|
False Head&Shoulders ยืนได้ ก็ไปต่อ
เพิ่ง Update ไปตอนต้นสัปดาห์ว่า เราอาจเจอแนวโน้มขาลงยาว หลังจาก Dow Jones ทำรูปแบบ Head & Shoulders พร้อมกับการหลุด Neck Line ที่ 9,740 จุด ไปเมื่อวันจันทร์ หากจำกันได้ Pattern นี้เคยเกิดกับดัชนีหลายตัว เมื่อตอนที่โลกเจอปัญหา Subprime ใหม่ๆ และตามมาด้วยการ Correction ในทุกๆตลาดทั่วโลก ดังนั้น พอเกิดอีกครั้ง บวกกับปัญหาดูยังไม่คลี่คลาย ผมจึงออกมาเตือนทั้งตัวเอง และเพื่อนๆนักลงทุนทุกท่านให้ลงทุนด้วยความระมัดระวัง
แต่เมื่อวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา Dow Jones และตลาดหุ้นฝั่งยุโรปมีแรงซื้อกลับมาเก็งกำไร และสามารถยืนผ่าน Neck Line ขึ้นมาได้ (ตามรูป)
 จึงเป็นไปได้ว่า Head & Shoulders จะถูกเคลียร์ และตามมาด้วยการกลับเข้า Risky Asset ทั่วโลก (เกิด Bullish Divergence ใน RSI และ MACD)
แปลว่า แนวโน้ม Technical Rebound รอบนี้ น่าจะยังไม่จบครับ ยังสามารถถือหุ้นรอไปก่อนได้อีก
มาดูที่ Volatility Index ของ Dow Jones ก็กำลังทำ Sell Signal และคาดว่าน่าลงมาทดสอบแนวรับที่ 20 อีกครั้ง หลังจากไม่สามารถผ่านได้เมื่อกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา
 เจ้า Volatility Index นี้ ยิ่งต่ำยิ่งดีนะครับ แปลว่าความผันผวนลดลง ซึ่งโดยปกติ หากความผันผวนลดลง จะแปลว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นครับ
สรุปคือ - ใครอ่าน Update ผมก่อนหน้า ต้องเคลียร์ภาพขาลงออกจากหัวไปก่อนนะครับ ยังมีเวลาให้หายใจอีกหนึ่ง Wave  - การ Rebound รอบนี้ Dow Jones มีแนวต้านที่ 10,200 และ 10,700 จุด และหาก Dow Jones วิ่งได้จริง ก็หมายถึงการ Rebound ทั่วโลกยังคงอยู่ - หุ้นไทย ก็มีหวังได้ไกลกว่า Previous High มีแนวต้าน 824 และ 850 จุด
Create Date : 08 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 8 กรกฎาคม 2553 9:36:31 น. |
Counter : 2985 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Global Markets จบแบบ งงๆ ยังมีอะไรให้ลุ้นกันอีกไหม?
Update ครั้งสุดท้ายเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ผมมองว่า Dow Jones น่าจะทำ peak แถวๆ 10,700 จุด แต่เฉลยออกมาแล้วว่า ยังไม่ถึง 10,500 จุด ก็โดนทุบลงมาจนปัจจุบันหลุด 10,000 จุดมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปัญหาดูจะไม่แค่หนี้ที่ยุโรป แต่ตลาดกลับขยายความกังวลมาสู่ประเทศจีนด้วย โดยกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนจะเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3-4 ปีนี้ ทำให้ล่าสุด หลายคนเริ่มสงสัยว่า โลกเข้าสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งหรือไม่...
