Group Blog
 
All blogs
 

Restrepo และ Armadillo: สารคดีร่วมรบ


ถึงสารคดีสองเรื่องนี้จะมาจากคนละประเทศกัน(อเมริกา กับ เดนมาร์ก) แต่ก็มีคอนเซ็ปท์คล้ายๆ กัน ซึ่งก็คือการที่ต่างก็เป็นสารคดีที่ตามถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่าทหารหาญกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญในยามไปประจำการในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งที่ๆ พวกเขาไปนั้นล้วนเป็นจุดล่อแหลมอันตรายสุดๆ เพราะยังมีพวกตาลีบันคอยสร้างสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา จนได้ออกมาเป็นสารคดีพี่สารคดีน้องที่มีเนื้อหาไปกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่เห็น ว่าแล้วทางบล็อกก็เลยขอนำทั้งสองเรื่องมารีวิวไว้ด้วยกันเสียเลยนะจ้ะ

Restrepo (2010) :
งานนี้พี่กันเขาส่องกันอย่างเดียวเลย
เรื่องแรกนี้เป็นสารคดีอเมริกัน โดยฝีมือการกำกับโดยนักข่าวชาวมะกัน Sebastian Junger และช่างภาพชาวอังกฤษ Tim Hetherington ที่ในช่วงปี 2007 พวกเขาได้ติดสอยห้อยตามทหารมะกัน 15 นายซึ่งต้องไปประจำการยังแถบหุบเขาโคแรงกัล ประเทศอัฟกานิสถาน เพื่อสร้างด่านหน้าแห่งใหม่ ซึ่งที่นั่นได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ๆ ยังมีการสู้รบดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในอัฟกานิสถานเลยทีเดียวเชียว


นี่คือภาพการรบจริงๆ ไม่ใช่จากหนัง





Armadillo (2010) :

ทหารเดนมาร์กทำไมตาตี่เยี่ยงนั้นเนี่ย
ส่วนเรื่องนี้เป็นสารคดีจากเดนมาร์ก โดยผกก. Janus Metz และทีมงานที่ติดตามมาถ่ายทอดเรื่องราวของทหารเดนมาร์กกลุ่มหนึ่งซึ่งมาทำหน้าที่ในอัฟกานิสถานในช่วงปี 2009 เป็นระยะเวลาหกเดือน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังช่วยเหลือความปลอดภัยนานาชาตินำโดยนาโต (International Security Assistance Force หรือ ISAF) ซึ่งที่ๆ พวกเขาต้องไปประจำการก็นั้นก็อยู่ห่างจากเขตของพวกตาลีบันไม่ถึงกิโลเมตรด้วยซ้ำ ดังนั้นแน่นอนที่ว่างานนี้ต้องมีการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน


ชาวบ้านหน้าตาอย่างกับพวกตาลีบันกันทั้งนั้น





สารคดีทั้งสองเรื่องต่างทำออกมาได้อย่างถึงคุณภาพ โดยสามารถเสนอสิ่งที่ทหารเหล่านั้นต้องเผชิญได้แบบเกาะติดทุกสถานการณ์ ซึ่งก็ต้องชื่นชมผู้สร้างทั้งสองเรื่องที่กล้าเสี่ยงตายจนได้สารคดีแจ่มๆ เหล่านี้มาให้เราได้ดู โดยเฉพาะภาพการปะทะกันระหว่างเหล่าทหารกับพวกตาลีบันนั้นก็สุดแสนจะระทึกใจยิ่งนัก(นึกว่ากำลังดูหนังสงครามสุดมันส์ของ Paul Greengrass อยู่ แต่นี่มันภาพจากเหตุการณ์จริงๆ เน้อ) และนี่คือจุดเด่นของทั้งสองเรื่องที่เราตั้งข้อสังเกตได้จ้า
  • ความเป็นอยู่ของทหารอเมริกันใน Restrepo (ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า R) จะออกแนวลำบากลำบนกว่าทหารเดนมาร์กใน Armadillo (ต่อไปขอเรียกว่า A) ที่มีทั้งคอมให้ดูหนังโป๊ เกมให้เล่น โทรศัพท์ดาวเทียมให้โทรหาแฟน สะดวกสบายจริงหนอ
  • ภาระกิจส่วนใหญ่ของทหารใน R จะคอยป้องกันด่านหน้าไม่ให้ใครบุกโจมตี ส่วน A นั้นทหารจะได้ออกไปลั้นลานอกค่ายกันบ่อยกว่า ซึ่งส่งผลให้ A มีภาพการปะทะกันซึ่งๆ หน้ามากกว่าใน R ที่ได้แต่ยิงศัตรูจากในค่าย
  • การนำเสนอของ R จะออกแนวสารคดีมากกว่า A ที่ทำออกมาอย่างกับหนังของ Paul Greengrass (Green Zone [2010) เพราะมีการใช้กล้องถ่ายหลายตัวพร้อมกัน และเน้นถ่ายโคลสอัพใบหน้าเพื่อเน้นอารมณ์ดราม่า โดยไม่มีฉากสัมภาษณ์ให้เห็นเลยสักนิด
  • ใน R เราแทบจะไม่ได้เห็นตัวพวกตาลีบันเลย แต่ใน A จะมีฉากการปะทะกันแบบเห็นๆ และมีภาพศพให้เห็นจะๆ มากกว่า
แต่ทั้งสองเรื่องนั้นก็ยังมีคุณภาพล้นจอพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ซึ่งถึงแม้จะถ่ายทำกันคนละปี คนละเมือง ทหารก็คนละประเทศ แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นความจริงอันเดียวกันที่ว่า การที่เหล่าทหารต่างชาติที่เข้าไปจัดการพวกตาลีบันไม่สำเร็จเสียทีนั้น ก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคนไหนเป็นตาลีบันคนไหนเป็นชาวบ้าน จนหลายครั้งลูกเด็กเล็กแดง ชาวบ้านตาดำๆ และสัตว์เลี้ยงก็เป็นผู้รับเคราะห์ไปเต็มๆ ชาวบ้านจึงไม่อยากให้ความร่วมมือพวกทหารต่างชาติเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนพวกเขาจะมาเพื่อฆ่าสัตว์เลี้ยงและชาวบ้านเท่านั้น แต่ถึงช่วยพวกตาลีบันก็จะมาคิดบัญชีกับพวกเขาทีหลังอยู่ดี เป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ เลยนะว่ามั้ย

