In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

หวังมากก็เจ็บปวดได้มาก เมื่อเจ็บปวดมาก ความรู้สึกดีๆก็น้อยลง เมื่อเกิดจากใจ ก็ต้องแก้ที่ใจนะ

หวังมากก็เจ็บปวดได้มาก เมื่อเจ็บปวดมาก ความรู้สึกดีๆก็น้อยลง เมื่อเกิดจากใจ ก็ต้องแก้ที่ใจนะ

นี่เป็นชื่อMSNของเราในตอนนี้ ไม่รู้สินะ คือจั่วหัวไว้แต่ก็ไม่อยากบอกอะไรใคร ถึงที่สุดเมื่อเราต้องเจ็บปวด เราก็ต้องแก้ลงตรงจุดที่มันเกิดขึ้นนะ ก็คือที่ใจดวงน้อยๆของเรานี่แหละ แต่มันมีปัญหาอยู่ว่า เรายังทำใจไม่ได้เลย เรื่องนี้อาจจะดูเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่มันก็ยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา การจะก้าวข้ามผ่านไปได้ คงต้องขอระบายส่วนเกินออกมาก่อน แล้วค่อยๆกำจัดส่วนที่เหลือไป

ใช่ เราอาจจะเป็นผู้ชายที่งี่เง่า ดึกดำบรรพ์ เห็นแก่ตัว หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายที่ไม่ใช่ข้อดี แต่ก็เพราะมีความรู้สึกดีๆให้กันไม่ใช่หรอ ถึงได้งี่เง่าแบบนี้ คนเราลองมีอัตตา มีตัวตนคิดว่านั่นเป็นของเรา นี่เป็นของเรา แล้วใครบ้างล่ะที่จะไม่ทุกข์ ยิ่งหวังมากก็ยิ่งทุกข์มาก

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านเวลาที่เนิ่นนานความรู้สึกก็จะบรรเทาเบาบางลง ตอนนี้ถ้ามีโดเรมอน อยากได้ของวิเศษ ที่ช่วยตัดอารมณ์บ้าๆนี้ทิ้งไป หรือทำให้เวลาผ่านไปเร็วๆทีเถอะ หรือไม่ก็ขอย้อนเวลาไปได้ไหม ถ้าไม่ได้อีกอยากไปให้ไกลแสนไกล ไกลจากความรู้สึกบ้าๆแบบนี้

วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่ต้องสวดมนต์ตอนอาบน้ำ เป็นวันแรกในหลายๆอาทิตย์ที่สงบใจไม่ได้เลย ต้องอาศัยเสียงสวดมนต์คอยปลอบประโลมหัวใจที่เศร้าหมอง เป็นวันที่ยังมีข้อดี คือ เราได้กลับมาเข้าใกล้คำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้ง

แล้วอีกไม่กี่ชมข้างหน้า ก็จะต้องไปสัมภาษณ์งานอีกรอบ อารมณ์แบบนี้จะได้ปฏิเสธกันง่ายๆไม่ลำบากใจ อิอิ เออเขียนไปปชักอารมณ์สว่างขึ้นมาแฮะ

วันนี้ขอไปวัดนั่งสงบสติตัวเองก่อนดีกว่า ก่อนที่จะทำอะไรออกไป เพราะไม่อยากเป็นเหมือนเก่า ไม่อยากให้ใครทำอะไรเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ผ่านมาเหมือนก่อน ไม่อยากชักนำความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าตามมาภายหลัง วันนี้เป็นวันที่เราจะพยายามก้าวผ่านความคิดเด็กๆ ความรู้สึกที่งี่เง่านี่ไปให้ได้ ขอสัญญา

และขอขอบคุณและแอบงง ที่คุณมาอ่านการระบายอะไรมั่วๆของเราได้จนจบ

เอวัง




 

Create Date : 02 เมษายน 2553    
Last Update : 2 เมษายน 2553 12:13:41 น.
Counter : 590 Pageviews.  

ทำดี มีความสุข

เรื่องนี้เกิดเมื่อตอนวันเกิดครับ เป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองอิ่มเอมในความสุข เลยเอามาแบ่งปันกัน คนอ่านอาจจะรู้สึกว่า เอ นี่มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเองนี่นา แต่สำหรับผม ผมได้ก้าวข้ามผ่านอะไรหลายๆอย่างไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเคยพลาดอะไรหลายๆอย่างไป ลองมาดูกันว่า กับเรื่องเล็กๆน้อยๆผมได้อะไรมาบ้างครับ

วันเกิดผมเมื่อเดือนที่ผ่านมา คุณแฟนเค้าจะเซอร์ไพร้ เลยฝากผมซื้อไฟแช็ค ๕๕คือฝากซื้อของแบบนี้ก็รู้แล้วล่ะครับ ว่ามีเค้กแน่นอน แต่พอถึงตอนนั้นจริงๆด้วยเหตุการณ์ที่เค้าสร้างน่ารักมากครับ ขนาดรู้ว่ามีเค้กยังยิ้มแทบไม่หุบเลย แต่ตรงนี้ขอข้ามไปเพราะเป็นเรื่องของเราสองคน อิอิ และมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าโดยตรง เรื่องที่จะเล่าคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนไปซื้อของที่7-11ครับ

ผมแวะเข้าไปหาไฟแช็คซึ่งมันไมมีอ่ะ มีแต่ไม้ขีดไฟกลักใหญ่ๆ เอถ้าเอาไปแล้วจะเอาไปทำอะไรต่อวะเนี่ย อืมไฟแช็คมันอันเล็กอาจจะเก็บไว้ที่เคาเตอร์นะ ก็เดินถือน้ำเปล่าไป1ขวด ปรากฏว่าที่เคาเตอร์มีไฟแช็ค ก็โอเค น้ำเปล่า1 ไฟแช็ค1 แล้วปกติผมจะเอาธนบัตรใส่ไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกง วันนั้นจำได้ว่ามีธนบัตรแบบ20บาทอยู่ใบเดียว ก็หยิบส่งให้พนักงานโดยที่ไม่ได้ดู ปรากฏว่าพนักงานทอนเงินมา83บาท ผมก็งง เอหรือว่าเราจะเอาธนบัตร100บาทมาใส่เพิ่มแล้วหวา ก็ยืนงงตรงนั้นสักพัก แต่ดูพนักงานไม่ทักท้วงอะไร แปลว่าเราคงจ่ายแบ็งค์100ไปจริงๆแหละ ก็เดินงงๆออกมาจากร้าน หลอดเหลิดไม่ได้เอามาเลย(ตอนนั้นผมไม่กล้าบอกเพราะเคยคิดดงินเกินให้ร้านค้าไปแล้ว จากนั้นมาไม่ค่อยกล้าอีก เพราะคิดว่าเราอาจจะพลาด แต่คนขายน่ะไม่ยอมพลาดแน่ๆ)

