาพีและก้องไปที่ห้องพักแขก ซึ่งเป็นห้องเตียงคู่ ที่จอนจัดไว้ให้ทั้งสองนอนในห้องเดียวกัน


“พวกนายพักกันก่อนนะ เดี๋ยวเราไปช่วยจอนข้างล่างก่อน” ทีบอกเพื่อน แล้วเดินลงข้างล่าง


“ก้อง คุณเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า” พีพยายามสำรวจร่างกายของก้องว่าเจ็บตรงไหนบ้าง ซึ่งก้องเองก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก ต่างจากพีซึ่งเจ็บหนักกว่า เพราะโดนทั้งหมัดและเท้าของพวกอันธพาลไปหลายครั้ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักก็ต้องสกัดความเจ็บปวดไว้ ระหว่างที่พีพยายามจะพยุงก้องไปที่เตียง มือของก้องก้ไปถูกสีข้างเอว ตำแหน่งที่พีเจ็บตัวพอดี พีเผลออุทานออกมาเบาๆเพราะกลัวก้องจะรู้ว่าตนเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถหลอกสัญชาตญาณของนักกายภาพบำบัดมืออาชีพอย่างก้องไปได้


“ไหนว่าไม่เป็นไรไง ผมว่าคุณเจ็บยิ่งกว่าผมอีกนะเนี่ย” ก้องบอกพี


“ก็ผมบอกคุณว่าผมไม่เป็นไรไง” พีพยายามเถียงก้อง แต่ก้องไม่เชื่อ จึงพยายามคลำสัมผัสร่างกายของพี และหลายครั้งที่พีรู้สึกเจ็บและอุทานออกมา


“เห็นมั้ย คุณเจ็บจริงๆด้วย เท่าที่สัมผัสดู เหมือนจะกล้ามเนื้ออักเสบนะ” ก้องพูดจบก็เอามือไปลูบคลำบริเวณใบหน้าของพี เมื่อสัมผัสถูกริมฝีปาก พีก็เผลออู้ยยยออกมา


“อย่ามือหนักนักสิ” พีเริ่มโวยวายขึ้นมาบ้าง เพราะเริ่มเจ็บกว่าเก่า


“คุณก็อยู่นิ่งๆสิ จะได้ไม่เจ็บหนักกว่าเก่า เสียดายที่ไม่มียานวดมาด้วย พี คุณลงไปขอยามาจากคุณป้าสิ เดี๋ยวผมจะทายาให้คุณเอง”


“ก้อง คุณมองไม่เห็นนะ จะมาทายาให้ผมได้ยังไง ผมรับปากป้าฟองกับพี่แก้วว่าจะดูแลคุณ แล้วผมจะปล่อยให้คุณมาดูแลผมได้ไง” พีบอกก้องเสียงดัง


“ก็ผมเป็นห่วงคุณนี่ ผมจะปล่อยให้คุณดูแลผมฝ่ายเดียวได้ยังไงล่ะ พี เราสัญญาว่า เราจะไม่ทิ้งกันไม่ใช่เหรอ งั้นคุณก็ต้องให้ผมดูแลคุณบ้างสิ” น้ำเสียงก้องแข็งขัน


“ก้อง... ผม....” พีเรียกเบาๆและสวมกอดร่างอวบนั้นหลวมๆ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อไปเอายาตามที่ก้องบอก


“พี”


“ว่าไงก้อง”


“เอาน้ำมาให้กินด้วยนะ ผมหิวน้ำอะ คุณป้าชวนคุยจนผมลืมกินน้ำเลย” ก้องบอกเขินๆ


“คร้าบบบบ” พีพูดแล้วเดินออกจากห้องไป


...


...


“ขนาดนี้เลยหรือที” เสียงของจอนตวาดเสียงดังจนทีตกใจ


“ก็ผมบอกคุณแล้วไง ว่าเดี๋ยวผมจัดการเอง คุณก็มาทำให้ทำไมก็ไม่รู้” ทีเถียงกลับ


“ยังจะพูดอย่างนี้อีกเหรอ” จอนเอามือป้ายไปทีรอยช้ำบนหัวไหล่ของทีอย่างแรงจนทีร้องออกมา


“จอน ผมเจ็บนะ” ทีทำหน้าโมโหขึงขังใส่จอน


“ก็คุณเจ็บหนักขนาดนี้ ทำไมคุณไม่ยอมบอกผมล่ะที ถ้าผมไม่แอบเห็นคุณหยิบยา คุณก็คงจะไม่บอกผมใช่มั้ย” จอนต่อว่าทีด้วยน้ำเสียงน้อยใจปนห่วงใย


“ก็ผมไม่อยากให้คุณเป็นห่วงผม เวลาผมเจ็บตัวทีไร คุณก็ตกใจโวยวายทุกทีเลย”


“ก็ผมอยากเป็นห่วงคุณนี่ที ไม่ให้ผมห่วงคุณ แล้วจะให้ผมห่วงใครล่ะ” จอนเถียงสู้


“ก็คุณขี้ตกใจแบบนี้ ผมถึงไม่อยากบอกคุณไง” ทีเถียงสู้บ้าง


“ก็คุณเจ็บหนักขนาดนี้ แล้วคุณจะไม่ให้ผมช่วยคุณได้ยังไง” จอนยังเถียงสู้ต่ออีก


“แล้วคุณมาเถียงผม ส่วนผมก็ไปเถียงคุณทำไมเนี่ย” ทีว่า


“นั่นสิ แล้วเราจะมาเถียงกันทำไม” จากนั้น ทีกับจอนก็ยิ้มขำกันเอง


“ผมว่าผมทายาเองดีกว่า คุณน่ะมือหนัก ผมเจ็บไปหมดแล้ว” ทีเอามือลูบที่ไหล่ของตน


“เจ็บก็ดีแล้ว จะได้หายซ่าซะที” จากนั้นจอนก็ป้ายมือไปที่จุดเดิม แต่ครั้งนี้เบามือลงกว่าเก่า


“โอ๊ยยยย” ทีร้องเสียงดังกว่าตอนแรกมาก ทำเอาแม่ของทีที่อยู่ในครัว กับพีที่เพิ่งเดินลงมาตกใจ


“ที เป็นไงบ้าง ผมมือหนักไปหรอ” สีหน้าจอนตกใจและเป็นห่วงทีมากเช่นกัน จอนทั้งหน้าเสียและกลัวว่าตนไม่ใช่มืออาชีพ อาจทำให้ทีเจ็บกว่าเก่าก็ได้ แต่เมื่อจอนหันไปมองหน้าที ก็เห็นทีแอบอมยิ้ม จึงรู้ว่าตนเองโดนทีแกล้งเสียแล้ว


“นี่คุณแกล้งผมนี่นา เอาอีกแล้วนะที” จอนแกล้งงอน


“หน้าคุณเวลาตกใจนี่ ตลกไม่เปลี่ยนเลยนะ ........ โนบีตะ” ทีกึ่งพูดกึ่งขำ จอนที่ไม่ได้โกรธแต่อย่างใดแอบอมยิ้มเช่นกัน แต่ก็ทำเป็นวางหลอดยาแล้วแกล้งจะลุกออกไป


“เดี๋ยวจอน คุณจะไปไหนล่ะ ไม่ทายาให้ผมแล้วหรอ”


“คุณเก่งนัก ก็ทายาเอาเองสิ”


“ไม่เอาอะ ผมอยากให้คุณทายาให้ นะนะ โนบีตะเค้าไม่ขี้งอนซักหน่อย” ทีทำเป็นง้อต่อ จอนก็ทำเป็นหน้าบึ้ง แต่ก็ยอมทายาให้ทีโดยดี


“ผมนึกแล้ว ว่าคุณต้องยอมทายาให้ผมอยู่ดี”


“ก็ผมเป็นห่วงคุณนี่ คราวหน้า ถ้าจะไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลน่ะ ก็ระวังหน่อยนะครับ”


“ผมรู้แล้วน่าว่าคุณเป็นห่วง แต่ถ้าผมเจ็บมาอีก คุณก็ทายาให้ผมอีกนะ”


“ครับ” จอนรับด้วยน้ำเสียงกึ่งเชื่อฟังกึ่งห่วงใย แม่ของทีที่แอบมองอยู่ได้แต่ยิ้มอิ่มใจที่เห็นลูกชายมีความสุข ถึงแม้จะเจ็บตัวก็ตาม ส่วนพีที่แอบมองอยู่เช่นกันก็รู้สึกดีใจไปกับเพื่อนด้วย


