All Blog
ตอนที่ 14 +++ อย่าทะเลาะกันอีกครั้ง +++





“อ๋อ... นี่แก้วหาว่าแม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องงานแต่งของเราสองคนหรอ นี่.....”


“แก้วไม่ได้หมายความอย่างงั้น คือแก้ว....”


“อย่าทะเลาะกัน....” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของคนในบ้าน แต่คงเบาไปเพราะผู้เป็นแม่กับน้องสาวยังคงเถียงกันต่อไป


“อย่าทะเลาะกัน...” ก้องตะโกนดังขึ้น ทำเอาคนที่นั่งข้างๆตกใจ


“ก้อง.... ก้อง... คุณเป็นอะไรก้อง” พีเอ่ยถามคนที่นั่งรถมาด้วยกัน


“ก็ห้ามแม่กับพี่แก้วไม่ให้ทะเลาะกันไง” ก้องตอบ พร้อมความรู้สึกมึนงงงัวเงีย


“คุณว่าไงนะ” พีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


“ผมบอกว่าผมกำลัง....” ก้องกำลังจะตอบซ้ำคำตอบเดิม แต่ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นเสียก่อน


“คุณจะไปห้ามป้าฟองกับพี่แก้วได้ไงล่ะก้อง ก็คุณนั่งอยู่ในรถผมเนี่ย”


“รถคุณหรอพี” ก้องเริ่มสำรวจที่ที่ตนอยู่ ถึงจะมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในรถยนต์จริงๆ และรถก็กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้วย


“พี...นี่ผม...”


“คุณหลับไปน่ะก้อง แล้วจู่ๆคุณก็ละเมอขึ้นมาว่า อย่าทะเลาะกันซะดังลั่นเลย”


“นี่ผมฝันไปหรอกเหรอเนี่ย แย่จัง” ก้องทำหน้าเขินๆและเผยอยิ้มออกมา


“แล้วคุณฝันว่าอะไรล่ะก้อง ร้องซะลั่นเชียว นี่ผมเกือบจะแตะเบรกเลยนะนั่น”


“ก็.......นั่นดิ” ก้องทำท่าคิด


“อ๋าว...ก้อง แล้วผมจะรู้มั้ยเนี่ย”


“ผมฝันว่า... แม่กับพี่แก้วทะเลาะกันเรื่องพี่แก้วไม่ยอมแต่งงาน”


“แล้วคุณก็เข้าไปห้าม”


“ก็คงอย่างนั้นแหละ”


“แล้วในฝันเนี่ย คุณมองเห็นรึเปล่าก้อง”


“ก็......................................งงง.....” ก้องพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออกว่าตนมองเห็นรึไม่ ทำให้ชายหนุ่มปวดศีรษะขึ้นมา หลับตาและพยายามนึกต่อไป


“ก้อง คุณไม่เป็นไรนะ” พีเอ่ยถามและใช้มือข้างซ้ายกุมมือขวาของก้อง


“ไม่รู้สิพี ผมนึกไม่ออก ว่าแต่ นี่เราอยู่ไหนเนี่ย”


“ผมกำลังจะกลับไปที่คอนโด”


“แต่ผมจำได้ว่า เราออกมาแล้วไม่ใช่หรอพี”


“ก็ใช่ เราออกมาแล้ว และเราก็แวะไปซื้อบะหมี่เกี๊ยวที่คอนโดเก่าของจอนตามที่คุณบอกแล้วด้วย แต่ผมลืมอะไรบางอย่างน่ะ เลยว่าจะกลับไปทำซะหน่อย”


“คุณลืมอะไรหรอพี” ก้องหันไปถาม แต่แทนที่พีจะตอบ เจ้าของรถกลับจับมือซ้ายของคนข้างๆมาลูบบริเวณใต้คางของตน และจับมือข้างเดิมไปลูบที่เหนือริมฝีปากบนของเจ้าของมือเอง


“รู้สึกมั้ย ว่าคุณน่ะมีหนวดขึ้นอีกแล้วนะ คราวนี้ผมจะโกนให้เรียบเลย”


“อีกแล้วเหรอพี ไหงหนวดผมมันยาวไวจังล่ะ”


“เค้าบอกว่า คนที่มีฮอร์โมนเพศเยอะน่ะ หนวดจะขึ้นเร็ว สงสัยจะจริงมั้ง”


“ถ้างั้นก็............................. แหวะ ........................ บ้า...” ก้องแกล้งผลักไหล่พีที่กำลังขับรถอยู่ ใบหน้าชายหนุ่มแดงซ่านจนคนขับรถแอบยิ้มออกมา


“ทำอะไรของคุณก้อง ผมขับรถอยู่นะ”


“ผมขอโทษ ผมแค่....................” สีหน้าของก้องออกแดงเรื่อๆ


“อะ... คุณเขินล่ะดิ คุณกำลังคิดว่าฮอร์โมนคุณกำลังพลุ่งพล่านใช่มั้ยล่ะก้อง”


“ก็มัน..........................................................................
..... นี่คุณแกล้งผมหรอพี”


“เปล่า......................... ผมจะบอกว่า คนที่กำลังมีความรักอะ ฮอร์โมนก็เยอะเป็นธรรมดาแหละ”


“ก็............... คงงั้นมั้ง................... ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดีกว่า” ก้องตอบหน้าแดง


“เดี๋ยวถึงคอนโดแล้ว ผมโกนหนวดให้คุณก่อนนะก้อง”


“อีกแล้วหรอพี อี๋................. มันจั้กจี้อะ”


“เหอะน่า.... นะ ให้ผมโกนหนวดให้คุณนะก้อง” พีทำเสียงออดอ้อน


“ก็ได้... แต่เสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้านนะ ผมเป็นห่วงแม่กับพี่แก้ว”


“ครับ รับทราบแล้ว เอ...หรือว่าผมจะแวะไปซื้อมีดโกนใหม่แล้วไปโกนให้คุณที่บ้านดี”


“ไม่เอานะพี ขืนโกนให้คนอื่นเห็น ผมอายเค้าแย่เลย พี่ตุ่มยิ่งจ้องจะแซวอยู่แล้วด้วย ไปโกนที่คอนโดคุณนั่นแหละ ดีแล้ว” พีหันมายิ้มให้ หัวเราะเบาๆ แล้วขับรถมุ่งหน้าไปคอนโดของตน



...



...





นั่งรออยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เคยนั่งเป็นประจำ รอบริมฝีปากและใต้คางของก้องมีครีมละเลงไปทั่ว เจ้าของห้องเดินเข้ามาใกล้พร้อมใบมีดคมกริบในมือ มีดโกนยี่ห้อดังกระชับแน่นในมือขวาพร้อมภารกิจสำคัญ อย่างช้าๆ พีค่อยๆปาดมีดลงบนคอของก้อง ลากคมมีดไปตามสันคอที่ค่อนข้างหนา ทุกจังหวะที่ค่อนข้างราบรื่นของการปาดมีดลงไป ก้องกลับกระตุกและขนลุกชันด้วยความเสียว จนต้องพยายามเกร็งตัวอย่างเต็มที่ บางครั้งก็ครางกระเส่าออกมาเบาๆ



“นิ่งๆดิก้อง” พีบอกคนรักที่นั่งหลุกหลิกไปมา


“ก็ผมเสียวอะพี”


“แค่นี้ทำเป็นเสียว เดี๋ยวอีกหน่อยจะเจอเสียวยิ่งกว่านี้อีก” ก้องสั่นน้อยๆ นิ่งไม่ตอบ ชูคอให้พีโกนเคราให้ต่อไป


“เม้มปากนิดนึง ทำปากจู๋ๆก็ได้ เดี๋ยวผมจะโกนหนวดแล้ว” พีบอกคนที่กำลังจะถูกโกนหนวด ก้องได้ยินก็ทำตาม ริมฝีปากเข้ามาชิดกันเป็นวงเล็กๆอย่างที่มักเรียกกันว่าปากจู๋ แก้มป่องออกมาตามจังหวะการดึงของกล้ามเนื้อบนใบหน้ารอบริมฝีปาก พีค่อยๆปาดมีดโกนไปรอบริมฝีปากของก้อง หนวดที่เริ่มยาวอยู่ตรงใต้จมูกและมุมปากทั้งสองข้างถูกกำจัดออกไป คนโกนใช้กระดาษเช็ดหน้า เช็ดคราบครีมออกจากบริเวณรอบปากและใต้คางของก้องจนสะอาด


“เสร็จรึยังอะพี” คนถูกโกนหนวดเอ่ยถาม


“ยัง เหลืออีกนิดนึง ก้อง... คุณเม้มปากแบบเมื่อกี้อีกทีนะ” ก้องได้ยินก็เชื่อตามนั้น เม้มปากจู๋แก้มป่องอีกรอบนึงตามที่ชายคนรักบอกและปิดเปลือกตาลง พีมองปากที่เม้มจู๋และแก้มป่องของก้องแล้วก็ยิ้มออกมา หยิบโทรศัพท์มือถือมาแอบถ่ายรูปเอาไว้โดยไม่ให้ก้องรู้ จากนั้นก็ค่อยๆโน้มใบหน้าลงไปหาริมฝีปากนั้นช้าๆ.... ช้าๆ....


ริมฝีปากของเจ้าของห้อง สัมผัสกับริมฝีปากของนักกายภาพบำบัดหนุ่มในช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่กระพริบตา ชายหนุ่มผู้ตกเป็นฝ่ายรับสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่โกรธอะไร กลับอมยิ้มแทน


“คุณเอาเปรียบผมอีกแล้วนะ” ก้องตัดพ้อพีแบบทีเล่นทีจริง


“แล้วคุณไม่ชอบหรอก้อง” พีส่งรอยยิ้มกวนๆมาแถวหน้าก้อง ถึงก้องจะเห็นไม่ชัดก็ตาม


“ก็........ บ้า.......... ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ก้องเขินหน้าแดงจนพีต้องกระเซ้าสีข้างเบาๆ


“จริงดิพี ตอนคุณโกนหนวดให้ผมน่ะ ผมพยายามเพ่งมองคุณ มันไม่มืดหรือมัวๆเหมือนแต่ก่อน แต่มันกลับเบลอๆแทนยังไงไม่รู้ แถมเคืองตามากด้วย ยังกับตอนนั้นเลย”


“ตอนไหนหรอก้อง”


“ตอนที่ผมเริ่มจะมองไม่เห็นน่ะสิพี”


“จริงเหรอก้อง ถ้าอย่างงั้น มันอาจจะเป็นไปได้มั้ย ...ว่า.. ตาของคุณ.........”


“จะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมเหรอพี” ก้องยิ้มดีใจแต่ก็ซ่อนความกังวลอยู่เหมือนกัน


“ใช่ก้อง... บางที คุณอาจจะมองเห็นก่อนถึงวันแต่งงานพี่ปอกับพี่แก้วก็ได้”


“จริงๆนะพี ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันคงจะดีมากเลย” ก้องสวมกอดพีเพราะความดีใจที่ตนอาจจะมีโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้งในเร็วๆนี้ ทันงานแต่งพี่แก้ว แล้วพี่แก้วจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับแม่อย่างที่ตนฝันถึง


“ตอนโกนหนวดให้คุณ ตาผมก็เบลอเหมือนกันนะก้อง” พีบอกก้องยิ้มๆ


“เบลออะไรของคุณล่ะพี” ก้องถามอย่างแปลกใจ


“เปลอว่ารักแถบ” พียิ้มบอกก้อง


“เบลอว่ารักแถบ....????” ก้องยังงงไม่เลิก


“แบบว่ารักเธอไงก้อง”


“โหยยย.... เสี่ยวอะพี” ก้องยิ้มเยาะ ส่วนพีก็โมโหเล็กน้อยที่มุกของตนไม่เวิร์กเท่าไหร่ แต่ก็คิดในใจว่าคราวหน้าจะลองหามุกใหม่มาใช้ อย่างไรก็ตามคงมีเสียงฮึดฮัดออกมาบ้าง ก้องรู้ได้ว่าพีคงแอบโมโหที่มุกแป้ก จึงหาทางให้พียิ้มบ้าง


“พี... คุณน่ะตาเบลอแค่แป๊บเดียว แต่ผมน่ะ ตาเบลอมาพักใหญ่เลยนะ”


“ก็คุณเพิ่งจะ.....” พีกำลังจะว่าก้อง ว่าก้องเพิ่งจะไม่เก๊ตมุกของตนแต่ก้องกลับทำเป็นเล่นซะเอง แต่คิดไปคิดมา พีก็รู้ว่า ก้องต้องการจะบอกว่ารักพีมานานแล้วนั่นเอง ชายหนุ่มจึงยิ้มรับแทน


“รู้มั้ยก้อง ว่าคุณน่ะ กำลังมีความรัก”


“ก็ผมรักคุณอยู่ไงล่ะพี”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ... ผมหมายถึง...” พีกำลังจะเล่นมุกใหม่ แต่ก็สองจิตสองใจกลัวว่าจะกลายเป็นการทำร้ายปมในใจก้อง จึงเปลี่ยนใจ


“ความรักทำให้คนตาบอด ผมตาบอดเพราะผมรักคุณไงพี” จู่ๆก้องก็พูดออกมาเอง ทำเอาพีรู้สึกผิดขึ้นมา ว่าตนเป็นต้นเหตุให้ก้องตาบอด


“ผมขอโทษนะก้อง ผม........ เพราะผม.. คุณถึง” พีพยายามจะจับตัวก้องเพื่อขอโทษ แต่ก้องเอี้ยวตัวหลบ พีรู้สึกแย่เล็กๆ จากนั้นก้องก็เป็นฝ่ายคลำหามือของพีจนเจอแล้วกุมไว้


“พี..... ถึงผมจะตาบอด แต่คุณก็เป็นตาให้ผมไม่ใช่หรอ ผมอาจเสียใจที่ผมตาบอด แต่ผมไม่เคยเสียใจซักนิดที่ได้ช่วยคุณ”


“ก้อง.....” พีซาบซึ้งจนแอบมีน้ำตาไหล แล้วสวมกอดก้องเสียแน่น ซึ่งนักกายภาพบำบัดหนุ่มก็กอดรับเช่นกัน ก่อนที่ก้องจะนึกมุกอะไรออกอีก


“พี... ตอนกินบะหมี่เกี๊ยว คุณอย่าลืมป้อนผมซักหลายๆคำนะ”


“คุณจะเอาคำไหนล่ะก้อง กากหมูหรือว่าหมูแดง” พีเหมือนเดามุกได้ แต่รอก้องตบมุกเสียเอง


“คำว่ารักน่ะ” ก้องพูดยิ้มๆ พีเองก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็ลุกขึ้นจูงมือก้องออกไปจากคอนโด


“กลับบ้านคุณเถอะก้อง คุณป้ากับพี่แก้วคอยอยู่”



....



....