จนเดินไปได้สักพัก เอ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเราเคยเอาธนบัตร100บาทมาใส่กระเป๋าตอนไหน ก็เอ๊ะยังไงนะ แล้วทำไมเค้าทอนมาตั้งเท่านี้ล่ะ แล้วปกติผมจะเป็นคนขี้อายมาก ปากหนัก เรื่องให้เข้าไปถามใหม่เนี่ย ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ(สำหรับคนที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว จะรู้ว่าบนเวทีกับเวลาปกตินี่คนละเรื่องกันเลย) แล้วถ้าไปถามก็ไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไรดี เค้าจะจำได้ไหม บลาๆๆ

ที่สุดเอ เค้าน่าจะมีกล้องนะ อาจจะดูประหลาดสักหน่อยถ้าจะไปขอดูกล้องว่าพนักงานทอนเงินมาเกินหรือเปล่าแค่80บาท แต่ถ้าเค้าต้องรับผิดชอบมันก็เยอะอยู่นา แต่เอายังไงดีไม่ค่อยกล้าด้วย คิดว่าถ้าเราเอามาเนี่ยเรารู้สึกผิดแน่ๆ ปกติถ้าหาทางคืนไม่ได้จะเอาไปบริจาค แต่นี่ก็เดินมาไม่ไกล เอาน่าจะอายอะไร นี่เราจะทำดีนะ

ก็เลยเดินกลับไป คนเยอะมาก(อีกเหตุผลที่เขิน เพราะเวลาคุยนานๆคนอื่นต้องรอ และสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน) ก็รอจนเคาเตอร์ว่าง เดินเข้าไปถามเค้าว่า "ทอนเงินผมมาผิดหรือเปล่าครับ" พนักงานหันมา
"พี่จ่ายธนบัตร20บาทมาใช่ไหมคะ"
"ครับผมว่าน่าจะใช่นะ"
"เนี่ยมีธรบัตร20บาทอยู่ในช่อง100บาท"
ขอบคุณพี่มากเลยนะคะ พนักงานขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมเคยทำงานบริการมาก่อน เคาเตอร์เนี่ยเค้าจะมียอดเงินแล้วเช็คตลอด ถ้ามันเกินบริษัทรับไป แต่ถ้าขาดน้องๆอาจจะต้องรับผิดชอบ

จริงๆเงินแค่80บาทอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน การเข้าไปสอบถามอาจเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนหลายๆคน แต่สำหรับผมการได้ก้าวข้ามความเขินอายเพื่อที่จะทำเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมดีใจมากครับ เราได้ข้ามสิ่งที่น่ากลัว(สำหรับผม)นั่นคือความอายที่จะทำดีไป หลายครั้งเพียงแค่เพราะว่าไม่กล้าเอ่ยปากถาม ทำให้เราพลาดอะไรหลายๆอย่าง หรือต้องทนรออะไรนานกว่าปกติ เพียงแค่เพราะ"ความไม่กล้า"เท่านั้นเอง

และผลตอบแทนของผมก็คือความสุขใจที่ได้ทำดี ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเก่าๆของตัวเอง และได้กินเค้กอร่อยๆในวันเกิดของตัวเอง

อิอิ

อ๊ะๆยังไม่จบน้า มีอีกเรื่องนึง คือในวันเดียวกันหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว วันนี้อารมณ์ดีจากเรื่องดีๆหลายเรื่อง เลยเอาหนังสือมาอ่านชื่อว่า"สมาธิภาวนา" เป็นหนังสือรวบรวมคำสอนของหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ก็อ่านไปจนเจอประมาณว่า "ให้กำหนดพุทโธๆไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่นแม้กระทั่งลมหายใจ" หลักใหญ่ใจความก็ประมาณนี้ คือกำหนดแต่คำนี้ ก็เลยเออปกติเรากำหนดที่ลม บางทีพอละเอียดแล้วมันจับไม่อยู่เลยหลง คิดว่าถ้ากำหนดเป็นคำๆแบนี้มันหยาบขึ้น น่าจะง่ายกว่ากันมาก

ผลปรากฏว่าวันนั้นนั่งได้สบายๆเลย กำหนดเวลาไว้ไม่นานสำหรับมือใหม่หัดขับ แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ที่สามารถกำหนดรู้ได้ครบตามเวลาอย่างไม่ขาดหายเลย ไม่มีหลงไปแล้วมาสะดุ้งรู้ กำหนดรู้อยู่ตลอดกับคำว่า"พุทโธๆ" ไม่ได้กำหนดเร็วๆนะ เอาตามสบายๆของเรา แต่เอาให้ดังๆในใจ จะได้ไม่หลง

มันสงบมากพอครบกำหนดเวลานี่มันใสเลย รู้สึกการนั่งกรรมฐานไม่ได้ยากอีกต่อไปแล้ว หลังๆเลยนั่งได้ง่ายขึ้นไม่อิดออดเหมือนก่อนแล้ว เข้าใจแล้วว่าการนั่งเป็นอย่างไร ทำไมหลายคนทำไปแล้วทำต่อเนื่องเพราะมันดีอย่างนี้นี่เอง ไอ้นั่งแล้วปวดหัว ปวด เมื่อย หนัก อ้อ มันยังไม่ใช่นะ

เป็นเรื่องที่ดีมากที่เกิดขึ้นในวันเดียว ในเวลาใกล้ๆกัน และเกิดในวันเกิดของเราด้วย จริงๆแล้วการทำดีไม่ใช่เรื่องยาก ทำแล้วคนอื่นไม่รู้แต่เราอิ่ม เราภูมิใจในตัวของเราเอง เราจะรูสึกได้ว่าเราได้ทำลายสิ่งไม่ดีลงไปแล้วหนึ่ง และสร้างสิ่งดีๆให้มีขึ้นในตนหนึ่ง และถ้าเราทำได้แบบนี้ปีละครั้งเราจะพัฒนาไปปีละอย่าง ถ้าเราทำได้เดือนละครั้ง เราจะพัฒนาตัวเองได้ปีละสิบสองครั้ง ถ้าอาทิตย์ละเรื่องก็พัฒนาได้สิบสองเรื่อง และถ้าเราทำได้วันละเรื่อง เราจะเป็นมนุษย์ที่ดีเร็วขึ้นไปอีก

หลังจากอ่านจบแล้วลองถามว่า "วันนี้เราทำเรื่องให้ตัวเองอิ่มเอมใจหรือยัง" หรือ "พรุ่งนี้ เราจะทำอะไรดีๆให้เกิดกับตัวเราและสังคมโลกได้บ้าง"

มีความสุขทุกท่านครับ




 

Create Date : 03 มีนาคม 2553    
Last Update : 6 มีนาคม 2553 2:58:09 น.
Counter : 474 Pageviews.  