“ที จอน” พีตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสอง


“ว่าไงพี” ทีทักกลับทั้งๆที่ยังถอดเสื้ออยู่ รอยช้ำปรากฏบนหัวไหล่อย่างชัดเจน


“แผลนายเอาเรื่องอยู่นะที” พีถามถึงอาการของเพื่อน


“ไม่เป็นไรน่า ก็จอนเค้าดูแลเราอยู่ นายนั่นแหละ ก้องมองไม่เห็น แล้วใครจะทายาให้นาย”


“ให้ผมช่วยทายาให้มั้ยครับ” จอนแกล้งเสนอตัวช่วยทายาให้พีเพื่อจะยั่วโมโหที


“อย่าดีกว่าจอน” พีปฏิเสธเมื่อเห็นแววตาหวงจอนของที


“ทำไมล่ะครับ ผมทายาเก่งนะ” จอนยังคงเสนอตัว


“เรามีคนทายาให้แล้วล่ะ” พีตอบยิ้มๆ


“ใครเหรอ” ทีและจอนถามออกมาพร้อมกัน


“ก็ก้องไง”


“แต่ก้องเค้า...ก็...ก้องเค้า...” ทีกำลังสงสัย


“ถึงก้องเค้ามองไม่เห็น แต่ประสาทสัมผัสทางมือน่ะแม่นมากนะ”


“เหรอครับ”


“งั้นก็ตามใจพีเถอะจอน พีเค้ามีก้องคอยทายาให้แล้ว คุณมาทายาให้ผมต่อเถอะ” ทีหยิบยาอีกหลอดส่งให้กับพี แล้วก็เดินจูงมือจอนให้ไปทายาต่อ ซึ่งจอนก็ตามไปโดยดี จากนั้น พีก็เดินยิ้มขึ้นห้องชั้นบนไป ทว่า แม่ของทีกลับส่ายหน้าอย่างกังวล


“ทำไมแม่ทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” ทีถามแม่ทันทีที่สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกตินั้น


“นั่นสิครับแม่ พีเค้าทำไมเหรอครับ” จอนเองก็สงสัยด้วยคน


“แม่เป็นห่วงยายเมน่ะสิที จอน”


“ทำไมเหรอครับ” ทีและจอนเอ่ยถามพร้อมกัน


“เราสองคนน่ะ ไม่ทันสังเกต แต่แม่ดูออกนะ เมื่อก่อน ตอนที่แม่กับเมยังไม่รู้ว่าพีเค้าเป็น...แบบเราสองคนน่ะ ยายเมเค้า ... แอบชอบพีอยู่”


“หา.... เมแอบชอบพี จริงๆเหรอครับ” ทีกับจอนอุทานออกมาพร้อมกัน


“ก็ใช่น่ะสิ ยายเมน่ะ แอบชอบพีมานานแล้ว แล้วตอนนี้ ยายเมก็ยังไม่รู้ว่าพีเค้า.... เฮ้อออ ... แม่สงสารน้อง กลัวว่า ถ้ายายเมรู้ความจริงว่าพีเค้ามีก้องเป็นคนรักแล้ว เค้าจะทำใจไม่ได้น่ะสิลูก”


“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะครับ” จอนถามอย่างห่วงใย แต่ทั้งแม่และทีก็ได้แต่ส่ายหน้า


...


...





Create Date : 04 มีนาคม 2553
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:25:32 น.
Counter : 817 Pageviews.

12 comment
ตอนที่ 03 +++ แต่เราก็หากันจนเจอ +++





“ก้องงง ... ก้องงง .... คุณอยู่ไหน ก้องงง” พีพยายามตะโกนเรียกชื่อคนรัก ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆ แต่ก็ฟังภาษาไทยไม่เข้าใจอยู่ดี



“พี ..... พี ......” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น


“ที... จะทำไงดีที ก้องหายไป” พีรวิชญ์ครวญครางกับชายหนุ่มหน้าตาดี ที่เข้ามาทักตน ที เพื่อนสนิทของพีรวิชญ์ ชายหนุ่มผิวเข้มรูปร่างคมขำ ล่ำสันแบบพระเอกละคร


“ใจเย็นๆน่าพี เดี๋ยวนายเดินหาบริเวณนี้ให้ทั่วๆอีกรอบนึงนะ เราจะเอารถไปจอดที่ลานด้านใน แล้วอีกสิบห้านาทีค่อยออกมาเจอกันที่ด้านหน้าเทอร์มินอลนะ” ทีบอกกับเพื่อน


“อือ...” พีรับคำ แต่น้ำเสียงยังสั่นเครือ แสดงถึงความกังวลใจอย่างมาก สองตาค่อยๆมองรถยนต์ส่วนบุคคลของเพื่อนสนิท ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังลานจอดรถด้านใน ส่วนตัวพีรวิชญ์เองก็เริ่มวิ่งหาริมทางเท้าอีกครั้ง ด้วยความหวังว่า ก้องบดินทร์จะไม่หายไปไหนไกล


“ก้องงงง... ก้องงงงง... คุณอยู่ที่ไหน ก้องงงงง....” พีรวิชญ์พยายามตะโกนเรียก และวิ่งหาไปทั่วบริเวณนั้น แต่ก็ยังไม่พบเสียที


“คุณคะ คุณ... มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่ง ร้องเรียกพีรวิชญ์ ชายหนุ่มหันไปมอง ปาดคราบน้ำตาบนหน้า แล้วเดินเข้าไปหา ถึงจะไมรู้จักกัน แต่สถานการณ์แบบนี้ มีคนไทยซักคนมาช่วยหาก้อง ก็คงจะดีไม่น้อย


“ครับ..คุณ”


“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ ชั้นเห็นคุณตะโกนร้องเรียกชื่อเพื่อนอยู่น่ะคะ หลงกันเหรอคะ”


“ครับ คือ..เพื่อนผมเค้าพลัดหายไปน่ะครับ”


“แล้วทำไมท่าทางคุณ ถึงได้ร้อนรนขนาดนั้นล่ะคะ”


“คือเพื่อนผมเค้าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก แถมตาของเค้าก็..มองไม่เห็นด้วย ผมก็เลย..”


“งั้น...ให้ชั้นช่วยหาอีกคนมั้ยคะ จะได้เจอไวๆ”


“ก็ดีครับ ขอบคุณมากนะครับ คุณ เอ่อ...”


“ชั้นชื่อ..ทรายค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”


“ผม...พีรวิชญ์ครับ เรียกว่าพีเฉยๆก็ได้ครับ”


“ค่ะ คุณพี แล้วคุณพอจะมีรูปเพื่อนคุณบ้างมั้ยคะ”


“นี่ครับ รูปคู่ผมกับก้อง” พีส่งรูปที่ตนเคยถ่ายคู่กับก้องให้หญิงสาวดู เป็นรูปที่ถ่ายคู่กันที่ระยอง ไหล่อิงไหล่ คออิงคอ จากฝีมือการถ่ายของเจ๊ตุ่ม หญิงสาวเอาขึ้นมาดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้


“นี่คุณพีกับคุณก้องเป็น...........” แววตาของทรายจ้องตาของพีอย่างคนอยากรู้คำตอบ


“ว่าไงนะครับ....” พีแกล้งทำเสียงกลบเกลื่อน


“เปล่าคะ คือ... ชั้นดูรูปคุณสองคนแล้ว อดนึกถึงเพื่อนชั้นสองคนไม่ได้ เค้าก็อยู่อเมริกานี่แหละค่ะ แต่ก็ไม่เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”


“คุณทรายครับ งั้นเดี๋ยวคุณไปหาทางขวานะครับ ผมจะไปหาทางซ้ายเอง แล้วอีกซักสิบนาที เราไปเจอกันที่เทอร์มินอลนะครับ”


“ค่ะ” ทรายรับคำ แล้วชายหนุ่มหญิงสาว ก็แยกย้ายกันออกไปตามหาก้องบดินทร์ต่อไป


.....


.....