รถเก๋งของพีที่ก้องนั่งมาด้วย เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านของนักกายภาพบำบัดหนุ่ม ชายหนุ่มทั้งสองลงจากรถและเดินเข้าไปในบ้าน พลันได้ยินเสียงเถียงกันของหญิงชราและหญิงสาวพอดี


“แก้วตัดสินใจแล้วนะค่ะแม่ แก้วจะเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อน รอจนกว่าก้องจะหาย”


“ได้ยังไงกันยายแก้ว งานแต่งก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว แล้วปอล่ะ ปอจะว่าไง”


“แก้วคุยกับปอแล้ว ปอเค้าไม่เห็นว่าอะไรเลย”


“ปอเค้าไม่ว่าอะไร เพราะเค้าพูดไม่ออกมากกว่ามั้ง อะไรกันยายแก้ว นี่งานแต่งนะลูก การ์ดก็แจกหมดแล้ว ไหนจะแขกผู้ใหญ่อีก โตแล้วนะลูก ทำไมทำอะไรเป็นเด็กๆอย่างนี้ล่ะ”


“แก้วรู้ค่ะ ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่แก้วจะมีความสุขในงานแต่งของแก้วได้ไง ถ้าน้องชายของแก้วยังเป็นอยู่แบบนี้”


“ก็ในเมื่อรู้ว่าไม่ถูก แล้วจะยกเลิกงานแต่งทำไม แก้วต้องนึกถึงคนอื่นๆด้วยสิลูก” สองแม่ลูกกำลังทะเลาะกันเรื่องการยกเลิกงานแต่งของแก้วอย่างดุเดือด ตุ่มกับเจ๋งที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นจนพีกับก้องเดินเข้ามาในตัวบ้าน


“แต่เรื่องงานแต่ง มันเป็นเรื่องของแก้วกับปอ... แล้ว....”


“อ๋อ... นี่แก้วหาว่าแม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องงานแต่งของเราสองคนหรอ นี่.....”


“แก้วไม่ได้หมายความอย่างงั้น คือแก้ว....”


“อย่าทะเลาะกัน....” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของคนในบ้าน แต่คงเบาไปเพราะผู้เป็นแม่กับน้องสาวยังคงเถียงกันต่อไป


“แม่จะไม่ยอมให้แก้วยกเลิกงานแต่ง ถ้ามะรืนนี้ไม่แต่ง งั้นก็ไม่ต้องแต่ง”


“แม่คะ แก้วแค่ไม่สบายใจ แม่ก็รู้ว่า ที่แก้วอยากเลื่อนงานออกไปเพราะเป็นห่วงน้อง”


“อย่าทะเลาะกัน...” เสียงของผู้เป็นน้องยังคงพยายามร้องเตือนห้ามแม่กับพี่สาวที่ทะเลาะกันอยู่


“แล้วแก้วคิดว่าแก้วเป็นคนเดียวที่ห่วงน้อง แล้วคิดว่าแม่ไม่ห่วงก้องรึไง” ฟองจันทร์กระฟัดกระเฟียดด้วยความหงุดหงิด ฤทธิ์ยาที่เคยฉีดเพื่อรักษาอาการไวรัสตับอักเสบซียังคงส่งผลต่ออารมณ์ขี้น้อยใจของฟอ
งจันทร์อยู่มาก หญิงสูงวัยน้ำตาไหล และพยายามจะเดินหนีขึ้นไปชั้นบน ตุ่มกับเจ๋งเข้ามาขวางและยึดแขนเอาไว้เพราะอยากให้เคลียร์กับแก้วได้ก่อน


“ใจเย็นก่อนนะคะคุณป้า คุยกับน้องแก้วให้รู้เรื่องดีกว่านะคะ” ตุ่มบอกป้าฟอง


“นั่นสิครับป้าฟอง ลองฟังพี่แก้วอธิบายก่อนนะ” ทั้งตุ่มกับเจ๋งต่างก็ยึดแขนป้าฟองไว้ เพื่อไม่ให้หนีขึ้นชั้นบน แต่ก็ไม่กล้าออกแรงมาก เพราะกลัวป้าฟองจะเจ็บแขน


นักกายภาพบำบัดหนุ่มกระพริบและขยี้ตาบ่อยครั้งด้วยความเคืองที่แสงสว่างจาหลอดไฟมาแย
งตา ดวงตาที่พร่าเลือนกำลังมองเห็นร่างท้วมของผู้เป็นแม่กำลังดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการจ
ับของพี่ตุ่มและพี่เจ๋ง ภาพเบลอๆเดี๋ยวพร่ามัว เดี๋ยวชัดเจน สร้างความรำคาญให้กับการมองเห็นอย่างมาก เพราะเป็นห่วงแม่ ก้องบดินทร์ค่อยๆเดินคลำทางไปทางทิศที่แม่ของตนอยู่


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะแม่ คือ...” แก้วพยายามจะอธิบายให้แม่เข้าใจแต่ก็ไร้ผล ฟองจันทร์พยายามดิ้นให้หลุดจากการรั้งตัวของตุ่มกับเจ๋ง ด้วยการออกแรงสะบัดอย่างแรง ตุ่มเซถอยหลังไปชนหุ่นลองเสื้อผ้า ที่ฟองจันทร์เอามาลองสวมชุดออกงานแต่งชายชุดนึง แต่เพราะตั้งหลักได้ทันจึงชนแค่เบาๆ จังหวะนั้น น้องชายคนเล็กของบ้านก็คลำทางเดินเข้ามาใกล้พอดี


“อย่าทะเลาะกัน” นักกายภาพบำบัดหนุ่มตะโกนเสียงดังเพื่อดึงความสนใจของคนอื่นๆ ด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงของก้อง กระเทยอ้วนญาติผู้พี่จึงสะดุดขาตัวเองไปชนจนหุ่นลองชุดล้มลงไปกับพื้น


หุ่นตัวนั้นล้มลงไปยังร่างของนักกายภาพบำบัดหนุ่มที่เพิ่งกลับจากอเมริกาไม่นาน ท่ามกลางสายตาและเสียงร้องตกใจของทุกคนในบ้าน พียืนอยู่ที่ประตู ไกลเอาการที่จะเข้ามารับหุ่นไว้ได้ทัน แต่กระนั้น ชายหนุ่มผิวเข้มก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อจะช่วยคนรัก ฟองจันทร์และเจ๋งที่อยู่ใกล้กว่าก็ตกใจมากเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้ ทั้งคู่ยืนนิ่งเหมือนโดนสะกด หุ่นตัวนั้นมีน้ำหนักไม่น้อยเลย ถ้าล้มลงมาทับใครก็ตาม คนนั้นจะต้องเจ็บตัวไม่เบา ยิ่งถ้าโดนอวัยวะสำคัญเช่นศีรษะก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอย่างน่าใจหาย


มือขวาลอยขึ้นไปคว้าจับตรงบริเวณหัวไหล่ซ้ายของหุ่นได้ทัน มือซ้ายเข้าไปช่วยรองรับน้ำหนักอีกข้าง และดันหุ่นลองชุดให้ยืนขึ้นในสภาพเดิม กระดุมข้อมือขลิปทองเม็ดหนึ่งหลุดออกมาจากรังดุม หล่นลงไปยังพื้น ชายหนุ่มตั้งหุ่นเรียบร้อยแล้วก็ก้มลงไปเก็บท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ


“พี่ตุ่มระวังหน่อยสิครับ ดูสิ กระดุมแขนเสื้อก้องหลุดหมดเลย แต่สีนี้สวยดีนะ ก้องชอบจังเลยแม่” คำพูดของก้องทำเอาคนอื่นๆตกใจ เพราะไม่คาดว่าก้องจะรับหุ่นไว้ได้ และยังมองเห็น
แขนเสื้อกับกระดุมอีกด้วย



...



...








Create Date : 22 มิถุนายน 2553
Last Update : 22 มิถุนายน 2553 20:52:37 น.
Counter : 422 Pageviews.

18 comment
ตอนที่ 13 +++ อย่าทะเลาะกัน +++




“ตุ่ม.... ตุ่มเอ๊ย..... ตุ่ม... หายไปไหนแต่เช้านะ” ฟองจันทร์บ่นหาหลานสาวข้ามเพศแต่เช้า


“ค้า....มาแล้วค่ะป้าฟอง แค่นี้ ต้องตะโกนซะดังด้วย” ตุ่มรีบเดินไปหาป้าของตนในครัว


“ก็ชั้นเรียกแล้วทำไมไม่ขานล่ะ เอ๊อ ... เรานี่ ไปดูสิพระมารึยัง จะได้ให้ยายแก้วมาตักบาตร”


“ทำไมป้าฟองต้องให้น้องแก้วตักบาตรทุกเช้าด้วยล่ะคะ นี่ก็เกือบอาทิตย์แล้วเนี่ย”


“ก็บ้านเรามันมีแต่เรื่องน่ะสิ ให้ยายแก้วใส่บาตรซะบ้าง งานแต่งจะได้ราบรื่น คราวก่อนโน้นก็ทีนึงแล้ว” ฟองจันทร์เอ่ยถึงเรื่องเมื่อเกือบเจ็ดปีก่อน ทำให้หญิงชราอดคิดถึงลูกสาวคนโตไม่ได้ น้ำตาเริ่มจะรื้นคลออยู่บนตาสองข้างของเจ้าของบ้าน จนในที่สุด ฟองจันทร์ก็ต้องปาดน้ำตา


“คุณป้าคะ... ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าน้องกิ่งรับรู้ จะต้องยินดีกับน้องแก้วอยู่แน่ๆค่ะ”


“นั่นสินะ... กิ่งจะต้องอวยพรน้องอยู่แน่ๆ จะไปมีเรื่องได้ยังไงล่ะ ใช่มั้ย ก้องก็หายดีแล้ว เดี๋ยววันนี้ก็คงกลับมาถึง แล้วก็จะได้ลองชุดที่แม่ตัดให้” คำพูดของฟองจันทร์ทำให้ตุ่มอึดอัดและสะอึกน้ำลายตัวเอง จนหญิงสูงวัยสังเกตเห็น และมองมาด้วยสายตาจ้องจับผิด


“ไม่มีอะไรค่ะป้าฟอง แค่ดีใจที่น้องก้องกำลังจะกลับมาน่ะค่ะ จะได้มีคนช่วยจัดบ้านเพิ่มอีกแรง”


“เออ.. ก้องนี่ก็แปลก หายดีแล้ว แทนที่จะรีบกลับมาช่วยกันเตรียมงาน มะรืนนี้ขันหมากพ่อปอก็จะยกมาอยู่แล้ว น้องชายเจ้าสาวยังไม่กลับมาซะที แทนที่จะรีบกลับมาช่วยกันเตรียมบ้านไว้รับแขก นี่ถ้ามาถึงแล้วใส่ชุดที่ตัดให้ไม่ได้นะ เสียเวลาแก้กันแย่เลย ไปอยู่ที่โน่นเป็นเดือน จะอ้วนขึ้นรึเปล่าไม่รู้ ลูกคนนี้ยิ่งอ้วนง่ายอยู่ด้วย”


“ผอมลงต่างหากล่ะคะ” ตุ่มบ่นเบาๆแต่ฟองจันทร์ได้ยินแว่วๆ


“ว่าไงนะตุ่ม ก้องผอมลงหรอ แล้วเรารู้ได้ยังไงล่ะ”


“ก็เมื่อคืน... อ๋อ... เมื่อคืนนี้น้องก้องโทเข้ามาตอนคุณป้าขึ้นนอนแล้วน่ะค่ะ แล้วน้องก้องก็บอกว่าตัวเองผอมลง” ตุ่มรีบแกตัวทันควัน


“แล้วทำไมตุ่มไม่ไปปลุกป้าล่ะ เอ๊ออออ..เรานี่ ไม่ได้เรื่อง ก็ป้าเคยสั่งแล้วไง”


“ก็น้องก้องสิคะ ไม่ให้ปลุก เห็นว่าเดี๋ยวก็เจอกันแล้ว”


“นั่นสินะ เออ.. ไปดูสิไป ว่าพระมารึยัง นี่ให้เจ๋งขึ้นไปตามแก้ว ไม่เห็นลงมาซะที”


“มาแล้วค่ะแม่ ไปค่ะ ไปตักบาตรด้วยกัน พระมาแล้วคะ ให้เจ๋งนิมนต์คอยไว้แล้ว”


“อ้าวว...ตุ่มนี่ ป้าบอกว่าให้คอยดูพระไง ดูซิ นี่ดีนะ เจ๋งไปนิมนต์คอยไว้แล้ว เรานี่ ไม่ได้เรื่อง” ฟองจันทร์พูดจบก็ให้ลูกสาวประคองไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน


“อ้าว.. กระเทยผิดอีก ก็ใครชวนคุยล่ะ” บ่นเบาๆก็ยกสำรับสำหรับใส่บาตรตามออกไปหน้าบ้านทันที ขณะเดียวกัน ก้องบดินทร์และพีรวิชญ์ก็ย่องลงมาจากบันไดพอดี


“จะไปใส่บาตรกันเหรอพี่ตุ่ม งั้นก้องออกไปใส่บาตรด้วยคนนะ”


“จะดีเหรอคะน้องก้อง ไหนว่าจะเวอร์ไพร้ส์ป้าฟองกับน้องแก้วไง”


“ก็เอาตอนใส่บาตรนี่แหละ .. ดีแล้ว”


“งั้นก็ได้ค่ะ งั้นให้พี่ออกไปก่อน แล้วค่อยตามออกไปนะคะ”


“พี่ตุ่ม.. เร็วหน่อยสิคะ หลวงพี่ท่านคอยนานแล้วนะ” เสียงแก้วกัญญาตะโกนออกมาจากรั้วหน้าบ้าน ก่อนที่เจ๋งจะเดินมาถึงแล้วช่วยยกสำรับอีกแรง หลังจากตุ่มกับเจ๋งออกไปซักพัก พีกับก้องก็ตามออกไปเช่นกัน



แก้วกัญญาและฟองจันทร์ใส่บาตรพระรูปแรกเสร็จก็ประนมมือขึ้นจรดหน้าผากแล้วอธิษฐานในใ




“อธิษฐานอะไรอยู่เหรอพี่แก้ว” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถาม ดังมาจากในตัวบ้าน


“ก็อธิษฐานให้ก้องปลอดภัยกลับมาเร็วๆน่ะสิ” แก้วตอบเสร็จ ก็นึกได้ว่า เสียงที่เอ่ยถามช่างคุ้นหูนัก ฟองจันทร์เองก็เช่นกัน รู้สึกคุ้นหูมาก สองแม่ลูกจึงหันหน้ากลับไปมองที่ต้นเสียง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาว แขนสั้นเป็นสีเทา และสวมกางเกงยีนส์สีขาวยืนยิ้มอยู่ตรงประตูรั้ว


“ก้อง....” หญิงชราอุทานแล้วโผเข้ากอดร่างแอบอวบของลูกชายที่ยืนคอยอยู่ ก้องเองก็เช่นกัน ให้พีช่วยกะระยะห่างระหว่างตนกับแม่ไว้ก่อนแล้ว จากนั้นก็โผเข้าหาอ้อมกอดของมารดาด้วยจังหวะที่พอดี ฟองจันทร์สวมกอดลูกชายเสียแน่น แล้วก็พรมจูบกับหอมแก้มลูกชายคนเดียวโดยไม่เกรงใจพระรูปที่สองที่กำลังคอยรับบาตรอยู



“เป็นไงบ้างลูก แม่คิดถึงแทบแย่ แล้วนี่กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนบอกว่าจะมาถึงช่วงบ่ายวันนี้ไง ดูซิ ผอมลงไปตั้งเยอะแน่ะ แล้วตาเป็นไงบ้าง มองเห็นแม่ชัดแล้วใช่มั้ย..”