 ดูกราฟ Dow Jones ทำ Pattern Head&Shoulder โดยหลุดจาก Neckline ลงมาเรียบร้อย (เห็นแล้วกังวลแทนพี่ไทย) สิ่งที่ขัดแย้งหรือมีลุ้นเล็กๆก็คือ RSI ที่โดนกดลงมาจนกำลังจะถึง Oversold Zone แต่อย่าไปเชื่อ Indicator แค่ตัวเดียวครับ ในภาวะตลาด Bear จริงๆ RSI ที่ Oversold จะอยู่ที่แนว 20 ลงมา
S&P500 ก็ภาพเดียวกันเลย

มาดูตลาดจีน (Shanghai Composite Index : SSEC) หลังจากหลุดออกจาก Flag Pattern (เห็นกันไหม?) ก็ตามมาด้วยการร่วงเป็นน้ำตก นับตั้งแต่กลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา มีคนเคยบอกว่า มีดร่วงลงจากโต๊ะ อย่าเพิ่งเอามือบางๆของเราไปรีบรับเพราะเดี๋ยวมันจะบาดมือ แต่บังเอิญผมใส่ถุงมือหนังชั้นดี เลยอยากลองของ เมื่อวานเลยดูแนวรับ Fibonacci ที่ 361.8% ปรากฏว่า อยู่ 2,200 จุดพอดี (ต้องขอโทษด้วยครับ stockcharts ดูไม่ได้) ใครสนใจ ลองดูใน timeline twitter ของผมอีกที

ยังคาดหวังอะไรได้อีกไหม หรือจบรอบแล้ว? - สำหรับ Dow Jones แนวรับสำคัญคือ 9,100 และ 8,800 ตรงนี้ ถึงมีแรงเด้งขึ้นมา ก็เพื่อขายครับ ซื้อไม่ได้แล้ว ตลาด underperform เกินกว่าจะเล่น rebound - Pattern ของ S&P500 และ NASDAQ ก็ทำ Head & Shoulder ในกราฟรายวัน หากสมบูรณ์จริง ตลาดมี downside ให้ลงเกินกว่า 8% นับจากตรงนี้ - ใครมีหุ้นไทย หรืออยากจะมี ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่มเลยครับ เพราะดู SET Index ฝืนๆ ยังไงชอบกล รอบข้างเขาลงกันหมด เราก็ควรไปกับเขาด้วยเหมือนกัน - หากจะมีลุ้นเล็กๆ ก็อาจต้องรอสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้ที่ทางยุโรปจะประกาศผล Stress Test กันออกมา หากจำกันได้ ตอนอเมริกาประกาศออกมา ถือเป็นการแยก Bad Asset ออกจาก Good Asset และเจอ Bottom ในเวลาต่อมา ก็หวังว่า History is trend to repeat itself อีกครั้งหนึ่งนะครับ - ที่น่าสนใจ ก็ตลาด Shanghai Composite นะครับ ตอนไหนน่าเข้า จะมา update อีกที
Create Date : 06 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2553 7:36:20 น. |
Counter : 2888 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Technical Rebound ในตลาดโลกรอบนี้ ไปได้ไกลเท่าไหร่?
ผมขึ้นชื่อหัวข้อไว้อย่างนี้ ก็ตามความเห็นส่วนตัวแบบไม่มีปิดบังครับว่า Global Markets อยู่ในช่วง Technical Rebound แรงๆเท่านั้น ยังไม่น่าจะกลับไปเป็นขาขึ้น
กลับมาย้ำที่เหตุผลอีกครั้ง 1) MSCI World ขึ้นมาจาก bottom ตอน subprime จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 40% ในหลายๆตลาด รวมทั้งประเทศไทย ผลตอบแทนจากจุดต่ำสุดถึงตรงนี้เกิน 100% ไปแล้ว ด้วยการวิ่งแบบรวดเดียวอย่างนี้ ตลาดย่อมต้องการย่อยข่าว รับมุมมองในอนาคตจากรอบด้าน ทั้งดีและไม่ดี และวิเคราะห์กันให้สะเด็ดน้ำก่อน (จำได้ว่า CLSA ยออกresearch ตอนต้นปีและวิเคราะห์ว่าหากปีไหนที่ผลตอบแทนของ SET Index สูงเกิน 30% ผลตอบแทนในปีถัดไป จะไม่เกินเลขสองหลัก หรือ 10% เผลอๆ ลบอีกต่างหาก) 2) ปัญหาหนี้ที่ยุโรป ยังไม่ได้การแก้ไขแบบเป็นรูปธรรม CDS Spread ของตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศ PIIGS ก็อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงมาตลอด แม้ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในขา rebound อย่างช่วงนี้ก็ตาม 3) สินทรัพย์ประเภท Safe Heaven ยังอยู่ใน Channel Uptrend (ขาขึ้น) ซึ่งดูจากสถิติย้อนหลัง ราคาทองจะวิ่งแรง ก็เมื่อเกิดวิกฤต เท่านั้น อย่างเช่นตอน subprime แต่ในภาวะปกติ จะเป็น sideway หรือ sideway up ไปเรื่อยๆ ไม่ Bullish ขนาดนี้
หากใช้ Fibonacci 61.8% มาหาแนวต้านทาง Technical ของตลาด Dow Jones จะพบว่า แถวๆ 10,700 จุด จะเป็นแนวต้านสำคัญสำหรับคนที่ต้องการ take profit และคนที่ต้องการถือ short position ตามกราฟครับ

พอดูจากตรงนี้ ก็เหมือน Upside จะเหลือแค่ 300 จุดแค่นั้นนะครับ ดังนั้นใคร bias ว่าไปได้ไกลกว่านี้ก็ดูที่ 10,900 และ High เดิม ตามลำดับ
งั้นมาดูต่อว่า เลย 10,700 จุด ไปได้ไหม?
 Dow Jones Volatility Index บอกเราว่า ความเสี่ยงลดลง โดยมี Pattern สนับสนุน ด้วยการทำรูปแบบคล้ายๆ Head and Shoulder พร้อม Bearish Divergence หาก VIX Index หลุดต่ำกว่า 22 points ได้ จะดีต่อตลาดหุ้นมากๆครับ
ส่วน Dollar Index มีแนวโน้มลงได้อีก มีแนวต้านสำคัญคือ EMA50 วัน 84.26 ซึ่งถือว่ายังมี Gap อีกพอสมควร

ดังนั้น หากใช้ Indicator อย่าง VIX และ Dollar Index ตลาดหุ้น DJIA ไม่น่าจะมี Upside ที่จำกัดแค่นั้น วิธีการหลังจากนี้ คงต้องเป็นการทยอยขายตามแนวต้านสำคัญนะครับ
ทั้งนี้ผมวิเคราะห์ในมุมมองของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเป็นหลักนะครับ ส่วนหุ้นไทย เรามีบุคคลิกไม่เหมือนเพื่อนๆ คงดูตาม Dow Jones ได้แค่บางส่วนเป็น Guildline เบาๆเท่านั้น
ตอบคำถามของหัวข้อ Blog ที่ถามว่า Technical Rebound ในตลาดโลกรอบนี้ ไปได้ไกลเท่าไหร่?- หากตอบโดยใช้ Dow Jones พิจารณา แนวต้านที่ 10,700/10,900 แล้ว ไม่ถือว่าเยอะมากครับ ราวๆ 3-5% นับจากตรงนี้ - แต่ VIX Index และ Dollar Index ดู Positive ต่อตลาดหุ้น จึงแนะนำว่า หากไม่จำเป็นต้องรีบใช้เงิน ให้ทยอยขายตามแนวต้าน ดีกว่าขายที่แนวต้านแรกทั้งหมดทั้งก้อนครับ
Create Date : 16 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 17 มิถุนายน 2553 7:49:11 น. |
Counter : 3520 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Dollar Index vs. Euro Index ตัวตัดสินว่า Flow จะไปทางไหน
ตั้งแต่เกิดวิกฤต Subrpime มา นักลงทุนรายย่อยก็เริ่มให้ความสนใจกับIndicator ตัวใหม่ที่ไว้ดู Fund Flow (เม็ดเงินลงทุน) ว่าจะไปไหนทิศทางใด
Index ที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวนด้วยตระกร้าเงินสกุลหลักๆในโลกเปรียบเทียบกับค่าเงิน USD มีตามนี้ครับ - Euro (EUR) 57.6% - Japanese yen (JPY) 13.6% - Pound sterling (GBP) 11.9% - Canadian dollar (CAD) 9.1% - Swedish krona (SEK) 4.2% - Swiss franc (CHF) 3.6% จะเห็นว่า EUR อยู่ในการคำนวนโดยมีน้ำหนักเยอะที่สุด รองลงมาก็คือ JPY ปัจจุบัน US Dollar Index ยังไม่ได้รวมสกุลเงินของประเทศ Emerging Markets สำคัญๆเข้ามานะครับ เพราะฉะนั้น การใช้ Dollar Index ในการวิเคราะห์ ต้องระวังตรงจุดนี้ด้วย

ทำไมต้อง Dollar Index? - เงินลงทุนในโลกเกินกว่าครึ่ง ทำธุรกิจด้วยสกุล USD เพราะฉะนั้น การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของ USD จะกระทบกับดุลการค้า และงบลงทุนของทุกภาคธุรกิจการเงินของโลก อย่างเช่นช่วงเกิดวิกฤต Subprime เมื่อสินทรัพย์เสี่ยงถูกเทขายอย่างรุนแรง ที่ที่ถือว่าปลอดภัย และได้รับการยอมรับว่าเสี่ยงต่ำก็คือ USD และ Gold จากกราฟข้างบน เราจึงเห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าว US Dollar Index แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นในตระกร้าคำนวนเป็นอย่างมาก
แล้วการแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาล่ะ เพราะอะไร? - จากปัญหา Trade Deficit (ขาดดุลการค้า) ของประเทศกรีซ และยอดหนี้ต่อ GDP ที่สูงถึง 120% ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลความสามารถในการชำระหนี และการกู้ยืมเงินมาเพื่อ Refinance ของกรีซ จะทำได้ยากขึ้น และยิ่งกังวลว่า จะมีประเทศอื่นในยุโรปด้วยหรือเปล่า ที่มีปัญหาแบบเดียวกับกรีซ ซึ่งเราก็รู้กันแล้วว่า ตอนนี้เราเรียกกลุ่มดังกล่าวว่า (PIIGS)
เนื่องจากกรีซ และประเทศอื่นในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ประสบปัญหาขาดดุล และใช้จ่ายเกินตัว ต่างก็ใช้เงินสกุล EUR เป็นหลัก ดังนั้น พอความกังวลเริ่มกดดันมากขึ้น เป็นธรรมดาที่นักลงทุนจะลดการถือครองเงินสกุล EUR ไปลงในสกุลอื่น
แล้วไปลงทุนในสกุลอะไร? - เหมือนตอนSubprime ครับ อะไรที่เสี่ยงต่ำในสายตาของนักลงทุน ก็ไปลงทุนอันนั้นล่ะ นั้นก็คือ USD โดยลงทุนผ่านการถือ US Treasury ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และอีกที่หนึ่งก็คือ ทองคำ (Gold)
- มีนักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสเป็น Double Dips หรือ ระดับของปัญหาน่าจะใหญ่พอๆกับ Subprime ที่ฉุดให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวอีกครั้ง แต่ส่วนตัวมองว่า สภาพแวดล้อมตลาดตอนนี้ต่างจากก่อนวิกฤต Subprime 2 ประเด็น 1. อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกตอนนี้อยู่ระดับต่ำมาก 2. เงินลงทุนของนักลงทุนตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในสินทรัพย์เสี่ยงมากเท่ากับตอนก่อนเกิด Subprime Crisis ซึ่งน่าจะทำให้เงินลงทุนที่ไหลเข้า USD ไม่สามารถทนกับผลตอบแทนที่ต่ำสุดๆได้นาน (ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของอเมริกาอยู่ที่ 0-0.25%) และไหลเข้าสู่สินทรัพย์อื่นในที่สุด
ย้อนกลับไปดูกราฟ Dollar Index อีกครั้ง จะเห้นว่า RSI นั้นอยู่ใน Overbought Zone และสูงกว่าตอนเกิดวิกฤต Subprime เสียอีก Technical Graph จึงช่วยทำให้เราใจชื่นได้บ้างว่า DollarIndex น่าจะมีการพักตัวลงมาได้แล้
========================
มาดูที่ Euro Index นะครับ ว่าใช้เงินสกุลอะไรถ่วงน้ำหนักในการคำนวนกันบ้าง U.S. dollar (USD) 31.55% Japanese yen (JPY) 18.91% Pound sterling (GBP) 30.56% Swedish krona (SEK) 7.85% Swiss franc (CHF) 11.13%
ต่างกับ US Dollar Index ก็แค่น้ำหนักเท่านั้น หากดูจากกราฟข้างล่าง จะเห็น Euro Index ทำ New Low และอ่อนค่าลงแรงมาก

Dollar Index มี RSI Overbought ส่วน Euro Index มี RSI Oversold จับความสัมพันธ์ของ 2 ดัชนีนี้ ก็ได้สมมติฐานคือ วิกฤตปัญหาหนี้เสียในยุโรป ทำให้นักลงทุนโยกเงินเข้า USD เพื่อลดความเสี่ยงจริง
แต่ปัญหาครั้งนี้ จะลุกลาม และยาวไปจนเป็น Crisis และต้องมีคนออกมาเขียนหนังสืออธิบายปัญหาอย่างตอนแฮมเบอร์เกอร์หรือไม่นั้น ผมเองก็ไม่รู้ครับ ว่ากันไปตาม Flow
สรุป คือ เมื่อดูมุมมองค่าเงินผ่านกราฟแล้ว เงินน่าจะไหลออกจาก Dollar เข้าสู่สินทรัพน์เสี่ยงอีกครั้ง แต่จะเป็นแค่ Technical Rebound หรือเปล่า.... แล้วแต่ความเชื่อของบุคคลครับ ส่วนตัวผม มองว่า น่าจะ Rebound ได้ไกลพอจะลงทุนได้ ถึงแม้ปัญหามันจะแย่มากกว่าทีคิดก็ตาม
------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ
Create Date : 20 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 21:26:05 น. |
Counter : 4170 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Dow Jones เริ่มมีแรงซื้อกลับหนาแน่น ตลาด Latin น่าสนใจ
เมื่อคืน 17 พ.ค. ที่ผ่านมา Dow Jones ปิดบวก 0.05% จากแรงซื้อกลับเก็งกำไรล้วนๆ หลังจากระหว่างเทรดร่วงหนักไปแตะที่ 10,436 จุดทีเดียว ข้อมูลการผลิตใน New York ชะลอการขยายตัวในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางต่อเนื่องใน US แต่ถึงอย่างนั้น ดูแค่ข่าวแล้วเทรดตามข่าว ก็ทำให้เราขาดทุนมานักต่อนักนะครับ
นักลงทุนทุกคนอยากได้ของดีที่ราคาถูก แต่ลืมนึกไปว่าของดี หากราคาจะถูก ต้องโดน Sentiment Drive หนักๆ โดน Panic Sell จากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่ปัจจัยภายใน แต่คราวนี้ ปัจจัยลบที่ผลกระทบกับหุ้นดีๆหรือตลาดดีๆให้มันลงมาจนเราพูดได้ว่า "ถูก" มักจะทำให้เราเกิดความกลัวขึ้นแทบทุกครั้ง ทั้งแบบ จะลงต่อไหม ถ้ามันไม่หยุดลงล่ะ ถ้ามันแย่กว่านี้ ถ้าอย่างโน้น อย่างนี้ไปเรื่อย สุดท้าย ของดีราคาถูก ก็ยังแพงในสายตาของนักลงทุนอยู่ดี
วิธีแก้ปัญหาข้างต้นนี่คือ รวบรวมข้อมูล และเหตุผลในแง่ดีมาหักล้าง สุดท้ายแล้ว ก็ดูที่ Fundamental (ปัจจัยพื้นฐาน) ว่าอนาคต ตลาด หรือหุ้นตัวนั้นยังสดใสอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ ใช่ ก็อย่าไปหาจุด Bottom เลยครับ ไม่มีใครทำนายได้ถูกต้องหรอก แม้แต่ Warren Buffett ยังซื้อหุ้นเร็วไปทุกทีเลย แต่ระยะยาว บทสรุปก็ออกมาแล้วคือ เขาคิดถูกมากกว่าคิดผิด และทำให้กลายเป็นบุคคลซึ่งรวยติดอันดับ 1-2 สลับไปมากับ Bill Gates ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
มาดูตลาด Dow Jones ก่อนครับ รูปแบบแท่งเทียนน่าสนใจทีเดียว
 บอกใน Twitter ไปว่า หากระบบเทรดไม่รวนและ DJIA ไม่หลุด 10,000 น่าเกลียดเหมือนสัปดาห์ก่อน เราอาจเห็น W-Shape และ Bullish Divergence ในเร็ววันนี้ และตามด้วยสัญญาซื้อ เพราะฉะนั้น แนวรับ 10,440 จุด ที่รับไหวพร้อมแรงเก็งกำไรเมื่อคืน น่าจะทำให้ตลาดมีแรง Rebound อีกครั้ง
ไปดูตลาด Bovespa ของประเทศบราซิล ก็พบ W-Shape สมบูรณ์แบบ ในระยะสั้น
 แนวรับ 62,000 จุด น่าจะแข็งแรงพอที่จะสะสมกำลังเพื่อขึ้นต่อตาม Sentiment โลกใน 1-2 สัปดาห์ได้ โดยมีแนวต้าน 65,000 และ 67,000 จุด
สาเหตุที่เลือก Bovespa ของบราซิลมา เพราะเป็น Emerging Market ซึ่งมีหุ้นที่อิงกับราคา Commodities ในตลาดโลกเยอะ และราคาผันผวนสมกับเป็น Emergin markets ไม่เหมือนจีน หรือไทย ที่ยังมีปัจจัยภายในเป็นของตัวเอง
ตอนนี้มีกองทุนที่ไปลงทุนในลาตินอเมริกา 2 กองในตลาดนะครับ ใครเงินยังเหลือ ถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก นอกเหนือจากเอเชีย
------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ
Create Date : 18 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 10:13:22 น. |
Counter : 3042 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|