ผ่านไปกว่าสิบนาที พีรวิชญ์ตามหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบก้องบดินทร์แต่อย่างใด จึงมารอเจอคนอื่นๆที่จุดนัดหมาย ขณะเดียวกับที่ ทีเพื่อนสนิทของพี ที่วิ่งตามหาในส่วนอาคารด้านใน ก็ไม่พบเช่นกัน ความหวังหนึ่งเดียวที่เหลือของพีก็คือทราย เพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักเท่านั้น


“นายแน่ใจนะ ว่านัดเค้ามาเจอที่นี่” ทีถามเพื่อน


“ก็เออดิวะ แต่ไม่รู้เค้าหายไปไหน นี่ก็เลยเวลามานานแล้วนะเว้ย” พีตอบ


“สงสัยเค้าคงหาไม่เจอ ก็เลยกลับไปแล้วมั้ง”


“แล้วจะทำยังไงต่อดีวะ” สีหน้าและน้ำเสียงของพีแสดงความเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด


“เอางี้ เดี๋ยวเราไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้เค้าช่วยประกาศให้ ส่วนนาย ก็นั่งรอคุณทรายอยู่ที่นี่แหละ” ทีเร่งฝีเท้าเดินออกไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน ทรายก็เดินเข้ามาพอดี แต่ก็ไม่ทันได้เจอกับที


“คุณทราย .. เจอก้องมั้ยครับ” น้ำเสียงพีรวิชญ์ตั้งความหวัง


“เสียใจด้วยนะคะ ชั้นหาจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่เจอคุณก้องเลย” ทันทีที่ทรายพูดจบ พีรวิชญ์ก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้น สองมือกุมขมับ ก่อนจะทุบพื้นเสียงดังเพราะโมโหตัวเอง พร้อมกับโวยวายด่าตัวเองไปด้วย ทรายมองแล้วก็สงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง มือซ้ายก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู


“คุณพีคะ คือชั้นยังมีธุระอื่นอยู่ ยังไง.. ชั้นขอตัวก่อนนะคะ ขอโทษด้วยนะคะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” ทรายเดินผละจากพีมาได้สักพัก ก็เดินย้อนกลับไปอีกครั้ง

“นี่เบอร์โทรของชั้น ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วก็โทรมาบอกด้วยนะคะ” จากนั้นทรายก็เดินจากไป


“พี...” ทีเดินกลับมาหาเพื่อน ด้วยแววตาสงสาร


“เค้าว่าไงบ้างวะที” พีถามอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง


“เค้าให้เรากลับไปก่อน ทางสนามบินเค้าแจ้งตม.กับตำรวจท้องที่ไว้แล้ว แล้วก็ประสานไปยังสถานทูตแล้วด้วย ถ้าพบก้องเมื่อไหร่ เค้าจะโทรไปบอกที่บ้านเราเอง ถ้ายังไง กลับไปรอข่าวที่บ้านเราก่อนมั้ยพี แม่กับจอนคอยอยู่”


“แต่เรายังไม่อยากกลับ เรายังอยากจะหาต่ออีกซักพัก” พีบอกกับที


“ถ้างั้น พวกเราลองขับรถหาดูด้านนอกบ้างแล้วกัน เผื่อก้องจะหลงไปทางนั้น หรือไม่ก็มีใครช่วยไปแล้ว นายคล้องป้ายไว้ที่คอก้องไม่ใช่หรอ”


“จริงด้วย อาจจะมีใครใจดี พาก้องไปที่บ้านนายแล้วก็ได้” พีดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง


“งั้นเดี๋ยวเราไปเอารถออกมานะ นายไปคอยที่เดิมแล้วกัน”


.....




.....




รถแท็กซี่เคลื่อนออกจากสนามบินไปตามถนนที่ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังคนขับ นั่งชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ผ่านตรอกซอยต่างๆมากมาย ขณะที่รถกำลังติดสัญญาณไฟจราจร รถได้จอดที่หน้าปากซอยเล็กๆซอยหนึ่ง เธอก็มองเข้าไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับเห็นภาพผู้ชายคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น เสื้อแจ๊กเก็ตสีเทาสวมทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ลักษณะอย่างเดียวกับที่พีบอก กำลังพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็หยิบไม้เท้าคลำทางที่อยู่ใกล้มือ เดินไปเรื่อยๆราวกับว่าตามองไม่เห็น สะพายกระเป๋าข้างหนึ่ง กำลังเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวซอยนั้น


“Wait .. wait ..” หญิงสาวเรียกให้รถจอด จ่ายค่าโดยสารแล้วเดินเข้าไปในซอยนั้น ชายหนุ่มที่ตามองไม่เห็นพยายามเดินคลำทางไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จุดหมาย ปากก็พร่ำเรียกใครคนนึงอยู่


“พี.. พีอยู่ที่ไหน พี..” ชื่อเดียวที่ชายตาบอดคนนั้นนึกออก ถูกเอ่ยหาอย่างเลื่อนลอยและอ่อนล้า แต่เหมือนไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะบริเวณนั้น ไม่มีใครอยู่


“ก้อง .. ก้องใช่มั้ยคะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกชายคนนั้น


“ใครอะ ใครเรียกก้องหรอครับ” ชายหนุ่มตะโกนอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงภาษาไทย


“คือ.. ชั้นชื่อทรายนะคะ คุณคือก้อง เพื่อนพีที่พลัดหลงกันใช่มั้ยคะ”


“คุณรู้จักพีด้วยเหรอ แล้วพีเค้าอยู่ที่ไหนล่ะครับ” ก้องดีใจมากขึ้น เมื่อได้ยินคนเอ่ยชื่อพี


“พีเค้ายังอยู่แถวสนามบินน่ะค่ะ เค้าตามหาคุณไม่เจอก็เลยโวยวายใหญ่เลย ชั้นเห็นเป็นคนไทยเหมือนกัน ก็เลยช่วยตามหา ดีนะคะที่มาเจอคุณที่นี่ รู้มั้ยคะ ว่าที่นี่ห่างจากสนามบินตั้งไกลแน่ะ”


แทนคำตอบ ก้องใช้การส่ายหน้าบอกให้ทรายรู้ แต่ก็แอบคิดในใจ “คนตาบอดจะรู้ได้ไงวะ ว่าหลงมาไกลจากสนามบินตั้งเยอะ” แต่ก้องก็ยังยิ้มให้กับคุณทรายแทนการขอบคุณที่อุตส่าห์ช่วยตามหา


“ขอโทษค่ะ ชั้นก็ลืมนึกไป ว่าคุณก้องมองไม่เห็น แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามาไกลแค่ไหน”


“คือผมโดนชนแล้วก็โดนผลักไปเรื่อยๆน่ะครับ พอจะลุกขึ้นได้ จู่ๆก็สลบไป แล้วมารู้สึกตัวตรงนี้แหละครับ” ก้องพยายามปะติดปะติดปะต่อเรื่องราว แล้วเล่าให้ทรายฟัง


“มาค่ะคุณก้อง เดี๋ยวชั้นพาคุณไปส่งบ้านคุณทีเอง”


“แต่ผมไปไม่ถูก”


“ก็ที่คล้องอยู่บนคอคุณไง”


“จริงด้วย ผมนี้แย่จริงๆเลย แค่นี้ก็นึกไม่ออก”


“นี่ดีนะ ที่คุณพกของมีค่าติดตัวไม่เยอะ หายไปแค่โทรศัพท์มือถือกับเงินนิดหน่อย”


“พีเค้ารอบคอบอะครับ ก็เลยให้ผมเก็บติดตัวแค่เอกสารสำคัญประจำตัว ไม่งั้นคงจะแย่กว่านี้”


“แต่ถ้ารอบคอบกว่านี้ ก็คงจะไม่พลัดหลงกันล่ะมั้ง” ทรายบ่นเบาๆ


“คุณทรายว่าไงนะครับ” ก้องที่ฟังไม่ถนัดเอ่ยถาม


“เปล่าหรอกค่ะ ไปเถอะ ถึงบ้านคุณทีแล้ว ค่อยให้เค้าโทรติดต่อคุณพีให้คุณ”


“ขอบคุณนะครับคุณทราย” ก้องเอ่ยขอบคุณเพื่อนใหม่คนไทยด้วยกันอย่างจริงใจ



.....


.....