รักคืออะไร

คือน้ำผึ้ง คือน้ำตาล คือยาพิษ คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
คือเกสร ดอกไม้ คือไฟรุม คือความกลุ้ม คือความฝัน นั่นแหละรัก

ว.วชิรเมธี



ชอบมากเลยครับ กับกลอนสอนใจบทนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าความรักนั้นมันหอมหวาน แต่อีกนัยหนึ่งหากเราผิดหวังกับความรัก หรือมีปัญหากับคามรักนั้นๆ เมื่อนั้นน้ำตาลอันหอมหวานก็จะกลายเป็นยาพิษที่กัดกร่อน แสบสะท้านเข้าไปในหัวใจเลย

เมื่อมีความรัก เมื่อรักนั้นน่าชื่นชม หลายคนก็เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ฝันนั้นช่างน่าละมุนละไม เต็มไปด้วยอวามอบอุ่นและรอยยิ้ม แต่หากรักนั้นเกิดมีปัญหา หรือความห่างไกลเมื่อใด รักนั้นก็จะนำความกลัดหนองอยู่ในอก แม้นเพียงความคิดถึงคนรักที่อยู่ไกลออกไป ก็ปริ่มว่าอกจะระเบิดออกมาเสียในตอนนั้น

แม้นรู้ว่าความรักจะนำพามาซึ่งความกลัดหนองในหัวใจ แต่หากเรากลัวที่จะรัก เราก็จะไม่ได้ความรักกลับมาเช่นกัน สิ่งที่เราต้องทำ คือกล้าที่จะเจอกับความท้าทายที่ความรักนำมาให้ ทำให้ช่วงเวลาที่หอมหวลนั้นยาวนาน และเวลาที่ขมขื่นนั้นแสนสั้น...เท่าที่คนสองคนจะทำได้




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2553 3:24:31 น.
Counter : 576 Pageviews.  

เมื่อผมไปตรวจเอดส์

ผมนั่งงงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ ใช่ครับเหมือนที่ผมเขียนหัวเรื่องไว้นั่นแหละ ผมจะต้องไปตรวจหาเชื้อเอดส์ หรือที่เรียกแบบสุภาพๆว่าเชื้อ HIV แล้วผมจะทำยังไงดี ชีวิตนี้ไม่เคยตรวจกับเค้าเลย แน่ล่ะนี่เป็นโรคที่คนคงไม่คิดจะไปตรวจกันหรอก...ถ้ามันไม่จำเป็น

ผมถามแฟนว่าพอจะรู้ไหมว่าค่าตรวจเท่าไหร่ ไม่นะ ไม่ใช่ว่าเธอจะเคยมีประสบการณ์ แต่เพราะเธอเกี่ยวข้องกับวงการสุขภาพต่างหากเลยคิดว่าน่าจะพอมีข้อมูล เธอบอกว่ารพเอกชนแถวๆบ้านเธอตรวจสุขภาพทั่วไปก็380บาท ถ้าตรวจเลือดราคาคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ทำไมไม่ลองเปิดเน็ทดูล่ะ

เออ จริงสิGOOGLEนี่มันทำอะไรได้หมดจริงๆนะ ก็เลยเสิชหารพเป้าหมาย พอเปิดไปดูมันมีแต่ตรวจสุขภาพเต็มไปหมดเลย ม่ายยย นี่มันไม่ใช่ที่เราจะตรวจทำยังไงดีๆ ก็เลยเอาเบอร์ในนั้นแหละโทรไปถามที่รพมันซะเลย

รพแรก อยู่บนถนนรามคำแหง แต่ไม่ใช่รพรามคำแหงนะ เค้าบอกว่า960บาทแน่ะถ้าจะเอาแบบรอผลชมเดียว หรือราคา820ถ้าจะเอาแบบรอผลสองชม โห ราคาของการรอ1ชมนี่100บาทเลยนะ แถมตรวจได้ถึง15.00อีก แต่เพ่เวลาที่ผมโทรถามน่ะ15.12แล้วนะ นี่ถ้าผมจะไปตรวจในเวลาผมไปรพรัฐไปแล้วเพ่

รพที่สอง โทรไปแล้วเค้าจะต่อฝ่ายการเงินให้ รอนานมากกก อ่อ ลืมบอกไปว่ารพนี้เป็นรพที่คุณแฟนบอกว่ารู้ค่าตรวจสุขภาพ380นั่นแหละ รอนานจนอดคิดไม่ได้ว่าพอเค้าเห็นเราตรวจโรคนี้แล้วเลยไม่สนใจหรือเปล่า จนสายติด "สักครู่นะคะฝ่ายการเงินยังไม่รับสายค่ะ" อ่อๆ สบายใจขึ้นมา พอฝ่ายการเงินรับก็960บาท(นี่มันราคามาตรฐานหรอวะเนี่ย) รู้ผลภายใน1ชม ตรวจได้24ชมเลย โอเคๆ

ตอนโทรไปถามนี่ก็ เอจะใช้คำว่าอะไรดีนะที่ดูไม่รุนแรง แล้วก็ดูไม่งกด้วย55 เพราะถ้าถามว่าราคาเท่าไหร่ก็ดูแปลกๆ เราอุตส่าห์ไปดูงานStreet Show มา ต้องเอาแนวทางมาใช้สักหน่อย เลยถามว่า"จะตรวจเชื้อHIVของที่รพ จะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ครับ" เห็นไหมดูดีกว่า"จะตรวจโรคเอดส์เสียเงินเท่าไหร่" เยอะแยะเลย

แล้วก็มานั่งนึกว่าเอ มันมีรพรัฐไหมเนี่ยที่ราคาน่าจะถูกกว่านี้ เลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ปรากฏว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจต้นทุนอยู่ที่ประมาณ150บาทเอง ทำงานนี้นี่มันค้ากำไรจริงวุ้ย แถมเค้าบอกว่ารพรัฐค่าตรวจ50-100บาทเอง โห แต่บังเอิญมีเว็บนึงคาดว่าคนเขียนเว็บ เขียนเพื่อส่งอาจารย์ เป็นข้อมูลของคลินิคนิรนามสภากาชาดไทย เออเข้าทีวุ้ย