  • สรุปว่าเป็นหนังสารคดีสุดระทึกที่น่าดูทั้งคู่ ใครที่คิดว่าสารคดีต้องน่าเบื่อเสมอไปนั้นมาดูแล้วจะเปลี่ยนความคิดไปในบัดดล คอหนังสงครามก็น่าจะถูกใจเช่นกันเน้อ




     

    Create Date : 02 ธันวาคม 2553    
    Last Update : 2 ธันวาคม 2553 21:37:57 น.
    Counter : 9436 Pageviews.  

Bowling for Columbine (2002): ก็ปืนเขามีไว้ให้ยิงกันนี่นา



Bowling for Columbine (2002) :
หนังสารคดีเรื่องนี้นับเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างเป็นเรื่องแรกของน้าตุ้ย Michael Moore เพราะกวาดทั้งเงินทั้งกล่องมาเพียบ จนทำให้แกกลายเป็นคนทำหนังสารคดีที่ดังที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค ก่อนที่จะประสบความสำเร็จเถิดเทิงขึ้นไปอีกกับ Fahrenheit 9/11 (2004) ที่ทำเงินไปได้กว่าสองร้อยล้านเหรียญและรั้งตำแหน่งหนังสารคดีที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้


น้าตุ้ยขอแบกปืนไปถ่ายสารคดีด้วย
สำหรับเรื่องนี้ของน้าตุ้ยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ 'การสังหารหมู่ที่โรงเรียนโคลัมไบน์' ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 1999 ณ เมืองโคลัมไบน์ รัฐโคโลราโด อเมริกา ที่อยู่ๆ นักเรียน ม.ปลายสองคนคือนาย Eric Harris และนาย Dylan Klebold ก็พกปืนมายิงกราดใส่เพื่อนนักเรียนในโรงเรียน ส่งผลให้มีคนตายไป 13 คน(นักเรียน 12 ครู 1)บาดเจ็บอีกกว่า 20 คน(บางคนรอดแต่พิการ) ก่อนที่พวกเขาจะฆ่าตัวตายตามไปในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้คนมะกันเขาช็อคกันทั้งประเทศและพากันตื่นตูมหาแพะกันให้วุ่นอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว(เหมือนบ้านเราเลย เหอๆ)


เปิดบัญชีกับธนาคารนี้แล้วมีแถมปืนให้ลูกค้าด้วย
บ้างก็โทษว่าสาเหตุมาจากการที่ในอเมริกานั้นปืนซื้อง่ายขายคล่องจนเกินไป(ถึงขนาดที่ว่าบางธนาคารมีโปรโมชั่นแจกปืนฟรีแก่ลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดบัญชีเลยก็มี)บ้างก็ว่าเพราะคนมะกันถูกปลูกฝังความรุนแรงโดยหนังฮอลลีวู้ดและเกมที่ชอบขายความรุนแรง บางคนก็โทษไปที่เพลงร็อคโน่น(นาย Marilyn Manson ก็เลยโดนหางเลขไปเต็มๆ) ต่างๆ นาๆ ซึ่งทางน้าตุ้ยเราก็เลยขอพาท่านผู้ชมไปค้นหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมอเมริกันแน่ และอะไรเป็นต้นตอของความรุนแรงในสังคม จนได้ข้อสรุปที่ออกมาเป็นแนวทฤษฏีสมคบคิดตามฟอร์มของน้าเขาอีกแล้วครับทั่น