เกือบจะถึงบ้านของทีอยู่แล้ว แต่ทางข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุ รถแท็กซี่ไม่สามารถผ่านไปได้ ทรายจึงตัดสินใจพาก้องลงจากรถและเปลี่ยนเป็นเดินไปแทน


“เดินเอาหน่อยนะคะ เหลือระยะทางอีกหน่อยเดียวเอง”


“ก็ได้ครับ”


ทรายพาก้องเดินไปตามทางเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่เร็วนัก ขณะนั้นเอง ก็มีกลุ่มสตรีตบอยผ่านมาพอดี ก้องที่มองไม่เห็นเผลอไปเคาะไม้ถูกเท้าของชายคนหนึ่งซึ่งคาดว่า น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม อันธพาลกลุ่มนั้นกุ้มรุมกันจะทำร้ายก้อง ผลักก้องล้มลงจนไม้เท้าหลุดจากมือ พอคุณทรายเข้าไปตวาดไล่ ก็ถูกผลักล้มลงอีกคน แล้วสตรีตบอยกลุ่มนั้นก็เริ่มแซวหญิงสาวด้วยวาจาหยาบโลนที่ก้องแปลความได้ไม่มากนัก ก้องพยายามใช้วาจาสุภาพ ขอโทษเป็นภาษาอังกฤษ แต่ดูเหมือนจะได้รับผลที่ไม่ดีนัก หนึ่งในนั้นดึงคอเสื้อของก้องขึ้นมา ทั้งๆที่ก้องตาบอด แต่มันก็ชกก้องล้มลง เลือดเริ่มหยดไหลออกมาจากริมฝีปากสีชมพูอิ่มของชายหนุ่ม อีกคนหนึ่งก็เข้ามาคร่อมบนร่างของก้อง พยายามจะชกซ้ำที่ริมฝีปากข้างเดิม เงื้อหมัดเต็มแรงและชกลงมา


มือข้างขวาใส่นาฬิกาของใครคนหนึ่งมารับหมัดนั้นไว้ได้ทัน ก่อนจะใช้หมัดซ้ายชกสวนออกไป อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มผิวสีเข้มอีกคนหนึ่งก็คว้าไม้มาจากข้างทาง วิ่งไล่ตีกลุ่มอันธพาลที่เหลือ ชายหนุ่มคนไทยสองคน กับอันธพาลเจ้าถิ่นสี่คน การต่อสู้ของฝ่ายแรกค่อนข้างเสียเปรียบเรื่องจำนวนอยู่แล้ว แต่ใจสู้นั้นชนะขาด โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เข้ามารับหมัดให้ก้องนั้น สู้ไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว แม้จะโดนทั้งหมัด ทั้งเข่าอัดใส่ร่างกายอยู่หลายครั้ง แต่ก็สู้ไม่ถอย และไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายชายตาบอดที่ล้มอยู่ข้างๆ ทรายเข้ามาช่วยประคองก้องให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินหลบไปอีกข้าง ปากก็ตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษ จนกระทั่งเริ่มมีคนมาให้ความสนใจมากขึ้น สตรีตบอยกลุ่มนั้นจึงล่าถอยออกไป


“ก้องงงง ก้องงงง คุณเป็นไงบ้างก้อง” ชายคนที่เข้ามาช่วย วิ่งไปหาก้องทันทีที่ลุกขึ้นได้


“พี พี คุณใช่มั้ยพี” ก้องร้องเรียกด้วยความดีใจพร้อมน้ำตา


“ผมอยู่นี่แล้วก้อง ผมอยู่นี่แล้ว” พีพยายามปลอบโยนก้อง


“พี...” ก้องกอดร่างของพีไว้ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้กอดอีกกระนั้น


“ไม่เป็นไรนะก้อง ไม่เป็นไรนะ เจ็บมากมั้ย ฮึ” พียังคงปลอบก้อง ทั้งๆที่ตัวเองเจ็บหนักกว่าเสียอีก แต่เพราะความดีใจที่ได้เจอคนรัก ทำให้ลืมอาการเจ็บของตนไปสนิท


“ผมกลัว พี.... ผมกลัว”


“ผมขอโทษนะก้อง ผมขอโทษ ผมปล่อยให้คุณต้องลำบาก ผมม...”


“ผมรู้พี.. ผมรู้.. คุณอยู่นี่แล้วไงพี คุณเพิ่งจะช่วยผมไว้”


“ก้อง.....” พีกระชับร่างของก้องไว้แน่นเช่นกัน โดยไม่สนใจสายตาของชาวอเมริกันท้องถิ่นที่มามุงดูกันอยู่เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นมีคนไทยรวมอยู่ด้วย


“ที....” คนไทยที่เพิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์วิ่งไปประคองร่างของเพื่อนสนิทพีที่หกล้มจาการต่อสู้


“จอน...” เพื่อนสนิทของพีเรียกชื่อผู้ที่เข้ามาประคองตน


“คุณเป็นไงบ้าง แล้วเรื่องมันเป็นยังไงเนี่ยยย” จอนเอ่ยถามที


“ผมว่าเรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า ไปบ้านผมก่อนนะครับ คุณทราย” ทีชวนทราย


“นี่ทีรู้จักกับคุณทรายด้วยหรอ” พีถามอย่างแปลกใจ


“รู้สิพี เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง เข้าบ้านก่อนเหอะ” ทีเอ่ยปากให้ทุกคนเดินกลับไปบ้าน โดยมีจอนประคองที และพีเดินจูงมือก้อง โดยมีทรายประคองพีอีกทีหนึ่ง


“ผมดีใจนะ ที่ผมหาคุณเจอ” พีบอกกับก้อง


“ทำไมล่ะ” ก้องย้อนถาม


“ก็ถ้าผมหาคุณไม่เจอ แล้วคุณจะทำยังไง” พีถามไปยิ้มไป


“ก็ไม่ทำไง เพราะผมเชื่อใจคุณ ว่าคุณต้องตามหาผมจนเจอ” ก้องยิ้มกับคำตอบของตน พีเองก็ยิ้มเช่นกัน แล้วกระชับมือของก้องที่ตนจูงอยู่ให้แน่นยิ่งขึ้น


.....




.....





Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:26:01 น.
Counter : 428 Pageviews.

27 comment
ตอนที่ 02 +++ หาย +++




เพราะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มขึ้นเครื่องบินเดินทางไกลข้ามประเทศ ก้องบดินทร์จึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ หลังจากลืมตาตื่นได้ซักพัก นักกายภาพบำบัดหนุ่มก็รู้ตัวว่า หูฟังเพลงหายไปจากศีรษะแล้ว ชายหนุ่มจึงเอี้ยวศีรษะมองไปทางซ้าย เพื่อดูบรรยากาศรอบตัว แต่เพราะตาที่มองไม่เห็น ความรู้สึกหดหู่จึงเข้าเกาะกุมหัวใจของหนุ่มน้อย มือซ้ายพยายามไขว่คว้าหาที่พึ่งหนึ่งเดียวที่นึกออก แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีคนนั่งอยู่บนที่นั่งด้านซ้ายมือเหมือนตอนขึ้นเครื่องมาแต่อย่างใด



“พี” ก้องเรียกเบาๆ กลัวรบกวนผู้โดยสารคนอื่นจะว่า แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา

“พี...” เสียงเริ่มพร่าเล็กน้อย เพราะกังวลจนทำอะไรไม่ถูก แต่นักกายภาพบำบัดหนุ่มก็พยายามรวบรวมสติ และนั่งนิ่งเฉยๆ ถึงใจจะสั่น แต่ก็ไม่กระโตกกระตาก


หนึ่งนาทีผ่านไป


สามนาทีผ่านไป


ห้านาทีผ่านไป




“ก้อง...” เสียงคุ้นหูทำให้หนุ่มตาบอดใจมาเป็นกอง

“พี พี อยู่ไหนอะ พี” เมื่อรู้ว่าคนรักอยู่ใกล้ๆ ใจสั่นๆที่ฝืนไว้ก็ระเบิดความกลัวออกมาให้คนรักเห็น พีจึงต้องรีบคว้าข้อมือของก้องมาจับไว้แน่นๆ

“ก้อง ผมอยู่นี่ ผมอยู่นี่ไง” พีจับมือของก้องมาแนบที่อกตัวเอง

“คุณไปไหนมาอะพี รู้มั้ย เมื่อกี๊ผมกลัวแทบแย่” ก้องแสดงความอ่อนแอออกมาให้พีเห็น

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ผมกลับมาแล้ว ผมอยู่กับคุณที่นี่แล้ว” พีบีบมือก้องแน่นขึ้น

“ผมกลัวนี่พี ผมไม่เคยนั่งเครื่องบินไกลๆ ผมไม่รู้จักใคร แล้วผมก็มองไม่เห็นด้วย”

“ผมรู้ก้อง ผมรู้ ขอโทษทีนะ ผมเห็นคุณหลับอยู่ ก็เลยลุกไปห้องน้ำโดยไม่ได้บอกคุณ จริงสิ คุณอยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า เดี๋ยวผมพาไป” แทนคำตอบ ก้องบดินทร์ใช้การพยักหน้า พีรวิชญ์จึงลุกขึ้น แล้วจูงมือก้องบดินทร์ที่ลุกตามมาไปห้องน้ำ ท่ามกลางสายตาสงสัยของใครหลายคน แต่เมื่อสังเกตจนรู้ว่าก้องมองไม่เห็น จึงเลิกสงสัยไปเอง

“แล้วนี่ต้องให้ผมช่วยรึเปล่าก้อง” พีรวิชญ์พูดขณะอยู่ในห้องน้ำกับก้องบดินทร์

“ไม่ต้องแล้ว ที่เหลือผมทำเองได้ ออกไปเลย ห้องยิ่งแคบๆอยู่” นักกายภาพบำบัดหนุ่มจอมเหวี่ยงไล่นักแข่งรถหนุ่มจอมตื๊อออกไปจากห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัวตามลำพัง

“คราวนี้ไม่กลัวแล้วหรอ แน่ใจนะ ว่าผมไม่ต้องอยู่ด้วยอะ”

“ไม่ต้องเลยพี คุณน่ะเฝ้าหน้าห้องน้ำก็พอ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะเรียกเอง”

“ครับ รับทราบแล้วครับ”

“งั้นก็ออกไปได้แล้ว” พูดจบ ก้องบดินทร์ก็คลำหาประตูห้องน้ำแล้วปิดลงเบาๆ


.....