แม่เจ้าค่าตรวจ200บาทเอง แถมตรวจไวรัสตับอีกเสบอีก200 ซิฟิลิสอีก60 รวมแล้ว460 ราคายังเม่าเท่าตรวจHIVของรพเอกชนเลย แถมเวลาทำการก็07.00-18.30ของวันธรรมดา วันเสาร์ทำงานครึ่งวันเช้า แม่เจ้า เหมือนต้องการให้เราไปที่นี่จริงๆ รายฃะเอียดครบ ไม่โทรถามประมาทมากๆ แต่ก็เอาที่นี่ล่ะวะ ได้รู้กันเป็นไม่เป็น

นั่งรถเมล์มาลงตรงโรงแรมอะไรหว่าแถวๆสีลมข้ามถนนมา คลินิคอยู่ถัดจากรพจุฬา เยื้องๆกับสวนลุมพินี ถ้าเดินมาจากสีลมจะเลยตรงขายอาหารข้างสวนลุมไปหน่อย(เลยสามแยกไปนิดนึง) อ่าเจอแระๆ ดูดีมีชาติตระกูลมาก ถ้าเป็นโรคนี้ก็มีคลินิครักษาด้วย แล้วก็มีเหมือนชมรม ดีนะคนที่เป็นจะได้มีกำลังใจ

แทรกนิด ก่อนจะมาถึงเจอคนรู้จักด้วยแปะผ้าก็อชตรงแขนด้วยเลยถามว่ามาทำอะไร อ่อมาบริจาคเลือดตรงอังรีนี่เอง เลยบอกผมก็เพิ่งให้ไปวันก่อนนี่เอง พี่เค้าน่ารักมากลางานมาบริจาคเลยนะ พอเราบอกว่าเราจะมาทำอะไรดูเค้าอึ้งๆไป เดินมาอีกหน่อยเจอคนแปะแขนมาเหมือนกัน เลยว่าเออใกล้แล้วแน่ๆเลย55 แล้วก็จริงๆด้วย แอบนึกว่าเอหรือคนที่เรารู้จักจะมาตรวจเหมือนเรานะ คิดไปคิดมาคนที่บริจาคเลือดกับคนที่มาตรวจมีจุดแตกต่างกันนา แต่ไม่บอกดีกว่าว่าตรงไหน อิอิ

เดินเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะมาตรวจเชือดที่หาเชื้อHIVครับ พี่เค้าก็ให้รายละเอียดว่าถ้าตรวจปกติก็200บาท แต่ถ้าเรายื่นบัตรประชาชนจะตรวจได้ฟรีปีละ2ครั้ง อ้าวเสร็จโก๋สิครับพี่น้อง ผมไม่มีอะไรต้องเสียครับ ยื่นเลยครับ ก็ตามปกติของคลินิคแบบนี้ครับ เคยได้ยินมาบ้าง คือเค้าจะไม่ถามชื่อแล้วก็ดูให้เกียรติเรามากเลยครับ ทั้งสายตา กิริยาท่าทาง ใครจะไปตรวจก็ไม่ต้องอายครับ ผมว่าดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงแล้วไม่มีโอกาสดูแลตัวเองนะ

พอเขียนแบบสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพเราเสร็จ ก็จ่ายค่าทำบัตร20บาท ยอมครับถูกกว่า960เป็นไหนๆ ในบัตรก็ดูไม่รู้หรอกครับว่าเป็นบัตรอะไร ดูเผินๆเหมือนบัตรชมรมรักสุขภาพครับ ไม่ระบุชื่อด้วย มีแค่คำนำหน้าชื่อกัยรหัสของเราแค่นั้นเอง แต่สำหรับคนที่ไม่ยื่นบัตรประชาชนแล้วเสีย200ผมไม่ทราบรายละเอียดนะครับ อ้อถ้าใครจะทำหนังสือรับรองต้องยื่นบัตรเท่านั้นนะครับ

เสร็จแล้วก็ขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่ ตรงนี้จะอธิบายให้เราฟังว่าการตรวจมีกี่แบบ ยังไงบ้าง ตอนที่ผมไปมีการตรวจแบบพิเศษด้วย ปกติค่าตรวจ1500บาท แต่ช่วงนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะเป็นการทำวิจัยไปในตัว โอ้เอาครับๆ ก็กรอกว่าเอาแล้วเค้าจะติดต่อมาใน3วัน ก็เลยถามว่าแล้วมีคนไม่หรอกไหม จนทบอกว่าก็มี ถามต่อว่าทำไม(เจือกจริงๆ) เค้าบอกบางคนคงไม่สะดวกให้ติดต่อกลับมั้งคะ อืมๆเข้าใจๆ แล้วก็ซักประวัติเราคร่าวๆ เช่นมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงไหม บลาๆๆ อันนี้ก็คงแล้วแต่เคส แต่ของผมถามนิดเดียวเพราะผมไม่มีประวัติเสี่ยง แล้วก็ส่งไปห้องเจาะเลือด

จริงๆผมต้องเจาะสองหลอดแน่ะ เพราะตรวจแบบปกติกับแบบพิเศษ(อยากแรดดีนัก) กำลังจะต่อรองกับคนเจาะว่าเจาะทีเดียวเอาหลอดมารองสองครั้งได้ไหม เพราะผมกลัวเข็มมาก(บริจาคเลือดไปแล้ว20กว่าครั้ง ทุกครั้งต้องบอกว่าเบาๆนะค้าบ ป๋มกลัวเข็ม) แต่พี่คนเจาะบอกเอาหลอดเดียว ตรวจอีกแบบคนเก็บเลือดกลับบ้านไปแล้ว เออโล่ง555 เจาะแบบนี้ไม่เจ็บนะครับ ผมกลัวเข็มยังสบายๆเลย เข็มไม่ใหญ่แล้วก็จิ้มไม่ลึกมากด้วย เสร็จแล้วก็รอผล1ชมครับ

ระหว่างรอแวบไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดมารวย แล้วก็แอบนั่งอ่านหนังสือแป๊บนึง กลับมาเกือบไม่ทันแน่ะเลทไปสี่นาที ถึงคลินิค18.30 ถามว่าทันไหม พี่เค้าบอกว่าคลินิคปิดรับคนไข้18.30ครับ แต่จะปิดตอน19.00จ้า รอดตัวไป

ก็อย่างที่คาดครับ ว่าเลือดไม่เป็น+แต่อย่างใด ถ้าสงสัยว่าตรวจทำไม เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้เสี่ยง แถมตอนไปบริจาคเลือด็ต้องเอาเลือดผมไปตรวจอยู่แล้วนี่นา(ถึงแม้เวลาบริจาคเลือกจะสุ่มตรวจก็เถอะ...เสียวแทนคนรับเลือดจริงๆ) ตอนเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่เค้าก็ถามเหมือนกันครับ อ่อ ผมจะไปบวชครับ ทางวัดต้องการผลเลือดด้วย ว่าเราไม่ได้เป็นโรคนี้ เพราะตามหลักแล้วจะไม่บวชให้คนที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงครับ

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ เจ้าหน้าที่บอกกับผมเป็นคำสุดท้าย

ก่อนจบ
1. ขออภัยถ้าจั่วหัวแรงไปนิด เพื่อดึงความสนใจครับ
2. สำหรับคนที่คิดว่าเสี่ยง หรือควรจะตรวจเช่นจะแต่งงาน ไปตรวจเถอะครับไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรเลย หรือถึงจะน่าอายก็ดีกว่าเอาโรคมาติดคนที่เรารักนะครับ
3. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใช้กิริยาที่ดีมากครับ ไม่ต้องไปกลัว เค้าไม่ถามอะไรที่เราไม่อยากตอบ ตรงไหนที่ต้องเซ็นชื่อก็เขียนให้อ่านไม่ออกได้ ตรงที่ต้องใช้ชื่อเรียกเราเขียนเป็นนาย ก นาย ขก็ได้ครับ
4. ตอนไปตรวจผมเข้าใจเลยว่าถ้าคนที่เสี่ยงไปตรวจจะรู้สึกยังไง มันเหมือนรอคำพิพากษาเลยนะ เป็นคำพิพากษาโทษประหารชีวิตซะด้วย ดังนั้นพยายามอย่าเสี่ยงเลยดีกว่าครับ

ขอบฟ้าบูรพา




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2552    
Last Update : 22 ธันวาคม 2552 1:35:08 น.
Counter : 8813 Pageviews.  

ขอบฟ้าและงานthe International Street Show in Bangkok

งานนี้มีไปเมื่อวันที่10-13ธันวาคมที่ผ่านมานะครับ แต่ที่มาเขียนวันนี้(จริงๆแล้วงานส่วนใหญ่ก็เลทๆแหละ อิอิ) เพราะว่าพยายามถ่ายรูปในสูจิบัตรมา แต่ดันโหลดเข้าเครื่องไม่ได้ คุณน้องสาวที่น่ารักขยันหาไวร้ายไวรัสตัวใหม่ๆมาลงเครื่อง(โดยไม่ได้ตั้งใจ)เสมอๆ วันนี้ได้โอกาสแล้วขอลองทบทวนอดีตเลยนะครับ

ขอบฟ้าไปดูงานตั้งแต่สามโมงเย็น(แน่นอนไปเลท) ถึงสามทุ่ม หรืออีกนัยหนึ่งไปตั้งกงานเริ่มยันงานปิดทั้งสองวันเลย คือวันที่ 11-12 ดูมันแทบทุกโชว์ แถมโชวน์ไหนที่ชอบดูไปเลยสองรอบสามรอบ ไม่ไปดูอันอื่นๆด้วย เพราะผมไม่ชอบความเสี่ยง อะไรที่ดูแล้วยังให้อะไรกับเรา ไม่ว่าจะความสนุก ตื่นเต้น และข้อคิด แล้วทำไมเราต้องเปลี่ยนไปดูอะไรที่มันไม่แน่ใจด้วยล่ะ อิอิ(ความคิดดูเพี้ยนๆเนอะ)

วันแรกที่ไป ไปแบบดุ่มๆมากเลย เดินมั่วไปหมด อันไหนที่สนุกก็ดูจนจบ อันไหนไม่สนุกก็เดินผ่านเลยไป สูจิบัตรเรอะ ได้มาตอนกำลังจะกลับนั่นแหละ แต่ก็ถือว่าดีครับ เพราะผมเพิ่งได้ดูอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก หมายถึงดูแบบมันมารวมๆกันหลายๆอย่างนี่แหละ บางอย่างก็ไม่เคยดูมาก่อนเลยในชีวิต ก้ได้รู้ความจริงเบื้องต้นแล้ว พอวันที่สองมีสูจิบัตรก็วางแผนได้ดีเลย เพราะรู้แล้วว่าเราชอบแนวทางแบบนี้ๆ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับอันที่เราไม่ชอบแน่ๆ

และแน่นอนการมองโลกแบบผม ขอบฟ้าบูรพา มันต้องมองแบบวิจารณ์กันนิดนึงงงงง

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์คนไทย เข้าขั้นแย่

อันนี้สังเกตุจากการใช้กล่องส่องการแสดงของหลายๆคน หลายคนพยายามพลิกบนลงล่าง เพื่อหาว่าทางไหนคือทางที่ใช้ตาดูกันแน่ ผมขำก็ตรงที่วัยรุ่นกลุ่มนึงเดินมา มีคนพยายามจะกลับหัวกลับหางหาทาง แล้วอีกคนก็สวนไปว่า "ทางไหนมันก็เหมือนกันแหละมึง"

อีกครอบครัวนึงเดินมา คุณแม่ก็พยายามจะส่องโชว์ พร้อมกับพึมพาเบสๆว่า "มองไม่ค่อยชัดเลย" จนคุณพ่อหันไปบอกด้วยรอยยิ้มว่า "มันไม่ใช่กล้องส่องทางไกลนี่นา"

จริงๆแล้วตัวกล้องทำมาจากกระจกสองชิ้นแล้ววางให้มุมมันตกกระทบแสงจากสิ่งที่ดูมาสู่ตาเรา อันนี้ผมไม่แน่ใจ จำไม่ได้แล้วว่าเรียนกันตอนชั้นไหน แต่จำได้ว่าตัวเองเล่นพวกกล้องส่องการแสดง กับกล้องสลับลายตอนป2 ก็เข้าใจหลักการแล้วนะ เพราะมันไม่ได้ยากอะไร

แต่เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าคนกลุ่มใหญ่ยังสับสนอยู่ ทั้งๆที่คนที่ผ่านหลักสูตรของกระทรวงศึกษามาแล้วยังสับสนกันอยู่!!! ที่น่าตกใจคืองานนี้มีน้องๆ มัธยมและนักศึกษามากันมาก แต่ก็ยังสับสนกันอยู่ แปลว่าเค้าเรียนเพื่อสอบ แล้วก็ลืมกันหมดเลยสินะ

ถ้ามันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เฉพาะหน่อยผมจะไม่ติดใจอะไรเลย แต่นี่เป็นพื้นฐานแท้ๆ แปลว่าระบบการศึกษาและระบบคิดของนักเรียนไทยน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะครับ

คนหัวทองเทคนิคดีกว่า แต่คนญี่ปุ่นเข้าใจอารมณ์มากกว่า

การแสดงส่วนใหญ่ที่ผมชอบมักจะเป็นคนญี่ปุ่นครับ ในวันที่สองมีสองโชว์ที่ผมดูฝรั่ง อิอิ

เท่าที่ดูมาหากเป็นการแสดงเดียวกัน และมีเหมือนๆกันเช่นการโยนJuggling หรือการใช้เทคนิคการแสดงที่ต้องใช้ร่างกาย ฝรั่งจะมีเทคนิคที่ดีกว่าครับ เช่นโยนได้เนียนกว่า มีลูกเล่นมากกว่า อันแสดงถึงความพยายามในการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง และการพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขอเทียบการโยนJugglingนะครับ เพราะมันเห็นได้ชัดเจนที่สุด ฝรั่งจะมีลูกเล่นที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน ในขณะที่คนญี่ปุ่นจะแสดงเหมือนๆกัน

แต่อาจจะเนื่องมาจากการฝึกซ้อมที่ดีนี่เอง ทำให้การแสดงดู"แข็ง"เกินไปในหลายครั้ง เช่น หากซ้อมว่าตรงนี้ต้องพลาด มันดูรู้เลยครับ ว่าอื้อซ้อมมาแบบนี้นะ หรือคำพูดบางอย่าง การแอ็คติ้งบางอย่าง มันแสดงให้เห็นเลยว่าเตรียมมาอย่างนี้ ซึ่งถ้าดูแบบพินิจพิเคราะห์แล้ว มันจะขาดอารมณ์และความสมจริงไป เหมือนกับเค้าจะเน้นแสดงเทคนิคมากกว่าจะสนุกไปกับคนดูแบบนักแสดงชาวญี่ปุ่นครับ

สำหรับชาวญี่ปุ่น หากจับมาวัดความสามารถกันตัวต่อตัวแล้ว ผมว่าอาจจะสู้พวกฝรั่งไม่ได้เป็นแน่แท้ แต่ทำไมผมเลือกที่จะดูการแสดงของคนญี่ปุ่นมากกว่าน่ะหรอ เพราะผมมาเพื่อสนุกไปกับการแสดงมากกว่าการมาดูความสามารถของนักแสดงน่ะสิ!!! และทั้งสองอย่างบางทีก็ไม่ได้ไปด้วยกันน่ะสิ

โชว์ของคนญี่ปุ่น หากเค้าพลาด ยากมากที่จะรู้ว่าเค้าพลาดจริงหรือเค้าซ้อมมาว่าพลาดตรงนี้ การจะรู้ต้องดูสองรอบแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน เว้นว่าในการแสดงรอบเดียวพลาดในจุดนั้นหลายรอบ อันนี้รู้แน่ แต่ทุกครั้งที่พลาด เค้าจะดึงบรรยากาศได้เสมอ

หลายครั้งที่มีการเชิญคนขึ้นมาร่วมสนุก ซึ่งมักจะเป็นเด็กๆ หากเด็กงงหรือไม่ให้ความร่วมมือ ฝรั่งอาจจะมีการแข็งขืนบังคับได้ แต่หากเป็นชาวญี่ปุ่น เค้าจะแกล้งทำเป็นขำ นำเสนออย่างอื่น ซึ่งผมว่าเทคนิคหลายๆอย่างของเค้าเราเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ การแสดงของพวกเค้าดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และพร้อมที่จะเล่นกับคนดูและบรรยากาศรอบตัวในขณะนั้น แต่หากเป็นการแสดงทักษะของฝรั่ง บางทีมันเป็นการรบกวนเค้าครับ

เขียนไปชักจะงงเอง คือฝรั่งอาจจะต้องใช้ทักษะและสมาธิสูง ทุกอย่างต้องเป็ๆ แต่กับคนญี่ปุ่นเค้าเล่นกับอารมณ์ของคนดูได้สนุกจริงๆครับ

เรื่องที่ชอบ ชื่นชมในการแสดงครั้งนี้
1. คุณแฟนแวบมาหาทั้งสองวัน แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆแต่ก็ดีใจ เพราะเค้าติดอ่านหนังสือเพื่อสอบวันจันทร์ ขอบคุณนะ
2. ได้เห็นน้องๆนักเรียนนักศึกษามาเปิดหูเปิดตา กับไอเดียและความึคิดสร้างสรรค์ ได้เห็นครอบครัวพาลูกหลานมาสนุกร่วมกัน ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วรู้สึกดีจริงๆ หวังว่าน้องๆหลายคนคงได้แรงบันดาลใจ แล้วในอนาคตผมจะได้เห็นน้องๆเค้าแสดงบ้าง
3. นักแสดงหลายๆคนที่แสดงด้วยใจรักจริง บางคนแสดงไปได้แป็บเดียวก็ร้อน+เหนื่อยจนเหงื่อท่วม แต่ก็มีรอยยิ้มทุกครั้งที่คนดูประทับใจ
4. ศิลปะในการปิดการขาย หรือการเปิดหมวกหลังการแสดง ทุกคนทำได้น่ารักมาก น่าล้วงเงินออกมาให้ ไม่รู้สึกว่าเป็นการบังคับแข็งขืน และคนไทยเดี๋ยวนี้เค้าก็ให้ตามความชอบแล้วนะ อันนี้ดีใจมากขึ้น อิอิ
5. สถานที่สะอาดใช้ได้ เห็นพี่ๆคนเก็บกวาดขยะทำงานกันตลอดเวลา ขอบคุณครับ
6. ทำให้ผมรู้ว่าการสื่อสารนั้นมาทางอวัจนะภาษามากกว่า การได้เห็นคนญี่ปุ่นและสื่อสารกับเด็กเข้าใจ มันเต็มตื้นนะ
7. เจอแฟนเก่ามากับคนใหม่ของเค้า ตลกดี บังเอิญจัง อิอิ

เรื่องที่ไม่ชอบ
1. ต้นไม้ดอกไม้บางส่วนในสวนโดนเหยียบกันและเลย สงสารต้นไม้ สงสารคนจัดสวน คงบ่นกันขรม
2. เวลาผมดูโชว์ ผมอยากให้คนแสดงสื่อสารออกมาเองครับ ผมไม่ได้รับสมัครนักพากย์ส่วนตัว อย่ามาพากย์ข้างๆผม

และตอนสุดท้ายของบล็อกนี้ แน่นอนโชว์ที่ประทับใจ นี่แหละที่จะเอารูปลง แต่เสียใจนะไม่ได้ถ่ายสถานที่จริง ถ่ายมาจากสูจิบัตรนี่แหละอิอิ

1. Funny Bones



พี่น้องครับ สองคนนี้มันบ้าครับ!!! กวนติงสุดๆไปเลย คนนึงมาจากอังกฤษ คนนึงเป็นชาวญี่ปุ่น เหมือนกับเป็นการเชื่อมเทคนิคอันแพรวพราวของพวกหัวทองกับการเล่นสนุกกับอารมณ์ของชาวหัวดำไปเลย

เค้าแสดงกันได้น่ารักมาก เริ่มต้นจะเป็นการแสดงมายากล ที่แอบเฉลยให้เราขำๆกัน ตามมาด้วยกลที่สนุกๆขำๆ และทั้งคู่ไวมากครับ เล่นเป็นช็อตตื่อเนื่องเลย เรื่องเทคนิคผ่านฉลุย และที่ชอบคือ มุกเค้าไม่ตายตัวนะ เช่นคริสกำลังเล่นๆอยู่เค้าเห็นลูกโป่งรูปเครื่องบินลอยมา แกเลิกเล่นเลย วิ่งไปหยิบเอารีโมทวิทยุบังคับมาทำเป็นว่ากำลังบังคับลูกโป่งอันนั้นซะงั้น!!! หรือบางทีเล่นๆไปแล้วคนยังงงๆ ยังไม่ทันขำ แกเอาของเขวี้ยงทิ้งแล้วทำท่าฮึดฮัดซะงั้น

เคโบก็น่ารักไม่แพ้กัน เค้าจะจดคำพูดใส่โพยไว้ "ทุกๆๆๆๆๆโคน พาสาไทยยย ย้ากม๊าก" แล้วเวลาตลกแกหน้าตายจริงๆ พับผ่าสิ มีตอนที่เค้าโยนไก่ปลอมให้คนดู แล้วคนดูโยนกลับมาแรงเกิน มีแจกใบเหลืองให้คนดูด้วย

และสุดยอดของโชว์คือการแสดงหุ่นซอมบี้ คนที่ดูน่ะสนุกและขำกันหมด ผมทั้งขำทั้งอึ้งเลยนะ เพราะในฐานะที่เคยอยู่บนเวทีมาบ้าง บอกได้เลยว่าการแสดงของทั้งคู่ ต้องผ่านการสร้างสรรค์ จินตนาการ และการฝึกซ้อมมามากขนาดไหน แค่ตอนซอบบี้จะเปิดกระเป๋าของคริสนี่ โหยขำมาก และต้องใช้จินตนาการและการฝึกซ้อมมากเลยกว่าจะออกมาได้ขนาดนี้

ดังนั้นอย่าแปลกใจที่ผมให้โชว์นี้ได้ที่1 และพาร่างกายอันอ่อนล้า(จากการเดิน และยืนดูทั้งสองวัน) ไปดูการแสดงของพวกเค้าไป"3รอบ" ดีใจที่รอบสุดท้ายเดินเข้าไปเจอคริส(เคโบตัวเล็ก หาไม่เจอ) แล้วบอกเค้าไปว่า "I do like your show the most" ตาคริสหันมายิ้มให้ แล้วเหมือนจะพูดอะไร แต่คลื่นมหาชนก็ถามโถมมาแล้ว ผมเลยเดินออกมา จะไปคุยด้วยอีกทีก็เค้าไปพักแล้ว

2.EDO Marionette group



การแสดงอื่นๆอาจจะเน้นความเป็นสากล คือคนทั่วโลกรับรู้ได้คล้ายๆกัน เช่น คนที่เล่นละครใบ้ก็จะนำเสนอเรื่องราวที่คนทุกชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมเข้าใจและสนุกได้เหมือนๆกัน แต่ไม่ใช่กับการแสดงชุดนี้

คุณลุง คุณป้าชาวญี่ปุ่นมานำเสนอวัฒนธรรมที่เห็นแล้วเราต้องอึ้ง คุณลุงภาคภูมิใจมากที่ตอนนำเสนอหุ่นกระบอกของเค้าและมักจะมีคำๆนี้ติดมาด้วยเสมอ "เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น หรือเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในญี่ปุ่น" และเนื่องจากเป็นศิลปะมากๆนี้เอง ทำให้น้องๆหลายคนลุกออกไปก่อนเวลาอันควร

ตอนแรกจะเป็นการเชิดหุ่นคนก่อนครับ ซึ่งหุ่นตัวนึงเนี่ยจะใช้เชือกในการบังคับถึง25เส้น มีทั้งบังคับแขน ข้อมือ หรือหัวก็จะมีเอียงซ้ายเอียงขวา หันซ้ายขวา โยกขึ้นลง ซึ่งคุณลุงภูมิใจมากที่บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

และจากการที่มีกลไกในการบังคับมากนี่เองทำให้หุ่นดูเหมือนมีชีวิตชีวาออกมากระโดดโลดเต้นได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะหุ่นตัวที่สองที่แสดงถึงบรรยากาศการเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ที่ผู้ชายคนไหนเมาก็จะนอนแอ้งแม้งเลย ถ้ายังไหวก็จะลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเพลง ตัวหุ่นเหมือนออกมาโลดแล่นแบบที่เราเห็นในภาพยนต์ หรือในการ์ตูนที่เราดูๆกันเลยครับ มียกขวดเหล้าขึ้นมาเขย่าๆ ดมๆ แล้วก็ดื่มไปเต้นไปสนุกมาก ระหว่างเชิดคุณลุงก็ขยับขาเหมือนคนเมาเลย ซึ่งผมสังเกตุเอาจากการที่ขยับในลักษณะที่แตกต่างไปจากตัวก่อนหน้านี้ เรียกว่าหุ่นเต้นไปคนเต้นด้วย ตอนก่อนจบน่ารักมากเหล้าหมด หุ่นเลยเขย่าแบบเอาหัวลงแบบที่เราเห็นในการ์ตูนแหละครับ ตลกดี

แต่.....ไคลแม็กของการแสดงคือการเชิดสิงโตครับ อย่างที่เราเห็นในรูปนั่นแหละ วันแรกผมทันดูเชิดสิงโตแป๊บเดียว ทำให้วันที่สองผมบอกกับตัวเองเลยว่าการแสดงนี้ยังไงก็ห้ามพลาด เพราะอะไรหรอครับ เพราะคุณลุงเชิดหุ่นของการเชิดสิงโตน่ะสิ!!!

งงไหมครับ คือคุณลุงเชิดหุ่นสิงโต พร้อมๆกับเชิดหุ่นที่เชิดสิงโตอีกสองตัวน่ะสิ
ในฐานะที่เป็นคนนครสวรรค์ บอกได้เลยว่าเนียนตามากกก หุ่นที่คุณลุงเชิดขยับแข้งขาได้เหมือนคนจริงๆเชิดสิงโตเลย แถมสิงโตขยับปาก กับๆๆๆ ได้ด้วยนะ แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด คือ ตอนที่คนเชิดด้านหลังเปิดผ้าออกมาปาดเหงื่อและดูคนดู แล้วก็เอามือหุ่นน่ะดึงผ้ากลับมาคลุมแล้วเชิดต่อ เชสสสส

แอบขำคุณป้านิดนึง ตรงที่คุณป้าใส่ชุดเหมือนคุณลุงเลย ดูเป็นพิธีการมากๆ ระหว่างแสดงต้องคลุมผ้าดำด้วย ผมก็นึกว่าคุณป้าจะมาแสดงอะไรมั่ง สรุปคุณป้าเอาพัดมาใส่ในมือหุ่นตัวแรก กับมาเอาขวดเหล้าออกจากมือตัวที่สอง แล้วก็มาเป็นผีเสื้อสองตัวให้กับตอนเชิดสิงโตเองอ่ะ

สุดท้าย สุดยอดของความน่ารัก คือคุณลุงพูดภาษาไทยได้เยอะมากกก ไม่ต้องใช้โพยด้วย เอาใจให้ไปเล้ย แถมตอนจบมีคนเข้าไปขอลายเซ็น เซ็นกันในสูจิบัตรนั่นแหละ ซึ่งผมรักคนญี่ปุ่นตรงความละเอียดนี่แหละครับ ถ้าไปที่อื่นคุณได้ลายเซ็นจริงๆ มาที่นี่มีเขียนอะไรไม่รู้(ก็ภาษาญี่ปุ่นนี่นา) แล้วก็มีสติกเกอร์แปะให้ด้วย เดาว่าคงประมาณชื่อกลุ่มมั้งครับ น่ารักดี ผมมั่นใจว่าคนที่ไปให้คนอื่นเซ็นถ้าหายตื่นเต้นก็คงทิ้ง แต่กับลายเซ็นคุณลุงถ้าจะทิ้งต้องคิดหนักกันหน่อยล่ะ

สุดยอดแบบนี้เอาไปเลยอันดับสอง

3. Iori MIKUMO



การแสดงของคุณลุง(ผมเรียกเค้าเป็นลุง เป็นป้าหมดเลยเนอะ ก็ตัวจริงอายุมากกว่าในรูปเยอะนาครับ) เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปรียบเทียบของผมเลยครับ มีการแสดงของฝรั่งที่ใช้ความสามารถเดียวกันกับคุณลุงเยอะแยะ แต่ทำไมผมถึงให้คุณลุงได้ที่สามน่ะหรอ

เพราะว่าคุณลุงเรียกเสียงหัวเราะและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีมากเลยครับ บวกกับมุกตลกที่เข้าใจ และเข้าถึงทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยได้ง่ายๆ เช่นรอบแรกที่ผมดูคุณลุงเรียกเด็กขึ้นไป แต่เด็กไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งสำหรับนักแสดงแล้ว นี่เป็นวิกฤติการย่อยๆเลยนะครับ แต่ทุกครั้งคุณลุงก็ทำให้มันผ่านไปได้ด้วยดี เช่น ถ้าเด็กไม่ทำเลยก็อาจจะค่อยๆแตะแขนไปทีละนิดให้เป็นแบบที่ต้องการ หรือเจอเด็กก้าวร้าวมาแกล้งก็ทำเป็นเจ็บมากแบบขำๆไป ผมทึ่งกับการแสดง การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของคุณลุงจริงๆ แอบเก็บความรู้หลายๆอย่างเอาไว้ด้วย

เช่น การสื่อสารมาจากหน้าตา น้ำเสียงซะมาก ดังนั้นเวลาจะสื่ออารมณ์สีหน้าจะต้องแสดงออกมาอย่างท่วมท้นเลยทีเดียว หรือบางทีการออกเสียงสั้นๆ แต่เจือความหมายในน้ำเสียงก็ทำให้คนดูเข้าใจแล้ว นอกจากนี้ยังมีมุกท้องถิ่นด้วย คุณลุงทำท่าประมาณว่าจะดัดลูกโป่งแบบเร็วมากๆให้เด็ก แล้วก็หักๆงอๆ แบบรวดเร็วมาก แต่ไม่อยู่ตัวนะ ก็กลายเป็นลูกโป่งงอไปงอมาแทน แล้วยื่นให้เด็กพร้อมภาษาไทยแปร่งๆว่า "งู"

เป็นการแสดงที่สนุกดีครับ ดูไปสองรอบ ไม่รวมเดินผ่านแล้วชมแวบๆ

ส่วนการแสดงอื่นๆที่ประทับใจก็ ที่ทำเป็นศิลปินวาดรูปครับ ดูแล้วเหมือนหุ่นมีชีวิตเลย แม้จะเงียบตลอดการแสดง แต่เด็กๆที่ว่าวัยสมาธิสั้นก็ไม่เบื่อกันเลย(สรุปเด็กเค้าสมาธิสั้น หรือครูบางประเทศสอนไม่น่าสนใจหว่า) แต่ที่ไม่ติดเพราะเค้าจำเป็นจะต้องเล่นกับเด็ก รอบสุดท้ายพาแฟนไปดู พิธีกรต้องเรียกเด็กมานั่งหน้า(ไม่งั้นเล่นไม่ได้) บวกกับเค้าคงเหนื่อยมาก เลยออกมาไม่สุดยอดเท่ากันเลยไม่ติด1ใน3เลย

แอบขำที่รัก "คนแสดงเค้าพูดอะไรเงียบๆอยู่คนเดียวหรอ" เอ่อที่รักจ๊ะก็ยื่นสูจิบัตรให้ดูแล้วไงครับ ว่าหุ่นนั้นชื่อฟร็องซัว บล็อง ศิลปินที่พูดฝรั่งเศษสำเนียงที่ไม่มีใครเข้าใจ ตาคนเชิดก็เลยต้องพูดกับหุ่นอยู่คนเดียวงั้ยยย

สำหรับการแสดงไทยยอมรับว่าดูผ่านๆไปกลุ่มเดียวครับ เรายังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาอีกมาก ผมอยากให้กำลังใจนะ แต่งานแบบนี้ก็ต้องขอเสพให้เต็มที่ก่อน แต่บ้านเราเพิ่งจะมารู้จักกับศิลปะแนวนี้ได้ไม่นาน ไม่เหมือนที่อื่นที่เค้าทำกันมายาวนานมาก และเปิดโอกาส มีเวทีให้แสดงหลากหลาย ก็ต้องพัฒนากันต่อไปครับ หวังว่าวันนึงจะได้ไปยืนหัวเราะการแสดงของคนไทยด้วยกันในต่างประเทศบ้างครับ

เอวังก็ด้วยประการละฉะนี้




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2552    
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 3:03:09 น.
Counter : 503 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.