ภาระกิจส่วนใหญ่ของทหารใน R จะคอยป้องกันด่านหน้าไม่ให้ใครบุกโจมตี ส่วน A นั้นทหารจะได้ออกไปลั้นลานอกค่ายกันบ่อยกว่า ซึ่งส่งผลให้ A มีภาพการปะทะกันซึ่งๆ หน้ามากกว่าใน R ที่ได้แต่ยิงศัตรูจากในค่าย
การนำเสนอของ R จะออกแนวสารคดีมากกว่า A ที่ทำออกมาอย่างกับหนังของ Paul Greengrass (Green Zone [2010) เพราะมีการใช้กล้องถ่ายหลายตัวพร้อมกัน และเน้นถ่ายโคลสอัพใบหน้าเพื่อเน้นอารมณ์ดราม่า โดยไม่มีฉากสัมภาษณ์ให้เห็นเลยสักนิด
ใน R เราแทบจะไม่ได้เห็นตัวพวกตาลีบันเลย แต่ใน A จะมีฉากการปะทะกันแบบเห็นๆ และมีภาพศพให้เห็นจะๆ มากกว่า
Bowling for Columbine (2002): ก็ปืนเขามีไว้ให้ยิงกันนี่นา
Bowling for Columbine (2002) :
หนังสารคดีเรื่องนี้นับเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างเป็นเรื่องแรกของน้าตุ้ย Michael Moore เพราะกวาดทั้งเงินทั้งกล่องมาเพียบ จนทำให้แกกลายเป็นคนทำหนังสารคดีที่ดังที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค ก่อนที่จะประสบความสำเร็จเถิดเทิงขึ้นไปอีกกับ Fahrenheit 9/11 (2004) ที่ทำเงินไปได้กว่าสองร้อยล้านเหรียญและรั้งตำแหน่งหนังสารคดีที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้
บ้างก็โทษว่าสาเหตุมาจากการที่ในอเมริกานั้นปืนซื้อง่ายขายคล่องจนเกินไป(ถึงขนาดที่ว่าบางธนาคารมีโปรโมชั่นแจกปืนฟรีแก่ลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดบัญชีเลยก็มี)บ้างก็ว่าเพราะคนมะกันถูกปลูกฝังความรุนแรงโดยหนังฮอลลีวู้ดและเกมที่ชอบขายความรุนแรง บางคนก็โทษไปที่เพลงร็อคโน่น(นาย Marilyn Manson ก็เลยโดนหางเลขไปเต็มๆ) ต่างๆ นาๆ ซึ่งทางน้าตุ้ยเราก็เลยขอพาท่านผู้ชมไปค้นหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมอเมริกันแน่ และอะไรเป็นต้นตอของความรุนแรงในสังคม จนได้ข้อสรุปที่ออกมาเป็นแนวทฤษฏีสมคบคิดตามฟอร์มของน้าเขาอีกแล้วครับทั่น
Iron Maiden: Flight 666 (2009) : ยอดชายนาย Sam Dunn ผู้เคยทำสารคดีพาแกะรอยตำนานเฮฟวี่เมทัลอย่าง Metal: A Headbanger's Journey (2005) กลับมาอีกครั้งกับสารคดีดนตรีที่เกี่ยวกับการเกาะติดวง Iron Maidenวงเฮฟวี่เมทัลในตำนานจากเกาะอังกฤษที่ยังมีลมหายใจอยู่ ในการทัวร์รอบโลกที่ชื่อ Somewhere Back in Time World Tour ที่กินระยะเวลา 45 วัน ในช่วงเดือน ก.พ.ถึงเดือน มี.ค.ปี 2008
จะมีสักกี่วงที่มีโบอิ้ง 757 เป็นของตนเอง
ที่เด็ดก็คือทางวงมีเครื่องบินจัมโบ้เจ็ทรุ่น 757 เป็นของตนเอง(ซึ่งมีนิคเนมว่า Ed Force One) โดยใช้ขนทั้งนักดนตรี ทีมงาน และเครื่องมือเครื่องไม้ไว้ทั้งหมดในลำเดียว เรียกได้ว่ากระเตงกันไปหมดทั้งเซ็ทว่างั้นเหอะ แถมคุณน้า Bruce Dickinson นักร้องนำยังขอทำหน้าที่นักบินตลอดงานอีกต่างหาก โดยภารกิจอันแสนท้าทายสำหรับน้าๆ ก็คือ "เดินทางห้าหมื่นไมล์ ไปห้าทวีป กับอีก 23 คอนเสิร์ต ในระยะเวลาเพียงแค่ 45 วัน!"โอ้วว