ร้านตัดผมก็มีกระสุนปืนขายด้วย
ไม่แปลกใจเลยที่ตัวสารคดีประสบความสำเร็จเยี่ยงนี้เพราะน้าตุ้ยเขาทำออกมาได้ดูเพลินมิใช่น้อย ด้วยสไตล์การนำเสนอที่ต้องมีน้าแกโผล่หน้ากล้องเกือบตลอดเวลา(รวมทั้งการเสนอภาพตอนแกสมัยยังเล็กอีกตามระเบียบ) บวกด้วยลีลาการประชดประชันกัดเจ็บๆ คันๆ แบบตลกร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของแก เมื่อผสมผสานเข้ากับการเล่าเรื่อง การตัดต่อ การเข้าใจใช้ทั้งดนตรีประกอบ การ์ตูน ภาพคลิปจากข่าวและหนังต่างๆ มาช่วยเพิ่มสีสันด้วย ก็เลยเป็นสารคดีที่ดูสนุกไม่มีน่าเบื่อสักนิด

ที่ เค มาร์ท ก็มีลูกกระสุนปืนขายด้วย
แต่ถึงกระนั้นผลงานของแกก็ยังประสบปัญหาเดิมๆ คือไม่พ้นจากการถูกครหาว่าคิดสรุปเข้าข้างตนเองและชี้นำคนดูจนเกินไป หรือที่เรียกว่าไม่เป็นกลางนั่นแหล่ะ อีกทั้งข้อมูลต่างๆ ที่หลายคนติงมาว่าคลาดเคลื่อนจากความจริง รวมถึงการที่ชอบทำอะไรดุ่ยๆ ตามใจฉันของน้าตุ้ยที่ใช่ว่าจะดีเสมอไป โดยเฉพาะการเข้าไปถอนหงอกป๋า Charlton Heston (Ben-Hur [1959]) ถึงในบ้านนั้นก็ดูออกจะเป็นการยัดเยียดข้อกล่าวหาให้เป็นผู้ร้ายโดยไม่สมเหตุสมผลนัก(เรามองว่าการเผชิญหน้ากันในฉากสุดท้ายนั้นค่อนข้างเป็นการจัดฉากของน้าเพื่อจงใจสร้างอารมณ์ทางดราม่าให้กับหนังนะ)

แม้แต่น้องหมาก็ยังพกปืนด้วยเล๊ย
โดยรวมแล้วก็ยังถือว่านี่เป็นสารคดีที่ให้ทั้งความบันเทิงและความรู้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งข้อมูลหลายอย่างนั้นคนนอกอย่างเราๆ ท่านๆ อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน เช่นในร้านตัดผมและซุปเปอร์มาเก็ตของเขาในบางรัฐก็มีกระสุนปืนวางขายพร้อมสรรพ สารคดียังบอกว่าถึงในอเมริกาจะมีปืนล้นประเทศชนิดที่หาซื้อง่ายและใครๆ ก็มีกันได้ แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ปืน ทว่าเป็นที่ตัวคนต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหา(ก็ปืนมันเหนี่ยวไกด้วยตัวมันเองไม่ได้นิ) ซึ่งไอ้ตรงนี้แหล่ะแก้ยากที่สุดเลยล่ะ ว่ามั้ย?