.....




ที่สนามบิน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมาเนืองแน่น พีรวิชญ์หยิบป้ายคล้องคอออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ แล้วคล้องลงบนคอของนักกายภาพบำบัดของตน


“อะไรอะพี” ก้องบดินทร์เอ่ยถาม

“ป้ายคล้องคอ ผมเขียนชื่อที่อยู่ของที เพื่อนผมเอาไว้ เผื่อคุณหลงทางน่ะ”

“แล้วเพื่อนคุณเค้าอยู่ไกลจากที่นี่รึเปล่า” ก้องถามอย่างกังวล

“ก็ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวพอกระเป๋ามาถึง ผมก็จะพาคุณออกไปเรียกแท็กซี่เลย”

“อ้าววว...แล้วเพื่อนคุณไม่มารับหรอ” ก้องบดินทร์เอ่ยถามอย่างกังวลเช่นเดิม

“ทีแรกก็ว่าจะมา แต่ก่อนขึ้นเครื่องจากเมืองไทย ผมโทรเช็กแล้ว มันบอกว่าติดธุระ ให้เราขึ้นแท็กซี่ไปที่บ้านมันได้เลย”

“หรอ...” ก้องบดินทร์ตอบเบาๆ จากนั้นก็ลองใช้ไม้เท้าเคาะพื้นสำรวจทางไปเรื่อยๆพร้อมกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินๆคล้ายกับเหม่อลอย

“ก้อง... คุณเป็นอะไรน่ะ”

“เปล่าพี ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดอะไรนิดหน่อย”

“อะไรหรอ”

“สมมติน่ะ สมมติว่าผมพลัดหลงกับคุณ แล้วผมจะทำไงดี”

“อย่ากลัวไปเลยก้อง ผมสัญญาแล้วไง ว่าผมจะดูแลคุณอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...”

“เราจะไม่ทิ้งกัน....”

“ใช่... เพราะฉะนั้นก้อง.. อย่ากลัว”

“จริงสิ....คุณเคยบอกว่าจะเป็นตาให้ผมนี่เนอะ แล้วผมจะกลัวหลงทำไม”

“จ้ายาย .... ก้อง ผมขอเอกสารที่คุณถืออยู่หน่อยดิ”

“ทำไมหรอ” ก้องบดินทร์ส่งเอกสารในมือให้กับพีรวิชญ์

“เดี๋ยวผมเอาพาสปอร์ตกับวีซ่าของคุณใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายนะ แล้วคุณก็สะพายไว้เอง ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าคุณเดี๋ยวผมลากไปให้” พีรวิชญ์พูดจบก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กระเป๋าเดินทางของทั้งคู่ผ่านเครื่องตรวจมาตามสายพานพอดี พีรวิชญ์ใช้มือซ้ายจับหูกระเป๋าทั้งสองใบแล้วลากไปข้างหน้า ขณะที่มือขวาก็จับมือซ้ายของก้องบดินทร์ ที่ใช้มือขวาของตนถือไม้เท้าคอยคลำทาง



ทั้งคู่เดินออกมาจนพ้นเขตผู้โดยสารขาออก พีรวิชญ์เรียกรถแท็กซี่มาหนึ่งคัน เมื่อรถมาจอดเทียบริมทางเท้าแล้ว กระโปรงหลังก็เปิดขึ้น พีรวิชญ์จูงมือก้องบดินทร์มายืนเกาะขอบประตูรถ ก่อนจะปล่อยมือขวาของตนจากมือซ้ายของคนรัก



“ก้อง เดี๋ยวคุณยืนรอนิ่งๆอยู่ตรงนี้นะ ผมจะเอากระเป๋าไปใส่กระโปรงท้ายรถก่อน”

“อือ” ชายหนุ่มตาบอดตอบสั้นๆ



ระหว่างที่พีรวิชญ์กำลังช่วยกับคนขับรถยกกระเป๋าใส่กระโปรงท้ายรถอยู่นั้น จังหวะที่เปิดกระโปรงขึ้น ทำให้นักแข่งรถหนุ่มไม่สามารถมองเห็นคนรักที่ยืนอยู่ได้ เพราะก้องบดินทร์ถูกบังด้วยกระโปรงรถเสียแล้ว นักกายภาพบำบัดหนุ่มยืนนิ่ง พยายามฟังเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว



ผู้คนเบียดเสียดออกมาจากสนามบินอย่างคับคั่ง หลายคนโบกเรียกรถแท็กซี่ อีกหลายคนก็มีรถส่วนตัวมาจอดรอรับ ริมทางเท้าที่ก้องบดินทร์ยืนเกาะประตูรถอยู่ ก็หนีไม่พ้นแรงผลักของความรีบเร่ง ด้วยสายตาที่มองไม่เห็น จู่ๆก็มีแรงกระแทกเหมือนถูกใครเข้ามาชนให้เซออกไปพ้นจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ แขนขวาพยายามเหยียดออกเพื่อคลำหารถแต่กลับคว้าเพียงอากาศที่ว่างเปล่า



“พี ... พี” ชายหนุ่มพยายามร้องเรียกชื่อคนรักที่ยังคงขนสัมภาระขึ้นรถไม่เสร็จ เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าของพีรวิชญ์ตกไปที่พื้น ทำให้กระเป๋าเปิดออก เจ้าของและคนขับรถต้องช่วยกันก้มลงเพื่อเก็บของเข้าในกระเป๋าเหมือนเดิม บวกกับเสียงผู้คนเดินไปมา ตะโกนโหวกเหวก และเสียงแตรรถที่ส่งเสียงดัง ทำให้เสียงเรียกของนักกายภาพบำบัดหนุ่มตาบอดไม่อาจไปถึงโสตประสาทของคนรักที่กำลังก้มเก็บกระเป๋าอยู่ได้


อึกกกกก!!!!!


อีกครั้ง ที่ก้องบดินทร์ถูกชนให้เซถอยห่างออกไป และอีกหลายๆครั้งก็ตามมา แต่ถึงจะพยายามเรียกอีกหลายครั้ง พีรวิชญ์ก็ยังไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นอยู่ดี ชายหนุ่มถูกคลื่นมหาชนถาโถมจนร่างกายของตนค่อยๆห่างจากคนรักออกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และพ้นสายตาไปในที่สุด



หลังจากจัดการกับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว กระโปรงหลังรถก็ถูกปิดลง พีรวิชญ์ยืนปัดฝุ่นออกจากมือก่อนจะร้องเรียกหาคนรักที่ตนคิดว่ายืนคอยอยู่


“ไป... คุณ ขึ้นรถได้ ผมยกของเสร็จแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกโดยยังไม่ทันหันไปมอง

“ก้อง...” พีรวิชญ์เรียกชื่อของก้องบดินทร์เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงตำแหน่งที่คนรักยืนอยู่เมื่อครู่ แต่ร่างนั้นกลับไม่อยู่เสียแล้ว

“ก้องงงง.... ก้องงงง.... คุณอยู่ไหน ก้องงงงง” ชายหนุ่มตะโกนเรียกด้วยความตกใจ ความกังวล ความกลัว และความกระวนระวาย แต่ก้ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา

“Sir…..hey … where r your friend?” เสียงคนขับรถเอ่ยถาม แต่พีรวิชญ์ไม่ได้ตอบ ได้แต่ทำสีหน้าตกใจ และส่ายหน้าออกไปด้วยความกังวล ได้แต่เดินไปมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เดี๋ยวก็เท้าสะเอว เดี๋ยวก็ก่ายหน้าผาก วิ่งไปรอบพื้นที่ใกล้ๆเพื่อมองหานักกายภาพบำบัด คนรักของตน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา ปากก็เริ่มร้องครวญด้วยความรู้สึกแย่ๆภายใน มือขวาข้างที่ใส่นาฬิกาก็ทุบไปบนหลังคาแท็กซี่อย่างคนอารมณ์เสีย ทำเอาคนขับรถตกใจและโมโหไม่น้อย



รถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ตำแหน่งที่พีรวิชญ์ยืนอยู่ ชายหนุ่มหน้าตาดี อายุประมาณเดียวกันกับพีรวิชญ์เป็นคนขับเข้ามาจอดใกล้ๆกับแท็กซี่ที่พีรวิชญ์เรียกมา ก่อนจะลงจากรถยนต์คันดังกล่าวแล้วตรงเข้ามาหานักแข่งรถหนุ่ม


“พี ... ไอ้พี” ชายผู้มาใหม่ร้องเรียก

“ที” พีรวิชญ์เรียกกลับ

“เป็นอะไรวะ ตะโกนร้องลั่นเลย”

“ก้อง ก้องหายไป” เสียงพีสั่นเครือ ตอบไปพร้อมน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าตาเล็กน้อย

“You….” คนขับรถแท็กซี่เข้ามาเรียกถามว่าจะทำยังไงต่อไป รปภ.สนามบินก็เริ่มเดินมาหาแล้ว เพื่อนของพีรวิชญ์จึงตัดสินใจจ่ายค่าเสียเวลาให้คนขับรถแท็กซี่ พร้อมกับย้ายสัมภาระของพีและก้องมาใส่ในรถของตน ขณะเดียวกัน พีเองก็เที่ยววิ่งตามหาก้องให้ควั่ก

“ก้องงง ... ก้องงง .... คุณอยู่ไหน ก้องงง” พีพยายามตะโกนเรียกชื่อคนรัก ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆ แต่ก็ฟังภาษาไทยไม่เข้าใจอยู่ดี



“พี ..... พี ......” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น


....


...



Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:26:33 น.
Counter : 494 Pageviews.

15 comment
ตอนที่ 01 +++ ออกเดินทาง +++



ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องนอนของหญิงสาว

“เข้ามาได้เลยค่ะ” เจ้าของห้องเอ่ยออกไปดังๆ

ชายหนุ่มคนหนึ่ง ผลักประตูเข้ามาเบาๆ มือซ้ายพยายามวาดแขนไปข้างหน้าเพื่อคลำทาง ในขณะที่มือขวาก็ถือไม้เท้า เคาะพื้นบอกจังหวะการเดินของตนเอง

“ก้อง มีอะไร ให้พี่ไปหาก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากมาด้วยตัวเองเลย แล้วนี่พีกลับไปแล้วหรอ” แก้วกัญญาบ่นน้องชายที่พยายามมาที่ห้องตนทั้งๆที่ตายังมองไม่เห็น

“กลับไปแล้วพี่แก้ว ก้องเข้านอนแล้ว แต่นอนไม่หลับ ก็เลยแวะเข้ามาคุยกับพี่แก้วน่ะ” ก้องบดินทร์ตอบพี่สาวของตน

“มีอะไรเหรอก้อง”

“พี่แก้ว อาทิตย์หน้าก้องต้องไปอเมริกาแล้วนะ”

“หมอที่โน่นเค้านัดวันมาแล้วหรอ” น้ำเสียงแก้วกัญญาเป็นกังวลเล็กน้อย

“ฮะ.. เพิ่งโทรมาบอกเมื่อหัวค่ำ ก่อนที่พีจะกลับน่ะ”

“แล้วก้องบอกแม่รึยัง”

“บอกแล้ว และแม่ก็เอาเอกสารของก้องให้พีไปทำวีซ่าให้แล้วด้วย”

“ดีแล้ววว ก้องไปรักษาตาแล้ว จะได้กลับมาเห็นพี่ในชุดเจ้าสาวไง”

“ก้องแค่อยากบอกพี่แก้ว พี่แก้วอย่าเลื่อนงานแต่งงานกับพี่ปอเลยนะ” น้ำเสียงของก้องบดินทร์อ่อนโยน แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อพี่สาวของตน

“เราคุยกันเรื่องนี้แล้วไงก้อง ตราบใดที่ก้องยังมองไม่เห็น พี่ก็จะยังไม่ยอมแต่งงานเด็ดขาด” น้ำเสียงแก้วกัญญาแข็งขัน

“แล้วพี่แก้วไม่สงสารพี่ปอหรอ รอมาตั้งหกปีครึ่งแล้วนะ”

“แล้วจะให้พี่ทิ้งก้องกับแม่ไปได้ไงล่ะ ปอเค้ารักพี่ ยังไงเค้าก็ต้องเข้าใจ”

“แต่ก้องไม่อยากเป็นต้รเหตุให้....”

“งั้นก้องก็ต้องไปรักษาเร็วๆสิ แล้วรีบหาย กลับมาดูเจ้าสาวแก้วกัญญาด้วยตาของก้องเองไง ไม่มีพี่กิ่งแล้ว พี่ก็เหลือแค่ก้องเป็นน้องคนเดียว พี่ต้องทำหน้าที่ดูแลแม่ดูแลก้องแทนพี่กิ่งด้วย ดังนั้น ก้องต้องหาย ต้องมองเห็นนะ พี่จะได้แต่งงานอย่างหมดห่วง”

“พี่แก้ว” ก้องบดินทร์โผเข้าหาพี่สาวของตน น้ำตาเอ่อคลออยู่ที่เบ้าตา ของดวงตาสองข้างที่มองไม่เห็น แต่สะท้อนความรักความห่วงใยที่พี่น้องมีต่อกันได้ดีกว่าตาดีๆเสียอีก

“ก้องเอ๊ยย” แก้วกัญญาประโลมน้องชายขี้แงของตน พูดจบก็ดึงร่างของน้องชายเข้ามาสวมกอดอย่างเบามือ ก้องบดินทร์ก็สวมกอดพี่สาวด้วยความรักเช่นกัน

“แล้วถ้าก้องไปแล้ว พี่แก้วไม่เหงาแย่หรอ”

“พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะได้เป็นลูกแหง่ขี้เหงา ขี้อ้อนเหมือนเราน่ะ ที่พูดเนี่ย กลัวตัวเองจะเหงาอะดิ” พี่สาวกระเซ้าน้องชาย

“ก็... ไม่รู้ดิ คนไม่เคยไปเมืองนอกนี่นา”

“มีพีคอยดูแลก้อง พี่ค่อยไว้ใจได้หน่อย ว่าแต่ เรื่องที่บริษัทคุณพิพัฒน์ไม่มีปัญหาแน่นะ”

“ตอนนี้พี่เค้าถือหุ้นใหญ่อยู่น่ะพี่ เพราะเค้าได้หุ้นพี่ชายพิการของเค้ามาด้วย แต่พี่เค้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ก็เลยมอบหมายให้คุณทนายคนนั้น ที่เคยมาบ้านเราน่ะ ช่วยเป็นธุระเรื่องขายหุ้นบางส่วนไปซะ

“แล้วพีเค้าไม่เสียดายบริษัทของพี่เค้าหรอ”

“จะเสียดายทำไม ก็ขายหุ้นให้พี่ปอไง พี่ปอจะได้ควบรวมกิจการได้ง่ายๆ พีเค้ารอใช้เงินปันผลก็พอแล้วมั้ง เค้าบอกว่าจะเอาเงินที่ขายหุ้นบางส่วนมาลงทุนทำอะไรที่เค้าชอบดีกว่า”

“หรอ ก็ดีเนอะ แล้วพีเค้าอยากจะทำอะไรล่ะ” แก้วกัญญาเอ่ยถามก้องบดินทร์ที่ตอนนี้เลิกร้องไห้กอดพี่สาวแล้ว แต่เปลี่ยนมานอนหนุนตักแทน ให้พี่สาวลูบผมเล่น

“พีเค้ายังไม่รู้เลยพี่แก้ว เอาไว้ให้ก้องหายดีแล้วกลับมาก่อน ค่อยคิดอีกที

“อือ...” แก้วกัญญาตอบรับคำตอบของน้องชาย ที่แกล้งนอนหลับบนตักของพี่สาวไปแล้ว

“ไม่เอานะก้อง ลุกเดี๋ยวนี้เลย ไปนอนที่ห้องเราโน่น แน่ะ ยังไม่ลุกอีก” แก้วกัญญาใช้มือตีน้องชายเบาเพื่อกระตุ้นให้ก้องบินทร์ลุกออกจากตักของตน

“โห ขอนอนอีกหน่อยก็ไม่ได้ กำลังสบายเลยอะพี่แก้ว ตักพี่แก้วนิ้มนิ่มอะ”

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนเลย ไว้ไปอยู่อเมริกาแล้วค่อยไปอ้อนพีโน่น ไป กลับห้อง เดี๋ยวพี่ไปส่ง” แก้วกัญญาพยายามดึงก้องบดินทร์จนยอมลุกขึ้น แล้วพาน้องชายเดินไปส่งที่เตียงนอน




.....