“จ้ะแม่ ก้องชอบให้แม่ใส่เสื้อตัวนี้จังเลย” ก้องพูดจบ ฟองจันทร์ก็กอดก้องอีกครั้ง จากนั้น แก้วกัญญาที่ยืนคอยอยู่ก็เข้ามาสวมกอดน้องชายด้วยความคิดถึงอีกคน ผู้เป็นน้องชายสวมกอดพี่สาวเสียแน่นด้วยความห่วงใย และคิดถึง ก้องเหลือพี่สาวแค่คนเดียว ความหวังของก้องก็คือการเห็นพี่สาวได้มีความสุขกับคนที่รักเสียที หลังจากต้องผ่านห้วงเวลาแห่งความเจ็บปวดมานานถึงหกปีครึ่ง หลังจากการไปอย่างไม่หวนกลับของพี่สาวคนโต


“ไปอยู่โน่น เป็นไงบ้าง” แก้วคิดถึงน้องชายมาก แต่ไม่รู้จะถามอะไร


“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่แก้ว พีเค้าดูแลก้องเป็นอย่างดี” ก้องตอบพี่สาว ซึ่งหันไปมองแล้วยิ้มให้พี


“แล้วตาของก้องเป็นไงบ้าง หายดีแล้วใช่มั้ย” แก้วถามน้อง แต่ก้องไม่พร้อมจะตอบ จึงได้แต่ยิ้มๆ


“เอ่อ.. พี่แก้วครับ ผมว่า พี่แก้วใส่บาตรก่อนดีมั้ยครับ หลวงพี่ท่าน.. ยืนคอยนานแล้ว” พีรีบแก้ไขสถานการณ์โดยเตือนแก้วให้รีบใส่บาตร


“จริงด้วยยายแก้ว มาเร็วลูก อย่าให้ท่านคอยนาน ขอโทษท่านด้วยนะเจ้าคะ”


“ไปก้อง ไปใส่บาตรด้วยกันกับแม่ดีกว่า..” แก้วเอ่ยปากแล้วจูงมือน้องชายไปใส่บาตรกับแม่


“มาก้องมาลูก มาใส่บาตรกับแม่ ไปอยู่โน่นตั้งนาน ไม่ได้ใส่บาตรกับแม่ตั้งนานแล้ว มานี่ลูก มาตักข้าวใส่ไปในบาตรหลวงพี่ท่าน” ฟองจันทร์ดึงมือก้องไปหาแล้วส่งขันข้าวให้ก้อง นักกายภาพบำบัดหนุ่มตักข้าวด้วยทัพพี แล้วพยายามจะใส่ลงไปในบาตรพระ ภาพที่ปกติพร่าเลือนจนชายหนุ่มมองไม่เห็นอยู่แล้ว กับพร่ายิ่งขึ้นด้วยแสงแดดที่แยงเข้าตา ก้องมองไม่เห็นว่าบาตรอยู่ตรงไหน ขณะกำลังจะเทข้าวลงไป ทัพพีก็เกิดเอียง ข้าวจะหกแหล่ไม่หกแหล่ ก้องพยายามรวบรวมสติให้นิ่งไว้ กระพริบตาถี่ๆ ท่ามกลางความแปลกใจของพี่สาวและแม่


“ก้อง เป็นไรลูก” ฟองจันทร์หันไปถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง ก้องพยายามจะใส่บาตรให้ได้ แต่ก็วางทัพพีไม่ตรงกับตำแหน่งของบาตร ขณะที่กำลังจะพลาดนั้น มือข้างหนึ่งก็มากระชับมือของก้อง แล้วจับทัพพีร่วมกัน ใส่บาตรด้วยกัน


“มาก้อง ผมใส่บาตรกับคุณด้วย” พีเข้ามาช่วยก้องตักบาตร ฟองจันทร์ห็นแล้วก็ยิ้มชื่นใจ แต่แก้วกัญญากับแปลกใจและสงสัยขึ้นมา ว่าที่เจ้าสาวไม่เอ่ยถามอะไร แต่ก็รอจนตักบาตรเสร็จแล้วสังเกตเห็นพีจูงมือก้องเดินเข้าบ้าน ท่าทางดูแลมากเกินไปอย่างผิดสังเกต






“ก้อง ตาของเราน่ะ หายดีแล้วแน่หรอ” แก้งเอ่ยถามน้องชายทันทีที่เดินกลับเข้าในบ้าน


“คือ... ก้อง... เอ่อ...” ก้องตะกุกตะกักไม่ยอมตอบ


“เป็นไรแก้ว ทำไมถึงถามน้องยังงั้นล่ะลูก”


“ก็แก้วสงสัยน่ะสิคะแม่ ว่าตาของก้อง ยังไม่หาย ว่าไงก้อง บอกพี่มาสิ”


“คือ.....แม่... พี่แก้ว...”


“พี่แก้วครับ คือว่า..” พีพยายามจะช่วยก้องแก้ตัว แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก


“พี่กำลังถามก้องอยู่นะ พีไม่ต้องช่วยก้องตอบ ว่าไงล่ะก้อง ก้องยังมองไม่เห็นใช่มั้ย”


“จริงเหรอลูก ก้อง.. ตาของก้องยัง... แล้วทำไม...”


“แม่.. พี่แก้ว ก้องขอโทษ คือ...” ก้องหันไปทางทิศที่พี่อยู่ พยายามหาคนช่วยพูดแทน


“คือยังงี้ครับป้าฟอง พี่แก้ว คือ หมอที่โน่นเค้าบอกว่า การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีแล้ว แต่ที่ก้องเค้ายังมองไม่เห็นก็เป็นเพราะ.... เพราะ... เอ่อ... มันยังอยู่ในช่วงปรับสภาพน่ะครับ”


“จริงเหรอก้อง” ป้าฟองหันไปถามลูกชาย


“จ้ะแม่.. นี่ก้องก็เห็นอะไรขึ้นตั้งเยอะแล้วนะ ถึงจะพร่าๆมัวๆอยู่บ้าง”


“ก็แปลว่ายังไม่หายดี แล้วทำไมก้องต้องโกหกพี่ โกหกแม่ด้วย..”


“ก็....” เพราะอะไรไม่รู้ ก้องเกิดอยากมองเท้าตัวเองมากกว่าหน้าพี่สาว ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม


“ก้องเค้าอยากให้พี่แก้วแต่งงานกับพี่ปอไงครับ เค้าไม่อยากให้พี่แก้วต้องเลื่อนงานแต่งออกไปอีก เพราะถ้าพี่แก้วรู้ว่าก้องเค้ายังไม่หายดีล่ะก็ พี่แก้วต้องไม่ยอมแต่งกับพี่ปอแน่ๆ” พีพูดแทน


“ใช่พี พี่จะยังไม่แต่งกับพี่ปอ ถ้าก้องยังไม่หาย แต่นั่นมันก็เรื่องของพี่ พี่เคลียร์กับพี่ปอได้”


“แล้วพี่แก้วไม่สงสารพี่ปอเค้าบ้างหรอ” จู่ๆก้องก็มีเสียงขึ้นมา
“พี่ปอเค้ารักพี่แก้วมาก เค้ารอพี่แก้วมาตั้งหกเจ็ดปี พี่แก้วไม่คิดถึงความรู้สึกของพี่ปอเค้าบ้างหรอ”


“ก้อง พี่ไม่ได้..”


“ก้องรู้ว่าพี่แก้วเป็นห่วงก้อง แต่ก้องก็ไม่อยากให้เรื่องของก้องไปทำลายความสุขของพี่แก้ว พี่แก้วทำเพื่อแม่ เพื่อพวกเรามามากแล้วนะ พี่แก้วยอมทิ้งพี่ปอก็เพื่อพวกเรา ยอมเลื่อนงานแต่งมาครั้งนึงก็เพื่อก้อง คราวนี้ ก้องจะไม่ยอมให้พี่แก้วทำเพื่อก้องอีก พี่แก้ว ก้องว่าถึงเวลาที่พี่แก้วจะต้องนึกถึงตัวเอง นึกถึงคนที่พี่แก้วรัก และเค้าก็รักพี่แก้วมาก และจะต้องอยู่กับพี่แก้วไปตลอดชีวิตได้แล้วนะ” นักกายภาพบำบัดหนุ่มพูดจบก็กลับไปนั่งข้างๆแม่เช่นเดิม


“ก้องลูก...” ฟองจันทร์กอดลูกชายอย่างห่วงใยแล้วหันไปมองหน้าลูกสาว บรรยากาศในบ้านเริ่มจะมาคุเล็กๆ ชายหนุ่มที่ไม่เคยขึ้นเสียงกับพี่สาวมาก่อน ถ้าไม่นับตอนที่ถูกพี่สาวตบหน้าครั้งนั้น กลับขึ้นมาเถียงให้พี่สาวทำเพื่อตนเอง แก้วเองก็รู้ว่าน้องรักและห่วงใย แต่จะให้ตัดใจแต่งงานทั้งๆที่น้องยังไม่หายดี ตนเองก็ทำใจลำบาก


“พี่แก้วครับ ผมว่าก้องเค้ามีโอกาสกลับมาเห็นเหมือนเดิมอีกครั้งแน่ๆครับ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ยังไง ผมก็จะดูแลก้องให้ดีที่สุด” พีบอกกับพี่สาวของคนรัก


“จริงด้วยค่ะน้องแก้ว น้องก้องเค้ามีน้องพีดูแลอยู่แล้ว พี่ว่าน้องแก้วไม่ต้องเป็นห่วงน้องก้องหรอกนะคะ อย่าเลื่อนงานแต่งออกไปอีกเลยนะ”


“เดี๋ยวสายๆ ผมจะพาก้องเค้าไปหาหมอ เผื่อจะเป็นข่าวดี” พีบอกป้าฟอง


“จริงเหรอลูก ก้องจะหายดีใช่มั้ยลูก”


“จ้ะแม่ ก้องจะต้องหายดีแน่นอนจ้ะ” ลูกชายบอกผู้เป็นแม่แล้วยื่นหน้าไปให้แม่หอมฟอดใหญ่


“ขอบใจมากนะพ่อพี ที่ช่วยดูแลก้องแทนป้า”


“ครับป้าฟอง ก็ผมสัญญากับป้าฟองกับพี่แก้วแล้วไงครับ ว่าผมจะดูแลก้องให้ดีที่สุด”


“แหม..แหม..คุณป้าคะ ยังจะให้น้องพีเรียกคุณป้าว่าป้าอีกเหรอคะ ตุ่มว่านะ.. น้องพีน่ะ น่าจะเรียกป้าฟองว่าแม่ได้ตั้งนานแล้วนะ ใช่มั้ยไอ้เจ๋ง” ตุ่มหันไปทางเจ๋งเพื่อหาเสียงสนับสนุน


“นั่นสิน้องพี เรียกป้าฟองว่าแม่ได้แล้วมั้ง เรียกแบบที่พี่ปอเรียกไง”


“จะดีเหรอครับ คือผม....”


“ดีสิลูก ก็ป้า เอ้ย.. แม่น่ะ เห็นพีเหมือนลูกของแม่คนนึง แม่ถือว่าพีเป็นคนในครอบครัวของเราแล้ว พีก็ควรเรียกแม่ว่าแม่ได้แล้วนะลูก”


“ผมว่า... ผมยังไม่เรียกดีกว่าครับ” คำตอบของพี ทำเอาทุกคนหันมามองที่เดียวกันรวมทั้งก้องด้วย


“ทำไมล่ะคะน้องพี” ตุ่มถามเป็นคนแรกในคำถามที่ทุกคนอยากถามเช่นกัน


“ก็ผมเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ ว่าผมจะต้องทำให้ก้องกลับมามองเห็นเหมือนเดิมให้ได้ แล้วตอนนี้ ผมยังทำไม่สำเร็จ เอาไว้เมื่อไหร่ที่ก้องสามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม วันนั้น ผมจะเรียกคุณป้าว่าแม่นะครับ” พีบอกกับทุกๆคน


“เอางั้นเหรอลูก งั้นก็ตามใจเราแล้วกัน แล้วเราล่ะแก้ว ว่าไง เรื่องงานแต่งน่ะ นี่ก็ใกล้วันแล้วนะ แม่ว่า ถึงแก้วอยากจะเลื่อนออกไปก่อน ก็คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง” ฟองจันทร์หันไปถามลูกสาว


“ก็.... แก้ว.... แก้วไปทำงานก่อนนะ” แก้วกัญญาบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม เพราะใจหนึ่งก็อยากจะแต่งงานกับคนรัก แต่อีกใจก็อดห่วงน้องชายไม่ได้ หญิงสาวรีบเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ด้วยสีหน้าที่เดาได้ยาก จึงไม่มีใครกล้าถามอีก


“งั้นพวกผมเข้าบ้านไปก่อนนะครับป้าฟอง เดี๋ยวจะต้องพาก้องไปให้หมอเช็กหน่อยน่ะครับ”


“ตกลงว่าให้หมอเช็กน้องก้องหรือเช็กหน่อยกันแน่ละพี” เจ๋งถามด้วยใบหน้ามึนๆงงๆ


“พอเลยไอ้เจ๋ง นี่โง่หรือแกล้งโง่กันเนี่ย ไปเถอะค่ะป้าฟอง เราก็เข้าบ้านกันบ้างดีกว่า” ตุ่มหันไปว่าเจ๋ง จากนั้นก็ชวนป้าฟองเข้าบ้าน แต่พอหันไปมอง ปรากฏว่าป้าฟอง พี และก้อง ต่างพากันเดินเข้าไปในบ้านกันแล้ว


“อ้าว... ไม่รอกันเลย เดินลิ่วไปโน่นแล้ว ... ป้าฟอง รอตุ่มด้วยสิคะ” ตุ่มตะโกนเรียกแล้วรีบแจ้นตามเข้าไปในบ้าน




...




...





“เป็นไรก้อง...” พีเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนข้างๆหลังจากเดินออกมาจากห้องตรวจจักษุเวชกรรม


“ผมก็แค่... . พี ... ผมจะทำยังไงดี ผมจะทำยังไง” หยดน้ำไหลออกจากสองตาของนักกายภาพบำบัดหนุ่ม


“ก้อง... คุณฟังผมนะ คุณไม่ต้องทำอะไร เข้าใจมั้ย”


“แต่ผม... ผมกลัวนะพี ผมกลัว...” ร่างแอบอวบเข้าไปอิงไหล่ของชายหนุ่มคนรักที่สวมกอดร่างนั้นอย่างห่วงใย พลางปลอบอย่างอ่อนโยน


“ไม่ต้องกลัวนะก้อง.. ผมอยู่นี่แล้ว คุณมีผมอยู่นี่แล้วนะก้อง”


“พี...” ก้องกอดพีแน่นขึ้น พีเองก็กอดก้องแน่นเช่นกัน


“คุณว่าแม่คุณจะว่าไงบ้าง ถ้าได้ยินข่าว” พีเอ่ยถามก้อง


“ไม่รู้สิพี แต่เจ๊ตุ่มน่ะ ต้องกรีดร้องลั่นบ้านแน่ๆ”


“งั้น เรารีบกลับบ้านไปบอกป้าฟองกันเถอะ”


“ยังไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ผมอยากดื่มชาก่อนน่ะพี ได้เวลาแล้วใช่ปะ”


“อยากดื่มชาหรอ งั้นก็ได้ ผมพาคุณไปที่คอนโดผมก่อน แล้วตอนเย็นผมค่อยไปส่งคุณที่บ้าน”


“งั้น ก่อนกลับ คุณช่วยแวะซื้ออะไรให้ผมหน่อยนะ”


“อะไรหรอก้อง”


“ผมอยากกินบะหมี่เกี๊ยวน่ะพี คุณช่วยแวะไปซื้อที่ร้านโปรดพี่ที ที่อยู่ใกล้ๆคอนโดเก่าพี่จอนหน่อยนะ” ก้องมองพีด้วยแววตาอ้อนๆ ถึงจะยังพร่ามัวอยู่ก็ตาม


“เอาแคบหมูเยอะๆด้วยปะก้อง.. แล้ว ถ้าเราซื้อเสร็จแล้ว เราค่อยโทรไปหาพวกทีกันนะ” พีบอกก้องแบบคนที่รู้ทันกันว่า ก้องต้องการแกล้งยั่วทีกับจอน




...




...




เย็นวันนั้น พีแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวไปหลายถุง และพาก้องกลับไปส่งที่บ้านป้าฟอง ขณะที่พาก้องเข้าไปในบ้านนั้น ก็ได้ยินเสียงบางอย่าง



“แก้วตัดสินใจแล้วนะค่ะแม่ แก้วจะเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อน รอจนกว่าก้องจะหาย”


“ได้ยังไงกันยายแก้ว งานแต่งก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว แล้วปอล่ะ ปอจะว่าไง”


“แก้วคุยกับปอแล้ว ปอเค้าไม่เห็นว่าอะไรเลย”


“ปอเค้าไม่ว่าอะไร เพราะเค้าพูดไม่ออกมากกว่ามั้ง อะไรกันยายแก้ว นี่งานแต่งนะลูก การ์ดก็แจกหมดแล้ว ไหนจะแขกผู้ใหญ่อีก โตแล้วนะลูก ทำไมทำอะไรเป็นเด็กๆอย่างนี้ล่ะ”


“แก้วรู้ค่ะ ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่แก้วจะมีความสุขในงานแต่งของแก้วได้ไง ถ้าน้องชายของแก้วยังเป็นอยู่แบบนี้”


“ก็ในเมื่อรู้ว่าไม่ถูก แล้วจะยกเลิกงานแต่งทำไม แก้วต้องนึกถึงคนอื่นๆด้วยสิลูก” สองแม่ลูกกำลังทะเลาะกันเรื่องการยกเลิกงานแต่งของแก้วอย่างดุเดือด ตุ่มกับเจ๋งที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นจนพีกับก้องเดินเข้ามาในตัวบ้าน


“แต่เรื่องงานแต่ง มันเป็นเรื่องของแก้วกับปอ... แล้ว....”


“อ๋อ... นี่แก้วหาว่าแม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องงานแต่งของเราสองคนหรอ นี่.....”


“แก้วไม่ได้หมายความอย่างงั้น คือแก้ว....”


“อย่าทะเลาะกัน....” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของคนในบ้าน แต่คงเบาไปเพราะผู้เป็นแม่กับน้องสาวยังคงเถียงกันต่อไป




..




...



Create Date : 14 มิถุนายน 2553
Last Update : 14 มิถุนายน 2553 1:11:44 น.
Counter : 433 Pageviews.

11 comment
ตอนที่ 12 +++ การกลับมา +++





เครื่องบินสายการบินไทยลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางมาจากอเมริกาต่างทยอยกันเดินเข้าสู่ช
่องทางผู้โดยสารขาเข้าและจุดตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ พีคอยดูแลก้องไม่ให้ต้องลำบาก ถึงแม้ว่านักกายภาพบำบัดหนุ่มจะใช้ไม้เท้าจนชำนาญแล้ว แต่นักแข่งรถหน้าทะเล้นก็ประคองเป็นอย่างดี ถึงก้องจะดีใจที่พีคอยเอาใจใส่ แต่บางครั้งก็อดรำคาญไม่ได้เหมือนกัน



“ผมเดินไปเองได้น่าพี คุณไม่ต้องคอยประคองผมตลอดเวลาหรอก”


“ก็ผมเป็นห่วงคุณนี่ก้อง นี่เรากลับมาโดยไม่ทันได้บอกพี่แก้วกับป้าฟองเนี่ย ใจผมยังกังวลอยู่เลย ว่าจะบอกแม่คุณยังไงว่าคุณยังมองไม่เห็น อุตส่าห์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่แล้ว...”


“คุณจะกังวลมากไปรึเปล่าพี ผมเป็นคนที่มองไม่เห็นนะ ไม่ใช่คุณ ผมยังไม่กลัวเลย”


“มันไม่เหมือนกันนะก้อง ผมรับปากแม่คุณไว้ ว่าคุณจะหายทันงานแต่งพี่แก้วแน่ๆ แล้วนี่ก็เหลืออีกแค่สองสามวันก็จะถึงงานอยู่แล้ว ผมก็เลย....”


“เอาเหอะน่า ก็เพราะเหลืออีกสองสามวันไง ผมถึงไม่ได้บอกแม่กับพี่แก้วว่าผมยังมองไม่เห็น ไม่งั้นพี่แก้วมีหวัง ยกเลิกงานแน่ๆ”


“แล้วถ้าพี่แก้วยกเลิกงาน พี่ปอเค้าจะไม่..”


“ผมถึงได้กลับมาให้มันกระชั้นแบบนี้ไงล่ะพี จะได้ยกเลิกไม่ทัน ขืนกลับมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนนะ พี่แก้วไม่ยอมแต่งชัวร์ แล้วแม่กับพี่แก้วก็อาจจะทะเลาะกันอีก”


“ทำไมป้าฟองต้องทะเลาะกับพี่แก้วด้วยล่ะก้อง”


“แม่เค้าคงอยากอุ้มหลานเร็วๆมั้ง เพราะคงจะเหลือแต่พี่แก้วน่ะแหละ ที่มีหลานให้แม่อุ้มได้ พี่กิ่งก็เสียไปแล้ว ส่วนผมก็....” เอ่ยมาได้แค่นี้ ก้องก็มีน้ำตาคลอที่ตาเล็กน้อย จนพีต้องเข้ามาปลอบใจ แล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้


“ไม่เป็นไรนะก้อง”


“ผมขอโทษนะพี แต่บางครั้ง ผมก็รู้สึกผิดที่ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงซักคนแล้วมีหลานให้แม่อุ้มได้ ผมรู้นะพี ถึงแม่เค้าจะยอมรับได้ที่ผมเป็น... แต่ลึกๆแล้ว แม่ก็คงจะเสียใจแน่ๆเลยอะพี ผม... ผม...” ก้องร้องไห้ซบบ่าของพีซึ่งประคองบ่าของก้องเอาไว้ นักกายภาพบำบัดหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากบ่าของคนรัก แววตาแห่งความห่วงใยสะท้อนออกมาจากดวงตาของชายหนุ่มเบื้องหน้า สองตาของพีมองสะท้อนกระจกตาที่ยังพร่าเลือนของก้อง คณะที่แววตาของก้อง ก็สะท้อนภาพของพีเช่นกัน เป็นภาพลางๆของชายหนุ่มที่ตนรัก ก้องพยายามเพ่งเพื่อจะได้เห็นหน้าพีชัดๆ แต่เมื่อเพ่งนานๆก็กลับรู้สึกปวดตาขึ้นมาจนลืมตัวเผลอขยี้ตาจนได้



“ก้อง คุณเป็นอะไรรึเปล่า ตาของคุณ...”


“ผมไม่เป็นไรพี แค่ปวดตานิดหน่อยน่ะ” ก้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสภาพการมองเห็นของตน


“แล้วเมื่อกี้นี้คุณ..”


“ตามันพร่าน่ะพี ผมเห็นคุณลางๆ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แล้วพอผมพยายามเพ่ง ผมก็รู้สึกปวดขึ้นมา”


“แวะไปให้หมอดูมั้ยก้อง”


“แต่นี่มันดึกแล้วนะ ผมว่าเรากลับบ้านก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยไปหาหมอ”


“แล้วคุณจะกลับไปนอนบ้านคุณ หรือไปนอนที่คอนโดของผมกันล่ะ”


“ผมคิดถึงแม่อะพี คิดถึงพี่แก้ว แล้วก็พี่ตุ่มกับพี่เจ๋งด้วย”


“งั้นเรากลับไปบ้านคุณกัน แต่คุณต้องให้ผมแวะคอนโดเก็บของก่อนนะ”


“อ้าว... คุณไม่ไปส่งผมก่อนแล้วค่อยกลับคอนโดเหรอพี”


“หึ... ไม่หรอก คืนนี้ ผมจะไปนอนบ้านคุณ ผมแอบโทรบอกเจ๋งไว้แล้ว”


“แต่ไม่บอกผมก่อนเนี่ยนะ... ไม่มีมารยาท” ก้องแกล้งทำหน้าเชิดใส่พี


“ก็แล้วคุณจะให้ผมไปนอนบ้านคุณปะล่ะ” พียิ้มลอยหน้ากวนๆเข้าไปใกล้ๆ


“ก็แล้วแต่คุณดิ อยากไปก็ไป”


“แล้วคุณจะมาว่าผมทำไมเนี่ยก้อง”


“ก็ผม... ก็มันบ้านผม ผมก็มีสิทธิ์ว่าดิ” ก้องพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ก็สะดุดและล้มลงไป โชคดีที่พีเข้ามาประคองไว้ได้ทัน แขนซ้ายของพีต้องรับน้ำหนักตัวของก้องที่ไม่ได้เบาเอาเสียเลย ทำให้เกิดรอยช้ำจาการกดทับขึ้นมาพอเห็นจางๆ แต่ก้องก็ไม่สามารถมองเห็นได้


“เป็นไรมั้ยพี คุณเป็นไรมั้ย” ก้องเอ่ยถามด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังมากนัก


“ไม่เป็นไรก้อง แค่คุณไม่เป็นไรก็พอแล้ว”


“อือ...” ก้องตอบสั้นๆ


“ผมอุตส่าห์ช่วยไม่ให้คุณล้มเนี่ย จะไม่ขอบคุณผมหน่อยหรอ”


“ไม่....” ที่จริง ก้องซาบซึ้งในตัวพีอยู่แล้ว แต่เพราะก้องรู้ว่า ถ้าตนปฏิเสธ พีจะทำยังไง จึงได้แกล้งตอบออกไปแบบนั้นแล้วรอดูท่าที


“ไม่มีมารยาท...” พีทำหน้าเหมือนครั้งก่อนที่ร้านอาหารข้างโรงพยาบาลวิภารามไม่มีผิด ทำหน้าหยีเล็กๆ ตาขวางน้อยๆ บี้จมูกนิดๆ และโยกศีรษะหน่อยๆ ถึงจะมองเห็นไม่ชัดเพราะความพร่าเลือน แต่ก้องก็สัมผัสได้ถึงบุคลิกท่าทางที่คุ้นเคยจนเผลอยิ้มออกมา


“เวลาคุณทำหน้าแบบนั้น ก็ตลกดีนะพี”


“ตลก...”


“เอ่อ... ผมหมายถึง มันทั้งตลก ทั้งน่ารัก เอ่อ... ไม่รู้สิ ก็แค่... น่ามองมั้ง”


“ก้อง... นี่คุณ...”


“ขอบคุณนะพี ที่ช่วยผมเมื่อกี้นี้ ผมทำให้คุณเจ็บตัวอีกแล้ว” ก้องมองหน้าพีที่ยิ้มตอบกลับมา แล้วเข้าไปประคองแขนของพีแทนบ้าง แต่ก็ดันไปจับแรงๆเอากับแขนข้างซ้ายที่เจ็บพอดี


“โอ้ววววว...” พีร้องเสียงดังเพราะความเจ็บ


“ผมขอโทษพี คุณคงเจ็บแย่เลย ไว้เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมนวดให้นะ”


“ไม่เป็นไรก้อง แค่นี้เอง” พีทำทีปฏิเสธ เพราะเกรงใจคนรัก


“ผมเป็นนักกายภาพบำบัดของคุณไม่ใช่หรอ”


“ใช่ก้อง คุณเป็นนักกายภาพบำบัดของผม” พียิ้มระรื่นออกมาจนเห็นฟันสีขาวชัดเจน ก้องนึกหมันเขี้ยวเลยแกล้งกดน้ำหนักมือที่แขนของพีอีกเล็กน้อย


“โอ้วววว... นี่คุณแกล้งผมรึเปล่าเนี่ย”


“เปล่า ผมก็แค่ลองกดดู ว่ามันอักเสบหรือช้ำแค่ไหนเท่านั้นเอง” ก้องตอบยิ้มๆ


“แน่นะ” พีมองขวางๆ คล้ายกับไม่วางใจกลัวจะโดนแกล้ง แต่ก็ยิ้มได้ในที่สุด


“พี..”


“ฮึ..”


“คุณบอกเจ๋งไปแล้ว ว่าเราจะกลับบ้าน อย่างนี้แม่ก็รู้แล้วอะดิ ว่าผมกลับมาแล้ว”


“น่าจะยังนะ” พีตอบ ทำให้ก้องเงยขึ้นมามอง ทำหน้าแปลกใจ


“ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว เลยกำชับเจ๋งว่าอย่าให้ป้าฟองรู้ กลัวป้าฟองจะรอคุณแล้วไม่ยอมไปนอนน่ะ ที่น่าจะรู้ก็คงแค่เจ๋ง กับเจ๊ตุ่มมั้ง ป่านนี้ แม่คุณคงไปเฝ้าพระอินทร์แล้วแหละ”


“เฝ้าพระอินทร์” ก้องแปลกใจเล็กน้อยที่พีใช้สำนวนนี้


“ก็เฝ้าพระอินทร์ แปลว่านอนหลับอยู่ไม่ใช่เหรอก้อง”


“ก็ใช่... แต่คุณ...” ก้องตั้งใจจะถามว่าพีรู้ได้ไง ทั้งๆที่โตเมืองนอก


“เจ๊ตุ่มแกเคยสอนผม คุณจำไม่ได้หรอก้อง วันที่คุณไปแอบหลังพุ่มไม้ แล้วเปิดสายยางทิ้งไว้ตอนผมแวะไปหาไง ตอนที่คุณกำลังโมโหผมเรื่องพี่ปัททำร้ายพี่แก้วน่ะ”


“อืม... ผมจำได้แล้ว ว่าตอนนั้นผมโกรธคุณแค่ไหน ทั้งๆที่คุณก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย”


“ขี้เหวี่ยงขั้นเทพเลยล่ะ”


“ผมว่าไม่มั้ง....” ก้องไม่ยอมรับ แต่พอพีไม่ตอบรับการบ่ายเบี่ยงของตน จึงเปลี่ยนใจ

“ก็ได้ ผมเหวี่ยงใส่คุณอย่างงี่เง่า ไร้เหตุผลจริงๆนั่นแหละ แต่ผมก็ดีใจนะ ที่คุณไม่ยอมแพ้” ก้องบอกพี ซึ่งดูเหมือนจะพอใจในคำตอบนี้มาก


“แล้วคุณว่าไง เรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกป้าฟองว่าเรากลับมาถึงแล้ว”


“ดีแล้วแหละพี ไว้ค่อยโผล่ไปให้แม่กับพี่แก้วตกใจตอนเช้าดีกว่า” ก้องตอบยิ้มๆแล้วใช้ไม้เท้านำทางเดินต่อไป โดยมีพีลากกระเป๋าแล้วตามไปอย่างใกล้ชิด



...



...





รถแท็กซี่สีเขียวอ่อน เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบ้านกลางดึก กระเทยร่างท้วมคนหนึ่งยืนรอเปิดประตูรั้วอยู่ก่อนแล้ว โดยมีชายหนุ่มผิวคล้ำตัวไม่สูงนักอยู่เป็นเพื่อนอีกคน ทันทีที่รถแท็กซี่จอด แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ ประตูรั้วก็เลื่อนเปิดทันที กระเทยในเสื้อสีฉูดฉาดคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปกอดร่างแอบอวบที่เพิ่งเดินลงมาจากรถด้วยคว
ามรัก ความห่วงใย และความคิดถึงล้นพ้น



“น้องก้อง.... เป็นไงบ้างคะ พี่คิดถึงแทบแย่ หายไปตั้งสองเดือนแน่ะ ไหนดูสิ ผอมลงรึเปล่า
แล้วน้องพีดูแลน้องก้องดีมั้ยเนี่ย ไปอยู่ที่โน่นคงเหงาแย่เลย ก็ไม่มีเจ๊คุยเป็นเพื่อน
แล้วเป็นไงบ้างคะ อเมริกาหนาวมั้ย เพื่อนน้องพีที่เป็นอดีตพระเอกชื่อดังน่ะ เค้าต้อนรับน้องก้องดีรึเปล่า
อาหารที่โน่นถูกปากเหมือนที่พี่ทำให้มั้ย แล้วผ่าตัดเสร็จแล้วเป็นไงบ้างคะ เห็นหน้าพี่ชัดเหมือนเดิมแล้วใช่มั้ยคะ” พี่ตุ่มใส่คำถามเป็นชุดจนก้องตั้งตัวไม่ติด


“หวัดดีครับพี่ตุ่ม” ก้องรีบยกมือไหว้เสียก่อนที่จะนึกคำตอบมาตอบคำถามที่เยอะไปหมด พี่ตุ่มก็ยกมือรับไหว้เช่นกัน ก่อนจะสวมกอดน้องก้องของตนอีกครั้งนึง


“พี่ตุ่มครับ” พีเอ่ยเรียก แล้วก็ยกมือไหว้ ซึ่งกระเทยท้วมก็หันมารับไหว้เช่นกัน ก่อนจะหันไปทางน้องก้องต่อ ขณะเดียวกัน เจ๋งก็กำลังช่วยคุรพียกกระเป๋าแล้วลากเข้าไปในเขตบ้านเพื่อให้รถแท็กซี่ได้วิ่งออกไป
ทำมาหากินต่อ


“ก็....” ก้องนึกไม่ออกว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี


“บอกเจ๊แกไปเลยน้องก้อง ว่าเห็นหน้าบานๆชัดเต็มๆสองตาเลย”


“หุบปากไปเลยไอ้เจ๋ง แกไม่พูด ไม่มีใครเค้าว่าแกเป็นใบ้หรอก” ตุ่มตวาดใส่เจ๋งเสียงเริ่มจะไม่เบา จนเจ๋งต้องทำหน้าดุใส่ แล้วชี้มือขึ้นไปชั้นบน เตือนให้ตุ่มรู้ว่า ป้าฟองกับแก้วกำลังหลับอยู่ เดี๋ยวตื่น ตุ่มนึกขึ้นได้ รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที


“จะให้ตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะครับ ก้องจำไม่ได้ว่าพี่ตุ่มถามอะไรแล้วบ้าง”


“อุ้ยยย... พี่ก็ลืมไป ยิงคำถามเยอะไปหมด แล้วน้องก้องจะตอบถูกยังไงไหว ขนาดพี่เป็นคนถามเอง พี่ยังลืมเองเลย ว่าถามอะไรไปบ้าง”


“ก็มัวแต่ตื่นเต้นดีใจที่น้องก้องกลับมา พีรู้มั้ย เจ๊แกเดินวนรอบบ้านเป็นแม่หมูตามหาลูกหมูยังงั้นตั้งแต่หัวค่ำ นี่ดีนะที่กล่อมป้าฟองกับพี่แก้วขึ้นไปนอนได้ก่อน” เจ๋งบอกกับพีหลังจากลากกระเป๋าเข้าบ้านเสร็จแล้ว และเดินออกมาที่หน้าบ้านอีกครั้ง


“หุบปากไปเลยนะไอ้เจ๋ง” พี่ตุ่มหันไปตวาดและชี้หน้าเจ๋ง จากนั้นก็หันไปทางก้องอีกครั้ง


“ไปค่ะน้องก้อง เข้าบ้านกัน” ตุ่มเอ่ยเรียกก้องให้เดินเข้าบ้าน ถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่าก้องใช้ไม้เท้าเดินเคาะพื้นอย่างที่เคยทำก่อนไปอเมริกา แม้จะเห็นว่าก้องชำนาญกว่าเก่า แถมคล่องแคล่วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็อดสะเทือนใจไม่ได้ จึงหันไปมองหน้าน้องพี ที่ได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆ เจ๋งเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา หันไปมองที่น้องพีอีกคน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเป็นคำพูด นอกเสียจากรอยยิ้มแห้งๆ แบบคนกำลังขอโทษที่ทำให้ผิดหวังประมาณนั้น


“มาค่ะน้องก้อง ให้พี่ช่วย” ตุ่มจะเข้าไปพยุงก้อง แต่ก้องปฏิเสธ


“ไม่เป็นไรครับพี่ตุ่ม ก้องเดินเองได้”


“น้องก้องคะ คือ...” ตุ่มเหมือนจะถามอะไรบางอย่างหรือหลายอย่าง แต่ก้องฟังจากน้ำเสียงของตุ่ม ก็รู้ว่าตุ่มจะถามอะไร ตนไม่อยากตอบคำถามตอนนี้ จึงรีบเดินไปทางบันไดให้เร็วขึ้น


“ผมง่วงแล้ว ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ” เมื่อเดินถึงบันได ก้องก็จับราวบันไดแล้วเดินขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว พีหันไปมองหน้าตุ่มที่ยังมีสีหน้าตกใจกับความผิดหวังที่ก้องยังมองไม่เห็นอยู่ ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ แล้วรีบขึ้นบันไดตามก้องไป


“เจ๊... นี่น้องก้องเค้ายัง....”


“ชั้นรู้แล้วไอ้เจ๋ง ว่าตาน้องก้องยังไม่หาย ก็ไหนอาทิตย์ก่อน น้องแก้วบอกว่า น้องก้องโทรมาจากอเมริกา บอกว่าหายดีแล้วไง แล้วทำไมถึง...”


“พี่แก้วอุตส่าห์ดีใจว่าน้องก้องหายแล้ว ถึงได้ยอมแต่งงานกับพี่ปอตามกำหนดการเดิม นี่ถ้ารู้ว่าน้องก้องยังไม่หายนะ มีหวัง โกรธมากแน่ๆ” เจ๋งพูดออกมาทำให้ตุ่มนึกคำตอบออก


“รู้แล้วไอ้เจ๋ง ชั้นรู้แล้ว ชั้นรู้แล้ว” ตุ่มเขย่าตัวเจ๋งเต็มแรง


“ก็รู้อะไรของเจ๊เล่า บอกมาดิ”


“น้องก้องโกหกน้องแก้ว เพราะไม่อยากให้น้องแก้วเลื่อนการแต่งงานกับน้องปอ เพราะน้องแก้วคงไม่ยอมแต่งแน่ๆ ถ้าน้องก้องยังไม่หายเป็นปกติ”


“แล้วน้องก้องเค้าไม่กลัวพี่สาวเค้าโกรธเอาหรอ”


“กลัวสิ แต่น้องก้องเป็นห่วงพี่สาวมากกว่า ถึงได้กลับมาตอนกระชั้นงานแบบนี้ คิดดูนะ อีกสองวันก็จะถึงงานอยู่แล้ว ถึงอยากยกเลิก น้องแก้วก็คงยกเลิกไม่ทัน”


“แล้วป้าฟองล่ะ จะไม่เสียใจหรอ เรื่องที่น้องก้องหลอกให้แกดีใจว่าหายดีแล้วน่ะ”


“ก็คงเสียใจนิดหน่อย แต่คงไม่โกรธหรอก ก็น้องก้องน่ะ ทำเพื่อน้องแก้วนี่นา”


“นึกแล้วก็สงสารน้องก้องเนาะ เพื่อให้พี่สาวได้แต่งงานกับคนที่รัก ถึงกับต้องยอมโกหกแม่ โกหกพี่สาว แล้วตัวเอง ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพี่สาวในชุดเจ้าสาวสวยๆด้วย”


“อย่าว่าแต่ชุดน้องแก้วเลย ขุดน้องก้องที่ป้าฟองอุตส่าห์ตัดมาให้เข้าเซตกันน่ะ จะได้ใส่รึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงได้ใส่ก็คงจะไม่รู้ว่าตัวเองหล่อแค่ไหน ทำไมนะ ทำไมโชคร้ายมันถึงได้เกิดกับบ้านเราบ่อยนักนะ” ตุ่มบ่นเสียใจอยู่คนเดียว โดยไม่ทันสังเกตว่า เจ๋งล้มตัวลงนอนหลับบนโซฟาไปแล้ว


“อ้าววว... ไอ้เจ๋ง เผลอแผล่บเดียว หลับซะแล้ว ปล่อยให้เราพูดคนเดียวอยู่ได้ตั้งนาน ดี .. นอนเฝ้าห้องรับแขกไปเหอะ ชั้นไปนอนในห้องดีกว่า” พูดจบ ร่างท้วมของกระเทยสาวสวยประจำบ้าน ก็หายเข้าไปด้านใน



...



...







Create Date : 03 มิถุนายน 2553
Last Update : 3 มิถุนายน 2553 13:24:49 น.
Counter : 432 Pageviews.

11 comment
ตอนที่ 11 +++ เหตุเกิดบนเครื่องบิน +++





ก่อนจะถึงงานแต่งงานของปรมินทร์และแก้วกัญญาสามวัน ธีรศิลป์และขจรมาส่งพีรวิชญ์และก้องบดินทร์ที่สนามบินเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย


“ขอบคุณมากนะที จอน ไว้โอกาสหน้าจะพาก้องมาเที่ยวอีก”


“อืมมม.. เสียดายนะ ที่ก้องยังมองไม่เห็น” ทีบอกกับพี


“นั่นสิครับ จะได้พาก้องเที่ยวเยอะๆ รับรองต้องสนุกแน่ๆเลยนะผมว่า” จอนบอกกับพีและก้องที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกระพริบตาไปมา


“เป็นไรก้อง แสบตาหรอ” พีเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง


“เปล่าพี ผมแค่รู้สึกเหมือนมีแสงแยงตาน่ะ”


“นี่แปลว่าตาคุณ...” พียิ้มดีใจออกนอกหน้า


“เปล่าพี.. ผมยังมองไม่เห็น แค่รู้สึกว่ามีแสงเข้าตาเท่านั้นเอง แต่ภาพทุกภาพที่เห็นมันเบลอไปหมด มองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เลย”


“อย่างน้อยก็แปลว่าดีขึ้นใช่ปะ ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว” พียังคงยิ้มดีใจ


“ผมก็ว่างั้นแหละ แต่พี คุณไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง”


“ก็ผมอยากให้คุณมองเห็นนี่ก้อง ผมอยากให้คุณเห็นผม”


“ผมรู้พี ผมรู้ ผมก็อยากมองเห็น แต่ในเมื่อ...”


“ก้อง ......” พีจับมือก้องแน่นขึ้น แล้วหันหน้าก้องมาจ้องหน้าตนเอง


“ว่าไงพี...” ก้องเอ่ยชื่อคนรักด้วยความรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ พีก็หันหน้าตนไปมองหน้าพี


“ก้อง..คุณหลับตานะ แล้วนึกถึงใบหน้าผม”


“อือ..”


“เห็นรึยัง..”


“เห็นแล้ว ผมเห็นหน้าคุณชัดเจนเลยพี”


“ทีนี้.. คุณตั้งใจฟังผมให้ดีนะก้อง”


“ครับ..”


