"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 

บทคัดยืด เรื่องการตั้งนาฬิกาหุ้นตามแนวคิดของสำนักมวยวัด (Temple Boxing School)

มุมศาลาวัด ริมน้ำ

เป็นตำรา จาก...เฮียคลายเครียด
ที่คัดลอกมาเก็บไว้เป็นทางเลือกในการลงทุน
ก่อนที่วันเวลา จะพัดพาหายไปกับสายลม
เป็นบันทึกชีวิตนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง


Arrow ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า..
มิได้มีเจตนา จะล่วงเกินความคิดผู้อื่น
หรือชี้แนะในทางที่ผิด ทุกบทความเป็นเพียงข้อเขียน
แง่คิด มุมมอง ที่เก็บไว้นี้เพียงไว้อ่านแบบยามว่าง...

--------------------------------------------------

Abstract on Stock Timer according to TBS Conceit oop! Concept

ตั้งภาษาปะกิตแบบพี่แอนดรู บิ๊กส์ส่ายหน้า
เผื่อพี่บั๊กสีดาจะหลงเข้ามาอ่าน
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนภาษาไทยที่คิดจะตั้งกระทู้คือ

บทคัดยืด เรื่องการตั้งนาฬิกาหุ้นตามแนวคิดของสำนักมวยวัด
(Temple Boxing School)


เขียนโดย คลายเครียด

จากผลการวิจัยพื้นกระทู้ข้างต้นได้ความว่า
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่ตั้งนาฬิกาของตัวเอง
ไว้ช้ากว่าเวลามาตรฐาน

ถ้างั้น ทำไมเวลาเล่นหุ้น
เราจึงไม่สามารถตั้งนาฬิกาหุ้นของเรา
ให้เดินได้เร็ว หรือเดินเท่ากับนาฬิกาหุ้นมาตรฐาน
คำตอบแบบกำปั้นทุบหุ้นอิสเทิร์นไวร์คือ

ไม่เคยมีนาฬิกาหุ้นที่เป็นมาตรฐานในตลาดหุ้น

นาฬิกาหุ้นทุกเรือนในตลาดหุ้น
ตั้งตามมาตรฐานของเจ้ามือ

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง (Temple Boxing School)
ได้ตั้งหลักเกินไว้สองข้อเกี่ยวกับนาฬิกาหุ้นคือ

๑ ราคาหุ้น

สำนักของเราเชื่อว่า
ราคาหุ้นคือผลลัพธ์จากการปรับสมดุล
ระหว่างอำนาจซื้อของเงิน กับอำนาจขายของหุ้น

๒ เจ้ามือ

สำนักเราเชื่อว่า เจ้ามือคือ
บุคคลหรือคณะบุคคล ที่ครอบครอง
เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง
หรือครอบครอง
หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง
ดังนั้นนาฬิกาหุ้นจึงมีเวลามาตรฐานเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
แล้วแต่ว่าเจ้ามือด้านไหนมีแรงปะทะมากกว่า
แต่นาฬิกาหุ้นที่เดินได้มาตรฐานมากที่สุดก็คือ
นาฬิกาหุ้นที่ตั้งโดย
เจ้ามือที่ครอบครองทั้ง
เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง
และ หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง

นอกจากเงื่อนไขข้างต้นแล้ว
สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งเขื่อว่า
ไม่เคยมีนาฬิกาหุ้นเรือนไหนเดินได้ตรงตามมาตรฐาน
แม้แต่นาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ
ที่ครอบครองเพียงอำนาจด้านใดด้านเดียวเท่านั้น ฮาๆๆๆ

มีวิธีใดที่เราจะตั้งนาฬิกาหุ้นของเรา
ให้เดินได้เร็วกว่า
หรือเดินได้เที่ยงตรงเท่ากับนาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ

คำตอบก็คือ
ไม่มีวิธีไหนที่ได้ผลแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์
เราต้องกำหนดนาฬิกาหุ้นประจำชีวิตของเราขึ้นมาเอง

ตั้งขึ้นมาเอง แล้วลองใช้วัดดู
ถ้ามันเดินเร็วหรือเดินเท่านาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ

"ได้บ่อยๆ"

ก็แสดงว่า เรามีวิธีตั้งเวลานาฬิกาหุ้นที่มีประสิทธิภาพมาก
สามารถแปลงร่างจากแมลงเม่าหุ้นกลายเป็นมนุษย์หุ้นได้แล้ว
วิธีการตั้งนาฬิกาหุ้นประจำตัว
ให้เดินเร็วกว่า เดินเร็วเท่านาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ

ตามหลักเกินของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง
เชื่อว่า
"คนเรามันเชี่ยวผิดกันเว้ยไอ้ศร
ทางใครก็ทางมันซิวะ"

สำนักของเราจัดให้ท่านเป็นนักลงทุนแนวต่างๆ
ตามวิธีการตั้งเวลานาฬิกาจริงในชีวิตประจำวันดังนี้

๑ นักลงทุนแนว vi (value investor)
ในชีวิตจริงชอบใส่นาฬิกาอนาล็อก
เพื่อดูทั่วทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

มักจะมองราคาหุ้นผ่านแรงกรรม
จากผลประกอบการบริษัทและเศรษฐกิจ

นักลงทุนแนววีไอ
มักจะเป็นนักลงทุนที่ชอบตั้งนาฬิกาหุ้นให้เดินเร็วกว่า
นาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ ด้วยการมองไปที่ผลประกอบการในอนาคต
หรือมองผลประกอบการในปัจจุบัน
แล้วเดา เอ๊ยวิเคราะห์อนาคต
บ่อยครั้งที่นักตั้งนาฬิกาหุ้นแนวทางนี้จะเจ๊ง
เพราะว่าแทนที่จะตั้งตามแนวคิดตัวเอง
ดันไปตั้งตามนาฬิกาหุ้นของน้องมะนาว
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า

๒ นักลงทุนแนว vs (Value Speculator)
จำได้ว่า คุณอยากเชือกเป็นคนบัญญัติคำนี้ขึ้นมา

นักลงทุนแนวทางนี้
จะมองราคาหุ้นผ่านผลลัพธ์โดยตรงของแรงปะทะ
ระหว่างอำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
ผ่านวิชาสถิติ ว่าด้วยความน่าจะเป็น

สำนักเราจัดให้นักเล่นหุ้นแนวทางนี้
เป็นคนที่ตั้งนาฬิกาประจำชีวิตไว้ตรงตามเวลามาตรฐาน
และชอบใส่นาฬิกาดิจิตอล ที่ให้ความสำคัญเฉพาะปัจจุบัน

เวลาเล่นหุ้นก็จะเป็น
นักเล่นหุ้นที่ตั้งนาฬิกาหุ้นตรงตามนาฬิกาหุ้นของเจ้ามือ
นักเล่นหุ้นแนววีเอส
จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงนาฬิกาหุ้นของเจ้ามือมากๆ
คนที่จับการเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาหุ้นเจ้ามือได้แล้ว
เท่าที่ผมเล่นพวก เอ๊ยจำได้ก็คือ

พระอาจารย์เผ่น วัดพันลี้
พี่เสี่ยกาเบรียล
พี่แอนดี
พี่เด่นศรี
นักเล่นหุ้นแนวทางนี้มักจะเจ๊งก็เพราะว่า
ตั้งตรงตามเวลาก็จริง
แต่นาฬิกาตัวเองมันเจ๊งไปตั้งนานแล้ว
ไม่ยอมเปลี่ยนซะที
ดันทุรังใช้แต่เรือนเดิมอยู่ได้
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

๓ นักลงทุนแนว vsop
(Value Surfing by Openminded Pragmatic)
พวกนี้จะไม่แก่ตำรา เหมือนพวก dogmatic

ในชีวิตจริง นักลงทุนแนวทางนี้
มักจะตั้งเวลาแบบผสมผสานคือ
เร็วก็ได้ ตรงเวลาก็ดี
และเลือกใส่ได้ทั้งนาฬิกาอนาล็อกและดิจิตอล
พวกวีเอสโอพีจะไม่เคยตั้งเวลานาฬิกา
ช้าแม้แต่ครั้งเดียว
โดยเฉพาะเวลาที่มีนัดกับกิ๊ก ฮาๆๆๆ

หลักเกินที่สำคัญของสำนักนี้คือ
แมว จะดำจะขาวไม่สำคัญ
สำคัญที่ว่า น้องแมวเธอสวย หมวยและอึ๋มหรือเปล่า ฮาๆๆๆ

ดังนั้นหลักการอะไรที่เห็นว่าใช้แล้วได้ผลบ่อยๆ
พี่แกเอาหมดทุกอย่าง แม้แต่โยนหัวโยนก้อยก็เอา ฮาๆๆ

ตัวแทนของสำนักวีเอสโอพีที่เห็นเด่นชัดในตอนนี้คือ
คุณ.......
ผู้พันซิกกี้
พี่เสี่ยคัดท้าย
ผู้กองเตวี่
พี่เสียฟิชชี่ ???
ฯลฯ

สรุปแล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นนักเล่นหุ้นแนวทางไหน
ตั้งเวลาให้ดีแค่ไหน ได้มาตรฐานตามเจ้ามือเพียงไร
ลงท้าย ก็เจ๊งได้ทั้งนั้นแหละ
นึกว่า ตั้งเร็วกับตั้งตรงกับเวลามาตรฐานของเจ้ามือแล้ว

ที่ไหนได้

เจ้ามือท่านเล่นตั้งเวลาตามมาตรฐานของ

ฮ่องกงและญี่ปุ่น

ภาพประกอบในกระทู้
ตัวเลขชุดที่สอง
ผมตัดแปะตัวเลขผิดครับ
hahahahahaha

ที่ถูกต้องคือภาพนี้ครับ

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งถือว่า

ราคาหุ้นคือ
ผลลัพธ์จากการปรับสมดุล
ระหว่างแรงปะทะของอำนาจซื้อของเงิน และ อำนาจขายของหุ้นครับ
ซึ่งจะต้องลงตัวที่ 1 เสมอๆ



คุณตั้งนาฬิกาไว้ตามเวลามาตรฐานหรือไม่.......

เอาเป็นว่า ถ้าเทียบกับเวลามาตรฐาน
เคารพธงชาติของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
คุณตั้งนาฬิกาไว้อย่างไร

๑ ช้ากว่าเวลามาตรฐาน
ค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครตั้งช้ากว่าแน่นอน

๒ เท่ากับเวลามาตรฐาน

๓. เร็วกว่าเวลามาตรฐาน
คิดว่า มีคนเป็นจำนวนมาก
ตั้งเวลานาฬิกาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ไว้เร็วกว่าเวลามาตรฐาน เพื่อบริหารความเสี่ยงเรื่องเวลา
ของผมมักจะตั้งให้เร็วกว่าเวลามาตรฐาน
ประมาณ สิบนาที
อยากอ่านความเห็นของท่านอื่นๆๆ ครับ

นาฬิกาในภาพหยุดเดินมาสิบปีได้แล้ว
จำไม่ได้แล้วว่า มันหยุดเดินตอนกลางวันหรือกลางคืน
ตอนนั้น พ่อจะตั้งไว้เร็วกว่าเวลามาตรฐานถึง สิบห้านาที

ในความเห็นของท่าน คิดว่า"ราคาหุ้น"คืออะไร
สำหรับ สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

ราคาหุ้นคือ
ผลลัพธ์หรือสมดุลที่เกิดจาก
แรงปะทะระหว่าง
อำนาจซื้อของเงิน
และ
อำนาจขายของหุ้น
ราคาหุ้นคือตัวปรับสมดุลของอำนาจทั้งสองฝ่ายให้เข้าที่

ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
จะลดอำนาจซื้อของเงิน
และเพิ่มอำนาจขายของหุ้น

ราคาหุ้นที่ลดลง
จะเพิ่มอำนาจซื้อของเงิน
และลดอำนาจขายของหุ้น

และตัวชี้ขาดราคาหุ้นที่แท้จริงก็คือ
ปริมาณเงินที่จะเข้าไปหมุนเวียนอยู่ในหุ้นตัวนั้นๆ
ส่วนปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนมีอำนาจจำกัดแค่
จำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัทเท่านั้น

ขอมั่ว เอ๊ยโพสแค่นี้ก่อน
มีคนมายืนท้าวสะเอวรอแล้ว ฮาๆๆๆ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 21:14:05 น.
Counter : 929 Pageviews.  

โง่หรือฉลาด หุ้นจะดีหรือจะเน่า คงแล้วแต่มุมมอง

เมื่อเย็นวาน ผมพาคนใกล้ตัวกับลูก
ไปแวะกินข้าวที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
ก่อนไปบ้านพ่อแม่
ภายในห้าง
แฟชั่นอุ้มหมาบักสีดาก็ยังคงมีอยู่ประปราย
ทั้งๆที่ทางห้างประกาศห้ามแล้ว
อยู่ๆ ระหว่างเดินสวนทางกับคนอุ้มหมาบักสีดา
ลูกชายก็เอ่ยขึ้นว่า
"หมาโง่"
ผมเลยถามว่า
"ทำไมถึงว่ามันโง่"
ลูกชายตอบแบบมองต่างมุมกัน
"มันโง่เพราะยอมทำตามใจคนอื่น"
เออ มาคิดๆดู
ตัวผมเอง
คิดว่าหมาฉลาด เพราะมันทำตามที่เราต้องการได้
แต่ลูกกลับคิดว่า

"การทำตามที่คนอื่นต้องการคือความโง่
ไม่เป็นตัวของตัวเอง"

สรุปแล้ว โง่หรือฉลาด หุ้นดีหรือหุ้นเน่า
มันก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน
ว่ามองจาก มุมมองไหน
จบดื้อๆแค่นี้แหละครับ
ต่อยอดไม่ออก
วานพี่'จารย์ทั้งหลายในห้องสินธร
ช่วยต่อยอดให้หน่อย

ถ้าเทียบจากมุมมองของลูกชาย
หมาในภาพก็เป็นหมาฉลาด
เพราะมันไม่เคยทำตามที่เจ้านายต้องการ ฮาๆๆๆ

endophine - [ 13 พ.ค. 48 09:49:26 ]

ตอนนี่ผมเรียนที่เนติบัณฑิตยสภา
มีท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง
ท่านสอนศิษย์ว่า "บางทีคนเราต้องโง่ซะบ้าง ไม่งั้นเป็นใหญ่ไม่ได้"


สรุปแล้ว โง่หรือฉลาด หุ้นดีหรือหุ้นเน่า
มันก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน
ว่ามองจาก มุมมองไหน(จริงๆนั่นแหละครับ)


ผมก๊อบมาดื้อๆงี้หละครับ
ต่อยอดไม่ออกครับ

จากคุณ : ทวนลมเรโช - [ 13 พ.ค. 48 10:33:11 ]

โยงเรื่องหุ้น
บางทีโง่ก็ดีกว่า
ถ้าเราไม่รู้จริง และหาความรู้ ฟังจากผู้อื่นอย่างชาญฉลาด
เลือกคนที่จะปรึกษาและไม่เชื่อทุกสิ่ง แยกข้อเท็จจริงออก
จากเรื่องเพ้อฝัน


ปีเตอร์ลินท์
"เงินโง่จะโง่จริงๆเฉพาะต่อเมื่อไปฟังเงินฉลาด"
สรุปว่าเงินโง่(นักลงทุนทั่วไป) ถ้าไปฟังผู้เชี่ยวชาญใน
ตลาด(เงินฉลาด) ก็จะโง่จริงๆ

555 ดูๆแล้ว ที่ปีเตอร์ลินท์ว่า
จะเข้าเคส ลูกของเฮีย แฮะ

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 13 พ.ค. 48 10:38:29 ]

ใครฉลาดใครโง่ อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนครับ
IQ ของคนทั่วๆไปก็พอกันครับไม่แตกต่างกันมาก
ดังนั้นขึ้นอยู่กับจังหวะและการตัดสินใจ ที่สำคัญ
อยู่อย่างมีความสุขให้ได้ในโลกใบนี้ครับถึงจะเป็น
คนมีความสุขที่แท้จริง ใจ ครับ จิตใจสำคัญสุด

จากคุณ : คนเพลง - [ 13 พ.ค. 48 11:32:53 ]

ฮาๆๆๆ
ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่การอุ้มหมา
แต่อยู่ที่

"เราให้ค่าความฉลาดของหมา
จากการที่มันทำตามที่เราต้องการและสั่งมันได้
ก็เลยไม่รู้ว่าหมาโง่หรือฉลาดแน่
ที่ต้องคอยทำตามคนสั่ง"

เวลาเห็นนกโบยบินทีไร
ภรรยาผมจะบอกว่าอิจฉานก
บินไปไหนมาไหนได้ตามสบาย
ผมมักจะแย้งว่า
จะไปอิจฉามันทำไม
ใครจะไปรู้ได้
นกก็อาจจะอิจฉาคน
ที่เดินไปไหนมาไหนได้ตามสบาย
แทนที่จะต้องบินให้เหนื่อยแรง

สรุปแล้ว
"สิ่งมีชีวิตทุกชนิด
มีวิถีชีวิตของตัวเอง
อย่าเอาความคิดของเรา
ไปใส่ให้กับความคิดของเขา" ฮาๆๆๆๆ

จากคุณ : endophine - [ 13 พ.ค. 48 11:37:06 ]

ท่านจขกท การที่ของสิ่งเดียวกันนั้น
คนเราอาจจะมองได้มากกว่า 1 มุมมอง
แต่ละมุมมองจะมีเหตุผลการมองที่แตกต่างกันไปหมด
แล้วแต่เหตุผลที่จะรอรับ
เช่นในกรณีนี้อาจจะเป็น หมาตัวนี้ไม่ดื้อเลย น่าเลี้ยงจังเลย
หมาตัวนี้น่ารักจังเลย หมาตัวนี้ดูไม่ค่อยแข็งแรงนอนหลับทั้งวัน มันแล้วแต่สมองแต่ละคนจะตีความ

เปรียบได้เหมือนกับการเลือกซื้อหุ้น บ้างคนซื้อบ้างคนขายในหุ้นตัวเดียวกัน ในปัจจัยและเหตุผลที่ต่างกัน
เช่น ขายเพราะมีคนยุให้ขาย ขายเพราะพื้นฐานมันเปลี่ยน ขายเพราะต้องการใช้เงิน ซื้อเพราะผลกำไรดี ซื้อเพราะเทคนิคมันบอกให้ลุยได้แล้ว เป็นต้น
มันน่าๆๆจิตตัง

จากคุณ : Myth&Miracle - [ 13 พ.ค. 48 12:03:30 ]

ผู้ฉลาดจะไม่ตัดสินผู้อื่นหรือตัวอื่นว่าโง่เพียงแค่เดินผ่านแวพเดียว...มันอาจจะแกล้งโง่เพื่อผลประโยชน์แอบแฝง เมื่อถึงเวลาแล้วอาจรู้ว่าใครโง่กว่า...ให้ลูกดูหนังจีนเรื่อง3ก๊ก จะเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น

จากคุณ : goodboy.ok - [ 13 พ.ค. 48 11:59:31 ]

ขอบคุณที่แนะนำให้ดูสามก๊กครับ
แต่ดูสามก๊กแล้วทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือ
ผมมีความเห็นว่าสามก๊ก
เป็นเรื่องแต่งของหลอกว้านจง ????
พี่หลอจะแต่งยังไงก็ได้

ถ้าเป็นเรื่องจริง
มีหรือสุมาอี้จะยอมถอยทัพ
เพียงเพราะเห็นขงเบ้งนั่งตีขิมบนกำแพง
สุมาอี้ในประวัติศาสตร์จริง
ต้องสั่งกองกำลังย่อยส่วนหน้าบุกเข้าไปจับตัวขงเบ้งครับ
ไม่เห็นจำเป็นต้องเผ่นพันลี้ในทันทีเลย

จากคุณ : endophine - [ 13 พ.ค. 48 12:21:27 ]

ถ้าไม่เชื่อเรื่อง 3 ก๊ก ให้ลูกอ่านพุทธประวัติก็ได้ครับ จะได้รับรู้ชีวิตที่แท้จริง บางทีมันยิ่งกว่านิยาย 55555

จากคุณ : goodboy.ok - [ 13 พ.ค. 48 12:38:51 ]

ผมว่าไอเดีย ของเฮียเรื่องสามก๊ก เนี่ยถ้าจะจริง
เพราะขนาดคนเรา
ถ้ามีเรื่องอะไรไปเล่าให้คนอื่นฟัง

ส่วนใหญ่ก็เปลียนแปลง เพิ่มเรื่องให้เข้าข้างตัวเองซะ
เช่นเรื่องมีอยู่ 100% ก็เล่าไปซะ 150%
คนทั่วไปก็ยังงี้


มีการ์ตูนอยู่เล่มคือ
หงสาจอมราชัน มองมุมที่เด็ดขาดว่าประวัติศาสตร์
ไม่ได้เล่าว่า
จอมทัพผู้เกรียงไกร ผู้ยอมฆ่าบิดาเพื่อสวามิภักดิ์
ตั๋งโต๊ะ นั่นรบเก่งมาก และไร้พ่ายแบบเล่มอื่นๆ

แต่เขียนในมุมว่า ที่เก่ง และไร้พ่าย
นั้นอาจมีตัวตายตัวแทนไว้หลายคน
รบชนะก็ใช้ชื่อนี้ข่ม ขวัญ ศัตรูก็กลัว

ปรากฏตัวได้หลายที่ เร็วดุจวายุ
(ก็ไม่มีใครรู้ว่ามีหลายคน แล้วก็ไม่เคยมีใครรู้จักหน้าตัวจริง)
แล้วก็ ให้ความสำคัญเรื่องม้าวิเศษบ้างๆ
ดาบวิเศษบ้าง เติมไปเรื่อย

จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 13 พ.ค. 48 12:47:54 ]

ฮืม..

แสดงว่าหมาบ้านลุงผม(ข้างบ้าน) มันฉลาด

เพราะว่ามันไม่เชื่อผม

แถมกัดผมอีกตังหาก

ผมเลยต้องฉีดวัคซินป้องกันพิษสุนัขบ้า ไป 5 เข็ม (ซวยเลย)

5555

วกเข้าเรื่องหุ้น

ผมเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อใครอยู่แล้ว (แสดงว่าผม ฉ...) 5555

พูดเล่น

ผมมักจะไม่เชื่อใคร หมายถึง บรรดากูรู ทั้งหลาย

ฟังบทวิเคาะ แต่ละคน แล้วต้องหัวเราะ

(แต่คนเก่ง ก็มีนะ ไม่แย่ทั้งหมดหรอก)

เอาเป็นว่า คนเราต้องตัดสินใจเอง นั่นแหละ ดีที่สุด

เอาข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด มาพิจารณาเอง

ถ้าไม่รู้ ก็ต้องถามผู้รู้ หลายๆคน เอามาเปรียบเทียบ

ว่ามั๊ย

จากคุณ : S-sung - [ 13 พ.ค. 48 12:58:40 ]

โง่หลอก โง่จริง

เสแสร้งโง่ หรือ โง่เพราะไม่รู้

"เวลา" ก็ทำให้มุมมองเรื่องความโง่เปลี่ยนแปลงเป็นฉลาดได้น่ะครับ

อย่างตำรวจคนนึงเมื่อก่อนถูกมองว่าบ้า โง่ แต่พอเวลาเปลี่ยนไปเกือบยี่สิบปีเขาได้รับการนับถือว่าเป็นคนดี ไม่บ้า ไม่โง่ แต่สร้างประโยชน์มหาศาลกับสังคม

โทษทีครับที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นเลย

แหะๆ ... นายครับหิวข้าวแล้วครับ ...

จากคุณ : roadtrip - [ 13 พ.ค. 48 13:48:10 ]

น้องหมาที่ยินยอมทำตามคำสั่ง..ผมว่าฉลาดครับ

ส่วนที่ไม่ยอมทำตาม..เข้าใจว่าดื้อซะมากกว่า..ไม่น่าจะฉลาด (ไม่น่าจะเกี่ยวกับโง่ด้วย)

เพราะว่าเมื่อเค๊ายอมทำตาม เค๊าจะได้รางวัลครับ

อิ อิ ที่จริงโง่ หรือ ฉลาด ผมว่าแค่หลังชนกัน

อยู่ที่เป้าหมายในใจละครับ

จากคุณ : ธราธิป - [ 13 พ.ค. 48 13:52:36 ]

ส่วนมากใครๆก็ชอบเลี้ยงหมาตั้งแต่ยังเล็กๆเพื่อฝึกสอนให้ฉลาด
ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงด้วยว่ามีกระบวนการอบรมเลี้ยงดูอย่างไร
ขยันฝึกบ่อยๆหมาที่เลี้ยงก็จะจำและทำตาม

หากเจ้าของขี้เกียจ ผลออกมาก็ได้เจ้าหมาน่อยธรรมดาๆที่ขี้เกียจด้วย
สัญชาตญาณของหมาจะว่องไวและฉลาดอยู่แล้ว เรียนรู้ได้ง่ายเพราะความจำดี

เลี้ยงด้วยรางวัลก็ทำเพื่อรางวัล ถ้าเลี้ยงด้วยใจรักเค๊าก็เรียบร้อยคลอเคลียเอาใจ
บางตัวเจ้าของดุด่า เค๊าก็ชิน เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างนั้น เป็นความผูกพัน ถึงร้ายก็รักไม่ไปไหน

ความคิดของคนเลี้ยงหมา เจอบางตัวดื้อ เจ้าของสั่งไม่ทำตาม จึงต้องถูกขังถูกปล่อยไม่เลี้ยงเลยก็มี
มองในมุมของหมา ว่าหยิ่ง เรื่องอะไรต้องทำตาม แปลว่า หมาฉลาด มีความคิดที่จะต่อต้าน
ขึ้นอยู่กับใจด้วยว่าตั้งใจเลี้ยงแบบไหน?

หุ้นบางตัวซื้อเพราะเคยทำกำไร ภาพเก่าๆเลยเชิญชวน
พอซื้อมาก็ไม่ได้อย่างที่หวัง อยากทิ้งก็เสียไปแล้วทั้งต้นทั้งดอก เลยตามเลยได้หุ้นเน่ามาเป็นภาระ
หุ้นดีก็ดีวันดีคืน แถมออกดอกผลให้เชยชม มีลูกเต้าให้ย่ายายเลี้ยงต่ออีก อย่างนี้น่าเลี้ยงเป็นที่ชื่นชม

จากคุณ : สุเกียง - [ 13 พ.ค. 48 14:26:14 ]

ขอบคุณพี่'จารย์ทุกท่านที่ช่วยต่อยอดครับ
คิดๆไป
บางทีเรายอมให้คนอื่นว่าเราโง่
แต่ตัวเราเองมีความสุข
ยังดีกว่าให้คนอื่นคิดว่าเราฉลาด
แต่ตัวเราเองกลับมีความทุกข์
ผมเจอคนเรียนเก่งหลายคน
ชีวิตมีแต่ความทุกข์
เพราะหลงติดกับความฉลาดของตัวเอง
อ่านข่าวแล้วงงที่สุด
นักศึกษาที่สอบได้เกรด ๔ ทุกวิชา
โดดตึกฆ่าตัวตาย
เพราะได้เกรดแค่ ๓.๙ ??????????????????????

จากคุณ : endophine - [ 13 พ.ค. 48 14:52:35 ]

...

มีสองพ่อลูกกับหนึ่งลา ... ถูกเล่าไว้น่าฟังดังนี้


ที่เมืองนัสรูดิน .. ตอนเช้าตรู่พ่อกับลูกชายซึ่งยากจนนั่งปรึกษากันเรื่องที่จะต้องเอาลาที่มีอยู่ตัวเดียวเป็นสมบัติไปขายที่ตลาด


เมื่อตกลงกันว่าขายลาตัวนี้แน่แล้วพ่อก็จูงลาเดินออกจากบ้าน โดยมีลูกชายเดินตามหลังลามุ่งหน้าสู่ตลาด



ระหว่างทางคุยกันไปอย่างมีความสุข ประสาพ่อลูกที่กำลังจะสลัดความยากจนไปได้ระดับหนึ่ง มีแต่เสียงพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทาง



นานเข้าคนที่เดินสวนทางมาก็หันมาดู สองพ่อลูกคู่นี้ แล้วพึมพำออกมาพอให้ได้ยินว่า ... อืมโง่ดีวะพ่อลูกคู่นี้มีลาไม่ยอมขี่ ..



สองพ่อลูกมองหน้ากัน หลังจากนั้นพ่อก็ขึ้นนั่งบนหลังลา ส่วนลูกเดินตามหลังมีเสียงหัวเราะ พร้อมพูดคุยเดินต่อไป ..จนกระทั่ง




มีคนเดินสวนมาแล้วพูดพอได้ยินว่า ... พ่อคนนี้เป็นพ่อแบบไหนกัน ปล่อยให้ลูกที่ยังอ่อนแอกว่าเดินโดยที่ตัวเองนั่งบนหลังลาสบาย ...




พ่อก็ลงจากหลังลา แล้วให้ลูกขึ้นไปนั่งแทนส่วนพ่อก็จูงลามุ่งหน้าสู่ตลาด พร้อมเสียงพูดคุยกัน อย่างมีความสุขต่อไป ... จนกระทั่ง




มีคนเดินสวนทางมาพึมพำพอได้ยินว่า ... แหมเจ้าเด็กคนนี้ช่างเอาเปรียบเสียจริงๆ ปล่อยให้พ่อแก่ๆจูงลาอยู่ได้ตัวเองนั่งบนหลังลาสบาย อย่างนี้จะทดแทนบุญคุณผู้เลี้ยงดูได้อย่างไร ..





พ่อลูกที่เคยหัวเราะมาตลอดทางก็หยุด หัวเราะซะดื้อๆ แล้วมองหน้ากัน หลังจากนั้นทั้งสองก็ขึ้นหลังลามุ่งหน้าสู่ตลาด คุยกันไปหัวเราะกันไปอย่างมีความสุข ...จนกระทั่ง



กระทั่งมีคนเดินสวนทางมา แล้วพึมพำให้ได้ยินว่า ... อืมพ่อลูกคู่นี้ทรมาณลา ฉิบ เอาเปรียบสัตว์ ...



พ่อกับลูกจึงลงจากหลังลา มองหน้ากัน ...แล้วสองพ่อลูกก็ช่วยกันอุ้มลา ไปตลาดท่ามกลางเสียงหัวเราะของคน อื่นๆๆ



เมื่อมาถึงตลาด ... คนรับซื้อลาก็ซื้อลาไป แล้วกระซิบถามสองพ่อลูกว่า ... ท่านไม่รู้หรอกเรอะ ว่าลานะมันขี่ได้ ไม่ต้องอุ้มมาหรอก ..



สองพ่อลูกก็ได้แต่มองหน้ากัน



...
...

จากคุณ : หลังเขา - [ 13 พ.ค. 48 15:02:18 A:202.47.247.130 X: TicketID:051024 ]

คุณเต่าหยวนเปียวเห็นด้วยเหรอครับ...อิ อิ

แซวเล่นกันสนุกๆนะครับ
ผมหมายถึงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังทุกเรื่องครับ
ต้องขึ้นกับดุลย์พินิจที่อยู่บนพื้นฐานความจริง

เห็นด้วยกับเฮียเอ็นโดฯครับ
บางครั้งถ้าคนเราวางมาตรฐานตัวเองไว้สูงเกินไป
ก็จะมีปัญหา เวลาที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด

เหมือนกับที่เฮียสอนไว้ว่า
ถ้าจะโลภ ต้องโลภในกรอบความรู้ความสามารถของตัวเอง
โลภเท่าที่ตัวเองรู้...นี่คือฉลาดแท้แน่นอน

กับน้องนักศึกษา
ที่จริงถ้าหากว่าเราตั้งตนอยู่ตามเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป
ก็ถือได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้วละครับ
เหนือขึ้นเป็นกำไร ลดลงต้องปรับปรุง

ใครจะว่าโง่....ก็..โง่ก็โง่ซิวะ
ไม่เห็นพื้นฐานจะเปลี่ยนตรงไหน

จากคุณ : ธราธิป - [ 13 พ.ค. 48 15:28:52 ]

มาร่วมแจมกับเฮียครับ

สรุปแล้ว โง่หรือฉลาด หุ้นดีหรือหุ้นเน่า
มันก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน
ว่ามองจาก มุมมองไหน

จากข้อความด้านบน ถ้ามีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมก็น่าจะได้คำตอบครับ

เช่น คน 1 ซื้อลูกไก่ แล้วบอกเหตผลว่า ปัจจัยพื้นฐานดี (ทั้งที่ราคาแปลงสูงมาก) แต่เขาเข้าซื้อเพราะเห็นราคาถูก ---> ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร

คน 2 ซื้อลูกไก่ แล้วบอกเหตผลว่า ซื้อแบบเก็งกำไร (ทั้งที่ราคาแปลงสูงมาก) แต่เขาซือเพราะเห็นราคาถูก (กับการเก็งกำไร) ---->

สรุป การกระทำมักขัดแย้งกับเหตผล (ขัดแย้งกันในความคิดของตัวเอง) เพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรครับ เหมือน แฟชั่นการอุ้ม ครับ ปากบอกว่า รักหมา แต่ในใจแล้วทำตามแฟชั่น แต่ไม่ยอมรับ ?? ......... อุเม่ แล้วผมไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยอะ .. อยู่เจ๋ยๆ ก็มีความสุขดีออก

ฮ่าๆ มั่วไปจนได้ครับ

เห็นเฮียบอกว่า ถ้า safe ไปถึงราคาเป้าหมายแล้ว จะออกหนังสืออะครับ

ผมขอเปลี่ยนเป็นว่า ขนมปัง แทนได้หรือเปล่าครับ ---> อยากอ่านหนังสือของเฮีย แบบรวมเล่มอะครับ
^.^

จากคุณ : สมาร์ท อินเวสเทอร์ - [ 13 พ.ค. 48 15:45:07 ]

คงอย่างที่เขาว่าครับ
ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ใครๆก็คาดหวังไว้มาก
อย่างตอนที่ผมจะไปเที่ยวภูเก็ตเมื่อวันจันทร์
คุณพี่ยียี่(กุหลาบจามูร์) โทรฯมาแจ้งข่าววงใน เอ๊ยข่าวร้าย
ภูเก็ตฝนตกหนัก คงเที่ยวไม่สนุก
พอซึมซับข่าวร้ายเรียบร้อย
ก็ได้เวลารีบาวด์พอดี
เพราะผมทำใจไว้แล้วว่ายังไงก็เที่ยวไม่สนุก
เอาเข้าจริงๆ เที่ยวสนุกมากๆเลยครับ
ฝนมันตกเฉพาะตอนขับรถ
พอเดินเล่นตามชายหาดต่างๆ
ฝนก็หยุดเหมือนกับเป็นใจให้เราได้เที่ยว
ที่หาดกะตะในภาพ
ซึ่งฝรั่งเคยนอนกันเต็มหาดไปหมด
วันที่ผมไปเดินเล่นตอนใกล้เที่ยง
บนหาดยาวสองสามกิโลเมตร
มีคนอยู่ไม่ถึง สามสิบคน
หักแม่ค้าที่นั่งทอดอาลัย
อาจจะเหลือนักท่องเที่ยวแค่สิบกว่าคนเท่านั้น

จากคุณ : endophine - [ 13 พ.ค. 48 15:52:22 ]

ขอบคุณคุณสมาร์ทอินเวสเตอร์ครับ
ความจริงผมก็ออกตัวไปอย่างแหละครับ คุณหมู
จริงๆแล้ว ไม่มั่นใจเลยว่า
จะมีใครอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้น
ที่ไม่ได้สอนวิธีเล่นหุ้นให้รวย
ดูตามร้านหนังสือ
แต่ละเล่มสอนวิธีเล่นหุ้นให้รวยทั้งนั้น
ไม่ยักจะมีเล่มไหนกล้าบอกว่า
ถ้าเล่นแล้วไม่รวย
จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข
ได้ตามอัตภาพของแมลงเม่าหุ้น เอ๊ยมนุษย์หุ้น ฮาๆๆๆ

จากคุณ : endophine - [ 13 พ.ค. 48 16:03:16 ]

^.^ ผมว่าอาจขายดีก็ได้ครับ เพราะคนเล่นเสียมากกว่า (เดา)
แต่คงต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการมีความสุขกับการเล่นหุ้นหรือเปล่า
ถ้าไม่รวย ..... ตามอัตภาพของแมลงเม่าหุ้น เอ๊ยมนุษย์หุ้น
ฮ่าๆ
......................................

จากคุณ : สมาร์ท อินเวสเทอร์ - [ 13 พ.ค. 48 16:06:49 ]




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 16:13:20 น.
Counter : 638 Pageviews.  

กรณีศึกษา...ว่าด้วยเครื่องมือวัดความเอนของหุ้นของเคอแน่วซิกกี้

ความเดินในตอนที่แล้ว
ข้าพเจ้าได้ขอให้พี่ๆช่วยต่อยอด
เรื่องเครื่องมือวัดความเอนของหุ้น
ซึ่งแต่ละท่านก็ใช้เครื่องมือที่แตกต่างกันไป

มาสะดุดตาตรงเครื่องมือของพี่ผู้พันซิกกี้
อืม มาแบบผู้ใหญ่แนว
ใช้เครื่องมือเดียวกับตัวเอกในเรื่องสั้นของป๋าอาซิมอฟ

มนุษย์เป็นผู้ชนะสงครามระหว่างดาวก็เพราะ
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ตัดสินสั่งการ ตามข้อมูลที่ได้จากอภิมหาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
ด้วยการโยนหัวโยนก้อย


ความจริงข้าพเจ้าไม่เชื่อหรอกว่า
เครื่องมือวัดความเอนของพี่ผู้พันซิกกี้จะแม่นจริง
แต่พอมองข้ามชอร์ตไปที่ข้อความต่อมา

"ผมวัดความเอนด้วยเหรียญบาทครับ
ถ้าวันไหนโยนได้หัว แปลว่าหุ้นจะขึ้น
ถ้าวันไหนโยนได้ก้อย ก็โยนใหม่ จนกว่าจะได้หัว"

โอ้โฮ ดวงตาเห็นโลกย์ทันที
ลองจับคำพูดนี้
ไปใส่ให้พี่ขาใหญ่ที่มีอำนาจซื้อนำกับขายนำพูดซิ
มันก็จะออกมาว่า

พี่ขาใหญ่จะต้องพยายามโยน
เครื่องมือวัดความเอนให้ออกหัวให้ได้
ถึงมันจะออกก้อยก็ต้องโยนซ้ำๆให้มันออกหัว
พอออกหัวมากๆเข้า
รายย่อยรายจุกจิกก็ชักเชื่อว่า มันออกหัวแน่ๆ
พากันทิ้งเครื่องมือวัดความเอนประจำตัวที่เคยใช้อยู่
ทุ่มแทงหัวจนหมดตัว

และแล้วพี่ขาใหญ่ก็สับมือหลอก
หยิบเหรียญที่น้องขาเล็กเชื่อว่ามีสองด้านออกมาโยน
โอ้ อนิจจา คามิลล่า ปาร์คเกอร์ โบวล์
เหรียญมีสองด้านก็จริง

แต่ดันมีแต่ก้อยของสองด้าน


ตัดฉับกลับมาที่กรณีศึกษา

ระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังอ่านข้อความของพี่ผู้พันซิกกี้
ข้าพเจ้าก็ได้เหลือบไปเห็น
ราคาหุ้นตัวหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเคยซื้อลองของ
เพราะเชื่อว่ามันจะเอนขวา
จากข่าวฮึดสู้ปากกาลูกลื่นจีนแดง
แต่พอเข้าไปวัดค่าความเอนแบบละเอียด
ก็ต้องหยุด เพราะบริษัทมีหนี้สินถึงครึ่งหนึ่งของยอดขาย
ถ้าอย่างนั้นดอกเบี้ยกินตายแน่ๆ
จากการได้อ่านความเห็นของพี่ผู้พันซิกกี้

เอ นี่มันเข้าข่ายพี่ขาใหญ่
กำลังพยายามโยนให้มันออกหัวอย่างถี่ยิบนี่นา
มันออกหัวทั้งๆที่
เครื่องมือวัดความเอนของข้าพเจ้าชี้ว่า
มันน่าจะเอนซ้ายจากการตามเข้าไปดูงบ
ขาดทุนสิบสองล้าน มาจากการจ่ายดอกเบี้ยตั้งสิบเอ็ดล้าน
ในเมื่อเครื่องมือวัดความเอนของข้าพเจ้าชี้ว่า
มันน่าจะออกก้อย แต่พี่ขาใหญ่ยังทำให้มันออกหัวต่อไป

"เพื่อรักษาเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สุด
ที่ทำให้รอดมาได้นับครั้งไม่ถ้วน"

ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากเผ่นพันลี้ไปทันที ที่ ๕.๗๕ บาท
กลับมาดูอีกทีตอนปิดตลาด
สงสัยพี่ขาใหญ่เปลี่ยนใจมาโยนก้อยแทน
มันปิดที่ ๕.๐๐ บาท

ขอบคุณพี่ผู้พันซิกกี้ครับ
ถ้าไม่ได้อ่านเท็คนิคการใช้เครื่องมือของพี่ผู้พันฯ
ป่านนี้ผมยังเชื่ออยู่เลยว่า มันจะออกหัวต่อไปเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่แน่นะ
วันนี้ พี่ขาใหญ่อาจจะกลับมาพยายามโยนหัวใหม่

อ้อ พี่บั๊กกี้ตอบได้ใกล้เคียงที่สุดครับ
เดี๋ยวผมจะเอาแผ่นเปล่า dvd - rw ของโซนี่
ไปฝากที่ศูนย์สิริกิตสักสองแผ่นนะคร๊าบๆๆ



ว่ากันต่อถึงเครื่องมือวัดความเอน
ข้าพเจ้าพยายามหาคำตอบว่า
ทำไมเครื่องมือวัดความเอนของเราถึงไม่แม่นยำ
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ
เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ครอบครอง

"เงินที่มีอำนาจซื้อนำ
หรือ
หุ้นที่อำนาจขายนำ"

ดังนั้น เราแทบจะไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากเครื่องมือไหน ใช้แล้วยังได้ผล
ก็ต้องใช้ต่อไป
ผมเคยอ่านที่คุณมัดลีย์กรุ๊ปโพสไว้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แทง เอ๊ยลงทุนสิบครั้ง
ไม่มีทางได้หมดสิบครั้ง
เอาแค่ว่าได้แค่เจ็ดครั้งก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

มาลองนึกๆดู
สมมติว่า ลงทุนสิบครั้ง
ขาดทุนสามครั้ง กำไรเจ็ดครั้ง
สรุปออกมา ลงทุนสิบครั้ง
เรายังได้กำไรสุทธิถึงสี่ครั้ง
ถ้าเป็นอย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ
การเล่นหุ้นก็น่าจะเป็นเรื่องดี
มากกว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 16:01:56 น.
Counter : 794 Pageviews.  

ตกลงหอเอน หรือหุ้นเอนไปทางกันแน่ ?????

ช่วงวันหยุด ระหว่างขับรถคนเดียว
(เวลามีคนนั่งข้างๆ ไม่มีเวลาคิด)
ข้าพเจ้ามักจะมีความคิดแปลกๆแวบขึ้นมา
พอกลับไปคิดถึงเรื่องหอเอน หุ้นเอน
ก็เกิดคิดแวบขึ้นมาแบบแด็กส์ด่วน

เอ หอเอนปิซ่ามันเอนไปทางกันแน่
ถ้าเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง เหมือนในภาพประกอบ
หอเอนปิซ่า มันจะเอนไปทางไหน
คำตอบคือ

ถ้าเรายืนมองในตำแหน่งที่ ๑
หอเอนปิซ่า เอนขวา

ถ้ายืนมองจากตำแหน่งที่ ๓
หอเอนปิซ่า เอนซ้าย

ถ้ายืนมองจากตำแหน่งที่ ๒ และ ๔
หอเอนปิซ่า ก็ตั้งตรงแบบแปลกๆ ทั้งๆที่ความจริงมันเอน

อ้าว รู้งี้เปรียบเป็นหุ้นบ้าง
ถ้าหุ้นมันเอนแน่ๆ เพราะมีคนทำให้มันเอน
เราจะรู้ได้ไงว่า
หุ้นมันกำลังเอนไปทางไหนกันแน่
คำตอบน่าใจหายแฮะ

ถ้าเราเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง
เราไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่า
หุ้นกำลังเอนไปทางไหน

ตัดฉับ กลับไปที่หอเอนปิซ่า เทคที่หนึ่ง

เรารู้ได้อย่างแน่นอน
ถ้าเราไม่ได้ใช้ตัวเราเอง
เป็นตัวกำหนดความเอนของหอ
แต่ใช้สนามแม่เหล็กโลกเป็นตัวกำหนด
เราบอกได้ทันทีว่า
หอเอนปิซ่า เอนไปในทิศทางไหน

ตัดฉับกลับมาที่หุ้น เทคที่สอง

เป็นไปได้หรือไม่
ที่เรามักจะตัดสินใจผิดว่า
หุ้นกำลังเอนไปในทิศทางไหน
เพราะเรามักจะเอาผลประโยชน์พอร์ตของเราเป็นที่ตั้ง
คือมักจะมองจากมุมมองของพอร์ตเราเท่านั้น
เราจึงพลาดบ่อยๆ
เพราะไม่มีเครื่องมือที่แน่นอน
ในการวัดดูความเอนของหุ้น

ยิ่งความเอนของหุ้น มักจะเกิดจากความเจ้าเล่ห์
ของบรรดาช่างรับเหมาหุ้นด้วยแล้ว
เราถูกบีบให้ตัดสินใจพลาดได้ง่ายมาก
เพราะพี่ช่างรับเหมาหุ้น เขารู้ดีว่า
รายย่อยรายจุกจิก
กำลังอยากจะให้หุ้นเอนไปทางไหน

วานพี่ๆอาจารย์ชาวสินธร ช่วยต่อยอดด้วย
เราจะหาเครื่องมือที่แน่นอน
ในการวัดดูหุ้นเอนได้หรือไม่

สำหรับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าวัดความเอนของหุ้น
จากผลประกอบของบริษัทเป็นหลัก
ถ้ามันเอนเกินผลประกอบการมากๆ
ไม่ว่าจะเอนไปทางซ้ายหรือขวา
ข้าพเจ้าจะลงมือซื้อเพิ่ม ซื้อเฉลี่ย
หรือไม่ก็ขายทิ้งทำกำไรหรือตัดขาดทุน

ของพระอาจารย์เผ่น วัดพันลี้และศิษย์เอกคู่ฮา
วัดความเอนจากแท่งเทียนมรณะ เอ๊ยเขียวแดง

คุณ rockriverarms
วัดความเอนของหุ้นด้วย obv (on balance volume) ???

ของคุณเด่นศรี ใช้ dsm
รับมือกับความเอนของหุ้น

ของคุณมัดลีย์กรุ๊ป ใช้ mgc ( mudley group concept )
บริหารความเสี่ยงจากการเอนของหุ้น

ของพี่แอนดี้ พี่หมอกาเบรียล พี่ฯลฯ
วัดความเอนของหุ้นจาก.....อะไรหว่า ฮาๆๆๆ



endophine - [ 17 พ.ค. 48 08:47:18 ]

ขอบคุณคร้าบ สำหรับความคิดดีๆที่เฮียสอนเสมอมาครับ อันว่าขุนพลหนุ่มไม่ว่าจะสามารถ เพียงใด หากไม่ฟังขุนพลมากประสบการณ์ก็จะลำบากครับ เข้ามานั่งหน้าจอเพราะคิดถึงเฮียครับ อิอิ เดี๋ยวต้องพา พ่อ กับแม่ไปเที่ยวแระ ดึกๆจะเข้ามาอ่านต่อครับ

จากคุณ : MudleyGroup - [ 17 พ.ค. 48 09:01:33 ]

ถ้าข้าพเจ้าไม่แน่ใจ ข้าพเจ้าก็ขึ้นขาย แล้วลงค่อยซื้อครับ

ถ้าแน่ใจหรือมั่นใจเรื่องแนวโน้ม ข้าพเจ้าก็จะซื้อ หรือถือไปเรื่อยๆ

แต่บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าซื้อ จนเห็นกำไรมากๆ แล้วสุดท้ายก็มาขายที่กำไรน้อยๆ

จากคุณ : ปลานิลจิ๋ว - [ 17 พ.ค. 48 09:03:14 ]

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใช้เครื่องมือไหนฮะเฮีย อย่างผมบอกว่าใช้หลายเครื่องมือ เพียงแต่ว่าละเครื่องมือมันยังเป็น version 1.0 บ้าง beta บ้าง ยังไม่ดีพอ

รู้จักเครื่องมือแต่ไม่รู้วิธีสร้างเครื่องมือให้เที่ยงตรง เอาไปวัดยังไงมันก็เดี้ยงอ้ะ

บางทีก็ทุบเครื่องมือทิ้งเลย 5555 ใช้ common sense เดาเอาครับ

จากคุณ : ขุนอิน - [ 17 พ.ค. 48 09:20:42 ]

วัดจาก..
70% เหมือนเฮียเอ็นดี
20% ใช้dsm
10% อาจารย์เผ่นฯบอกหนี ก็ทิ้ง ฮาๆ

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 17 พ.ค. 48 09:21:16 ]

สวัสดีคุณมัดลีย์กรุ๊ป
ขอบคุณที่ยังคิดถึงครับ
ว่างๆอย่าลืมโพสเล่า
ประสบการณ์จากการไปทำงานที่ตักสิลาของตลาดหุ้นฯ

ชื่นชมความเอาใจใส่ต่อบุพการีของคุณมัดลีย์กรุ๊ปครับ
ชื่นชมมากกว่าความเก่งในการเล่นหุ้นซะอีก


ปัญหาเรื่องเครื่องมือในการวัดความเอนของหุ้น
เป็นไปตามที่พี่หมอขุนว่าไว้ครับ
แต่ผมว่า
ยังไงเราก็ต้องหาเครื่องมือในการวัดความเอนให้ได้ครับ
จะวัดผิดวัดถูก ก็เป็นอีกเรื่อง
ดีกว่าการวัดแบบมั่วๆ แล้วปลอบใจตัวเองว่า
เดี๋ยวพอร์ตเราก็วัดถูกเองแหละ
ถ้าเล่นหุ้นแบบนี้
ผมว่า ไปขายเครื่องฟอกอากาศที่โรงพยาบาลพี่ขุนดีกว่า

จากคุณ : endophine - [ 17 พ.ค. 48 09:21:19 ]

เรียน เฮียเอนโด

ผมใช้หลายๆตำราเนื่องจากอยู่ห้องสินธรจนรากงอก

เคยใช้ กลยุทธพี่ชอบอ่าน เอาตัวรอดมาหลายครั้ง

เคยใช้ DSM กับเทคนิกเอาค่าขนม (กสงฝ)

ล่าสุดใช้ เผ่นพันลี้กับ NCH

ผมมันมั่วครับพี่อย่าถือสาเลย

ถ้าเมื่อไหร่ผมเล่นได้โดยไม่อ้างกลยุทธ ผมถึงจะสำเร็จหลักสูตรครับ

จากคุณ : GABLIEL - [ 17 พ.ค. 48 09:24:48 ]

เฮียเคลี่ใช้ทิศทาง (ข่าว) กับ ผลประกอบการเทียบกับ bv เป็นเครื่องมือหรือเปล่าครับ

เฮียเอี๋ยวใช้กาฟแน่นอน แบบแม่นยำ 100%

ผมยังใช้มั่วๆ อย่างเดียวอยู่ เฮ่อ
สงสัยต้องไปขายเครื่องฟอกอากาศแทนเล่นหุ้น

จากคุณ : buglife - [ 17 พ.ค. 48 09:43:48 ]

เฮียครับ ผมใช้ผลดำเนินงานและP/E เป็นตัววัดความเอน เพราะไม่เข้าใจเรื่องกราฟ

จากคุณ : สมชาย บางพลี - [ 17 พ.ค. 48 09:59:00 ]

ผมวัดความเอนด้วยเหรียญบาทครับ

ถ้าวันไหนโยนได้หัว แปลว่าหุ้นจะขึ้น


ถ้าวันไหนโยนได้ก้อย ก็โยนใหม่ จนกว่าจะได้หัว 555

จากคุณ : ซีเค - [ 17 พ.ค. 48 13:20:31 ]

อ่านที่คุณพี่ซันนี่เรียกตอนท้าย
เครื่องมือลุก เอ๊ยขนลุกเลยคร๊าบ
ขืนเอากระทู้ห้องสินธรเป็นเครื่องมือ
คุณพี่ซันนี่เตรียมตัวไปขายเครื่องฟอกอากาศฯได้เลย


อ่านไปเจอเครื่องมือวัดความเอนของเคอแน่วซิกกี้
ผมมีความคิดแวบ แบบแด็กส์ด่วนขึ้นมาทันที
เดี๋ยวขออุบไว้พรุ่งนี้
จะแตกประเด็นถาม
ให้พี่ๆอาจารย์ช่วยต่อยอด

"เครื่องมือสุดมหัศจรรย์ของเคอแน่วซิกกี้
มีความแม่นยำสูงที่สุดถ้า......"

พี่ผู้พันซิกกี้ห้ามตอบตอนนี้นะ

จากคุณ : endophine - [ 17 พ.ค. 48 14:11:32 ]

สวัสดีครับครับคุณพี่ซันนี่สุดสวย

เครื่องมือจากกระทู้สินธรผมก็ใช้บ่อยๆ ครับ

ถ้ามีกระทู้ว่าขายคัทลอสหมดตัว ต่อแต่นี้จะเลิกเล่นหุ้น
รีบซื้อเลยครับ

โอกาสขึ้น 90%

แต่ถ้าวันไหนมีการฟันธงเอิกเกริกว่าจะไปพันจุด
ทะยอยเทขายเลยครับ ไม่นาน ร่วงยาว

เอ ผมยังไม่รู้คำตอบของซาร์เจ้นท์เอ็นโดเลยครับ
หรือเคยรู้หว่า หรือมันจะเกี่ยวกับป๋ามอฟนะ

ไม่แน่ใจ งง 555

จากคุณ : ซีเค - [ 17 พ.ค. 48 15:23:51 ]

กรณีศึกษา...ว่าด้วยเครื่องมือวัดความเอนของหุ้นของเคอแน่วซิกกี้



endophine - [ 18 พ.ค. 48 08:27:55 ]




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 15:59:04 น.
Counter : 656 Pageviews.  

ข้าพเจ้ามาลองคิดๆดู....เจ้าหอปิซ่าคนรู้จักทั่วโลกเพราะว่า....

เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าได้ไปดูหนังระดับมหากาพย์
"KINGDOM OF HEAVEN"
หนังสนุกมาก ทำให้นึกย้อนไปถึงปลายยุคมืดของยุโรป
ซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือเรเนอซองส์
และแล้วข้าพเจ้าก็นึกต่อไปถึง
หอเอนแห่งเมืองปิซ่าแบบกลอนพาไป
ข้าพเจ้าเลยมานั่งคิดเล่นๆ แบบชวนทะเลาะ เอ๊ยชวนติงต๊องว่า
หอเอนปิซ่าดังไปทั่วโลก จนถึงปัจจุบันนี้เพราะว่า

๑ กาลิเลโอขึ้นไปทดสอบ
ความเร็วในการตกสู่พื้นของวัตถุ
ซึ่งค้านกับความเชื่อของอริสโตเดิ้ล คนเลยรู้จักหอเอนปิซ่า

หรือว่า

๒ เพราะมันเอน ถ้ามันไม่เอน ป่านนี้คนทั่วโลกคงไม่รู้จัก
เคยอ่านเจอในขายหัวเราะ ?
ผู้รับเหมาสร้างหอเอนปิซ่า
โกงกินวัสดุ รากฐานของหอเลยไม่แข็งแรง
หอเลยเอียงจากการโกงกิน
พอหอเอียง คนก็เลยรู้สึกว่าแปลกๆน่าสนใจ
ซึ่งเป็นความดีเพียงประการเดียว
ของนักปั่นหุ้น เอ๊ยช่างรับเหมาสร้างหอเอน ฮาๆๆๆ

ข้าพเจ้ามาลองคิดๆดูให้มันเกี่ยวกับหุ้น

เรารู้จักหุ้นตัวนั้น เพราะว่า
นักวิเคราะห์ทำตัวเป็นกาลิเลโอ ทำการทดสอบหุ้นให้เราดู
เราเลยสนใจ
หรือว่า
เพราะราคามันเอนกันแน่หว่า
เราเลยสนใจมัน ฮาๆๆๆ

ถ้าพี่'จารย์แอนดี้และพี่'จารย์ท่านอื่นๆ จะช่วยต่อยอดความเอน
ข้าพเจ้าก็จะขอบคุณมากๆ



จากคุณ : endophine - [ 6 พ.ค. 48 08:45:19 ]

5555 เพราะมันแปลกแตกต่างนะครับ พี่เอ็นโด
เทียบกับหุ้น ถ้าราคายืนราคาเดียวซัก10ปี คนเห็นหรือซื้อพอสัมผัสไปนานๆก็ลืม แต่ถ้าราคาแกว่งตัวประเดี๋ยวลิ่งประเดี๋ยวฟอร์ร คนที่ได้และเสียก็จำได้ไม่รู้ลืม 5555

จากคุณ : aeaw - [ 6 พ.ค. 48 08:50:39 ]

พี่เอวี่คิดเหมือนผมหรือเปล่าครับ
ถ้าหอเอนปิซ่าไม่เอน
ป่านนี้ ก็คงไม่มีใครรู้จักมัน
ไม่มีใครสนใจหรอกว่า
กาลิเลโอเคยขึ้นไปทดสอบทางวิทยาศาสตร์
ดังนั้นคนสนใจหุ้นตัวไหน
ก็เพราะหุ้นมันโอนเอนไปมา
มากกว่าสนใจเพราะกาลิเลโอ เอ๊ยนักวิเคราะห์พูดถึงมัน
หรือที่เป็นไปได้มากๆก็คือ
พอกาลิเลโอ เอ๊ยนักวิเคราะห์พูดเสร็จ
ก็ส่งซิกให้ช่างรับเหมาก่อสร้างหอเอนปิซ่า ทำให้หุ้นมันเอน
หรือไม่ก็
ช่างรับเหมาหุ้น ส่งซิกให้นักวิเคระห์พูด
คนเลยไม่สนใจว่า
จริงๆแล้วหุ้นมันโอนเอนเพราะอะไร

จากคุณ : endophine - [ 6 พ.ค. 48 08:57:51 ]

ลึกซึ้งจริงๆ
ผมว่าในตลาดหุ้นคงเข้าข่ายทั้ง 2 แบบ แต่หากเป็นแบบแรกคือ จาดตึกโทรมๆเอียงกะเท่เร่แต่มีนักวิเคราะห์ขึ้นไปปล่อยบทวิเคราะห์ลงมา คนก็เลยมุงดูให้ความสนใจ แต่เพราะนักวิเคราะห์ขึ้นไปโยนบทวิเคราะห์บ่อยหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นจริงออกมาซักที คนที่เคยเชื่อรุมดู พอเห็นบ่อยๆเลยเลิกเชื่อ กาลิเลโอในตลาดหุ้นเก่งแต่วิเคราะห์ราคาหุ้นอย่างเดียวคงไม่พอคงต้องวิเคราะห์เงินที่จะตามเข้ามาให้ความสนใจด้วยเพราะเงินเท่านั้นที่จะทำให้ความจริงเกิดขึ้น หากเงินน้อยก็ต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าคนจะเชื่อ สรุปว่าผมจะดูทั้งตึก ดูทั้งกาลิเลโอและดูคนที่มุงดูเพิ่มเข้าไปด้วย :-)

จากคุณ : rockriverarms - [ 6 พ.ค. 48 09:03:50 ]

อะไรที่เกิดเองโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นเช่นนั้น
มักเป็นที่นิยม
ตัวอย่าง
พระเครื่องบล็อคแตก หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้พิมพ์
ทรงแตกต่างไปจากองค์อื่น และมีจำนวนน้อย
มักเป็นพิมพ์นิยม

ใบหุ้นของบริษัทที่ล้มหายไป ในวันข้างหน้าอาจมีค่าก็ได้

ผมชอบสะสมหุ้นที่หายาก มีจำนวนน้อย โดยคิดเอาเองแบบสะสมพระเครื่อง วันหนึ่งมันคงมีค่า (ฮือๆ ไม่มีคนมาซื้อต่อซักที)

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 6 พ.ค. 48 09:15:44 ]

เห็นด้วยทุกประการครับ เฮียเคลี่

จากคุณ : aeaw - [ 6 พ.ค. 48 09:21:36 ]

อืมม์ ท่านพี่เคลี่ ช่างหาประเด็นได้ แจ่มจ๊าบดีแท้
ขอบคุณ ที่เชื้อเชิญร่วมเสวนา
ในทรรศนะของข้าพเจ้า
มันคงต้องใช้ 2 ประการร่วมกัน

ถ้าหอตรง กาลิเลโอ จะไปทดสอบมั๊ย
นี่เป็นคำถามที่ต้องคิด (คงไม่ เพราะไม่ก่อให้เกิด
สถานการณ์ที่น่าจดจำและกล่าวขาน)
แล้วถ้ากาลิเลโอทดสอบที่หอตรง คนจะจำมั๊ย (คนจำไม่ได้)

มนุษย์จะจำลักษณะที่เด่นเท่านั้น และจำได้ในระยะเวลา
อันสั้น เช่น คนอาจจำลกษณะเด่นของคนนั้นได้ ถ้า หัวล้าน ใส่แว่น มีหนวด มีไฝ ใครมีพวกนี้เขียนภาพล้อ
คนจะจำได้ทันที

ผมจึงเชื่อว่า นักวิเคราะห์ มีหลายคนการทำให้คนจำได้ ว่าวิเคราะห์แม่น ต้องให้ผลในเวลาอันสั้น ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์ตัวนี้ดี แต่อีกปีค่อยขึ้น จะมีคนมานึกขอบคุณอยู่ไม่กี่คน

ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน

ผมแอบเชื่อว่า ถึงนักวิเคราะห์พื้นฐานเองก็ตาม
บางครั้งต้องให้นักวเคราะห์ทางเทคนิกร่อนตะแกรง
ให้ว่าจะเอาตัวไหนมาเล่น ตัวไหนอยู่ในกระแส
ตัวไหนอยู่ขาขึ้น มีแววที่ฟันธงแล้ว
มหาชนต้องได้กันพอสมควร มีฮือฮา ว่าแม่น

จึงต้องใช้เส้นกราฟ ดูเริ่มดี มีพื้นปึ๊ก ไม่ใช่ขาลง==> เลือกมาวิเคราะห์ ว่าทำไมดี คนไม่ทิ้ง==>ควรมีสภาพคล่องพอสมควรไม่ใช่เทรดวันละ 100 หุ้น
วิเคราะห์ มีคนมาสะสม ==>เส้นกราฟดีขึ้นอีก ==>นักเก็งกำไรมาร่วม ==>หลายคนมาพูดถึงบทวิเคราะห์ (เฮ๊ย นี่ไงเขาวิเคราะห์ไว้ว่าดี) ===>โวลุ่มเริ่มมา ==>นักเล่นรายวัน มาช่วยอัด ===>โวลุ่มโต ===>นักเก็งกำไรทำให้สวิง

ตอนจบ แมงเม่าพึงเดินทางมาถึงพอดี โชคดีได้นิดหน่อย ได้บ่อยๆก้เล่นมากขึ้น
ได้เวลาขายถล่มจากราคาที่ขึ้นเกินพอดีทันที แหง่ก

จากคุณ : adrenaline - [ 6 พ.ค. 48 12:05:17 ]

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ทำไม ทาทา ต้อง updrade curve จนเป็นปอดบวมขนาดนั้น

ทำไมละครอั้ม โฆษณาอั๊ม จึงมีหลุดหวิว หยิว เซ็กซี่ขนาดนั้น (ก่อนนี้ก็แบนๆเหมือนกัน)

ตอบ เพราะนักวิเคราะห์พื้นฐานเห็นว่า สองสาวนี้ขาขึ้นแน่
ต้องเพิ่มจุดเด่น ตู๊มๆๆๆเข้าไป ซึ่งได้ผลอย่างแรง

เกี่ยวกันป่าววะ
น่าสงสาร น้องตั๊ก จะมาทางนี้เหมือนกัน แต่
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่เชียร์ว่ะ แถมอยาก
ทำตัว talk of the town ตอนฟ้องคนนำภาพไปโพสต์ในเน็ต แต่พลาดอย่างแรง เขาไม่สงสาร ยังซ้ำเติมอีก
เสีย เลยยยย

สู้ทำ talk of the town แบบลูกเกตอาบน้ำในตู้กระจก
ไม่ได้ คนจำได้ไปนานเลย
สรุป ลูกเกตุดัง แต่ นีเวีย ดับ

จากคุณ : adrenaline - [ 6 พ.ค. 48 12:20:10 ]

การทดสอบสมมติฐานเรื่องวัตถุเบาและหนักตกถึงพื้นด้วยความเร่งเท่ากัน และถึงพร้อมกันหากปล่อยจากระดับความสูงเดียวกัน นั้น กาลิเลโอไม่ได้ทำบนหอเอนเมืองปิซ่าครับ แต่เขาใช้วิธีกลิ้งก้อนหินลงมาตามเนิน
.
การค้นพบเรื่องแรงโน้มถ่วงของนิวตันนั้น ก็มิได้เกิดจากการถูกลูกแอบเปิ้ลตกกระทบศีรษะ แต่เกิดจากการตรัสรู้ขณะมองลูกแอปเปิ้ลร่วง
.
ทั้งหมดนี้ผมเอามาจากหนังสือ A Brief History of Time ของอาจารย์ Stephen Hawking

จากคุณ : ดอกมะลิซ้อน (ดอกมะลิซ้อน) - [ 6 พ.ค. 48 14:43:08 ]

เราใช้คำว่า ตรัสรู้ กับบุคคลทั่วไปด้วยหรือครับ คุณมะลิ

จากคุณ : adrenaline - [ 6 พ.ค. 48 15:56:26 ]

ผมคิดอยู่สองสามทีก่อนจะพิมพ์คำนั้นลงไปจริง ๆ ครับ คุณ adrenaline ความตั้งใจคือผมรู้สึกว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์บางอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ enlightment ในทำนองเดียวกับที่พระสมณโคดมหรือเจ้าชายสิททัตถะพบคำตอบของชีวิต
.
คือคำตอบหรือความรู้นั้นมาเอง "เมื่อนิ่งพอ" มิได้มาจากการใช้ตรรกกะจนหัวแตก หรือได้มาจากการทดลองค้นคว้าอย่างบ้าคลั่ง น่าแปลกที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างมีที่มาอย่างนั้นคือ "รู้ก่อน พิสูจน์ทีหลัง" ไม่ต่างจากความรู้ที่องค์พระศาสดาสอน ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ก็เกิดขึ้นในทำนองนี้

จากคุณ : ดอกมะลิซ้อน (ดอกมะลิซ้อน) - [ 6 พ.ค. 48 17:08:29 ]

พี่เอนโด

สุดยอดครับ

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ

ผมว่า การที่หุ้นขึ้น หรือ ลง ก็ มี เจ้า มือ เจ้าของ ช่วยกัน ส่งเสริม ทั้ง ขาขึ้น ขาลง ครับ

หาก เจ้า ของไม่ยินยอม หุ้น ก็ คงไปไหนไม่ได้ นะครับ

เจ้ามือ ก็ เล่นเทคนิคคอล

ลากไปขายไป ขาย ได้ราคา ห้าง ด้วยกำไร มาก

หรือ ทุบไป ซื้อไป ได้ของถูกบานเลย ของแบกะดิน

จากคุณ : samsam - [ 6 พ.ค. 48 22:11:28 ]

หาก เทียบความเอน คือ การ ไต่ระดับ ของราคา ทำนิวไฮ อยู่

เหล่านัก วิเคราะห์ ก็ จะมา เชียร์ กัน ใหญ่ ว่า ไม่มี แนวต้าน ให้ strong buy.....


ใน ทาง กลับกัน ตัวไหน ทำ new low

ก้อ จะ พูดตรงข้าม ว่า อย่าไปยุ่งกับ หุ้นประเภทนี้


ซึ่งหา รู้ ไม่ว่า หุ้นที่ ทำ new low อาจจะ กลายเป็น หุ้น ห่านทองคำ ทำ new high ในอนาคต ก็ ได้ ครับ

แล้ว วงจร มัน ก็ จะเป็น เช่นนี้ อยู่ร่ำไปๆ

จากคุณ : samsam - [ 6 พ.ค. 48 22:21:41 ]

ผมมีคำถามครับ

หินสองก้อนรูปร่างเหมือนกัน ความถ่วงจำเพาะเท่ากัน แต่ขนาดต่างกัน ถ้าทิ้งจากที่สูงพอ เช่นจากเครื่องบินที่บินขึ้นไปสูง ๆ

จะตกถึงพื้นพร้อมกันหรือไม่?

(โดนลูกชายถามมาอีกที 55555)

จากคุณ : ขุนอิน - [ 6 พ.ค. 48 22:01:35 ]

หิน 2 ก้อน นี่
มีชื่อมั๊ยครับ

เช่น หิน A หิน B
ถ้าคู่นี้ หิน B จะตกถึงพื้นช้ากว่าแน่นอนครับ

จากคุณ : adrenaline - [ 6 พ.ค. 48 22:06:17 ]

ตอบคำถามของพี่ขุนอินครับ หากปล่อยจากเครื่องบินลำเดียวกัน มันจะตกถึงพื้นพร้อมกันครับ แม้น้ำหนักจะต่าง เนื่องจากความเร็วเริ่มต้นสัมพัทธิ์กับความเร็วเปลือกโลกเท่ากัน และความเร่งที่เกิดจากแรงดึงดูดเท่ากัน ทั้งนี้ไม่นับปัจจัยเรื่องคุณสมบัติพิเศษของหินนะครับ เช่นหิน B ของคุณ adrenaline อาจจะตกช้าเพราะบินได้
.
โจทย์คำถามของหลานคงต้องการให้น้ำหนักต่างครับ

จากคุณ : ดอกมะลิซ้อน (ดอกมะลิซ้อน) - [ 7 พ.ค. 48 10:37:22 ]

เรื่องแรงเสียดทานจากอากาศล่ะครับ ว่ามีผลต่อวัตถุอย่างไร วัตถุที่มีมวลต่างกัน มีอัตราส่วนพื้นที่ผิวต่อมวลต่างกัน?

ผมยังหาคำตอบเจ๊ง ๆ ไม่ได้เลยอ้ะ

วันนี้ไปเที่ยว dream world มาเพิ่งกลับมาเลยมาถามต่อ แหะ แหะ

จากคุณ : ขุนอิน - [ 7 พ.ค. 48 20:18:18 ]

แรงเสียดทานอากาศเป็นแรงที่กระทำต่อวัตถุึโดยมีขนาดแปรผันตรงตามเนื้อที่ของผิวหน้าครับ ไม่ได้มีปัจจัยของมวลเข้าไปเกี่ยว เพียงแต่ขนาดของแรงที่เท่ากันอาจจะทำให้เกิดความหน่วงต่อวัตถุรูปร่างเหมือนกัน แต่น้ำหนักต่างกัน ได้ไม่เท่ากัน เนื้องจากขณะที่ตกลงด้วยความเร่งเท่ากันนั้น แรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อวัตถุ ต่างกัน จากการแปรผันตรงตามน้ำหนัก
.
ส่วนเรื่องหอเอนเมืองปิซ่า ตอนนี้ทางการอิตาลี่สามารถทำให้มันเอียงกลับได้ส่วนหนึ่งแล้วครับ จากการขุดดินใต้ฐานด้านตรงข้าม ข้อมูลนี้ผมได้จากสารคดีวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทยเมื่อสองเดือนก่อน เรียกว่ายังเก็บไว้ทำมาค้าขายได้อีกนาน



จากคุณ : ดอกมะลิซ้อน (ดอกมะลิซ้อน) - [ 8 พ.ค. 48 09:33:12 ]

ตกลงหอเอน หรือหุ้นเอนไปทางกันแน่ ?????



จากคุณ : endophine - [ 17 พ.ค. 48 08:47:18 ]




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 14:54:58 น.
Counter : 1799 Pageviews.  

1  2  3  4  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.