หน้าตาของสองหนุ่มผู้ก่อเหตุ
หรือว่าบางทีเราน่าจะนำแนวทางแก้ไขปัญหาของดาวตลก Chris Rock ที่เคยเดี่ยวไมโครโฟนเกี่ยวกับกรณีนี้ไว้อย่างน่าขำแต่ก็น่าคิดด้วยว่า "เราไม่ต้องควบคุมปืนหรอก แล้วรู้มั้ยว่าเราต้องทำยังไง เราต้องควบคุมกระสุนปืนต่างหาก ผมคิดว่ากระสุนน่าจะมีราคานัดละห้าพันเหรียญ รู้มั้ยว่าเพราะอะไร เพราะถ้ากระสุนราคานัดละห้าพันเหรียญ ทุกครั้งที่มีคนถูกยิง คนก็จะรู้ทันทีว่า "วุ้ย หมอนั่นต้องทำอะไรมาแน่ๆ ไม่งั้นพวกนั้นคงไม่ยัดกระสุนมูลค่าห้าหมื่นเหรียญลงในก้นมันหรอกเนอะ" และคนก็จะคิดหนักก่อนที่จะฆ่าใครสักคนถ้ากระสุนนัดละห้าพันว่า "ฮ่วย! ข้าจะเป่าหัวแกแน่ ถ้าข้ามีปัญญาซื้อกระสุน! ข้าจะหางานใหม่ ข้าจะเริ่มเก็บเงิน แล้วทีนี้เอ็งได้ตายแน่!" อืม...คิดไปได้นะพ่อคุ๊ณณ(แต่ก็เข้าท่านะ อิอิ)
  • น่าดูเพราะ: เป็นสารคดีที่ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ให้สาระ ใครที่คิดว่าสารคดีต้องน่าเบื่อเท่านั้น ดูแล้วจะเปลี่ยนความคิดในทันใด
  • ไม่น่าดูเพราะ: น้าเขายังคงไม่เป็นกลางและชี้นำคนดูจนเกินงาม ดังนั้นจึงต้องมีหลายคนที่หมั่นไส้น้าตุ้ยเราเป็นธรรมดา จนอาจมองข้ามข้อดีที่เหลือไปหมด





 

Create Date : 23 ตุลาคม 2553    
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 2:35:41 น.
Counter : 3609 Pageviews.  

Capitalism: A Love Story (2009): มนต์รักทุนนิยม


Capitalism: A Love Story (2009) :
ถ้าจะเอ่ยถึงคนทำสารคดีที่โดดเด่นและโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นน้าตุ้ย Michael Moore (Fahrenheit 9/11 [2004]) เพราะนอกจากแกมักจะเสนอหน้าในสารคดีของตนอยู่เป็นนิตย์จนคนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว งานของแกยังเต็มไปด้วยลีลากวนๆ แบบตลกร้าย ที่กัดจิกได้แสบๆ คันๆ แต่ก็ตีแผ่ได้อย่างถึงลูกถึงคน จนหลายครั้งคนมักจะตำหนิว่างานของแกเต็มไปด้วยอคติส่วนตัวและพยายามโน้มน้าวคนดูเกินไปหรือเปล่า ซึ่งน้าตุ้ยของเราก็สะบัดบ๊อบใส่เพราะไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว และยังคงเดินหน้าลุยสร้างสารคดีที่มุ่งเน้นการตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลภายในอเมริกาบ้านเกิดของตนต่อไป


คราวนี้น้าตุ้ยจะพาเราบุกรัฐสภา(อเมริกา)
และผลงานเรื่องล่าสุดของน้าตุ้ยนี้จะตีแผ่ถึง 'ระบบทุนนิยม' ในอเมริกาที่เอารัดเอาเปรียบคนรากหญ้ามากมายที่ถึงกับโดนไล่ออกจากบ้านที่ตนเป็นเจ้าของอยู่แท้ๆ(จากการนิยมเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารของคนมะกัน) บ้างก็โดนเลย์ออฟจากงานแบบไร้เยื่อใยทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นทุ่มเทชีวิตให้กับงานแบบ 110% และอื่นๆ อีกเยอะ ในขณะที่เหล่าคนรวยที่หากินบนความทุกข์คนอื่นก็รวยเอารวยเอา จนในที่สุดก็ก่อให้เกิดปัญหา 'วิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงปี 2007-2010'(หรือที่เรียกกันว่าวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์) ที่เล่นเอาชาวประชาและแม้แต่ธนาคารใหญ่ๆ ทั้งหลายร่อแร่ แต่เพราะมีนักทุนนิยมที่มีอำนาจในรัฐบาลอยู่มากมายนั่นเอง จึงทำให้รัฐบาลตัดสินใจปล่อยเงินมาอุ้มธนาคารเหล่านี้แทนที่จะช่วยเหลือประชาชนผู้ตกยากทั้งหลายไปซะงั้น


คนอย่างน้าตุ้ยจะไปสัมภาษณ์ใครก็มักถูกเมินใส่
พอขึ้นต้นมาก็กวนโอ๊ยได้ใจแล้ว เพราะน้าเปรียบเทียบอเมริกาให้เป็นเหมือนกับกรุงโรมในยุคโรมันได้อย่างแสบสันต์ซะจริง แล้วก็ร่ายยาวถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ สลับกับการพาย้อนไปดูภาพอดีตของน้าแกเช่นในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาของแก ที่ดูเพลินสไตล์แกอีกอย่างคือมักจะมีการนำเพลงและตัดต่อภาพจากหนังหรือสื่อต่างๆ มาใช้ประกอบการเล่าเรื่องได้อย่างเข้าท่า แถมแกยังมุ่งมั่นกับการโจมตีกระแนะกระแหนทั่น George Bush Jr. อย่างไม่ลดละเช่นเดิม ทั้งยังมีทฤษฏีสมคบคิดในแวดวงคนใหญ่คนโตมาฝากอีกแล้ว ซึ่งการตั้งทฤษฏีขึ้นมาแบบนี้ ถึงจะดูน่าเชื่อถือแค่ไหนก็คงไม่พ้นกับการถูกครหาว่าเป็นการ 'ใช้อคติส่วนตัวและโฆษณาชวนเชื่อ'อยู่ดี จนบางคนดูแล้วอาจคิดว่าน้าตุ้ยเป็นพวก 'สังคมนิยม' (Socialism) เอาเลยก็ได้


แต่ถึงกระนั้นไปไหนก็เป็นที่สนอกสนใจจากฝรั่งมุง
นับเป็นสารคดีที่ทำได้ดี ช่วยทำให้เราเข้าใจความเป็นมาเป็นไปในอเมริกามากขึ้น น้าเล่าเรื่องที่ฟังดูไม่น่าดึงดูดใจเหล่านี้ได้อย่างลื่นไหลเข้าใจง่าย(แถมมีอารมณ์ขันอีกต่างหาก) แม้จะมีบางช่วงดูน่าเบื่อและมีแต่คนมาพล่ามศัพท์แสงทางวิชาการที่ชวนง่วงไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดสารคดีก็จบด้วยความหวัง เมื่อเสนอภาพชัยชนะในการเลือกตั้งของ ปธน.Barack Obama ที่คนอเมริกันทั้งหลาย(โดยเฉพาะคนรากหญ้า)ดูจะฝากความหวังกับท่านไว้เยอะ ส่วนน้าตุ้ยเราแกก็ทิ้งท้ายแบบแสดงเจตนารมย์ไว้อย่างชัดเจนว่า "ผมปฏิเสธที่จะอยู่ในประเทศอย่างนี้ แต่ผมก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น" น้ากำลังจะบอกว่า จะทู่ซี้ทำสารคดีตีแผ่ความอยุติธรรมเช่นนี้ต่อไปว่างั้นเหอะ สู้ๆ นะจ้ะ น้าตุ้ย


น้าตุ้ยยังคงกระเตงคุณพ่อไปออกงานอยู่
  • น่าดูเพราะ: เป็นสารคดีที่ตีแผ่ ปัญหาการเงินในสหรัฐได้อย่างถึงกึ๋น กวนโอ๊ย ถึงลูกถึงคน สไตล์น้าตุ้ยที่แฟนๆ คุ้นเคยและชื่นชอบกันดี ดูแล้วจะเข้าใจอเมริกามากกว่าที่เป็น
  • ไม่น่าดูเพราะ: ขึ้นชื่อว่าเป็นสารคดีก็ฟังดูน่าเบื่ออยู่แล้ว พอมาด้วยเรื่องราวเศรษฐกิจบ้านเขา ที่ชวนเครียดแบบนี้ ก็ไม่ค่อยดึงดูดใจให้ดูนักหรอก






 

Create Date : 05 มีนาคม 2553    
Last Update : 5 มีนาคม 2553 21:13:59 น.
Counter : 3668 Pageviews.  

The Cove (2009): ปฏิบัติการลับพิทักษ์ปลาโลมา



The Cove (2009) :
สารคดีที่ตีแผ่ถึงการล่าและสังหารหมู่ปลาโลมา เรื่องนี้แทบจะกวาดรางวัลสารคดียอดเยี่ยมเกือบทุกสำนักที่เข้าชิง รวมทั้งได้เข้าชิงออสก้าร์สารคดียอดเยี่ยมในปีนี้อีกด้วย(ซึ่งก็เป็นตัวเต็งแบบนอนมาแต่ไกลเชียว) นั่นก็พอจะการันตีได้ว่าสารคดีเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะว่านี่เป็นสารคดีที่นอกจากจะมีสาระเต็มเปี่ยมแล้ว ยังจะทำให้ท่านได้ลุ้นระทึก ตื่นเต้น อย่างกับกำลังดูหนังสายลับ Mission Impossible อยู่ก็ไม่ปานเลยทีเดียว

น้ำทะเลแดงฉานไปด้วยเลือดของเหล่าปลาโลมาที่ถูกต้อนไปสังหารหมู่
สารคดีตามติด Ric O'Barry อดีตนักฝึกปลาโลมาชื่อก้อง ผู้ผันตัวมาเป็นนักอนุรักษ์ปลาโลมาตัวยง ที่ได้ตัดสินใจเข้าไปถ่ายทำสารคดีตีแผ่การล่าและสังหารปลาโลมาที่เมืองไทจิ จังหวัด วาคายามะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งว่ากันว่าที่นี่มีการจับปลาโลมาจำนวนมากแล้วก็เลือกเอาตัวที่หน่วยก้านดีไปฝึกเพื่อส่งขายให้กับเหล่าสวนน้ำทั่วโลก ส่วนพวกที่เหลือก็จะถูกต้อนไปสังหารเรียบเพื่อเอาเนื้อ โดยเฉลี่ยแล้วมีปลาโลมาที่ถูกสังหารปีละกว่า 23,000 ตัว เป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว ที่น่าแปลกใจคือมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น(แม้แต่กับคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ตามที) 

สถานที่ก่อวีรเวรที่คนภายนอกห้ามเข้าโดยเด็ดขาด(ใครเข้าเจอดี)
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนที่พยายามหยุดยั้งหรือตีแผ่ถึงความจริงอันโหดร้ายนี้ ทั้งกรีนพีซ หรือนักข่าวต่างชาติล้วนพยายามกันแล้วแต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับไปหมด เพราะสถานที่แห่งนี้มีการรักษาความปลอดภัยจากชาวประมงท้องถิ่นอย่างรัดกุม ซึ่งพวกนี้อาจจะได้รับการให้ท้ายอย่างเงียบๆ จากทางรัฐบาลอีกต่างหาก(เพราะการล่าปลาโลมาสร้างเม็ดเงินให้อย่างมหาศาล) มันจึงเป็นเรื่องยากที่คนนอกโดยเฉพาะชาวต่างชาติเช่นเขาจะย่างกรายเข้าไปได้ ว่าแล้วเขาจึงรวบรวมทีมงานเฉพาะกิจ ที่เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา เช่น นักดำน้ำ, นักผจญภัย, ผู้เชี่ยวชาญด้านสปายแคม ฯลฯ ซึ่งขนเอาอุปกรณ์ที่พวกสายลับเขาใช้กันมาแบบเต็มเหนี่ยว ในปฏิบัติการลับที่พวกเขาอาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าพวกเขาพลาด โอกาสที่จะถ่ายทำสารคดีตีแผ่ครั้งนี้คงจะสิ้นสุดลงทันที

ทีมสารคดีต้องพลางตัวพลางกล้องอย่างกับเป็นสายลับ
ผกก.Louie Psihoyos ตามติดสถานการณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบได้อย่างครบถ้วน แถมยังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม ดนตรีประกอบก็อย่างกับมาจากหนังฮอลลีวู้ด จนทำให้ปฏิบัติการลับที่น่าตื่นเต้นอยู่แล้วครั้งนี้ดูตื่นเต้นขึ้นไปอีกโข เล่นเอาคนดูแทบจะลืมไปเลยว่ากำลังดูสารคดีอยู่ เพราะมีครบทุกอารมณ์ ทั้งตื่นเต้น ลุ้นระทึก เศร้า ประชดประชันแบบตลกร้าย แต่ก็มีความหวังอยู่ในที ถึงแม้อาจจะมีข้อด้อยอยู่บ้างในการนำเสนอจากมุมมองของคนนอกด้านเดียว และเสนอภาพลักษณ์ของชาวประมงท้องถิ่นอย่างผิวเผินไปบ้าง (พวกนี้มาในมาดตัวโกงสุดกวนส้นทีน) แต่เท่านี้สารคดีก็สามารถตีแผ่ความจริงอันแสนโหดร้ายครั้งนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋(ไปด้วยเลือดของปลาโลมา) ซึ่งสามารถกระตุ้นทุกฝ่ายให้หันมาตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นสารคดีชั้นเยี่ยมที่คู่ควรกับออสก้าร์ และทุกคนควรจะมีโอกาสได้ดูกันนะครับ

เหล่าทีมสารคดีที่เกณฑ์กันมาแบบเฉพาะกิจ
ในสารคดีมีฉากหนึ่งที่กล่าวถึงการบริโภคปลาโลมา ที่ชาวญี่ปุ่นบางคนออกมาแก้ต่างว่า "ไม่เห็นจะแปลกเลย ทีชาวตะวันตก(ฝรั่ง) ยังเลี้ยงวัวไว้กิน เราชาวญี่ปุ่นก็กินโลมา มันเป็นเรื่องของวิถีทางของคนชาติใครชาติมันดิ" ซึ่งก็คงจะฟังขึ้นอยู่หรอกนะเพ่ เพราะถ้าจะถามคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้ว เขาบอกว่า ไม่คิดจะกินปลาโลมากันหรอก แถมเนื้อของปลาโลมาในแถบนั้นยังเต็มไปด้วยสารปรอทอีกต่างหาก อันตรายถึงชีวิตเชียวนะนั่น และช่างเป็นภาพที่น่าเย้ยหยันจริงๆ ที่ในเมืองไทจินี้ บ้านเมืองล้วนตกแต่งประดับประดาไปด้วยรูปของปลาโลมา จนทำให้คิดว่าพวกเขาคงจะรักปลาโลมากันดี ซึ่งก็ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับฉากฆ่าหมู่ปลาโลมา ที่เหล่าชาวประมงเอาฉมวกจ้วงแทงฝูงปลาโลมาที่ถูกขังในอวนอย่างเฮฮาสนุกสนานจนน้ำทะเลตรงนั้นแดงฉานไปด้วยเลือดของโลมา ซึ่งเห็นแล้วก็อดหดหู่ใจเสียไม่ได้ ที่มนุษย์เราเนี่ยยังคงหาเรื่องโหดร้ายทำกันได้อยู่เสมอ แม้กับสัตว์ที่ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีทางสู้ แถมยังฉลาดไม่น้อยไปกว่าคนเรา(บางคน)สักเท่าไหร่เช่นนี้

รีบอนุรักษ์ไว้ก่อนที่จะไม่มีแบบนี้ให้ลูกหลานได้เห็นอีก
  • + เป็นสารคดีตีแผ่ความจริง ที่ทำให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงชะตากรรมของปลาโลมา ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เล่าเรื่องอย่างน่าติดตาม ทุกคนควรจะมีโอกาสได้ชมกันนะ
  • - ก็บอกแล้วว่าทุกคนควรจะมีโอกาสได้ชมกันไง(อิอิ)


*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

Ric O'Barry หัวหน้าปฏิบัติการลับครั้งนี้
หลายคนคงอยากจะรู้ว่าหัวหน้าปฏิบัติการลับครั้งนี้ที่ชื่อ Ric O'Barry เป็นใครกัน ทำไมถึงได้หันมาเป็นนักอนุรักษ์ปลาโลมาตัวยงได้ เราจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้แนะนำเรื่องของเขาแบบคร่าวๆ ดังนี้
Ric O'Barry (69 ขวบ) เป็นชาวอเมริกันที่เริ่มมีชื่อเสียงในยุค 60 เพราะสามารถจับปลาโลมา 5 ตัวมาฝึกสำเร็จ โดยใช้แสดงหนังทีวี 'Flipper โลมาแสนรู้' ที่ฮิตซะ จนคนทั้งโลกหันมานิยมดูปลาโลมาแสดงในสวนน้ำกัน แต่ต่อมาเมื่อหนึ่งในปลาโลมาเหล่านั้นที่ชื่อ Cathy ได้ตายในอ้อมแขนของเขา ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า"มันกลั้นใจตาย เพราะเหลือทนกับชีวิตที่ถูกกักขังเช่นนี้" เขาจึงตระหนักว่าตนได้เป็นต้นเหตุให้เกิดธุรกิจค้าปลาโลมาที่จะสร้างวิบากกรรมแก่โลมานับล้านชีวิตในภายหน้าขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นเขาจึงได้กลายเป็นนักอนุรักษ์ปลาโลมา ที่มุ่งมั่นในการปลดปล่อยปลาโลมาที่ถูกจับไปกักขังหน่วงเหนี่ยวทั่วโลก จนเป็นเหตุให้เขาถูกจับกุมปีละหลายครั้ง เพราะชอบดอดไปปล่อยปลาโลมาของชาวบ้านเป็นประจำและในสารคดีเรื่อง The Cove นี้ เขาก็หวังว่าเมื่อหนังได้ออกฉายในวงกว้าง ก็จะสามารถกระตุ้นจิตสำนึกแก่ผู้คนส่วนใหญ่ให้หันมาตระหนักถึงปัญหาเรื่องนี้ และยื่นมือเข้าช่วยเหลือปลาโลมาที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในที่ต่างๆ ทั่วโลกต่อไปในอนาคต สู้เขานะลุง


*คัดข้อมูลแบบคร่าวๆ จาก wikipedia*




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 0:53:52 น.
Counter : 5322 Pageviews.  

Iron Maiden: Flight 666 (2009): บินไปร็อคไป


Iron Maiden: Flight 666 (2009) :
ยอดชายนาย Sam Dunn ผู้เคยทำสารคดีพาแกะรอยตำนานเฮฟวี่เมทัลอย่าง Metal: A Headbanger's Journey (2005) กลับมาอีกครั้งกับสารคดีดนตรีที่เกี่ยวกับการเกาะติดวง Iron Maiden วงเฮฟวี่เมทัลในตำนานจากเกาะอังกฤษที่ยังมีลมหายใจอยู่ ในการทัวร์รอบโลกที่ชื่อ Somewhere Back in Time World Tour ที่กินระยะเวลา 45 วัน ในช่วงเดือน ก.พ.ถึงเดือน มี.ค.ปี 2008


จะมีสักกี่วงที่มีโบอิ้ง 757 เป็นของตนเอง
ที่เด็ดก็คือทางวงมีเครื่องบินจัมโบ้เจ็ทรุ่น 757 เป็นของตนเอง(ซึ่งมีนิคเนมว่า Ed Force One) โดยใช้ขนทั้งนักดนตรี ทีมงาน และเครื่องมือเครื่องไม้ไว้ทั้งหมดในลำเดียว เรียกได้ว่ากระเตงกันไปหมดทั้งเซ็ทว่างั้นเหอะ แถมคุณน้า Bruce Dickinson นักร้องนำยังขอทำหน้าที่นักบินตลอดงานอีกต่างหาก โดยภารกิจอันแสนท้าทายสำหรับน้าๆ ก็คือ "เดินทางห้าหมื่นไมล์ ไปห้าทวีป กับอีก 23 คอนเสิร์ต ในระยะเวลาเพียงแค่ 45 วัน!" โอ้วว

น้าๆ ลีลายังแจ่มเช่นเดิม
นี่เป็นการทัวร์ครั้งแรกในรอบยี่สิบปีของไลน์อัพยุครุ่งเรืองของน้าๆ แต่ถึงกระนั้นสำหรับวงในตำนานเช่นนี้ ก็ยังมีแฟนๆ ทั่วโลกรอเฝ้าชมเป็นบุญตาอยู่เสมอ และถึงพวกน้าจะเริ่มหง่อมๆ กันแล้ว แต่เรื่องฝีไม้ลายมือกับลีลาร็อคบนเวทีนั้นหายห่วงได้เลย นับตั้งแต่การเริ่มทัวร์ที่อินเดีย ไปยังมาเลเซีย(ข้ามหัวพี่ไทยไปตามฟอร์ม) ยันออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อเมริกา โดยเฉพาะในแถบอเมริกาใต้ที่พวกน้าๆ มีขุมกำลังแฟนเพลงอย่างมหาศาล ซึ่งสาวกแถวนั้นแทบจะยกให้วงของพวกน้าเป็นศาสนาของพวกเขาเลยทีเดียว และปิดท้ายทัวร์ครั้งนี้กันที่แคนาดา


ดูเหมือนนักบินเรากำลังหลงทางนะเนี่ย กางแผนที่เชียว
สารคดีตัดสลับภาพการเดินทาง และภาพจากคอนเสิร์ตในแต่ละที่ แทรกด้วยบทสัมภาษณ์สมาชิกแต่ละคนในวง ได้ออกมาอย่างดี ดูได้เพลินๆ โดยเฉพาะคอร็อคคงจะเป็นปลื้มที่ได้เห็นวงขวัญใจแบบใกล้ชิดเช่นนี้ จากสารคดีเราจะเห็นได้ว่าพวกเขาได้ให้ความสำคัญกับแฟนๆ แถบอเมริกาใต้มาก ดูได้จากจำนวนการแสดงที่มากครั้ง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะแฟนเพลงที่นี่เหนียวแน่นกับพวกเขามากจริงๆ แค่การได้เห็นแฟนเพลงบางคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ที่ได้ไม้กลองจากวงมาข้างหนึ่ง ก็พอจะบอกเราได้ว่าสำหรับแฟนเพลงแล้วพวกเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ (คนที่ไม่ใช่แฟนเพลงคงไม่มีวันเข้าใจ) สารคดีนี้เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในวงเฮฟวี่เมทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาและก็จะยิ่งใหญ่ต่อไปสืบไปเป็นนิตย์เอย

*หลังจบคอนเสิร์ตแต่ละครั้งทางวงจะเปิดเพลงๆ หนึ่งของ Monty Python (กลุ่มตลกปัญญาชนของอังกฤษในยุค 70-80)ส่งแฟนเพลงกลับบ้านทุกครั้ง ซึ่งเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่น่ารักของพวกน้าเขาล่ะ เราก็เลยขอนำเพลงๆ นั้นมาฝากกันซะเลย*

  • น่าดูเพราะ: แฟนเพลงของทางวงคงไม่พลาดกัน และเหมาะสำหรับผู้ที่อยากทำความรู้จักวงนี้ คอร็อคไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
  • ไม่น่าดูเพราะ: สำหรับคนที่อยากดูภาพคอนเสิร์ตเยอะๆ คงเสียอารมณ์ เพราะมีแต่บทสัมภาษณ์ซะเกินครึ่ง (นี่มันสารคดีนะจ้ะ)




ลีลาน้าๆ ในเพลง Run to the Hills




 

Create Date : 19 มกราคม 2553    
Last Update : 19 มกราคม 2553 12:41:10 น.
Counter : 2240 Pageviews.  

1  2  3  4  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.