“ก้อง .. ไม่ว่าตาของคุณจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ผมก็จะยังคงรักคุณ ไม่มีวันเลิกรักคุณ และผมก็รู้ว่า ถึงไอ้ตาคู่นี้ของคุณจะเห็นผมไม่ชัด แต่ในใจของคุณ ใจของคุณเห็นผมตลอดเวลา ผมจะไม่เลิกมองคุณ คุณก็จะไม่มีวันเลิกมองผม เราจะใช้ใจของเรา (พีจับมือของก้องมาประทับบนหน้าอกตำแหน่งหัวใจของตนเอง) ใจดวงนี้ (จากนั้นก็ย้ายมือของตนและก้องไปประทับบนหน้าอกของก้องที่ตำแหน่งหัวใจเช่นเดียวกัน) และดวงนี้ ใจสองดวงที่มีเจ้าของร่วมกัน มองซึ่งกันและกันไงก้อง ผมเชื่อว่า เราจะเห็นกันและกันเหมือนคู่รักคนอื่นๆทุกคน” น้ำเสียงของพีรวิชญ์ฟังแล้วหนักแน่น แต่ก็อบอุ่นอย่างประหลาด ก้องบดินทร์ฟังแล้วถึงกับมีหยดน้ำหยดเล็กๆไหลออกมาจากปลายหางตาทั้งสองข้างของตน


“พี...” ก้องสวมกอดพีรวิชญ์ด้วยความประทับใจโดยไม่แคร์สายตาของอเมริกันชนและนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่มองเห็นแต่ก็ไม่นึกสนใจอะไร เพราะส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่า ที่นี่เป็นสนามบิน นี่ก็แค่คนสองคนกอดลากันเท่านั้นเอง แต่ทีกับจอนที่ยืนมองอยู่ กลับจับมือของกันและกันแน่นยิ่งขึ้น และยิ้มให้กับความรักของรุ่นน้องทั้งสองคน


“แต่ผมก็ยังเชื่ออีกอย่างนะก้อง..” พีพูดหลังจากเลิกกอดกันแล้ว


“อะไรเหรอพี..”


“ผมเชื่อว่าตาของคุณจะต้องหายแน่นอน แล้วคุณก็ควรจะเชื่ออย่างที่ผมเชื่อด้วยนะก้อง”


“ครับ...” ก้องยิ้มตอบ


“ผมว่าคุณพีกับน้องก้องรีบไปกันได้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องออก ได้ยินมั้ย เสียงเค้าประกาศเรียกแล้ว” จอนบอกกับพีและก้อง


“ขอบคุณมากนะครับพี่จอน พี่ที ไว้คราวหน้า ถ้าตาของผมหายดีแล้ว จะมารบกวนให้พาเที่ยวให้เต็มที่เลย” ก้องบอกกับทีและจอน


“ได้สิ แล้วพี่จะรอ โชคดีนะก้อง..” ทีเอ่ยลาก้อง แล้วเข้าไปสวมกอดเบาๆ จากนั้นก็ไปกอดลาพี


“ขอบคุณมากนะ” พีบอกกับที


“อือ...โชคดีนะ แล้วเดี๋ยวคงได้เจอกันใหม่” ทีบอกลาพี จากนั้นจอนก็เข้าไปบ้าง


“โชคดีนะครับคุณพี น้องก้อง ไว้ถ้าผมกับทีกลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ จะแวะไปหานะครับ”


“ขอบคุณมากนะครับจอน” พีบอกกับจอนแล้วเข้าไปสวมกอดลากัน


“ขอบคุณมากนะครับพี่จอน” ก้องพูดแล้วก็รับกอดจากจอนที่เดินเข้ามาหา พลางกระซิบข้างหูเบาๆ


“จริงเหรอพี่จอน แล้วแบบนี้มันไม่...” ก้องยิ้มขำๆจนพีกับทีสงสัย


“อะไรหรอจอน ก้อง” พีเอ่ยถามแต่ทั้งสองคนก็เอาแต่ยิ้ม


“ไว้คุณพีถามน้องก้องเอาเองแล้วกันครับ ไปครับคุณที ไปทำงานต่อได้แล้ว” จอนพูดจบก็เดินจูงมือทีออกไปจากสนามบิน โดยไม่ลืมโบกมือลาสองหนุ่มที่กำลังจะกลับเมืองไทย



หลังจากที่จอนกับทีเดินหายไปแล้ว พีก็พาก้องเดินเข้าไปในส่วนอาคารผู้โดยสารขาออก พลางหันมาถามก้องเรื่องที่จอนกระซิบเมื่อครู่นี้


“ก้อง.. ตกลงว่าจอนเค้ากระซิบบอกอะไรคุณหรอ”


“ก็แบบว่า... พี่จอนเค้าบอกว่า...” ก้องจะพูดออกมาแต่ก็อดยิ้มขำไม่ได้ร่ำไป


“ก็บอกผมมาสิ ว่าจอนเค้าบอกอะไรคุณ ทำไมคุณถึงขำนักหนา”


“ก็ได้ๆ ผมบอกก็ได้ พี่จอนเค้าบอกผม ว่าให้ผมบอกกับคุณด้วย”


“บอกผมเนี่ยนะ บอกเรื่องอะไร”


“ก็....” ก้องจะพูดแต่ก็ขำไม่เลิก


“ก้องงงง” พีชักจะเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย


“ก็ได้.. บอกแล้ว ก็คุณน่ะ ...” ก้องเข้ามากระซิบที่ข้างหูพี “ลืมรูดซิปรึเปล่าล่ะ” พีได้ยินที่ก้องพูดก็เกิดอาการตกใจเล็กน้อยล้ารีบสำรวจเครื่องแต่งกายของตนเอง โดยเฉพาะตำแหน่งล่อแหลมที่ก้องบอก แล้วก็จริงดังที่คิด จึงจัดการรูดซิปให้เรียบร้อย


“ก้อง แล้วอย่างนี้...” พีหน้าแดงด้วยความอาย สบถอารมณ์ตลกพลางโมโหตัวเองออกมา ก้องเองก็ได้แต่ยิ้มขำเพราะตนมองไม่เห็น


“พี่จอนเค้าบอกผม เพราะเค้ากลัวคุณอายไง ผมมองไม่เห็น ถ้าให้ผมบอกคุณ คุณคงจะไม่อายเท่าไหร่มั้ง” ก้องตอบยิ้มๆ


“แต่คุณก็.... อะ... ก้อง แล้วสมมติว่า.. เอ่อ.. ถ้าคุณมองเห็นอะนะ คุณอยากจะ...” พีพูดแค่นั้นแล้วก็อมยิ้มขำอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าคิดทะลึ่งอะไรรึเปล่า


“ยิ้มขำอะไรของคุณอะพี” ก้องถามอย่างสงสัย


“ก็... เดี๋ยวก่อนก้อง คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังยิ้ม”


“ก็เวลาคุณยิ้มนะ หน้าคุณจะลอยๆแปลกๆ ผมมองเห็นไม่ชัด แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคุณกำลังยิ้มแน่ๆ นี่คุณกำลังคิดทะลึ่งอะไรอยู่รึเปล่าพี”


“เปล่าก้อง ผมก็แค่คิดว่า...” พีแกล้งยื่นหน้าไปใกล้ๆหน้าของก้อง


“อะไรล่ะ...” ก้องถาม ถึงนักกายภาพบำบัดหนุ่มจะเห็นไม่ชัดว่าคนรักยื่นหน้ามาใกล้แค่ไหน แต่เสียงลมหายใจที่คุ้นเคย ก็กระตุ้นประสาทรับรู้สัมผัสว่าพีเข้ามาใกล้แน่ๆ


“ผมแค่คิดเล่นๆว่า ถ้าคุณเห็นว่าผมลืมรูดซิป คุณจะรีบบอกผม หรือคุณจะเอาแต่จ้องเพราะอยากดูกันแน่” พียิ้มหน้าลอยใส่หน้าหวานๆของก้องจนนักกายภาพบำบัดหนุ่มเผยอยิ้มออกมา ตาที่ยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นของก้อง เผลอลดต่ำไปมองตรงจุดที่พีแกล้งถามถึงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพีก็สังเกตเห็น จึงยิงฟันฉีกยิ้มยิ่งกว่าเก่า


“ก้อง... นี่คุณกำลังมอง...” พีถามหน้าเป็น แต่คนถูกถามกลับอึ้งเสียเอง


“ทะลึ่ง ไม่พูดด้วยแล้ว ไปดีกว่า” ก้องอายหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้น ก็ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นพาตนเองเดินไปสู่ลานขึ้นเครื่อง โดยพีก็ตามไปประคองใกล้ๆ


“ก้อง รอผมด้วยดิ ก้องงงง...”


...


...



เครื่องบินกำลังเคลื่อนที่อยู่บนอากาศ บนที่นั่งชั้นธุรกิจ ตั้งแต่ได้ขึ้นเครื่อง ก้องบดินทร์ก็เอาแต่นั่งปิดตา โดยใช้ผ้าปิดตาแบบสวมศีรษะสีแสดที่แวะซื้อมาก่อนขึ้นเครื่อง จากนั้นก็ฟังเพลงกับเครื่องเล่นเพลงที่สายการบินเตรียมไว้ให้กับผู้โดยสารทุกคน ก้องยกหูฟังมาสวมศีรษะแล้วก็กดฟังเพลงโดยไม่สนใจพีรวิชญ์ที่คอยเอาอกเอาใจสารพัด และพยายามจะคุยด้วย


“คุณโกรธผมหรือก้อง โกรธเรื่องอะไรล่ะ ผม...” พีพยายามจะพูดกับก้อง แต่ก้องก็ยังไม่สนใจ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ได้ขึ้นเครื่องมา พียังไม่มีโอกาสได้นั่งคุยกับก้องเลย ถึงที่นั่งจะติดกัน แต่ก้องก็เอาแต่นั่งฟังเพลงท่าเดียว ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่คนรักทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ไม่สามรถจะโวยวายเสียงดังได้เพราะตนกำลังอยู่บนเครื่องบิน


“หรือก้องจะงอนเราเรื่องที่เราแกล้งก่อนขึ้นเครื่องวะ” พีบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูรูปที่ตนถ่ายไว้ที่อเมริกา มีทั้งรูปที่ถ่ายคู่กันกับก้อง ถ่ายตนเองคนเดียว รูปเดี่ยวของก้อง รูปก้องยืนอยู่กับทีและจอน รูปก้องคู่น้องเม รูปก้องกำลังจะถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ รูปก้องเปลือยท่อนบนนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว รูปก้องตอนผ้าขนหนูหลุดเห็นกางเกงชั้นในเล้กน้อย


“เฮ้ยยย... เผลอถ่ายมาได้ไงวะเนี่ย นี่ถ้าก้องมาเห็นรูปพวกนี้เข้า ต้องโกรธเราแน่ๆเลย”


“รูปอะไรเหรอพี” เสียงที่ดังมาจากคนที่นั่งข้างๆทำเอาพีตกใจแทบกระโดด


“เปล่าก้อง ไม่มีอะไร” พีเสียงสั่นจนก้องสงสัย ในใจพีแอบคิดไปว่า “เมื่อกี้ก้องยังนอนฟังเพลงอยู่เลย โผล่มาได้ไงวะเนี่ย ตกใจหมด ดีนะที่ยังมองไม่เห็น”


“จะเปล่าได้ยังไง ก็เมื่อกี้นี้ คุณบอกว่า ในมือถือคุณมีรูปที่คุณไม่อยากให้ผมเห็นเพราะกลัวผมโกรธอะ มันรูปอะไรเหรอพี” ก้องพยายามคาดคั้น


“เปล่าก้อง ไม่มีอะไรจริงๆ” พียังคงปฏิเสธ


“พี นี่คุณแอบไปถ่ายรูปผู้หญิงอื่นมาใช่มั้ย คุณถึงไม่อยากให้ผมดูน่ะ นี่คุณเห็นผมตาบอดแล้ว คุณก็เลย... ผมเกลียดคุณ คุณก็เจ้าชู้เหมือนพี่ชายคุณนั่นแหละ” ก้องหันหน้าหนีพี ปิดตา แล้วฟังเพลงต่อ ในขณะที่พีก็ตกใจมากเช่นกัน หน้าซีดเป็นไข่ต้ม ไม่คิดว่าก้องจะโกรธได้ขนาดนี้มาก่อน


“เปล่าก้อง มันไม่ใช่อย่างงั้น ผมไม่ได้ไปถ่ายรูปคนอื่นที่ไหนเลยนะ คุณอย่าหึงอะไรโง่ๆสิ” พีพยายามง้อ แต่เหมือนยิ่งง้อยิ่งยั่วโมโหยังไงไม่รู้


“ผมไม่ได้โง่ ผมก็แค่....... ตาบอด” ก้องพูดโดยไม่หันกลับมามอง


“ก้อง... ก็ได้ ผมบอกก็ได้ เนี่ย.. ไม่ใช่รูปใครที่ไหนหรอก รูปคุณทั้งนั้นแหละก้อง”


“แล้วทำไมคุณต้องกลัวผมโกรธด้วย”


“ก็....ก็.... บางรูปมันออกจะโป๊นิดๆ แล้ว เอ่อ... ถ้าคุณเห็นรูปแล้ว คุณอาจจะอายก็ได้ ผมก็เลย...ไม่กล้าให้คุณดู ก้อง ผมขอโทษนะที่ผมถ่ายรูปพวกนี้ไว้ ผมจะลบมันออกเดี๋ยวนี้แหละ” พีทำเสียงเศร้าอย่างคนทำผิด แล้วพยายามขอโทษ


“โป๊มากปะ” จู่ๆก้องก็ถามพีขึ้นมา


“ก็... ไม่ถึงกับโป๊หรอก แค่เปลือยท่อนบน กับเห็นชั้นในนิดเดียวเอง”


“แล้วผมดูน่าเกลียดมากปะ”


“ก็... คุณก็ขาวดี แต่มันออกจะ เอ่อ.. อวบไปซะหน่อยเท่านั้นเอง”


“งั้น คุณยังไม่ต้องลบก็ได้พี เก็บไว้ให้ผมดูก่อน แค่ผมคนเดียวนะ ผมอยากรู้ว่า...”


“อะไรหรอก้อง”


“เหอะน่า... คุณเก็บไว้ดีๆ อย่าให้ใครเห็นก็แล้วกัน ไม่งั้น ผมจะโกรธคุณจริงๆด้วย”


“ครับผม...”


“พี..”


“ว่าไงก้อง..”


“ตอนที่คุณขอโทษผม แล้วทำเสียงสั่นๆเนี่ย ... เสียงคุณก็.. เท่ห์ดีเนาะ เพราะไปอีกแบบ” ก้องพูดยิ้มๆ ซึ่งพีก็ยิ้มรับเช่นกัน


“ก้อง..”