.....




08.00 น. สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันเดินทางของก้องบดินทร์กับพีรวิชญ์


“ป้าฝากก้องกับพีด้วยนะลูก ป้ารู้ ว่าป้าไว้ใจและเชื่อใจคนไม่ผิด พีต้องดูแลลูกของป้าได้” ฟองจันทร์กำลังฝากลูกชายคนเล็กให้คนที่ลูกชายรักช่วยดูแล

“ครับคุณป้า ผมจะดูแลก้องอย่างดีครับ ผมสัญญาครับ” พีรวิชญ์โผร่างโปร่งของตนเข้ากอดร่างท้วมของหญิงชราที่อ้าแขนรับรออยู่แล้ว

“ก้องมานี่ลูก” ฟองจันทร์เรียกก้องบดินทร์ที่ยืนใกล้ๆเข้าไปหาตน

“ก้อง เราน่ะ ไม่เคยต้องห่างแม่ไปนานๆ คราวนี้ไปรักษาตาที่เมืองนอกตั้งเดือนนึง ไปอยู่โน่น ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ถึงพีเค้าจะดูแลก้อง แต่ก็อย่ารบกวนเค้ามากนัก แล้วเราน่ะ ต้องคอยดูแลพีเค้าด้วยล่ะ เข้าใจมั้ยลูก”

“แหม ป้าฟองคะ น้องก้องตาบอดนะคะ ต้องให้น้องพีคอยดูแลสิคะ ถึงจะถูก จะให้น้องก้องไปดุแลน้องพีเค้าได้ยังไง ใช่มั้ยไอ้เจ๋ง” เสียงเจ๊ตุ่มดังขึ้น

“ใช่จ้ะป้า เจ๊ตุ่มพูดถูก พีอะ ต้องเป็นฝ่ายดูแลน้องก้องอะ ถูกแล้ว” เจ๋งเสริมทัพอีกคน

“พวกเราจะไปรู้อะไร เรื่องภายนอกอะใช่ พีเค้าต้องดูแลก้อง แต่เรื่องภายในใจน่ะ ก้อง ต้องหมั่นดุแลพีบ้าง” ฟองจันทร์ตวาดหลานทั้งสองเบาๆ

“โถป้าฟอง น้องพีน่ะ เค้าโตเมืองนอกนะคะ อยู่คนเดียวมาได้ตั้งหลายปี พีเค้าเก่งออกจะตาย ใช่มั้ยพี” ผึ้งพยายามช่วยเจ๊ตุ่มกับเจ๋งอีกทางหนึ่ง

“ครับพี่ผึ้ง” พีรวิชญ์ตอบแบบมึนๆ

“พี ป้ารู้ว่าพีน่ะเก่ง แต่ลึกๆแล้ว พีน่ะ คงจะเหงามาก ไม่งั้นคงไม่ไปตะลอนแข่งรถหรอก แล้วไปเที่ยวนี้ พี่จะต้องดูแลก้อง คงจะไม่มีเวลาไปแข่งรถแก้เหงาได้อีก ป้ารู้ ว่าก้องไปเป็นภาระให้พีไม่สามารถเป็นอิสระได้เหมือนเมื่อก่อน แต่พีมีก้องอยู่เป็นเพื่อน พีจะเข้มแข็ง และไม่เหงาใช่มั้ยลูก พี่เองก็เหมือนกับปอ ที่ตอนนี้เราน่ะไม่มีใคร เพราะพี่ชายเราก็ป่วยอยู่แบบนั้น แต่ป้าอยากให้พี่จำไว้เสมอ ว่าพียังมีก้อง มีพวกป้านะลูก” คำพูดของฟองจันทร์ทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง คำพูดของหญิงสูงวัยที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย เคยบอบช้ำสาหัสจากการสูญเสียลูกสาวคนโตมาแล้ว แต่ทุกคนต่างคิดตรงกันว่าฟองจันทร์พูดถูก ว่าลึกๆแล้ว พีเป็นคนขี้เหงาเอามากๆจริงๆ

“ขอบคุณครับคุณป้า” พีรวิชญ์สวมกอดฟองจันทร์แน่นขึ้นไปอีก หญิงชราก็ลูบหลังชายคนรักของลูกชายสุดที่รักของตนเบาๆ ก่อนจะดึงมือของก้องบดินทร์ให้มาจับกับมือของพีรวิชญ์เอาไว้

“ดูแลกันและกันดีๆนะลูก ก้อง พี”

“แม่จ๋า” ก้องบดินทร์สวมกอดร่างท้วมของแม่ตนเสียแน่น กอดทั้งร่างท้วมของแม่ และร่างโปร่งสันทัดของพีรวิชญ์ด้วย คนทั้งสามต่างสวมกอกกันท่ามกลางสายตาตื้นตันของคนที่มองดูอยู่


เสียงประกาศเรียกดังขึ้น ได้เวลที่ทั้งคู่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว พีรวิชญ์และก้องบดินทร์ จึงเลิกกอดกัน ก้องบดินทร์หันไปทางแก้วกัญญา พี่สาวที่กำลังคอยบอกลาน้องอยู่ ขณะที่พีรวิชญ์ ก็หันไปคุยกับปรมินทร์ที่มาส่งเช่นกัน

“ผมฝากบริษัทด้วยนะครับพี่ปอ”

“พีไม่ต้องห่วงนะ บริษัทของพี่พัฒน์กับพี่ปัท พี่จะดูแลให้อย่างดี”

“ผมขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้พี่ต้องเลื่อนงานแต่งนะครับ”

“ไม่เป็นไรนี่ อย่างน้อย พี่ก็รู้ว่า พี่แก้วเค้าไม่ทิ้งพี่ไปแน่ๆ ถึงโน่นแล้ว มีอะไรก็โทรบอกละกัน”

“เอ่อ..พี่ปอครับ”

“ฮึ”

“ยังไง ผมฝากพี่ปอไปเยี่ยมพี่พัฒน์บ้างนะครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ถูกกัน พี่พัฒน์เองก็....”

“ไม่ต้องห่วงนะ ยังไง พี่ชายเราก้เคยเป็นพี่เขยของพี่ พี่จะหาเวลาไปเยี่ยมเค้าแล้วกัน”

“ขอบคุณครับพี่ปอ” พีรวิชญ์ยกมือไหว้ขอบคุณปรมินทร์ ขณะที่ปรมินทร์เองก็รับไหว้และใช้มือตบบ่าพีรวิชญ์เบาๆ ก่อนจะหันไปดูแก้วกัญญาที่กำลังบอกลาก้องบดินทร์อยู่

“ถึงโน่นแล้วโทรหาพี่เลยนะ เข้าใจมั้ย”

“รู้แล้วน่าพี่แก้ว ไม่ต้องห่วงก้องหรอก”

“แล้วพอไปหาหมอเรียบร้อยแล้ว หมอว่ายังไง ก้องต้องรีบโทรมาบอกพี่กับแม่ให้เร็วที่สุดเลยนะ”

“รับทราบครับ”

“แล้วเรื่องงง...”

“พอแล้วแก้ว เดี๋ยวน้องตกเครื่องพอดี ก้องไม่ใช่เด็กซะหน่อย” ปรมินทร์ท้วงแฟนสาว

“ก็แก้วเป็นห่วงน้องนี่ ก็มีกันแค่นี้.. เออก้อง...”

“แก้วเอ๊ยยยย ไม่เป็นไรลูก พีเค้าดูแลก้องได้” เสียงของฟองจันทร์ทำให้แก้วกัญญาเลิกกระวนกระวายได้บ้าง

“ค่ะแม่... พี”

“ครับพี่แก้ว”

“พี่ฝากก้องด้วยนะ”

“ครับ ผมสัญญาว่า ผมจะดูแลก้องให้ดีที่สุดครับ”

“ก้องไปแล้วนะพี่แก้ว” สิ้นเสียงก้องบดินทร์ แก้วกัญญาก็ดึงร่างแอบอวบของน้องชายเข้ามากอดเสียแน่นอย่างห่วงใยมากๆ ก่อนจะยอมคลายมือออกช้าๆ จากนั้น ทั้งก้องบดินทร์และพีรวิชญ์ ก็ไหว้ลาคนอื่นๆทุกคน

“ก้องฝากพี่แก้วด้วยนะครับพี่ปอ”

“ไม่ต้องห่วงนะก้อง พี่จะดุแลแก้วให้ดีที่สุดทุกๆวันเลย แล้วรีบกลับมานะ ไม่งั้นชุดเพื่อนเจ้าบ่าวที่ธันวาตัดไว้จะเป็นหมันวะก่อน” ปรมินทร์พูดติดตลก

“ทำไมล่ะครับ” ก้องบดินทร์ถามอย่างแปลกใจ

“ก็เราเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ถ้ามันนานเกินไป พี่ก็กลัวว่า ชุดมันจะคับไปซะก่อนน่ะสิ” คำพูดของปรมินทร์ทำให้คนอื่นๆพากันจินตนาการตามและก็หัวเราะร่วมกันอย่างมีความสุข

“งั้นก็เหมือนชุดเจ๊เลยน่ะสิ” เจ๋งแกล้งแว้งมากัดเจ๊ตุ่มอีกคน

“ไอ้เจ๋ง” เจ๊ตุ่มเงื้อมือจะตีเจ๋งแต่หนุ่มผิวดำรู้ทันรีบชิ่งหลบไปเสียก่อน

“ทุกคนครับ ก้องกับพี่ไปแล้วนะ” ก้องบดินทร์บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย
“ไปก่อนนะครับทุกคน” พีรวิชญ์ก็บอกลาอีกครั้งเช่นกัน จากนั้น พีรวิชญ์ก็ค่อยๆจูงก้องบดินทร์เดินเข้าไปด้านในพื้นที่เฉพาะผู้โดยสารขาออก จนพ้นสายตาของคนอื่นๆ



.....




.....







บนเครื่องบิน


“เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าคุณซื้อตั๋วชั้นหนึ่งให้ผมน่ะ ไม่เห็นต้องฟุ่มเฟือยเลยนี่พี” ก้องบ่นให้พีฟัง

“ไม่แพงมากหรอกน่า คุณจะได้ไม่ต้องลำบากไง อย่าลืมสิก้อง ว่าคุณป่วยอยู่นะ”

“ก็แค่มองไม่เห็น ไม่ได้ป่วยหนักเป็นอะไรร้ายแรงซะหน่อย”

“แล้วคุณไม่ชอบหรอ นั่งสบายเป็นส่วนตัวแบบเนี้ย”

“ไม่ได้ว่าไม่ชอบ แต่มันเปลือง”

“ไม่เปลืองนักหรอกน่า ดีซะอีก จะได้เป็นส่วนตัวด้วย”

“พี นี่คุณคิดอะไรเนี่ย”

“เปล่า” น้ำเสียงของพีมีพิรุธชอบกล

“อย่ามาทำเสียงแบบนั้น ไม่เอาแล้ว เรียกพี่ๆแอร์ดีกว่า พี่ครับ....”

“อย่านะก้อง” พีเอามือของตนมาปิดปากก้องไม่ให้ตะโกน ก้องก็มีปฏิกิริยาตอบรับเหมือนจะในทันที ทำให้ชายหนุ่มเงียบเสียงลงไป มือที่ปิดปากก้องค่อยๆคลายออกช้าๆ พีเอามือข้างนั้นมาลูบหน้าตัวเอง แล้วยิ้มอย่างเขินๆ ขณะที่ชายหนุ่มที่ถูกมือปิดปากก็มีอาการไม่ต่างกันนัก ใบหน้าของก้อง เรื่อๆเป็นสีชมพูราวกับคนป่วยไข้

“มีอะไรรึเปล่าคะ” เสียงแอร์โฮสเตสสาวสวยดังขึ้น

“อ๋อ เปล่าครับ คือ เพื่อนผมเค้าหิวแล้วอะครับ” พีตอบยิ้มๆเห็นเขี้ยวได้ชัดเจน

“นี่คุณ” ก้องพยายามจะท้วง แต่ก็เงียบเสียงไปเอง

“เครื่องเพิ่งจะขึ้น ต้องรออีกซักพักนะคะ”

“ครับ” พีตอบเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้พนักงานสาวที่เดินจากไป

“คุณบอกไปได้ยังไงว่าผมหิวอะพี เค้าไม่ขำผมแย่หรอ ผมอายเป็นนะ”

“ก็ไม่เห็นหน้าพี่เค้าจะขำตรงไหนนี่ คุณน่ะมองไม่เห็นซักหน่อย อย่าเดามั่วดิ”

“ก็... ช่างเหอะ ผมไม่อยากเถียงกับคุณแล้ว”

“หรอ แต่เมื่อกี้เนี้ย ใครไม่รู้ บ่นเป็นยายแก่เลย”

“ก็...” เมื่อเถียงไม่ได้ ก้องก็ทำหน้าหงุดหงิดใส่ตัวเอง แล้วแกล้งหันหน้าหนีพี

“ยาย .. อย่าเพิ่งงอนตาสิ โอ๋โอ๋ ตาขอโทษ ตาผิดไปแล้ว ยกโทษให้ตานะ” พีแกล้งอ้อนก้อง โดยการใช้ศีรษะอิงไหล่ แล้วถูไปมา

“พอได้แล้วคร้าบบบ ไม่งอนแล้ววว” ก้องหันมาตอบ ก่อนจะแอบยิ้มให้ตัวเอง

“งั้นเดี๋ยวตาไถ่โทษให้” พีหยิบหูฟังขึ้นมาครอบที่ศีรษะของก้อง จากนั้นก็เปิดเพลงให้ก้องฟัง

“อย่าแปลกใจ ที่ผ่านมานานเท่าไร กาลเวลาไม่อาจลืมหัวใจ
เปลี่ยนไปจากเธอ คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อใจผูกพันมีแต่เธอ..................”

“เป็นไง เพลงนี้เพราะมั้ย”

“นี่มันเพลงของพี่แก้วกับพี่ปอเค้า เอาเพลงใหม่ดิ”

“เพลงใหม่หรอ งั้นก็เพลงนี้”

“ครั้งที่ใจ ต้องเจ็บ เจอคำไม่จริง เคยโดนทอดทิ้ง ด้วยคำ ที่หลอกลวง
ครั้งนี้ ไม่ยอม เป็นเหยื่อ ไม่อยาก เชื่อใคร อีกเลย รักนี้ ของเธอ ก็เลย ยังหวั่นใจ................”

“ไม่ใช่ใหม่ เจริญปุระ พีอะ นี่คุณแกล้งผมอีกแล้วนะ”

“ขอโทษครับ งั้นต้องฟังเพลงนี้” เพลงที่พีเลือกเปิด เป็นเพลงรอสายเรียกเข้าในโทรศัพท์มือถือของก้องเอง ซึ่งชายหนุ่มได้ยินแล้ว ก็หลับตานั่งฟังอย่างมีความสุข

“ว่ากันว่ารัก ทำให้คนเสียน้ำตา หากว่ารับเอารักเข้ามา ใจอาจสลาย
ถึงรู้อย่างนั้น ก็ยังอยากเสี่ยงไม่หาย อยากให้เธอ มาเป็นความหมาย ห้ามมันไม่ไหว

สั่งใจไม่ให้มันสั่น มันก็ไม่ฟังเท่าไหร่ ถามตัวเอง ถ้าช้ำปางตายจะทำยังไง ใจตอบว่ายินดี

ขอแลกทั้งใจแค่ได้รักเธอ ต้องเจออะไรก็ยอม ฉันพร้อมจะเจ็บ ฉันพร้อมจะตายเป็นไงเป็นกัน
เพราะมีหัวใจก็คงไร้ค่า หากไม่มีเธอในนั้น ต่อให้มันแหลกสลาย ก็ยอม”

“ขอบคุณมากนะพี” ก้องพูดเบาๆ ก่อนจะเผลอหลับไป



.......



.......




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:27:05 น.
Counter : 467 Pageviews.

9 comment
1  2  3  4  

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments