"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 

Target price according to Temple Boxing School

เมื่อเช้าอ่านหนังสือพิมพ์
เจอเป้าราคาของกลุ่มเดินเรือ
ข้าพเจ้าก็เลยชักสงสัยว่า
แค่ค่าระวางเรือขึ้นสองวัน
ทำไมเป้ามันส่ายไปส่ายมาเร็วจัง

ลองพยายามคิดเล่นๆ
เลยได้หลักคด เอ๊ยหลักคิดไว้เล่นกับเป้าราคาดังนี้

เป้าราคาคือ

๑ เป็นราคาที่ใครก็ได้จะเป็นผู้ซื้อ นอกจากคนที่พูด


๒ คนที่พูดถึงเป้าราคา
ถ้าไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นไปแล้ว
ก็ต้องรับซิกจากคนที่ซื้อไปแล้ว ให้พูด
เป็นวิชาเทพที่เข้ากลบเกลื่อนวิชามาร
โดยอ้างอิงปัจจัยพื้นฐานของอนาคตซึ่งไม่มีใครรู้จริง
อย่างมากก็รู้ได้แค่ระดับ "ความน่าจะเป็น"

๓ เป็นการพยายามสร้างปริมาณเงินหมุนเวียน
ให้เพิ่มเข้าไปในหุ้นตัวนั้นโดยตรง
ในลักษณะร่วมด้วยช่วยกัน
โดยเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง
รับอาสาเป็นไกด์ พาเงินที่มีอำนาจซื้อนำเทียม
ไปเที่ยวชมดอย


๔ เป็นการกักปริมาณหุ้นที่มีอำนาจขายนำเทียม
ของพวกรายย่อยให้หยุดขาย
เพราะเริ่มจะเห็นคำว่าเสี่ยหุ้น ลอยอยู่ตรงหน้า
ถือว่าเป็นช่วยชาติ เอ๊ยช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้ามือ
เพราะรายย่อยจะตั้งหน้าตั้งตา
รอใครก็ได้มาซื้อที่ใกล้ๆเป้าราคา เพื่อให้ตัวเองได้ขาย
เรื่องอะไรจะยอมขายตอนนี้ จริงป่าว

๕ หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง ก็ถูกกักเอาไว้เช่นกัน
อันนี้คงไม่ต้องบรรยาย เจ้ามือจะลงมือ
มีหรือจะปล่อยให้หุ้นที่มีอำนาจขายนำออกมาลอยนวล
ให้เปลืองค่าต๋งโดยไม่จำเป็น
(คนเก็บค่าต๋ง อาจจะร่วมด้วยช่วยเป็นเจ้ามือก็ได้)

๖ เติมกันเองเอง มั่วได้แค่นั้นแหละ ฮาๆๆๆๆ
ลองดูภาพประกอบแล้วใส่เป้าราคาเข้าไปแทนราคาปัจจุบันดู

ใครจะเป็นคนเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนเข้าไปซื้อหุ้น
ที่ใกล้ๆราคาเป้าหมายมากที่สุด
ส่วนตรงราคาเป้าหมาย แทบจะไม่ต้องพูดถึง
รายย่อยเกือบทุกคนพร้อมจะขาย
ทำให้อำนาจขายของหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

การจะทำให้รายย่อยยอมซื้อที่ราคาเป้าหมาย
คงจะเป็นเรื่องยากมากๆ
ถ้าเจ้ามือไม่กล้าลากให้เลยเป้า
เพราะรายย่อยแทบจะทุกคนเชื่อว่า
ตนจะเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้น

หลักการสำคัญที่สุดของเกมล่าส่วนเกินทุนขาขึ้นคือ

รายย่อยส่วนใหญ่จะต้องเชื่อว่า

"ตนเองจะไม่เป็นคนสุดท้ายที่ถือหุ้นตัวนั้น
ที่ราคาสูงสุด"



จากคุณ : endophine - [ 24 มิ.ย. 48 08:23:06 ]




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2548    
Last Update : 28 กันยายน 2548 12:46:06 น.
Counter : 1235 Pageviews.  

ถ้าเล่นหุ้นคือเล่นการพนัน มันจะเป็นการพนันชนิดไหน แพ้ชนะกันด้วยอะไร.?

เมื่อวันเสาร์ผมได้อ่านบทความคุณหมากเขียว
จากหนังสือมีตติ้ง
ทำให้เกิดความคิดแวบขึ้นมาทันที
คุณหมากเขียว เอ่ยถึงโปกเกอร์ ดัมมี่ เก้าเก
ว่าเป็นการเล่นหุ้นแบบ value speculator
บังเอิญผมพอจะเล่นเป็นแต่ เก้าเก
ก็เลยขออ้างอิง"เก้าเก"ก็แล้วกัน ฮาๆๆๆ

"เก้าเกที่จะเอามาอ้างอิง
จะไม่มีการนับสี และนับดอก ถือว่าตองคิงใหญ่ที่สุด"

ดูภาพประกอบกันก่อน
ขอตัวไปเข้าห้องส่วนตัวแคบๆ
ตอบคำถามกันดู
แล้วอาจจะได้แนวคิดสไตล์สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งว่า
เล่นหุ้นคือการเล่นการพนัน ที่แพ้ชนะกันด้วย......



จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 09:04:51 ]


มารายงานตัวครับ

เดามั่วๆ คือ
ชนะเพราะจิตใจมังครับ
สามารถหลอกล่อให้ขวามือที่มีแต้มเหนือกว่าให้หมอบได้

จากคุณ : buglife - [ 28 มี.ค. 48 09:16:17 ]


ผมขอตอบว่า มีหุ้น ที่ มีดี อยู่ในตัวมัน เอง แม้ สภาพ คล่อง น้อย แต่ หาก งบ ดี ปันผล ดี ก้อ มี คน กล้าเก็บ ครับ

เราต้องเลือกหุ้น ดี ๆ กรองหุ้นดี ให้ ออก ครับ

หุ้นที่ดี แต่ ราคา แพง บรรลัย ก็ ต้องทยอย ขายทำกำไร ตามรอบ นะครับ อย่าเสียโอกาส ครับ

จะรอ พี่ เคลี่ มาเฉลย อีกที ครับ



จากคุณ : samsam - [ 28 มี.ค. 48 09:24:02 ]


ถ้าอธิบายตามไพ่ ด้านซ้ายชนะเพราะ ถือไพ่สีเดียวกัน คือโพธ์ดำทั้ง 3 ใบ ส่วนด้านขวา มีแค่ 6 แต้ม

ความใหญ่เล็กของไพ่จะเรียงตามนี้ (ทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้ว)
โพธ์ดำ >> หัวใจ >> ข้าวหลามตัด >> ดอกจิก

แต่ถ้าเล่นกันจริง ๆ ไพ่นี้ ยังสรุปไม่ได้ว่าใครชนะ เพราะว่า เก้าเก คือ การเล่นที่ใช้จิตวิทยา มากกว่าดวง เหมือนกับ โป๊กเกอร์ ทำให้ไพ่ไม่ดีก็มีสิทธิ์ชนะได้

ถ้าจะเอามาเปรียบกับการเล่นหุ้น ผมว่ามันตรงกันตรงที่ใช้หลักของจิตวิทยา มากกว่าดวง
ต่างจากไพ่ป๊อก ที่ใช้ดวงและฝีมือ(โกง)
การเล่นหุ้นเป็นการเล่นกันด้วยจิตวิทยาของคนหมู่มาก
คุณต้องอ่านใจคนทั้งกลุ่มที่ถือหุ้นตัวนั้น ๆ อยู่

หากคุณอ่านถูก คุณก็มีโอกาสเสมอตัวไปกว่าครึ่งแล้ว
ทำไมถึงแค่เสมอตัว ???
การอ่านได้ ไม่ใช่หมายความว่าจะได้กำไร เพราะสิ่งที่คุณอ่านได้อาจจะเป็นการเทขาย เมื่อคุณอ่านออก คุณก็สามารถเทขายได้ก่อนคนอื่น ทำให้เจ็บตัวไม่มาก

ชักจะนอกเรื่องแล้วเอาเป็นว่าผมขอสรุปว่า
เล่นหุ้นคือการเล่นการพนัน ที่แพ้ชนะกันด้วย...... จิตวิทยา ครับ

จากคุณ : ราษฏรโกโรโกโส (นายมะพร้าว) - [ 28 มี.ค. 48 09:32:22 ]


ซ้ายมือมีเด้งด้วย
คิดได้แค่นี้แหละครับ
เล่นไงลืมไปแล้ว ขอทบทวนก่อน

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 28 มี.ค. 48 09:32:47 ]


ในเกมกีฬาหลายประเภท การใช้วิธีหลอกล่อคู่แข่งขันสามารถทำได้ถูกต้องตามกติกา
ผู้ถือไพ่มือซ้ายสามารถชนะได้โดย
หนึ่ง ขนาดหน้าตักใหญ่กว่า
สอง เนื่องจากผู้ถือไพ่มือขวาไม่สามารถเห็นหน้าไพ่ของผู้ถือไพ่มือซ้ายได้ (ข้อมูลไม่ครบถ้วน)
สาม ถ้าผู้ถือไพ่มือซ้ายเล่นตามพ็อพ และไม่หยั่งเชิงเช็คข้อมูล (เก๋าเกมน้อยกว่า อ่านสีหน้าไม่ออก)

ตามภาพ ผู้ถือไพ่มือซ้ายคงได้เห็น เอจ กับ คิงของผู้ถือไพ่มือขวา ถ้าโดนไล่ทุบโดยไม่เก๋าเกม คงอ่านว่าน่าจะติดได้ไพ่ดีกว่า

จากคุณ : สามวาฯ (สามวาฯ) - [ 28 มี.ค. 48 09:35:56 ]


การเล่นหุ้นเป็นและไม่เป็นการพนันครับ ขอยืนยัน :)


การเล่น Poker ก็สามารถเป็นการลงทุนได้ถ้าคุณสามารถจัดระดับความเสี่ยงในแต่ละตาของหน้าไพ่ และเงินลงทุน


การบริหารความเสี่ยง บริหารผลตอบแทน จะเป็นตัวตัดสินระดับความเสี่ยงการลงทุน


ระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนในระยะเวลาที่กำหนด
การเสี่ยงโชค ระดับความเสี่ยง มากกว่า 75-99.99 %
การพนัน ระดับความเสี่ยง มากกว่า 50 %
การลงทุน ต่ำกว่า 50 %


เพราะฉะนั้นคุณสามารถลงทุนในหุ้น หรือเล่นพนันในหุ้น ก็ได้ :)

จากคุณ : อี้จับซา (BeSmile) - [ 28 มี.ค. 48 09:38:30 ]


ความจริงแม้แต่"เก้าเก" ผมก็รู้แบบงูๆปลาๆ
เอาเป็นว่า ผมจะถือว่าเก้าเกที่จะกล่าวถึง

"ไม่มีการนับสี นับดอก และไพ่ตองคิงใหญ่ที่สุด"

หลายๆคน ตอบได้ตรงใจที่ผมคิดไว้เหมือนกันเลยครับ
น่าจะเล่นหุ้นแบบการพนันได้แล้ว ฮาๆๆๆ
ผมก็เริ่มจะเชื่อแล้วว่า
ถ้าเล่นหุ้นเป็นการเล่นการพนัน
มันก็เป็นการพนัน
ที่แพ้ชนะกันด้วยใจเป็นปัจจัยสำคัญ
(แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มันต้องประกอบด้วยอำนาจซื้อและขาย
และการรู้ไพ่ของเราก่อน แล้วค่อยอ่านใจไพ่ของคนอื่น)

คุณแซมมี่ นั่นเป็นคำตอบแนววีไอ
กระทู้นี้ ผมพยายามจะตอบโจทย์ที่ว่า

"ถ้าเล่นหุ้นคือเล่นการพนัน
มันจะเป็นการพนันชนิดไหน แพ้ชนะกันด้วยอะไร.? "

ผมขอตั้งสมมติฐาน 3 ข้อ เพื่อพยายามตอบโจทย์ข้างต้น

1 การเล่นหุ้นคือการเล่นการพนัน
ที่ปราศจากการโกง และเล่นตามกติกาทุกอย่าง
(ขำกลิ้ง อยากหัวเราะเป็นภาษาจีนไหหลำ คักๆๆๆๆ)

2 ให้ถือว่าสถิติต่อไปนี้เป็นบันทัดฐานคือ

คนเล่นหุ้น 100 คน
จะขาดทุน 80 คน
เสมอตัว 10 คน
ได้กำไร 10 คน

3 คนที่ถือไพ่ที่มีค่ามากที่สุดดังในภาพประกอบ
ก็อาจจะแพ้การพนันได้
ถ้ามีกติกาว่า

"เกได้ไม่จำกัดจำนวนเงิน"



จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 09:43:33 ]


เพิ่มเติมนะครับ กติกาของ เก้าเก จะเรียงใหญ่เล็กตามนี้
ตอง > สเตรสฟรัส(เรียง+สี) > เซียน(ขอบ) > เสตรส(เรียง) > สี > แต้ม

ตอง คือ ไพ่เหมือนกัน 3 ใบ ส่วนใหญ่ 333 จะใหญ่สุด เพราะรวมกันได้ 9 ตามด้วย AAA KKK QQQ JJJ แต่บางที่ให้ AAA ใหญ่กว่า
สเตรสฟรัส(เรียง+สี) คือไพ่เป็น ดอกเดียวกันทั้ง 3 ใบ และไพ่เรียงกันด้วย เช่น 7(โพธ์ดำ) + 8(โพธ์ดำ) + 9 (โพธ์ดำ)
เซียน(ขอบ) คือมีไพ่เป็น ตัวหนังสือ ทั้ง 3 ใบ ยกเว้น A ไม่นับ เช่น JJQ QQK JKK
เสตรส(เรียง) คือไพ่มีแต้มเรียงกัน เช่น 789 456 แต่ A23 ไม่นับ ต้องเป็น QKA
สี คือ ดอกเหมือนกัน เช่น รูปของ จขกท ด้านซ้ายมือ
แต้ม ใครที่แต้มเยอะกว่าชนะ นับแต้มเช่น รูปด้านขวามือของ จขกท มี 664 รวมกันได้ 16 นับ 6 แต่ม 1 ไม่นับ ถ้าแต้มเท่ากัน ให้นับไพ่ใบที่ใหญ่(แต่มเยอะ)ที่สุดในมือ เรียงตามนี้
A K Q J 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1
ถ้าถือไพ่ที่ใหญ่เท่ากันอีกให้ดู ดอก เรียงตามนี้
โพธ์ดำ >> หัวใจ >> ข้าวหลามตัด >> ดอกจิก


จากคุณ : ราษฏรโกโรโกโส (นายมะพร้าว) - [ 28 มี.ค. 48 09:48:20 ]


ขอบคุณข้อมูลของคุณ นายมะพร้าวครับ
ความจริงผมยกตัวอย่างเก้าเก
เพื่อจะบอกว่า
การพนันบางอย่างสามารถแพ้ชนะกันที่ใจ

ถ้าลองคิดจากสมมติฐานข้อที่ ๒
คนเล่นหุ้น 100 คน
จะขาดทุน 80 คน
เสมอตัว 10 คน
ได้กำไร 10 คน

เล่นหุ้นจะเป็นการพนันชนิดใด
แพ้ชนะกันได้อย่างไร
ลองตอบไปตามการเล่นการพนันแต่ละลักษณะ

ก. เล่นหุ้นเป็นการพนันแบบเสี่ยงดวงล้วนๆ
ไม่สามารถพลิก ให้แพ้ชนะได้ด้วยการวัดใจ
แต่อาจจะเอาชนะด้วยสถิติบางอย่างได้

เล่นหวย จะมีคนชนะ 1 คน
คนแพ้ 99 คน
จึงไม่ตรงกับข้อสมมติฐานข้อที่สอง

แทงกองสามกอง ปั่นแปะสองเหรียญ
จะมีคนชนะ 33.333 คน
คนแพ้ 66.666 คน
ซึ่งไม่ตรงกับข้อสมมติฐานข้อสองเช่นกัน

ข. เล่นหุ้นเป็นการพนันแบบดวง + อำนาจในการเก
+ สิ่งที่สำคํญที่สุดคือรู้จักไพ่ตัวเองและ การอ่านใจคู่ต่อสู้ให้ได้
ว่ากำลังถือไพ่อะไรอยู่

ถ้าคิดตามนี้
ก็จะเป็นไปได้ว่า

มีคนอยู่ ๑๐ คน (เซียนหุ้น และมนุษย์หุ้นเกรดเอและบี)
สามารถอ่านใจคู่แข่งอีก ๘๐ คน (แมลงเม่าหุ้น)
แต่ไม่สามารถอ่านใจคู่แข่งอีก ๑๐ คน (มนุษย์หุ้นเกรดซี)

การอ่านใจคู่ต่อสู้
คนสิบคน จะรู้จักไพ่ตัวเองเป็นอย่างดี
ว่าตัวเองมีไพ่อะไรอยู่ในมือ
หลังจากนั้น ก็อ่านใจคู่ต่อสู้ว่า มีไพ่อะไรอยู่
ผ่านทาง จำนวนเงินในการเกแต่ละครั้ง
ถ้าคู่ต่อสู้ไพ่ดี เขาจะต้องตามแน่นอน
แต่จะตามถึงระดับไหน
ก็อยู่ที่การวัดใจและอำนาจของไพ่ในมือของคู่ต่อสู้

เซียนหุ้นและมนุษย์หุ้นที่แท้จริง
จะต้องรู้เราให้ได้เป็นอันดับแรก
แล้วจึงพยายามรู้เขาให้ได้
ผ่านทางอำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
ไม่ว่าจะด้วยเส้นกราฟ ข่าวหรือผลประกอบการของหุ้น

จากคำตอบข้างต้น
พอจะตอบได้ว่า
คนที่พยายามเล่นหุ้นแบบการพนัน
โดยคิดว่าเป็นเรื่องของการเสี่ยงดวงล้วนๆ
เล่นซี้ซั้ว เดี๋ยวก็ได้เงินเอง
จะมีคนที่คิดแบบนั้นหนึ่งคน ที่ดวงดีจริงๆ ได้กำไร
ส่วนอีก เก้าสิบเก้าคน จะเจ๊งเละเทะ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 10:14:05 ]


แต่ถ้านักเล่นหุ้นคนใด มีสติ มีเครื่องมือ
ไม่คิดว่า
เล่นหุ้น เป็นการเล่นการพนันแบบเสี่ยงดวงล้วนๆ
นักเล่นหุ้นคนนั้น ก็จะอยู่รอดได้
แม้จะเล่นหุ้นแบบการพนันก็ตาม
ไว้มีโอกาส(อีกแล้ว ฮาๆๆๆ)
ผมจะเล่าเรื่องที่ลุงที่คุ้นเคยในคอร์ทแบดมินตัน
เล่าให้ฟังนานมาแล้ว
เป็นเรื่องของเพื่อนบ้านผู้เดินเข้าบ่อนทุกวันอย่างมีความสุข
แม้แต่อบายมุข ก็ยังเอาชนะคนไม่ได้
ถ้าเราสามารถรู้จักควบคุมใจตัวเอง

ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุดในการหุ้นและเล่นการพนัน

นี่โพสๆมา
ผมยังตอบข้อสมมติฐานข้อที่สามไม่ได้เลยว่า
ถ้าการเล่นหุ้น สามารถเกได้ไม่จำกัดจำนวน

คนที่ถือไพ่ที่มีค่ามากที่สุด
ก็ยังแพ้อยู่ดี

ดังนั้น ทางที่ดีก็คือ
อย่าเล่นหุ้นแบบการพนันเป็นอันขาด
ถ้าคุณไม่มีอำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
หรือไม่มีเครื่องมือใดๆ ในการอ่านใจคู่ต่อสู้ ฮาๆๆๆๆ

และที่สำคัญที่สุด
ถ้าคุณคิดว่า
" การเล่นหุ้นคือการเล่นการพนันแบบเสี่ยงดวงล้วนๆ"
คุณก็ต้องเตรียมตัวเป็น 99 คนที่เหลือให้ดีๆด้วย
นี่คือหลักเกินอีกหนึ่งข้อ
จาก "สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง"
ขอบคุณซือหมวยอริน อีกครั้ง
ที่คิดชื่ออินเตอร์ให้กับคำว่า"มวยวัด" ฮาๆๆ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 10:26:30 ]


ขอบคุณเฮียคลาย เครียดครับ ที่อ่านบทความผม แล้วจุดประเด็นต่อ น่าสนใจมากครับ

คุณมะพร้าว นี่ถ้าจะเซียนเก้าเกตัวจริง แฮะ ผมไม่ได้เล่นนาน ลืมหมดแล้ว ขอเซฟเอาไว้อ่านก่อน

เห็นด้วยกับคุณ อี้จับซา (BeSmile) หมายเลข 13 ฮ่า ว่าหุ้นเป็นการพนันก็ได้ ไม่เป็นก็ได้

ผมได้อธิบายในบทความแล้ว และแบ่งออกเป็น

1. ลงทุนในหุ้น (ไม่เป็นการพนันแน่นอน)
2. เล่นหุ้นแบบ VS (Value Speculating) คือเล่นพนันแบบใช้กึ๋น เช่น ดัมมี่ โปกเกอร์ เก้าเก

"การเล่น Poker ก็สามารถเป็นการลงทุนได้ถ้าคุณสามารถจัดระดับความเสี่ยงในแต่ละตาของหน้าไพ่ และเงินลงทุน" มันเป็น Value Speculating ครับ ไม่ใช่ Investing อันนี้ผมไม่เห็นด้วยกับคุณอี้จับซา (BeSmile)
3. เล่นหุ้นแบบ Speculator หรือพวกเก็งกำไร อาศัยดวงอย่างเดียว เช่นเล่นไพ่ป๊อกเด้ง ไฮโล

ยังมีอีกพวก แต่น้อยมาก คือพวก นักค้ากำไร (Arbitrager) เป็นศัพท์ทางการเงิน เป็นพวกที่เก็งกำไรโดยปราศจากความเสี่ยง สามารถทำได้ในตลาดหุ้นและforex ตัวอย่างของนัก Arbitrager ที่เก่งๆ คือ จอร์จ โซรอส

เอาไว้ถ้าว่าง ผมจะลองเขียนการทำ Arbitrager ให้ลองได้อ่านกันใน วางหมาก...กระดานหุ้นแล้วกันครับ

จากคุณ : หมากเขียว - [ 28 มี.ค. 48 10:46:48 ]


ว่าถึงการพนันที่แพ้ชนะที่การวัดใจ
ผมยังจำฉากสุดท้ายของหนังจีนเรื่อง
"เซียนตัดเซียน" ได้แม่นยำ

พระเอกเป็นยอดเซียนไพ่เผ
ส่วนคู่ต่อสู้ก็เป็นเซียนเหนือเซียนที่ไม่เคยแพ้ใคร

เกมเดิมพันสุดท้าย
ที่เล่นกันจนหมดหน้าตัก
พระเอกมีไพ่ที่เปิดคือ
A A A 10
เซียนคู่แข่งมีไพ่ที่เปิดคือ

K K K 10 และไพ่ที่ปิดอยู่คือ K

เขาสร้างให้มันเว่อๆ ระหว่างเกมเดิมพันสุดท้าย
พระเอกโดนคู่อริบุกยิงคาโต๊ะ
เลยต้องหยุดเล่นชั่วคราว
โดยทิ้งไพ่ไว้ที่โต๊ะ
เข้าห้องน้ำไปทำแผล
พระเอกเรียกภรรยาไปพบในห้องน้ำ
บอกว่า ฉันเล่นต่อไปไม่ได้ ให้เธอไปนั่งเล่นแทน
ไพ่ที่ฉันกบไต๋ไว้คือ 9
ดังนั้น
เธอต้องเกให้หมดหน้าตักเพื่อให้เซียนคู่แข่งยอมหมอบ
ภรรยาของพระเอกตกใจมาก เกิดมาไม่เคยเล่นไพ่
แต่ก็ต้องนั่งเล่นแทน
และก็ทำตามที่พระเอกบอกทุกอย่างด้วยการเกจนหมดหน้าตัก
จำไม่ได้ว่ากี่ร้อยล้านเหรียญ
ฝ่ายเซียนคู่แข่ง ก็สะดุ้งเล็กน้อย
ไม่แน่ใจว่า พระเอกกบไต๋ A ไว้หรือเปล่า
นั่งจ้องหน้าและท่าทางของนางเอกอยู่นานเพื่ออ่านใจ
ในที่สุดก็ตามจนหมดหน้าตัก
เมื่อเห็นนางเอกเก็บอาการไม่อยู่
มีเหงื่อแตกออกมา
ทั้งๆที่แอร์เย็นเจี๊ยบ
พอไพ่เปิดออกมา
เซียนที่ว่าเหนือเซียนก็ถึงกับหงายหลัง
เพราะมันกบไต๋ A เอาไว้

นี่เขาเรียกว่า
เหนือเซียนยังมีเซียน
พระเอกแน่ใจว่า เซียนคู่แข่งจะต้องอ่านใจนางเอกจาก
ใบหน้าและท่าทางอย่างแน่นอน
ก็เลยบอกความเท็จกับภรรยาตัวเอง
เพื่อให้เก็บอาการไม่อยู่
และคู่ต่อสู้ เกตามจนหมดหน้าตักในที่สุด

หล้งจากดูหนังเรื่องนี้จบ
ผมก็จดจำไว้เป็นข้อคิดว่า
อ่านใจคน ก็อาจจะอ่านผิด
เพราะเขาเจตนาให้เราอ่านผิด
ภาษาของเสี่ยคัดท้ายเขาว่า
สับขาหลอก ฮาๆๆๆ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 11:21:29 ]


แพ้หรือชนะผมว่าขึ้นอยู่กับวิธีการเล่นครับ รู้จุดอ่อนคู่ต่อสู้ และมีแผน 1 แผน 2 รองรับนะ ถ้าทำได้ตามนี้ผมรับรองว่าชนะแน่นอน

อธิบายลำบากน่ะครับ ผมเขียนผมยังงงเลย เอาง่าย ๆ เราจับจุดอ่อนเกมที่เราเล่นได้เราชนะ ผมว่าอย่างนั้นนะ

จากคุณ : comgoto - [ 28 มี.ค. 48 11:32:17 ]


.........ตอบถูกแล้วขอรางวัลด้วยนะครับเฮีย.....วันไปมีตติ้งมัวแต่เหนียมเลยอดรางวัลเลย
.........วันนี้อาศัยมั่วนิ่มอาจได้รางวัล.......อิอิ
เก้าเกไม่มีการดูสีหรือดอกเพราะฉะนั้นจึงวัดกันที่แต้มในมือล้วนๆ และมีหลักเกณฑ์เพิ่มอีกคือเรียง-เซียน-ตอง
1.เรียงเช่นไพ่ในมือเป็น1-2-3หรือ4-5-6หรือ10-J-Q แต้มในมือสูงที่สุดคือ9แต่ก็จะแพ้เรียง
2.เซียนคือไพ่ในมือมีJ Q K ........จะชนะเรียง
3.ตองจะชนะทั้งหมด ใหญ่สุดคือKKK
......ที่ไพ่ซ้ายมือชนะทั้งที่มีแต้มน้อยกว่าอาจจะเป็นได้เพราะ
1."ฝีมือ".....คนที่ถือไพ่ซ้าย ใช้จิตวิทยาในการเกทับคนขวามือ จนฝ่อไปเลย(เล่นหุ้นกะเล่นเก้าเกต้องใช้ฝีมือทั้งนั้น)
2."เงินทุน".......คนถือไพ่ซ้ายมือต้องทุนหนาพอสมควร
เพราะแต้มในมือแกมีแค่4แต้ม เกไปแล้วคนขวาเกิดสู้ขึ้นมาอาจหมดตูดเอาง่ายๆครับ (เล่นหุ้นถ้าสู้กะเจ้ามือเราก็เสียเปรียบเพราะทุนเราเป็นแค่ไรขนอ่อนบางๆ1เส้น แต่เจ้ามือเขามีขนรุงรังเต็มหน้าแข้ง .......ดึงยังไงก็ไม่มีร่วง)
.......เพราะฉะนั้นผมว่าเล่นหุ้นมันต้องมีทั้งฝีมือทั้งทุน แถมดวงด้วย ถ้าเราไปเจอเจ้ามือเขามีตองคิงในมือก็อย่าไปซี้ซั้ววัดดวงกับเขาละกันครับ.......

จากคุณ : ton4fm - [ 28 มี.ค. 48 11:33:26 ]


ขอบคุณ คุณ คลายเครียด ที่มีข้อคิดดีๆมาให้อ่านและแสดงความคิดเห็นที่น่าอ่านน่าสนใจมาก

การไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆไม่ว่าที่ไหนก็ตาม แทบจะทุกครอบครัวมีกพกของเล่นที่ถูกใจคือสำรับไพ่

อย่างน้อย 2 คนล่ะที่เตรียมไป ทุกคนมีงานทำดีๆแต่ไม่มีโอกาสรวมญาติเพื่อนฝูงแล้วร่วมวงได้สักที

ยามเจอกันก็เป็นความสุขที่เหมือนเด็กอีกครั้ง จะรวมกลุ่มเฮฮาก็เจ้าสำรับไพ่แผ่นๆ 52 ใบนี้แหละ

รัมมี่เป็นเกมส์ที่พี่ๆน้องๆจะถือหางมองและเชียร์มากที่สุด เกมส์วัดใจคู่ต่อสู้

พวกเขาเล่นจนมองตากันไม่กระพริบ รู้ใจว่าใครมีอะไรอยู่ในมือ เพราะกองเชียร์ข้างหลังออกอาการ

เล่นไม่เป็นดูแล้วต้องเป็นเกมส์ของกลุ่มผู้ชายที่ใช้สมองเขาเล่นกัน

แต่กลุ่มสาวใหญ่สาวน้อยมักเล่นตกปลา ไพ่ป๊อกนี่สิเรียกเสียงกรี๊ดได้สนุกกว่า

คนเล่นไม่เป็นก็เผลอกรี๊ดควักตังค์เล่นกะเขาด้วยเหมือนกัน ได้เงินบ้างไปๆมาๆแปะร่วมวงด้วยเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว

การพนันทุกชนิดมีความเสี่ยง เล่นเฮฮาก็ไม่มีอะไรคิดมาก

เล่นเพื่อความสนุกสนานอย่างฉันท์รวมญาตินานๆเจอะเจอกันที

ก็ได้ไพ่นี่แหละที่ทำให้ออกรสชาติในการเที่ยวแต่ละครั้ง

ได้ระบายความเครียดที่เก็บกดอยู่ในใจให้ออกมาจากการเที่ยวแต่ละครั้ง

แต่การลงทุนในตลาด เป็นตลาดอารมณ์ที่ใหญ่มาก
วัดใจกันยากมาก เพราะโทรจิตกว้างอ่านและเดาใจยากมากๆ

จิตวิทยามวลชนกล่อมยาก นอกจากมีเหตุการณ์ร้ายแรงจึงจะรวมกันได้เร็ว

ความแตกตื่นขายนี่รวมกันได้เร็วกว่า การได้ยินข่าวดีเสียอีก

การขาย การซื้อจึงต่างกันมาก ขายเพราะความกลัว ดูจะเร็วได้ปริมาณมากกว่าเร็วกว่า

แต่การซื้อๆเพราะข่าวดีนี่ เอื่อยเฉื่อยชา หลับไปกี่ตื่นก็ยังเขียวน้อยอยู่ดี

เพราะทุกคนผ่านบทเรียน ซึมซับความดีใจและความกลัวมามาก กาลเวลาที่ผ่านมามันย้ำให้จำ

การลงทุนในหุ้นเป็นเอกเทศ กว้างเดาใจยาก หากจะปั่นขึ้นต้องใช้เม็ดเงินมาก

ปั่นลงแล้วคนปั่นโดยมากจะรวยเงียบๆจากการโยนหินถามทางทุกครั้ง

ไม่ว่ารายใหญ่รายเล็กล้วนแล้วแต่ได้ใส่ชุดนักรบกันมาก่อนหน้าแล้ว

จึงรู้จักเกมส์วัดใจในตลาดว่ามาเมื่อไหร่ ใจจะบอกและเตือนเองโดยอัตโนมัตว่าจะเป็นอย่างไร

บางทียิ่งรู้ยิ่งเจ็บก็มี เพราะใจไม่ฟัง สติจึงพังเพราะความดื้อที่จิตไม่แข็งพอ

ขอบคุณค่ะ

จากคุณ : สุเกียง - [ 28 มี.ค. 48 11:39:21 ]


.........คุ้นๆหนังที่เฮียคลายเครียดดู รู้สึกว่าจะ10กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนม.ต้น แต่ยังจำได้อยู่ยังอยากหาvcdมาเก็บไว้ดูเลยครับ......พระเอกเรื่องนี้เจ๋งจริงๆ(หลอกใช้เมียเล่นงานผู้ร้ายได้เนียนม้ากก)

จากคุณ : ton4fm - [ 28 มี.ค. 48 11:54:17 ]


ขอโทษด้วยคุณ ton4fm
กระทู้นี้ไม่มีรางวัลแจกครับ

ตอนอยู่ในงาน
ชูดีวีดี หนังชีวิตคนจนเกาหลีกับฝรั่งเศส
หนุ่มๆทำเหนียมอาย ไม่กล้ายกมือ
กว่าจะมีใครยอมยกมือ เล่นเอาผมนึกว่าต้อง
เก็บกลับบ้านไปดูเป็นรอบที่สิบ ฮาๆๆๆ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 28 มี.ค. 48 11:59:32 ]




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2548    
Last Update : 11 สิงหาคม 2548 13:18:22 น.
Counter : 2176 Pageviews.  

สมการและอสมการง่ายๆแบบสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ว่าด้วยราคาหุ้น เวอร์สั้น 2.0 โอเมก้า

ตามหลักสมเกินแบบง่ายๆข้างใต้
หุ้นทุกตัวในตลาดฯ ไม่ว่าจะมีผลประกอบการเป็นอย่างไร
ก็สามารถขึ้นได้แบบไม่มีขีดจำกัดถ้า....
อำนาจซื้อของเงิน
ถูกอัดเข้าไปล่าส่วนเกินทุนในหุ้นตัวนั้น
แบบไม่จำกัดปริมาณ
เพราะอำนาจขายของหุ้น
เป็นสิ่งที่มีจำกัด โดยตัวมันเอง
จากทุนจดทะเบียนของบริษัท
ยิ่งกว่านั้น หุ้นอีกเป็นจำนวนมาก
ถูกกักไว้นอกตลาดฯ
ด้วยแรงกรรมแห่งความกลัวถูกครอบครองกิจการ
ของเจ้าของบริษัท
ดังนั้น สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งจึงเชื่อว่า
เมื่อไรที่ปริมาณเงินในตลาดหุ้น มีมากๆ
หุ้นทุกตัวจะสามารถขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
จนเป็นที่งุนงงสงสัยของนักเล่นหุ้นแนววีไอ

ซึ่งสภาวะแบบนั้น จะเรียกว่า "กระทิง"
หุ้นจะมีแต่คำว่า "หุ้นขึ้น" และ "หุ้นลง"
ไปตามแรงประทะระหว่าง
อำนาจซื้อของเงิน กับอำนาจขายของหุ้นในตลาดหุ้นล้วนๆ
ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการเลย

แต่เมื่อไรก็ตาม
อำนาจซื้อของเงินเริ่มมีจำกัดลง
หุ้นจะเริ่มมีคำว่า "หุ้นดี" และ "หุ้นเน่า"
เพราะอำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
เริ่มมีจำกัดด้วยกันทั้งคู่

การเลือกข้างให้ถูก
ระหว่างเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง (หุ้นขึ้น)
กับหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง (หุ้นลง)
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับยุค"กระทิง"

ส่วนยุค"หมี"
การเลือกข้างให้ถูก
ระหว่าง เงินที่มีอำนาจซื้อนำที่มีจำกัด (หุ้นดี)
กับหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง (หุ้นเน่า)
จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะคนที่ลงมือตามเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงได้ถูกตัว
มาตั้งแต่ยุคหมี (หุ้นดี หุ้นเน่า)
จะสามารถเอาหุ้นมาปล่อยทิ้งให้ช่วง
"หุ้นขึ้นและหุ้นลง" ได้อย่างสบายใจที่สุด

ตอนนี้บักสีดาคงจับตาดู
ปริมาณเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงจากคนไทย
ผ่านดุลบัญชีเดินสะพัด และตัวเลขจีดีพีเป็นหลักใหญ่
ออกอาการเมื่อไร ก็บอดี้ฮู บอดี้อิท ฮาๆๆๆ



ผมให้คำจำกัดความตัวเองมานานแล้วครับ
เป็นนักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน
"ที่สามารถถือหุ้นได้ไม่จำกัดระยะเวลา"
และจะไม่ซื้อขายหุ้นเกินขอบเขตความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ครับ
หลักการที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น
จำกัดปริมาณความโลภให้สมดุลกับปริมาณความรู้ที่มีอยู่จริงๆ
ถ้าผมอ่านกราฟเก่งเหมือนคุณเอี๋ยว ฯลฯ
ผมจะทุ่มเงินทั้งหมดมาเล่นหุ้น
คือจับหุ้นดีกับหุ้นเน่าได้แล้ว ก็จับหุ้นขึ้นและหุ้นลงต่อ
แต่ว่า มีแต่เซียนหุ้นเท่านั้นครับ
ที่โลภได้ไม่สิ้นสุด เพราะยิ่งโลภก็ยิ่งได้

คุณสมชายฯ
อำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
พวกดูกราฟจนถึงระดับ
" เห็นลายเส้นก็รู้ใจ "
จะรู้ดีครับ
ผมเริ่มเห็นคนที่รู้ดีเพิ่มอีกคนแล้ว
คุณหมอวีคเกสท์ไงครับ

ทำสัญญลักษณ์มากกว่า น้อยกว่าผิดไปคนละเรื่อง
ขอใช้รูปนี้แทน




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2548    
Last Update : 11 สิงหาคม 2548 13:01:47 น.
Counter : 879 Pageviews.  

การวัดผลเครื่องมือมาตรฐาน ด้วยหุ้น ๔ ประเภท แบบเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

ให้ดูภาพประกอบก่อนครับ ท่านผู้ชม

จากภาพประกอบ จะเห็นได้ว่า
ปัญหาสำคัญที่สุดคือ

ไม่มีใครรู้ "อนาคต" ได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น ทางเดียวที่จะสามารถวัดผลได้คือ
การดันเวลาข้ามมิติที่ ๔ ฮาๆๆๆ

ผมขอดันเวลาให้

อดีต ตอนที่ซื้อหุ้นตัวนั้น -- -- -- >>>> เป็นปัจจุบัน
ปัจจุบัน สถานะของหุ้นในพอร์ตตอนนี้ -- -- -- >>>> เป็นอนาคต

เครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ประจำคือ

ผลประกอบไตรมาสล่าสุด เมื่อตอนที่ซื้อ
(ถูกดันเวลาให้กลายเป็นปัจจุบัน)
ค่าพีบีวี พีอี และยีลด์
บวกด้วยหลักสมเกินของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

พอทำการดันเวลาข้ามมิติ
แล้วย้อนไปสำรวจพอร์ตตัวเอง
ผมตอบได้ทันทีว่า
หุ้นประเภทไหน
ทำให้พอร์ตเสียหายมากที่สุด
หุ้นประเภทไหน
ทำให้พอร์ตได้ผลตอบแทนดีที่สุด

ลองตั้งเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้
มาวัดผลด้วยหุ้น ๔ ประเภท
หุ้นประเภทไหนในพอร์ตของคุณ
ทำกำไร และทำขาดทุน ให้พอร์ตมากที่สุด ????

ผมมีความเห็นว่า
ที่เห็นๆตอนนี้คือ cei จัดเป็นหุ้น "๒ B"



ผลของการดันเวลาไปข้างหน้า
เพื่อพยายามวัดผล
การใช้เครื่องมือมาตรฐาน ที่ใช้ในการเล่นหุ้น
ปรากฏว่า
พอร์ตที่เครื่องมือมาตรฐานของผม
ใช้ได้ผลดีมากที่สุด
กลายเป็นพอร์ตที่สั่งซื้อขายให้คนอื่น
(ตามใบมอบอำนาจ)

ดูตามภาพประกอบ
จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ทำกำไรให้พอร์ตมากที่สุด
จุดเริ่มลงมือซื้อ จะอยู่ในประเภท

๓ A ๓ B ทั้งสิ้น

ส่วนหุ้นที่ขาดทุนเละเทะที่สุด
จุดเริ่มลงมือซื้อ มันอยู่ในหุ้นประเภท
๒ B ไปแล้ว
ซื้อโดยไม่ยอมใช้เครื่องมือมาตรฐาน
ว่าด้วยพีอี พีบีวี เข้าไปวัด
กะจะวัดดวงกับแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัวของตลาดฯ
เลยเจ๊งเละเทะอยู่เพียงตัวเดียวอันเดียวโดด ฮาๆๆๆ

เมื่อวันศุกร์ผมต้อง ชอร์ตอเกนส์พอร์ด
เพราะเห็นลู่ทางการกินส่วนต่าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ
ผมยังไม่ทิ้งหุ้นตัวที่คุณแอนดี้พาดหัวผิด
เพราะว่า ผมยังจัดให้มันเป็นหุ้นประเภท

๑ A ที่อาจจะกลายเป็น ๑ B ได้
เมื่อไหร่ที่เริ่มออกอาการกลายเป็นหุ้น
๒ B ผมคงต้องพิจารณาทิ้งหมดพอร์ต
หาหุ้นตัวอื่นแทนครับ


เพื่อนๆสินธร
ลองกำหนดหุ้นที่ตัวเองถืออยู่
ให้อยู่ในหุ้นประเภทไหนดู
อาจจะได้แนวทางในการเล่นหุ้น

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งขอกำหนดเอาตามใจชอบ ฮาๆๆๆ

แมลงเม่าหุ้น
จะถือครองหุ้นที่เป็น
ขีดเส้นแดงอ่อนและแดงเข้มเป็นส่วนใหญ่
ถือครองหุ้นที่เป็นขีดเส้นเขียวอ่อนบ้างเล็กน้อย

มนุษย์หุ้น
จะถือครองหุ้นที่เป็นขีดเส้นเขียวอ่อน เป็นส่วนใหญ่
มีเขียวเข้มพอประมาณ
และมีแดงอ่อนและแดงเข้มไม่มากไปกว่า
แบบเขียวอ่อนและเขียวเข้มที่มีอยู่ในพอร์ต

ส่วนเซียนหุ้น
จะถือครองหุ้นที่เป็นขีดเส้นเขียวเกือบทั้งพอร์ต
จะถือครองหุ้นที่เป็นสีเขียวเข้ม
เส้นใหญ่ที่สุดเอาไว้เป็นจำนวนมาก
และมีสีแดงอ่อนและเข้ม บ้างเล็กน้อย

ลองนึกย้อนไปถึงหุ้น ทีทีเอดู
กลุ่มไทเก้น เขาเริ่มลงมือซื้อ
หุ้นประเภท ๓ B
จึงทำกำไรให้ตัวเองอย่างมหาศาล
มากเกือบร้อยเท่า(รวมวอร์แรนท์แจกฟรี ๒ รอบ)

สรุปแบบสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

หุ้นที่ทำให้คนเจ๊งเละเทะมากที่สุดคือ
หุ้น ๒ B
เริ่มลงมือซื้อในตำแหน่ง
ปัจจุบันดี -- -- -- -- -- >>>>>อนาคต แย่มาก

ส่วนหุ้นที่สามารถทำกำไรให้อย่างมหาศาลที่สุดคือ
หุ้น ๓ B
เริ่มลงมือซื้อในตำแหน่ง
ปัจจุบันแย่ -- -- -- -- >>>>>อนาคต ดีกว่าเดิมมาก



ขืนมีแต่หุ้น ๔ B
ไม่มีทางมานั่งเล่นเวปบอร์ดหุ้น แบบสบายอารมณ์หรอก


โพสผิดกระทู้หรือเปล่า คุณ hs9jls
คุยโขมงฯ อยู่ถัดลงไปหนึ่งคลิ๊กครับ ฮาๆๆๆๆ

เอาภาพประกอบให้ดูอีกภาพ
ใครคือแมลงเม่าหุ้น มนุษย์หุ้นและเซียนหุ้น
ลองถามตัวเองตามตรง

ผมขอยืนยันว่า
ถึงจะถือหุ้นตัวไหนไว้เต็มพอร์ต
ผมก็จะ "พยายาม" รับฟัง
ข้อมูลด้านร้ายๆของหุ้นตัวนั้นให้ได้
เพื่อจะได้ไม่ฟังความข้างที่พอร์ตต้องการได้ยินเท่านั้น
การฟังความที่พอร์ตต้องการได้ยินเท่านั้น

ผมเคยมีประสบการณ์มาแล้ว
มันจะทำให้หุ้นเปลี่ยนประเภทได้ในพริบตา
ลองนึกถึงหุ้นปั่นๆ ตอนนี้ดู



ลองดันเวลากลับลงไปครับ
จะสามารถวัดเครื่องมือมาตรฐานที่เราใช้อยู่ได้

ตั้งค่าให้ ตอนที่ซื้อ คือปัจจุบัน
ราคาหุ้น ตอนนี้ คืออนาคต
จะสามารถแยกแยะประเภทของหุ้นได้ครับ

ถ้าแยกแล้ว มีเส้นเขียวน้อยมากกว่าเส้นแดง
น่าจะต้องหาทางเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้อยู่
ถ้ายังมีเส้นเขียวมากกว่าเส้นแดง
ต่อยอดหาเครื่องมือใหม่ๆไม่ได้
ก็ต้องยอมใช้ต่อไป

"ไม่ใช่เพราะว่ามันดี
แต่เป็นเพราะว่า
มันเข้ากับความรู้ ความสามารถที่เรามีอยู่จริงๆ"

สำหรับพวกที่เล่นหุ้นด้วยกราฟ
ลองแยกประเภทหุ้น
ด้วยการตั้งค่าไปที่จุดซื้อตามกราฟให้เป็นปัจจุบัน
จะสามารถแยกได้เช่นกันว่า
เครืองมือของเราใช้ได้ผลหรือไม่เพียงไร




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 21:37:25 น.
Counter : 2037 Pageviews.  

แมลงเม่าหุ้น มนุษย์หุ้น เซียนหุ้น ในทัศนะของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งแบ่งคนเล่นหุ้น
แบบไม่เป็นทางการออกเป็น ๓ สปีชี่คือ

๑ แมลงเม่าหุ้น ๒ มนุษย์หุ้น ๓ เซียนหุ้น

ใครจะฉีกไปเป็นซับสปีชี่ไหน ก็ลองต่อยอดกันเอาเอง ฮาๆๆๆ

ถ้าตีความนักเล่นหุ้นสปีชี่ต่างๆ
ไปตามความโลภ และความรู้
จะได้หลักเกินดังนี้

๑ แมลงเม่าหุ้น

นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้ไม่ค่อยและไม่ยอม
จำกัดโลภให้สมดุลกับความรู้ที่ไม่ค่อยมี
แต่มักจะเข้าข้างตัวเองว่า
"มี....... หรือถึงไม่มี ก็เล่นหุ้นได้"
เพราะหุ้นเป็นการพนัน

ความจริงก็คือ ต่อให้หุ้นเป็นการพนัน
และตลาดหลักทรัพย์เป็นบ่อนถูกกฏหมาย
ไพ่ที่บ่อนนี้เอามาเล่นกัน
ก็มักจะแพ้ชนะกันด้วยการวัดใจ
ไม่ใช่วัดดวง

ลองนึกดูดีๆ
" ถ้าบ่อนนี้ไม่มีการโกง" (ซึ่งมันไม่จริง ฮาๆๆ)
แทงกอง ต่างจากเก้าเก โป๊กเกอร์อย่างไร?

ที่ต่างกันเห็นๆก็คือ
แทงกองไม่สามารถเปลี่ยนผลแพ้ชนะ
ด้วยพลังใจและพลังเงิน
แต่เก้าเกกับโป๊กเกอร์สามารถเปลี่ยนผลแพ้ชนะ
ด้วยการวัดพลังใจและพลังเงิน

ดังนั้น ต่อให้เราฟลุ๊กได้ไพ่สูงสุดของเก้าเก หรือโป๊กเกอร์
ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะรวยได้ในพริบตาจากไพ่ฟลุ๊กชุดนั้น
เพราะถึงไพ่ดีที่สุดอยู่ในมือเรา
แต่คู่ต่อสู้ดันอ่านใจออก จากสีหน้าหรือการเก
เขาก็หมอบ รอเล่นตาใหม่ต่อไป ฮาๆๆๆๆ

ความคิดแบบที่ว่า หุ้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้
ไม่จำเป็นต้องมีวิธีการเล่นหรือที่เขาเรียกว่าเทรดโมเดล?
จะแพร่กระจายอย่างแพร่หลาย
ในตลาดหุ้นที่เริ่มเป็นขาขึ้นแบบยาวๆ
และรายย่อยแบบแมลงเม่าหุ้น
จะพาเชื่อกันความคิดนี้มากที่สุด

"ในช่วงตลาดหุ้นฯขึ้นถึงจุดสูงสุดพอดี"

ผลจากการไม่ยอมจำกัดปริมาณความโลภ
ให้สมดุลกับปริมาณความรู้
แมลงเม่าหุ้นจึงมักจะเป็น
"เซียนหุ้นในตลาดขาขึ้น"
ประเภทแทงตัวไหน ก็ถูกทุกตัว
เพราะว่าในตลาดหุ้นขาขึ้น
เงินหมุนเวียนที่ถูกใส่เข้าไปในตลาดหุ้น
ทั้งจากต่างชาติ กองทุน และรายย่อย
จะเป็นตัวชี้ขาดราคาหุ้นทุกตัวที่มีสภาพคล่องคอ
โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงปัจจับพื้นฐานแม้แต่นิดเดียว

ความจริงที่เซียนหุ้นและมนุษย์หุ้นรู้
แต่แมลงเม่าหุ้นไม่ค่อยอยากรับรู้ก็คือ
หุ้นทุกตัวในตลาดฯ
สามารถขึ้นได้อย่างไร้เหตุผลด้วยประการทั้งปวง
ถ้าปริมาณเงินมากๆถูกอัดเข้าไปในหุ้นตัวนั้น

๒ มนุษย์หุ้น

นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้ จะต้องพยายาม
จำกัดปริมาณความโลภให้สมดุลกับความรู้ที่มีอยู่จริงๆให้ได้
มนุษย์หุ้นก็จะเริ่มจำจัดปริมาณความโลภอย่างระมัดระวัง
เมื่อคิดว่าหุ้นขึ้นอย่างไร้เหตุผลในสามัญสำนึกของตัวเอง

และเริ่มปลดล็อกปริมาณความโลภเข้าตลาดหุ้นฯ
เมื่อคิดว่าหุ้นลงอย่างไร้เหตุผล

ของผมมีวิธีจำกัดปริมาณความโลภให้สมดุลกับความรู้ที่มีอยู่
ด้วยการทำคลายเครียดเรโช
ที่สำคัญที่สุดคือ คลายเครียดเรโชระดับมหภาค
มันสำคัญกว่าระดับจุลภาคอีก
เพราะมันทำให้ผมสามารถอยู่ในตลาด
ในฐานะมนุษย์หุ้นได้ไปจนตายแน่ๆ

//topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I2526480/I2526480.html

มนุษย์หุ้นจะต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่า
มีความสามารถเพียงแค่ไหน
แล้วก็เล่นเท่าที่ความสามารถมีอยู่จริงๆ
ไม่ทึกทักเอาว่า ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไร
ก็สามารถเล่นหุ้นให้ได้เงิน
ซึ่งในตลาดขาขึ้นแบบสมบูรณ์แบบ มันเป็นเช่นนี้นจริงๆ

ถ้าใครอ่านที่ผมโพสมาเรื่อยๆ
จะรู้ดีว่า ผมมีความรู้เรื่องหุ้นน้อยมากๆ
โดยเฉพาะความรู้เรื่องหุ้นแบบเป็นวิชาการ
ไม่ว่าปัจจัยเท็คนิคหรือว่าปัจจัยพื้นฐาน
ใครถามหุ้นที่ผมไม่ได้ถืออยู่
หรือต่อให้เป็นหุ้นที่ผมถืออยู่
ถ้าทำคลายเครียดเรโชไปแล้ว
ผมก็ยังรู้น้อยอีกเช่นกัน

ยิ่งใครมาถามหุ้นที่ผมไม่เคยเล่น
ผมมักจะตอบไม่ได้เลย
เพราะไม่ได้มีความรู้อย่างแท้จริงในหุ้นตัวนั้น ฮาๆๆๆ

๓ เซียนหุ้น

นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
"ไม่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณความโลภ"

คนที่รู้ซึ้งตลาดฯอย่างทะลุปรุโปร่ง
และฝึกปรือพลังจิตจนรับได้กับทุกสภาพของตลาด
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนๆ
คนนั่นแหละคือเซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง

ผมเชื่อมั่นที่สุดว่า
ไม่มีเซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริงแม้แต่คนเดียว
ที่คิดว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน

"ที่แพ้ชนะกันด้วยการเล่นไพ่กันแบบวัดดวง"

ทีนี้ ถ้าแบ่งสปีชี่นักเล่นหุ้น
ไปตามเครื่องมือที่ใช้เล่นหุ้น
และวัดผลลัพธ์ของเครื่องมือที่ใช้
จะได้ดังนี้

๑ แมลงเม่าหุ้น

นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
ใน ๑๐ คน จะมีเครื่องมือมาตรฐาน
ในการเล่นหุ้น ไม่ถึง ๒ คน

และอีก ๘ คนที่เหลือจะใช้เครื่องมือ
แบบไม่มีมาตรฐาน และง่ายที่สุดคือ
เล่นตามมาร์เก็ตติ้ง ตามเพื่อน
เล่นตามนักวิเคราะห์ตามสื่อแบบไม่มีการคิดเอาเอง
เล่นตามข่าววงในตามห้องค้า มือถือ และเวปบอร์ดหุ้น

และลักษณะเด่นของแมลงเม่าหุ้น
มักจะชอบเล่น "เล่นหุ้นแบบเสี่ยงดวง"

สำหรับแมลงเม่าหุ้นอีก ๒ คน
พร้อมจะอัพเกรดขึ้นไปเป็นมนุษย์หุ้นได้สบายมาก
เพราะมีเครื่องมือมาตรฐานอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องมือนั้น
ทั้งๆที่มันผิดพลาดซ้ำซาก

นักลงทุนในสปีชี่แมลงเม่าหุ้น
ไม่ว่าจะมีเครื่องมือมาตรฐานหรือไม่ก็ตาม

ลงทุน ๑๐ ครั้ง
จะได้ ๑ - ๔ ครั้ง เสีย ๙ - ๖ ครั้ง
ถ้าเสียทั้ง ๑๐ ครั้ง ไปขายเต้าฮวยดีกว่า

๒ มนุษย์หุ้น

มนุษย์หุ้นทุกคนจะต้องมีเครื่องมือมาตรฐานประจำตัว
ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง
เป็นเครื่องมือแบบง่ายๆ
เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป
แม้แต่ข่าววงใน มนุษย์หุ้นก็จะเอามาเล่นแบบรู้เท่าทันว่า
ตลาดหุ้นไม่ใช่องค์การกุศล จะได้มีคนเอาเงินมาแจก
มนุษย์หุ้นจะใช้ข่าววงใน

"เป็นเครื่องมือในการเล่นหุ้น"

ในขณะที่ แมลงเม่าหุ้น

"จะตกเป็นเครื่องมือของข่าววงใน จนโดนหุ้นเล่น"

มนุษย์หุ้นจะยอมประเมินตัวเองว่า
เครื่องมือที่ใช้อยู่ ยังได้ผลหรือไม่
ถ้าเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้มานานๆแล้ว
ยังได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
และไม่สามารถต่อยอดหาเครื่องมือแบบใหม่ๆได้
ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเดิมไปเรื่อยๆ

"เพราะมันยังทำให้ได้ มากกว่าเสีย"

มนุษย์หุ้นจะไม่ข้ามเส้นไปเล่นหุ้นในแนวทางที่ตัวเองไม่ถนัด
โดยไม่มีเครื่องมือใหม่ๆมาเพิ่มเติมเครื่องมือเดิม

สำหรับตัวผมเอง
เครื่องมือที่ผมใช้เล่นหุ้น
จะอ้างอิงกับผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ
ตอนนี้ต่อยอดเพิ่มด้วยหลักสมเกินตามภาพประกอบ

ผลลัพธ์ของการเล่นหุ้นของมนุษย์หุ้น

เล่นหุ้น ๑๐ ครั้ง
จะได้ ๕ - ๗ ครั้ง
เสีย ๕ - ๓ ครั้ง
ระดับสูงสุดของนักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
ผมให้ได้แค่ได้ ๗ ใน ๑๐ ครั้ง
ถ้าเกินกว่านั้นถือว่าเป็นเซียนหุ้น
เอ๊ะ งั้นผมก็จัดอยู่ในสปีชี่มนุษย์หุ้น ฮาๆๆๆๆ

๓ เซียนหุ้น

เซียนหุ้นต้องมือเครื่องมือประจำตัว
ที่ไม่ยอมบอกให้ใครรู้ตามสื่อมวลชน
ไอ้ที่บอกให้รู้ ก็บอกแบบคูณสิบหารด้วยร้อย ฮาๆๆๆ

ผลลัพธ์จากการใช้เครื่องมือของเซียนหุ้น
เล่นหุ้น ๑๐ ครั้ง

ได้ ๘ - ๙ ครั้ง
เสีย ๒ - ๑ ครั้ง
ถ้าลงทุน ๑๐ ครั้งได้ทั้ง ๑๐ ครั้ง
ผมว่าอย่าอยู่เป็นเซียนหุ้นเลย
ไปเล่นหวยรุ่งกว่าเยอะ ฮาๆๆๆๆๆ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 21:19:23 น.
Counter : 1072 Pageviews.  

1  2  3  4  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.