“ครับ”


“คุณจะโกรธผมจริงๆรึเปล่า หรือคุณแค่แกล้ง...” ก้องได้ยินพีถามจึงหันหน้ามาหา


“คุณรู้คำตอบอยู่แล้วแหละพี ถ้าคุณไม่กังวลมากเกินไป คุณก็น่าจะรู้ ว่าผมไม่เคยเกลียดคุณ ไม่มีวันเกลียดคุณ แล้วผมจะ...” ไม่รอให้ก้องพูดจบ พียื่นริมฝีปากของตนไปสัมผัสริมฝีปากของก้องเบาๆหนึ่งครั้ง ก่อนจะขยับปากถอยออกมา นักกายภาพบำบัดหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้ม


“หายกันแล้วนะ”


“หายกันเรื่องอะไร”


“ก็ที่คุณแกล้งบอกว่าคุณเกลียดผมไง รู้มั้ยก้อง ผมตกใจและเสียใจมากแค่ไหน”


“หรอพี งั้น ผมคงต้องแกล้งบอกว่าเกลียดคุณบ่อยๆแล้วมั้ง” ก้องพูดเบาๆแต่พีก็ยังได้ยิน


“คุณว่าไงนะก้อง นี่คุณ....” ชายหนุ่มทั้งสองต่างยิ้มเขินหน้าแดงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะพี ที่ออกจะพอใจเป็นพิเศษ ที่คนรักรู้สึกดีเมื่อถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากของตน


“จริงสิก้อง... ทำไมตั้งแต่ขึ้นเครื่องมา คุณถึงไม่ยอมพูดกับผมล่ะ”


“เปล่า... ผมก็แค่ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”


“แล้วที่ว่าเรื่อยเปื่อยน่ะ อะไรล่ะ”


“ไม่มีอะไรหรอกน่า ผมง่วงแล้ว ผมนอนก่อนนะ” ก้องเอาผ้ามาปิดตาแล้วแกล้งหลับลงไป แต่ในใจก็แอบคิดอยู่คนเดียวว่า
“จะให้บอกได้ไงล่ะ ว่ากำลังคิดถึงคุณตอนไม่ได้รูดซิป คนบ้า ดันถามมาได้ ว่าเราจะแอบจ้องรึเปล่า” ก้องคิดอะไรในใจคนเดียวแต่หน้าก็ออกแดงจนพีสังเกตเห็น แล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา


...


...





Create Date : 27 พฤษภาคม 2553
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 7:28:09 น.
Counter : 487 Pageviews.

11 comment
ตอนที่ 10 +++ เห็น +++






“คุณสวมมันไว้นะก้อง” พีรวิชญ์ถอดสร้อยนกหวีดเส้นโปรดของตนไปคล้องบนคอของก้องที่นอนอยู่บนเตียงรถเข็น รอพยาบาลเข็นเข้าห้องผ่าตัดที่อยู่ใกล้ๆในตอนเช้าของวันเสาร์


“นี่มัน...” ก้องบดินทร์สัมผัสสร้อยเส้นนั้นและรู้ทันทีว่าเป็นอะไร


“คุณเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้นะ มันคือเครื่องรางประจำตัวของผม”


“จะไหวเหรอพี เจ้าของเดิมเคยเดี้ยงมาก่อนเนี่ยนะ”


“เอาน่า อย่างน้อยตอนผ่าตัดคุณจะได้รู้สึกว่ามีผมอยู่ใกล้ๆไง”


“แล้วถ้าผมเป่าแล้ว คุณจะได้ยินรึเปล่าพี”


“ได้ยินสิ”


“เสียงนกหวีดเนี่ยนะหรอ”


“ไม่ใช่.. เสียงหัวใจของคุณต่างหากล่ะ ที่ร้องเรียกผมตลอดเวลา”


“คร้าบบบบบ” ก้องพูดจบปุ๊บ พยาบาลก็เข็นเตียงของก้องเข้าห้องผ่าตัดทันที นักกายภาพบำบัดหนุ่มกระชับสร้อยเส้นนั้นไว้แน่น ขระที่พีก็เฝ้ามองจนประตูห้องผ่าตัดปิดลง





ชายหนุ่มนั่งเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดด้วยความกังวล เหลียวมองประตูห้องเป็นระยะๆสลับกับมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่รัดอยู่บนข้อมือข้างขวาข
องตนเอง เกือบจะเที่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เพราะความเป็นห่วงคนรักที่กำลังผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอยู่ข้างในห้องผ่าตัด พีรวิชญ์จึงทานอะไรไม่ลงตั้งแต่เช้า ได้แต่เฝ้ารอและภาวนาให้การผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จด้วยดี



เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ เพื่อนสนิทของชายหนุ่มก็มากันพร้อมหน้า ทั้งธีรศิลป์นักธุรกิจหนุ่มอดีตพระเอกชื่อดัง และขจรคนรักของธีรศิลป์ นักบัญชีหนุ่มผู้เป็นกำลังใจสำคัญให้ธีรศิลป์สามารถฝ่าวิกฤตมาได้เมื่อหลายปีก่อน คล้ายๆกับตนเองกับก้องบดินทร์ในตอนนี้ ที่เป็นกำลังใจให้กันและกันเพื่อจะฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน ทั้งพีรวิชญ์และก้องบดินทร์ต่างก็ผ่านปัญหาหนักๆร่วมกันมาแล้ว เหลืออีกปัญหาเดียว คือตาที่มองไม่เห็นของก้องบดินทร์ กับโอกาสครั้งสำคัญที่จะทำให้ตาคู่นั้นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง และความหวังทั้งหมด ก็รออยู่ในห้องผ่าตัดเบื้องหน้า



“ไม่ต้องห่วงนะพี หมอเค้ายืนยันมาแล้วนี่ ว่าตาของก้องจะกลับมามองเห็นได้อีกแน่ๆ” ทีเอ่ยปากบอกกับเพื่อนรุ่นน้องที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องผ่าตัด


“ผมว่าพีหาอะไรทานก่อนดีมั้ย ท่าทางจะยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วด้วย” จอนบอกกับพีด้วยความห่วงใย กลัวจะไม่สบายเสียก่อน


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว รอคุณหมอออกมาก่อน ไม่รู้ป่านนี้การผ่าตัดจะเป็นยังไงบ้าง” พูดไม่ทันขาดคำ ไฟสัญญาณผ่าตัดที่ติดอยู่หน้าห้องก็ดับลง บอกให้รู้ว่า การผ่าตัดสิ้นสุดลงแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามหันไปมองที่หน้าประตูห้องพร้อมกัน สักพัก ประตูก็เปิดออกมา นำหน้ามาด้วยคุณหมอ จักษุศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พีรวิชญ์รีบเข้าไปหาทันทีแล้วถามถึงอาการและผลการผ่าตัดดวงตาของก้องบดินทร์เป็นอย่า
งแรก หมอได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่าต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะเปิดผ้าปิดตาออกได้ จากนั้น บุรุษพยาบาลก็เข็นเตียงของผู้ป่วยออกมาเพื่อย้ายกลับไปที่ห้องพักตามเดิม ร่างอวบนิดๆที่นอนหลับอยู่บนนั้นมีผ้ากร็อซปิดอยู่ที่ตาทั้งสองข้าง หลับไม่ได้สติ พีรวิชญ์รีบผละจากหมอแล้ววิ่งไปที่เตียงนั้นทันที ค่อยๆเกาะขอบเตียงรถเข็น กุมมือของคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติ แล้วเดินตามไปที่ห้องพัก ทีกับจอนก็เดินยิ้มตามหลังไปห่างๆ ทั้งหมอและพยาบาลที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็เดากันไปต่างๆนานา บ้างก็เดาถูกว่าพีกับก้องคงจะเป็นคู่รักกัน แต่ก็มีหลายคนที่คิดไปว่าอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนรักที่สนิทกันมากๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้สึกว่าพฤติกรรมของชายหนุ่มผิวค่อนข้างเข้มที่แสดงต่อคนเจ็บบนเตียงน่ารัง
เกียจแต่อย่างใด คงเป็นเพราะสังคมอเมริกันยอมรับเรื่องความรักแบบนี้ได้ง่ายกว่าสังคมไทย พีจึงกล้าแสดงความรักที่มีต่อก้องออกมาอย่างเปิดเผย รวมทั้งจอนกับทีเองก็เช่นกัน



...



...




“ว่าไงนะพี หมอเค้านัดเปิดตาให้ก้องเมื่อไหร่นะ” เสียงหญิงสาวดังผ่านปลายสายโทรศัพท์ทางไกลถึงเมืองไทยที่พีเพิ่งจะโทรไปหา


“อาทิตย์หน้าครับพี่แก้ว หมอเค้าบอกว่าต้องรอให้ตาของก้องฟื้นตัวเองตามธรรมชาติก่อนน่ะครับ แล้วพอเปิดตามา ก้องก็น่าที่จะเห็นได้เป็นปกติอะครับ” พีตอบแก้วกัญญาที่ถือสายโทรศัพท์คุยอยู่ในอีกซีกโลก


“แก้วถามพีด้วยนะลูก ว่าก้องจะฟื้นรึยัง แม่จะได้คุยด้วย” ฟองจันทร์ที่ยืนอยู่ข้างแก้ว ฝากให้แก้วถามพีว่าก้องจะตื่นรึยัง


“แล้วก้องใกล้จะฟื้นรึยังพี” แก้วกัญญาถามพีรวิชญ์


“หมอเค้าบอกว่า อีกซักชั่วโมงนึงอะครับพี่แก้ว นี่ผมกะว่าเดี๋ยวจะลงไปหาอะไรทาน แล้วจะซื้ออะไรมาฝากก้องด้วย ตื่นมาคงบ่นหิวแย่เลย”


“หรอ งั้นถ้าก้องตื่นแล้ว พีช่วยโทรเข้ามาที่บ้านได้เลยนะ”


“แล้วที่นั่นจะไม่ดึกเกินไปหรอพี่แก้ว ผมว่าเอาไว้ค่ำๆผมโทรไปอีกทีก็ได้ ให้ป้าฟองได้พักก่อน” พีบอกกับแก้วในขณะที่หญิงสาวเหลียวมองนาฬิกาที่บ้านตัวเอง ดึกมากแล้วอย่างที่พีบอกจริงๆด้วย เพราะเป็นห่วงสุขภาพของผู้เป็นแม่เช่นกัน แก้วจึงเห็นชอบกับความคิดของพี


“งั้นตอนค่ำพีโทรมาใหม่แล้วกันนะ จ้ะ หวัดดีจ้ะ” แก้ววางสายโทรศัพท์แล้วหันไปคุยกับฟองจันทร์ รวมทั้งตุ่มกับเจ๋งที่ยืนอยู่ไม่ห่างมากนัก


“พีเค้าบอกว่าไงบ้างล่ะแก้ว ก้องจะฟื้นเมื่อไหร่ แล้วตา ตาของก้องจะหายมั้ย” ฟองจันทร์ถามลูกสาวถึงอาการของลูกชายคนเล็กด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก


“ใจเย็นๆก่อนค่ะแม่ พีเค้าบอกว่าอาทิตย์หน้าถึงจะรู้ ว่าก้องจะหายมั้ย แต่ตอนนี้ แก้วว่าแม่ให้พี่ตุ่มพาขึ้นไปนอนก่อนดีกว่านะ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า ทางนู้นเค้าจะโทรกลับมา แล้วแม่ค่อยคุยกับก้องนะ”


“งั้นเหรอแก้ว ถ้างั้น ไปตุ่ม พาป้าไปนอนที พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกับก้อง นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่ค่อยสบายนะ จะตามไปดูแลก้องเองแล้วเนี่ย”


“โถ.. ค่ะคุณป้า ไม่ต้องห่วงน้องก้องหรอกค่ะ มีน้องพีดูแลอยู่ทางโน้น ป่านนี้จะอ้วนขึ้นอีกรึเปล่าก็ไม่รู้ เผลอๆ ชุดที่ป้าฟองตัดไว้ให้น้องก้องใส่ในงานแต่งน้องแก้วคงจะคับซะก่อนล่ะมั้ง” ตุ่มพูดหยอกล้อให้คนแก่มีอารมณ์ขันขณะที่ประคองฟองจันทร์เดินเข้าห้องนอน


“เออ จริงสิ ดีนะที่ตุ่มเตือน ป้าว่าจะตัดเผื่อพีเค้าด้วยอีกชุดนึง แก้วว่าดีมั้ยลู” ฟองจันทร์หันกลับมาถามลูกสาว ที่กำลังช่วยเจ๋งปิดประตูหน้าต่างบ้าน


“ก็ดีสิคะแม่ แต่อย่าให้หล่อเกินหน้าเกินตาปอล่ะกัน” แก้วตอบยิ้มๆ


“แหม...กลัวเจ้าบ่าวตัวเองจะไม่หล่อที่สุดในงานล่ะสิ” ตุ่มพูดไปหัวเราะไป
“แล้วป้าฟองอย่าลืมแก้ชุดของตุ่มให้สวยๆด้วยนะคะ พอน้องก้องไม่อยู่ กับข้าวก็เหลือเยอะ ตุ่มก็เลยอ้วนขึ้นมาอีกแล้วเนี่ย สงสัยป้าฟองต้องขยายช่วงเอวให้อีกแล้วล่ะมั้งคะ”


“ก็กินจุอย่างเจ๊เนี่ยนะ ตัดชุดให้เจ๊ชุดเดียว เอาผ้าไปตัดให้พี่แก้วได้สามชุดเลยล่ะมั้ง” เจ๋งแซวเจ๊ตุ่ม


“หุบปากไปเลยไอ้เจ๋ง ถึงชุดชั้นจะใช้ผ้าเปลือง ก็ดีกว่าแกแหละย่ะ ดำจนไม่รู้จะตัดชุดสีอะไรให้ดี”


“ใครจะไปขาวเหมือนเจ๊ล่ะ ใส่อะไรก็ดูดีไปหมด นี่ถ้าประกวดธิดาช้างเค้ารับกระเทยด้วยนะ เจ๊ชนะแน่นอน”


“เออ.. เจ๊ก็ว่างั้น ว้ายยยย...ไอ้เจ๋ง มาหลอกด่าชั้นอีกแล้ว เดี...”


“พอได้แล้วค่ะทั้งสองคน พี่ตุ่มคะ พาแม่ไปนอนได้แล้วค่ะ เจ๋งก็เหมือนกัน รีบล็อกบ้านเร็วๆเข้า ดึกแล้ว” หลังจากนั้น ทุกคนในบ้านก็พากันไปเข้านอนในยามดึกสงัด ขระที่อีกซีกโลก กำลังเป็นเวลาเริ่มต้นของภาคบ่ายเท่านั้นเอง




.....




.....





ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ วันนี้เป็นวันเปิดผ้าปิดตาของก้อง นักกายภาพบำบัดหนุ่มนอนรออย่างตื่นเต้นอยู่บนเตียง ในห้องพักส่วนตัวแสนสบายราวกับโรงแรมของโรงพยาบาลชั้นนำประจำรัฐที่พีรวิชญ์เลือกสรร
ให้เป็นพิเศษสำหรับคนรักที่เสียสละเพื่อช่วยชีวิตเค้าจนตัวเองต้องตาบอด ถ้าก้องบดินทร์เปิดตาขึ้นมาแล้วมองเห็นได้ คงจะชอบใจมากแน่ๆ สีเขียวอ่อนของห้องนี้ คล้ายกับสีบ้าน สีห้องนอนของก้องไม่ต่างกันมากนัก การตกแต่งภายในที่เจ้าของไข้แอบมาจัดแจงด้วยตนเองนั้น ก็คล้ายคลึงกับห้องนอนก้องและห้องนอนในคอนโดของพีรวมกัน ผสมกันได้อย่างกลมกลืน นักแข่งรถหนุ่มแอบหวังอยู่ในใจว่า เมื่อก้องเปิดตาขึ้นมาเห็นจะต้องชอบใจห้องนี้แน่นอน แค่นึกเห็นภาพก้องยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้งที่ได้กลับมามองเห็น และเห็นห้องที่ตนบรรจงจัดให้อย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ ความอิ่มใจปลาบปลื้มใจก็ซ่านบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด



“ยิ้มอะไรอะพี” จอนเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นพียิ้มไม่หุบ


“เปล่าจอน แค่ดีใจที่วันนี้ก้องจะมองเห็นแล้ว”


“เวอร์ไปมั้ง ดูหน้าดิ แดงเชียว” ทีแซวบ้าง


“สงสัยคงกำลังลุ้นอยู่มั้งที”


“ลุ้นอะไรเหรอจอน”


“ก็ลุ้นว่า น้องก้องเค้าจะชอบห้องนี้รึเปล่าน่ะสิครับ พีเค้าแอบจัดห้องนี้อยู่สองวันเชียวนะ”


“แล้วคุณไปแอบรู้มาได้ไงอะจอน ผมเป็นเพื่อนมันแท้ๆ มันยังไม่บอกผมเลย”


“ก็ผมแอบเห็นตอนที่พีเค้าจัดห้องอยู่น่ะสิ ตอนแรกก็ว่าจะช่วย แต่ผมเห็นสีหน้ายิ้มกริ่มผิดผกติของเค้า ก็เลยเปลี่ยนใจ ปล่อยพีเค้าจัดของเค้าคนเดียวดีกว่า เหมือนกับคุณตอนนั้นไง ตอนที่คุณขะมักเขม้นจัดห้องเก่าของผมที่คอนโดแปดพันเก้าน่ะ”


“คอนโดแปดพันเก้าหรอ พูดแล้วก็คิดถึงเหมือนกันเนอะ คุณว่ามั้ยจอน”


“ป่านนี้ใครไปอยู่แทนผมแล้วก็ไม่รู้ ไว้ถ้าเรากลับเมืองไทยอีก เราแวะไปเยี่ยมคนอื่นๆกันบ้างนะที” จอนเอ่ยปากชวนทีกลับไปเยี่ยมเพื่อนๆที่คอนโดเก่าซึ่งทีก็พยักหน้าเห็นด้วย


“คุยอะไรกันอยู่หรอครับ” เสียงนุ่มๆแผ่วๆดังขึ้นมาจากเตียงผู้ป่วย


“ตื่นแล้วเหรอก้อง ดีใจมั้ย วันนี้คุณจะได้เปิดตาแล้วนะ” พีกุมมือคนรักขึ้นมาแล้วคุยด้วยอย่างอารมณ์ดี มีความหวังและแจ่มใสเป็นพิเศษ จนทีกับจอนแอบยิ้มดีใจไปด้วย


“ถ้าผมมองเห็น ผมก็จะได้ไม่เป็นภาระของคุณหรือของใครอีก”


“ก้องงงงง... คุณไม่ได้เป็นภาระของผมซะหน่อย”


“ไม่เป็นก็ได้ ผมแค่อยากบอกว่า ถ้าผมกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ผมก็จะได้เห็นคนที่ผมอยากจะเจออีก รวมทั้งคนที่ผมอยากจะพบหน้าด้วย”


“ใครบ้างล่ะ” พีเอ่ยถาม


“ก็มีแม่ พี่แก้ว พี่ตุ่ม พี่เจ๋ง พี่ผึ้ง แล้วก็พี่ปอ อ้อ.. แล้วผมก็อยากเห็นหน้าพี่ทีกับพี่จอนด้วย อยากรู้ว่าพี่ทีจะยังหล่อเหมือนเมื่อตอนที่ผมเคยดูละครของพี่เค้ารึเปล่า” ก้องแกล้งตอบโดยข้ามชื่อของใครคนหนึ่งไป ซึ่งคนๆนั้นก็ลุกลี้ลุกลนรอให้ก้องเอ่ยชื่อแต่ก้องก็ไม่ยอมเอ่ยเสียที


“แค่นี้เหรอก้อง แล้วมีใครอีกรึเปล่าล่ะ” พีคะยั้นคะยอรอคำตอบ


“ไม่มีแล้วแหละ คนที่ผมอยากพบหน้ามากที่สุดมีแค่นี้แหละ ทำไมหรอ” ก้องแกล้งยิ้มขำ


“ก้องอะ คุณ... ก้อง..” พีรู้ว่าก้องแกล้งตน จึงได้แต่ถอนหายใจเซ็งเล็กน้อย


“อะ มีอีกคนก็ได้ ... อืมมมม.. คุณธันวาแฟนพี่ผึ้งไง พี่เค้าช่วยเหลือพี่แก้วไว้ตั้งเยอะ”


“ก้องงงง... คุณจะ.. เฮ้ออออ”


“ผมไม่จำเป็นต้องอยากเห็นหน้าคุณนี่พี หน้าคุณลอยอยู่ในสมองผมตลอดเวลาอยู่แล้ว แค่นึกถึง เขี้ยวของคุณก็จะทิ่มหน้าผมแล้วเนี่ย”


“หรอครับ.. แล้วในมโนภาพของคุณ ผมหล่อปะ”


“ไม่เลยซักนิด ผมว่าผมหล่อกว่าคุณอีก”


“ครับ พ่อคนหน้าหล่อ หน้าหวาน หน้าบึ้ง แถมยังแอบอวบอีกด้วย”


“นี่คุณหาว่าผมอ้วนเหรอพี”


“เปล่าซะหน่อย ผมก็แค่ กลัวคุณจะเป็นอย่างพี่ตุ่มน่ะ” พีพูดพลางหัวเราะ ก้องก็ร่วมขำด้วยคน รวมทั้งจอนกับทีด้วย จนกระทั่งหมอเดินเข้ามาเพื่อเปิดตาให้ก้อง ทุกคนถึงได้เงียบและรอหมอพูด


“เดี๋ยวหมอจะเปิดผ้าปิดตาให้ จากนั้นคุณก็ค่อยๆเปิดตาช้าๆนะ” หมอพูดเป็นภาษาอังกฤษแต่ทุกคนฟังแล้วก็เข้าใจที่หมอพูด รวมทั้งก้องที่พยักหน้าตอบหมอด้วย




ค่อยๆเปิดผ้าปิดตาช้าๆ ช้าๆ จนผ้านั้นหลุดออกจากใบหน้าของก้อง ดวงตาสองข้างยังคงปิดสนิท นักกายภาพบำบัดหนุ่มค่อยๆขยังเปลือกตาขึ้นช้าๆเบาๆ กระพริบตาเล็กน้อย จนกระทั่งลืมตาทั้งสองข้างออกมาได้ชัดเจน



“เป็นไงบ้างก้อง” เสียงพีดังขึ้นข้างกายก้อง ชายหนุ่มหันศีรษะไปทางต้นเสียง พยายามกระพริบตาก่อนจะเพ่งมองร่างนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ภาพที่เห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มเลือนรางไม่ชัดเจนของคนคุ้นเคย ก้องพยายามมากขึ้น เพ่งมองอีกครั้ง ภาพเริ่มจะพร่าเลือนเห็นเส้นสีจางๆลางๆแต่ก็ไม่ค่อยชัดเจนอยู่ดี


“เป็นยังไงบ้าง มองเห็นรึยัง” จักษุศัลยแพทย์เจ้าของไข้เอ่ยถามก้อง


“พี... พี...” ก้องร้องหาพีพร้อมกระชับมือของคนรักไว้แน่น


“ผมอยู่นี่ก้อง ผมอยู่นี่”


“ผมมองไม่เห็นน่ะพี มันพร่าไปหมดเลย” คำพูดของก้องทำเอาทั้งพี ที และจอนต่างสะเทือนใจไปตามๆกัน ความหวังที่ตั้งไว้พลันสลายลงไปทันที


“ไม่เป็นไรนะก้อง ไม่เป็นไรนะ” พีบอกก้อง พร้อมหันไปทางคุณหมอ ที่ค่อยๆเข้ามาประคองก้องไปยังห้องตรวจอีกครั้ง โดยมีพีตามเข้าไปด้วย หมอใช้เวลาตรวจสักพักก็อนุญาตให้พีพาก้องเดินออกมาข้างนอกได้ ก้องรับไม้เท้าที่พยาบาลส่งมาให้ แล้วใช้ช่วยนำทางเดินอย่างที่เคยทำ อย่างไรก็ตาม ตาที่เคยมืดสนิทก็ยังมองเห็นอะไรเลือนๆได้บ้าง ไม่ถึงกับบอดเสียทีเดียว


“หมอเค้าว่าไงบ้างพี” ทีเอ่ยถามเพื่อนรุ่นน้อง


“หมอเค้าบอกว่าตาของก้องไม่เป็นไร ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดเลย ว่าทำไมก้องถึงยังเห็นไม่ชัด เค้าว่า.. อาจอยู่ระหว่างช่วงปรับสภาพ คงต้องรออีกระยะ แต่ระหว่างนี้ ต้องให้ก้องใส่แว่นไว้ก่อน กันกระจกตาเทียมมีปัญหาน่ะ”


“ใส่แว่นหรอ งั้นก็เหมือนกับคุณเลยสิจอน อย่างนี้ก็แปลว่า เราจะมีโนบิตะเพิ่มขึ้นอีกคนดิพี”


“ ที คุณก็พูดเล่นไปได้ ดูหน้าน้องก้องสิ คงจะผิดหวังน่าดู” จอนเอ่ยปาก


“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่จอน เดี๋ยวมันก็คงดีขึ้น ผมแค่แอบเสียดายมากกว่า”


“เสียดายอะไรหรอก้อง” พีเอ่ยถาม


“ก็เสียดายที่ผมไม่ได้เห็นห้องที่คุณแอบจัดน่ะสิพี ผมรู้นะ ว่าคุณตั้งใจจัดมาก”


“แล้วคุณไม่...”


“ไม่หรอก อย่างน้อยคุณก็อยู่เคียงข้างผม ผมยังมีคุณ เรายังมีกันและกันไง” ก้องยิ้มตอบพี แต่พีเดาเอาว่า ถึงก้องจะยิ้มอย่างสบายใจ แต่ในใจลึกๆคงแอบร้องไห้เสียใจอยู่แน่ๆ


“ก้อง.. งั้นคุณรู้รึเปล่า ว่าผมจัดห้องเป็นยังไง”


“อธิบายไม่ถูกอะพี ไว้ถ้าผมหายจริงๆแล้ว ผมจะจัดให้คุณดูก็แล้วกันนะ ผมว่า .... ตอนนี้เรากลับบ้านพี่ทีก่อนเถอะ ผมหิวข้าวแล้ว หลังจากนั้น ทั้งสี่คนก็พากันกลับบ้านของอดีตพระเอกหนุ่มชื่อดัง




.....



.....





“ว่าไงนะ ก้องจะกลับเมืองไทยเลยเหรอลูก” แม่ของทีอุทานออกมาอย่างตกใจ


“นั่นน่ะสิ เมยังไม่มีโอกาสพาก้องเที่ยวเลยนะ”


“ผมขอโทษจริงๆนะครับคุณป้า เม แต่ผมคิดถึงแม่ คิดถึงพี่แก้ว คิดถึงทุกคนที่โน่น อีกสิบวันก็จะถึงงานแต่งพี่แก้วแล้ว ผมไม่อยากให้พี่แก้วต้องเลื่อนงานแต่งออกไปอีก”


“แล้วก้องบอกพี่แก้วรึยังล่ะ ว่า....” จอนเอ่ยถาม


“ยังเลยครับพี่จอน ผมแค่ให้พีจองตั๋ว แล้วโทรบอกทางโน้นว่า กำลังจะกลับน่ะครับ”


“แล้วทางโน้นเค้าไม่ถามเหรอ” ทีเอ่ยถามบ้าง


“ผมบอกไปว่า เรียบร้อยดี ไม่ต้องห่วงอะครับ”


“แล้วถ้าก้องกลับไปแล้ว แม่เค้ารู้ เค้าจะไม่เสียใจเหรอลูก”


“ก็....อย่างน้อยก็ดีขึ้นกว่าเดิมไงครับ แล้วหมอก็ยังบอกด้วยว่า ตาของผมอาจจะกลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นเยอะแล้วด้วย ไม่แน่นะครับ อาจจะกลับไปทำงานได้ด้วยซ้ำ”


“แต่ก้อง... คือว่า...” พีพยายามจะพูดบางอย่าง


“พีเค้าก็จะยังดูแลผมอยู่นี่ครับ ผมว่า แม่เค้าคงไม่เป็นไรหรอก” ก้องพยายามจะเข้มแข็งให้ทุกคนได้เห็น ถึงแม้ว่าในใจของตนจะเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม พีเห็นอย่างนั้นแล้ว จึงตัดสินใจคว้ามือไปจับสร้อยคอของตนที่สวมอยู่บนคอของก้อง


“อะไรอะพี นี่มัน.... ก็สร้อยคอนกหวีดของคุณที่ให้ผมไว้ไม่ใช่หรอ”


“ก้อง.... ผมจะบอกคุณว่า ผมอยู่กับคุณเสมอ ผมรู้ว่าคุณเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นไงก็ตาม ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด อย่างที่ผมสัญญาไว้กับคุณไง”


“เราจะไม่ทอดทิ้งกัน ... ผมรู้พี ผมรู้...” ชายหนุ่มทั้งสองสวมกอดเพื่อปลอบโยนกันและกันอย่างอบอุ่น ท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่อิ่มสุขกับความรักของทั้งสองคน


“คุณเห็นใช่มั้ยก้อง ว่า...”


“ว่าคุณไม่มีทางทิ้งผม คุณเป็นคนรักษาสัญญา เห็นสิพี ถึงผมจะไม่เห็นด้วยตานะ แต่ผมเห็นด้วย...” ก้องดึงมือของพีมาจับที่หัวใจของตนและหัวใจของพี จากนั้น พีก็แอบจุ๊บมือของก้องเบาๆหนึ่งครั้ง เรียกเสียงวี้ดวิ้วจากเจ้าของบ้านได้ทีเดียว



.....



......







Create Date : 05 พฤษภาคม 2553
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:28:07 น.
Counter : 445 Pageviews.

14 comment
1  2  3  4  

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments