Group Blog
 
All blogs
 

Side Story: คือรักในความทรงจำ





Time ... I've been passing time
watching trains go by
All of my life ...
Lying on the sand, watching seabirds fly
Wishing there would be
Someone waiting home
for me ...



เสียงเพลงที่ดังขึ้นจากวิทยุทำให้พิรยายื่นมือไปหมุนเปลี่ยนคลื่น ก่อนที่เสียงอุทานจากสาวน้อยที่เพิ่งจ่ายเงินซื้อชุดกระโปรงในร้านจะเรียกให้หญิงสาวเงยหน้าจากสมุดบัญชี

“ว้าย ฝนตกแล้ว!”

เจ้าของร้านสาวชะโงกตัวออกจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อมองผ่านคนพูดไปยังด้านนอก อาจเป็นเพราะอากาศในร้านที่ค่อนข้างเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับเสียงดนตรีจากวิทยุจึงทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงพายุฝนที่กำลังเทลงมาราวฟ้ารั่ว หญิงสาวหยิบร่มพับคันเล็กสีสันสดใสออกจากลิ้นชักพลางเอ่ยเรียกเด็กสาวที่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตูร้าน

“น้องหลินยืมร่มของพี่ไปก่อนก็ได้ค่ะ ไว้เดี๋ยวมาร้านพี่คราวหน้าค่อยเอามาคืนก็ได้”

สาวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนหันมาหาเจ้าของร้าน ก่อนจะรับร่มไว้แล้วเอ่ยทักอย่างเกรงใจ “โหยพี่ปอนด์ แล้วให้หนูยืมแบบนี้พี่ไม่ต้องใช้เหรอคะ หนูว่าท่าทางมันน่าจะตกนานนะเนี่ย”

เจ้าของร่มได้ยินคำทักท้วงก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เมื่อกี้ป๊าหนูเค้าก็โทรมาเร่งยิกๆแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างกว่าพี่จะปิดร้านฝนก็คงหยุดพอดีแหละ หลินเอาไปเถอะ”

เด็กสาวกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณก่อนจะรีบผลักประตูและวิ่งออกไป หลังจากคล้อยหลังลูกค้าสาวได้ไม่นาน พิรยาก็ต้องหันไปทางหน้าร้านอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกระชากประตูเปิดอย่างแรงพร้อมกับเสียงพายุฝนที่ดังตามขึ้นวูบหนึ่ง

“โว้ย!!! อยู่ดีๆก็ตกลงมาเฉยเลย เอ้าไอ้ปอนด์ ช็อกโกแลตมูสของแกได้แล้ว ของร้านพี่ไหมหมดชั้นเลยต้องถ่อไปซื้อให้แกตั้งร้านพี่อ๋อมโน่น คอนเวิร์สคู่ใหม่ชั้นเลยเปียกหมดเลย”

หลังบ่นกระปอดกระแปดแล้ว เจ้าของเสียงซึ่งเป็นหญิงสาวร่างผอมบาง ผมซอยสั้นโกรกเป็นสีน้ำตาลเหลือบทอง สวมแว่นตากรอบกลมเล็กสีชา และแต่งตัวทะมัดทะแมงแบบที่คนมองเผินๆอาจกังขาว่าเป็นหญิงหรือชายก็วางถุงใส่ขนมลงบนเคาน์เตอร์อย่างกระแทกกระทั้น พิรยาเลยหัวเราะอย่างไม่ถือสาก่อนจะยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้เพื่อน

“อ้าว ก็ทำไมแกไม่โทรมาบอกก่อนละว่าเค้กร้านพี่ไหมหมด แล้วถ้าไม่ใช่เพราะตอนแรกแกบอกว่าอยากกินมอคค่าปั่นร้านพี่เค้าชั้นก็ไม่ฝากแกซื้อหรอก จะมาโทษชั้นได้ไงเล่า”

คนโดนท้วงถอดแว่นออกมาเช็ดไอน้ำที่เกาะบนเลนส์ก่อนจะสวมกลับเข้าไปตามเดิม จากนั้นก็กระชากผ้าขนหนูจากมือเพื่อนไปขยำผมตัวเองที่เปียกฝนจนชี้ผิดทรงอย่างลวกๆ พิรยาเห็นว่าอีกฝ่ายมองค้อนตัวเองปะหลับปะเหลือกก็หัวเราะคิก เพื่อนของเธอจึงตัดรำคาญด้วยการบุ้ยคางไปที่นาฬิกาแขวนผนัง

“หัวเราะไปเถอะ แล้วไหนบอกว่าเย็นนี้ต้องไปงานมอบรางวัลของพี่กั้งไม่ใช่หรือไง ฝนตกแบบนี้รถติดตายชักเลยแก วันนี้วันศุกร์ด้วยสิ”

พิรยาหยิบถ้วยขนมออกจากถุง ก่อนจะใช้ช้อนพลาสติกคันเล็กตักมูสช็อกโกแลตขึ้นด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนกับคำเตือนของเพื่อนและหุ้นส่วนร้านเสื้อที่เธอเปิดในย่านกลางเมืองมาได้สองปีแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่กั้งเค้าได้รางวัลผู้กำกับโฆษณายอดเยี่ยมบ่อยจะตาย ถึงไปไม่ทันช่วงขึ้นรับรางวัลก็ไปร่วมตอนงานปาร์ตี้ก็ได้ น่าจะเลิกดึกกันอยู่หรอก”

หญิงสาวเอ่ยถึงจิรวัฒน์ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่ตนคบมาได้หนึ่งปีอย่างไม่ยี่หระ ฝ่ายชายนั้นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาซึ่งนับได้ว่างานชุกที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในวงการโฆษณาเมืองไทย แต่ถึงกระนั้นคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ของพิรยาก็ใช่ว่าจะเห็นดีด้วยกับการคบกันของทั้งคู่นัก เนื่องจากหญิงสาวเป็นลูกคนสุดท้องที่ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่ยังเล็ก บวกกับอายุที่มากกว่าถึงสิบสามปีของฝ่ายชาย แล้วยังการที่จิรวัฒน์เคยแต่งงานและหย่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีลูกติดจากการแต่งงานครั้งแรก ทว่าก็ทำให้พ่อแม่และพี่ๆค่อนข้างจะเป็นห่วงอนาคตของเธอพอสมควรทีเดียว

เนื่องจากครอบครัวของพิรยาจัดอยู่ในฐานะผู้มีอันจะกินเพราะพ่อเป็นประธานบริษัท และความที่พี่ชายและพี่สาวทั้งสามต่างทำหน้าที่ลูกที่ดีด้วยการสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ทุกคน ทำให้เธอซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องไม่ได้รับการกดดันนักด้านการเรียน และทำให้ไม่ถูกคัดค้านเมื่อตัดสินใจขอไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่อังกฤษหลังจากเรียนจบมัธยมปลายโดยไม่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไทยให้จบปริญญาตรีเสียก่อน

และความที่ได้พบเห็นโลกกว้างในต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย บวกกับเป็นคนไม่อยู่นิ่งและชอบเดินทางท่องเที่ยวนี่เอง ทำให้เธอได้พบเห็นประสบการณ์แปลกใหม่และวิถีชีวิตผู้คนที่แตกต่างจากในเมืองไทยมากกว่าคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาก ดังนั้นจึงไม่เคยสนใจว่าใครจะมองอย่างไรกับการที่ตนเลือกคบกับผู้ชายที่เคยมีอดีตและอายุมากกว่าตนเกินรอบเช่นนี้

นอกเหนือไปจากนั้น...เพราะพิรยาก็ตระหนักดีว่าเธอเองใช่จะเป็นสาวน้อยไร้เดียงสามาจากไหน ประสบการณ์ที่ได้ใช้ชีวิตตามลำพังในต่างประเทศสามปีกว่าทำให้ผ่านเรื่องราวมากมายที่น้อยคนในวัยเดียวกันจะได้พานพบ และบทเรียนในชีวิตเหล่านั้นก็กล่อมเกลาจนหญิงสาวมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนๆวัยเดียวกัน แต่ก็ยังมีบางคราที่เธอจะแสดงแง่มุมที่ขี้เล่นและซุกซนตามประสาสาวน้อยอายุยี่สิบสามออกมาบ้าง

“เฮ้ยปอนด์ นี่โบรชัวร์อะไรอ้ะ พอดีเมื่อกี้ชั้นวางแก้วกาแฟทับไปมันเลยเปียกไปแล้วว่ะ”

คนถูกเรียกเบนสายตาจากการเหม่อมองพายุฝนภายนอกไปหาคนถาม ก่อนจะรับแผ่นพับซึ่งทำจากกระดาษอาบมันไปคลี่อ่าน เรียวคิ้วบนใบหน้าหวานขมวดขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปรับให้เป็นเหมือนเดิม จากนั้นจึงส่งเสียงตอบเพื่อนสนิทที่ยืดตัวจากเก้าอี้ข้างเคาน์เตอร์ขึ้นมาดูว่าเป็นแผ่นพับเกี่ยวกับอะไร

“นิทรรศการศิลปะน่ะ เพื่อนชั้นส่งไปรษณีย์มาให้ตั้งนานแล้ว วางทิ้งไว้จนลืมไปเลย”

มณิมนหยิบแผ่นพับออกจากมือของเพื่อนไปอ่านบ้าง “อะไรเนี่ย? นิทรรศการผลงานศิลปะในหัวข้อ 'เส้นสายแห่งรัก' โดยการรวมตัวของศิลปินอาชีพและมือสมัครเล่น...อ้าว! วันนี้เค้าแสดงเป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นา แถมเปิดถึงแค่ทุ่มนึงด้วย แล้วนี่แกได้ไปดูหรือยังเนี่ย?”

พิรยาส่ายหน้า ก่อนจะตักขนมเข้าปากและละเลียดรสชาติหวานปนขมของช็อกโกแลตบนปลายลิ้น “…ยัง แกก็เห็นว่าชั้นเฝ้าร้านเจ็ดวันต่ออาทิตย์แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปล่ะ นี่ถ้าแกไม่ทักขึ้นมาชั้นก็คงลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”

หญิงสาวเอ่ยก่อนจะหยิบนิตยสารแฟชั่นที่อยู่บนหลังเคาน์เตอร์มาพลิกดูรูป เพราะพายุฝนที่ยังกระหน่ำด้านนอกทำให้ไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้าน ดังนั้นตอนนี้ทั้งสองจึงสามารถพักผ่อนกันตามสบายได้ และคนฟังก็ไม่ทันจับสังเกตน้ำเสียงที่แปลกไปเล็กน้อยของเพื่อนจึงเอ่ยต่อ

“แหม กับแค่แวะไปให้กำลังใจเพื่อนจะเสียเวลาสักเท่าไหร่เชียว ชั้นเฝ้าร้านคนเดียวได้หรอกน่ะ อีกอย่างแกไม่ต้องไปแล้วดูผลงานทุกชิ้นก็ได้นี่หว่า ดูแค่ของเพื่อนแกก็พอแล้ว”

พิรยาส่ายหน้ายิ้มๆพลางตักขนมคำสุดท้ายเข้าปาก ขืนทุกคนคิดอย่างเพื่อนเธอกันหมดคงน่าสงสารผู้จัดนิทรรศการและเหล่าศิลปินไม่ใช่น้อย

หญิงสาวเหลือบมองโทรศัพท์มือถือสีขาวของตนที่วางอยู่ข้างเครื่องเก็บเงิน และคงเพราะการที่เพื่อนเพิ่งจะพูดถึงนิทรรศการนั้นขึ้นมา เธอจึงอดจะนึกถึงคนที่ส่งแผ่นพับนี้มาให้ และเพิ่งจะได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์เมื่อต้นสัปดาห์ไม่ได้


‘ปอนด์ นี่ผมเองนะ’

‘ที่ร้านยุ่งมากเหรอ ก็ไม่แปลกหรอก ใครได้เห็นก็ต้องชอบเสื้อผ้าที่ปอนด์ออกแบบอยู่แล้วนี่นา’

‘ได้เห็นโบรชัวร์นิทรรศการที่ผมส่งให้หรือเปล่า ศุกร์นี้ก็จะเปิดแสดงเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ ผมอยากให้ปอนด์ได้เห็นภาพของผม’

‘งั้นผมไม่กวนแล้วล่ะ ยังไงถ้าปอนด์จะมาก็โทรบอกผมแล้วกัน อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ โอเค?’


น้ำเสียงที่ไถ่ถามอย่างสบายๆไม่ได้บ่งบอกว่าคนพูดบังคับให้เธอไปชมนิทรรศการครั้งนี้หากไม่เต็มใจ แต่ถึงกระนั้นพิรยาก็รู้ดี...ว่าคนที่โทรมาชวนนั้นอยากให้เธอไปแค่ไหน ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงมีความหมายนักหากว่าเธอจะไปหรือไม่ และต่อให้เธอไปชมผลงานของเขาจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถช่วยแก้ไขความผิดพลาดระหว่างทั้งสองที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วได้อยู่ดี


‘....ผมอยากให้ปอนด์ได้เห็นภาพของผม’


พายุฝนภายนอกที่เมื่อครู่สาดซัดอย่างรุนแรงเริ่มซาลง แต่กระนั้นฝนเม็ดใหญ่ๆก็ยังคงตกลงมาจากฟ้าไม่หยุด น้ำเสียงอันคุ้นเคยของชายหนุ่มยังคงกังวานอยู่ในหัว พิรยาเม้มปากแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปด้านหลังและหยิบแจ๊คเก็ตหนังเข้ารูปสีแดงสดตัดกับเสื้อตัวในสีครีมขึ้นมาใส่

ในเมื่ออยากให้ดูนัก ก็ไปดูให้เค้าหน่อยแล้วกัน ไหนๆก็จัดแสดงวันสุดท้ายแล้ว...

“อ้าว ปอนด์ จะไปไหนวะ?”

มณิมนทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวหยิบกระเป๋าถือขึ้นคล้องไหล่และเดินไปที่ประตู พิรยาจึงหันกลับไปคลี่ยิ้มหวานแล้วส่งจูบให้

“ก็ไปงานมอบรางวัลของพี่กั้งไง เดี๋ยวถ้าวันนี้แกอยากจะรีบปิดร้านก็ตามสบายเลยนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะสุดหล่อ”

“เฮ้ย! แล้วทำไมแกไม่หยิบร่มออกไปด้วยเล่า ไอ้ป๊อนด์!!”

พิรยาไม่ทันได้ยินว่าเพื่อนพูดอะไรต่อ เพราะหลังจากที่ดึงฮู้ดที่ติดกับแจ๊คเก็ตขึ้นคลุมผมแล้วหญิงสาวก็รีบวิ่งออกจากร้านทันที จากนั้นก็ลัดเลาะผ่านหน้าร้านในบริเวณใกล้กันซึ่งมีกันสาดยื่นออกมาเพื่อไม่ให้ตนเปียกฝนมากนักขณะวิ่งไปที่ลานจอดรถ โชคดีว่าเธอชินกับรองเท้าส้นสูงหุ้มข้อคู่เก่งที่ใส่อยู่จึงไม่ลื่นหกล้มบนพื้นที่ฉ่ำน้ำฝนไปเสียก่อน

กว่าจะวิ่งไปถึงที่รถนั้น เรียวขาสองข้างที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นกุดก็เปียกน้ำไปหมด แต่ว่าเสื้อคลุมที่ทำจากหนังก็ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปถึงเสื้อตัวในได้เป็นอย่างดี พอเข้าไปในรถแล้วพิรยาจึงหยิบกระดาษทิชชูจากกล่องขึ้นซับหยาดน้ำบนขาลวกๆก่อนจะขยำทิ้งถังขยะใบเล็ก จากนั้นก็บิดกุญแจสตาร์ทรถพลางเปิดฮู้ดที่คลุมผมอยู่ออก หญิงสาวหยิบยางรัดผมจากช่องหน้ารถขึ้นมัดรวบผมที่ยาวสลวยให้เป็นมวยสูง จากนั้นจึงเข้าเกียร์ถอยและหมุนพวงมาลัยไปยังทางออกจากลานจอดรถ

นาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือบอกให้เธอรู้ว่าขณะนั้นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว ทว่าการจราจรบนถนนสี่เลนก็แน่นขนัดไปด้วยรถยนต์ที่ดูเหมือนจอดนิ่งมากกว่ากำลังรอสัญญาณไฟให้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว หญิงสาวเผลอยกนิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งขึ้นกัดเล็บอย่างลืมตัว ทั้งที่เป็นนิสัยที่เธอเลิกทำมานานแล้วยามกระวนกระวายใจ

จะไปทันไหมนะ....



“ขอโทษนะครับ นิทรรศการปิดแล้ว ข้างในกำลังเคลียร์ของกันอยู่ คงให้เข้าไปไม่ได้หรอกครับ”

เสียงยามรักษาความปลอดภัยหน้าแกลเลอรีเอ่ยกับพิรยาอย่างเกรงใจ แต่กระนั้นก็ยังรักษาหน้าที่อย่างแข็งขันด้วยการยืนบังประตูด้านหน้าไม่ให้เธอผ่านเข้าไป เสียงลอกเทปกาวและเสียงฝีเท้าสับสนหลายคู่ซึ่งดังลอดออกมาจากด้านในทำให้เธอรู้ว่าป่านนี้ผลงานที่จัดแสดงคงกำลังถูกจัดเก็บแล้ว แต่แม้จะรู้ว่าตนมาสายกว่าเวลาปิดนิทรรศการไปร่วมชั่วโมง แต่นิสัยดื้อรั้นก็ทำให้หญิงสาวไม่ยอมถอยหลังกลับง่ายๆ

“แต่ชั้นรู้จักกับศิลปินที่เอาผลงานมาแสดงนะคะ แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ที่ดันว่างแค่วันนี้ แล้วการจราจรเมืองไทยก็ห่วยจนทำให้มาถึงเลท ยังไงขอเข้าไปดูนิดเดียวไม่ได้หรือไงกัน รับรองว่าไม่ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ด้านในหรอกค่ะ”

หญิงสาวเอ่ยอย่างร้อนใจ นึกสาปแช่งรถสองคันที่เกิดอุบัติเหตุลื่นไถลชนกันกลางถนนระหว่างทางจนทำให้ติดแหง็กจนมาสาย แถมพอมาถึงแล้วก็พบว่าประตูหน้าของแกลเลอรีปิดล็อคไปแล้ว และยามรักษาความปลอดภัยก็ยืนกรานไม่ยอมให้เธอได้เข้าไปข้างในเสียอีก

ถึงแม้คำพูดของหญิงสาวจะฟังดูอ้อนวอน แต่ว่าน้ำเสียงกับสีหน้าที่เกือบจะคุกคามทำให้ยามที่พยายามจะทำหน้าที่ของตนเหงื่อตก เขาเพิ่งจะเข้ามาผลัดกะกลางคืนได้เพียงชั่วโมงเดียว จู่ๆก็มีหญิงสาวสวยในกางเกงขาสั้นกุดเดินตรงเข้ามาและทำท่าจะเข้าไปในแกลเลอรีทั้งที่แขวนป้ายปิดไว้ พอเขาอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมให้เข้าไปได้หญิงสาวก็ชักสีหน้าไม่พอใจ และแม้ว่าเจ้าหล่อนจะมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น แต่ท่าทางวางอำนาจราวคนที่ชินกับการอยากได้อะไรก็ต้องได้ทำให้เขาลำบากใจไม่น้อย

ขณะที่พิรยาถลึงตาใส่ยามวัยกลางคนอย่างหาเรื่อง เสียงทุ้มต่ำเจือรอยยิ้มที่ดังขึ้นก็ราวกับระฆังที่ช่วยระงับยกเอาไว้ให้เสียก่อน

“เพื่อนผมเองครับลุง เดี๋ยวให้เค้าเข้าไปกับผมก็ได้ครับ”

พิรยาเกร็งไหล่ขึ้นโดยอัตโนมัติ เธอสัมผัสได้ราวกับเห็นว่าเจ้าของเสียงยืนห่างไปด้านหลังเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะค่อยดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็หยุดลงที่ข้างตัว ไออุ่นจากร่างสูงใหญ่ที่สวมสูทลำลองสีขาวราวจะแทรกซึมผ่านเสื้อแจ๊คเก็ตหนังของเธอเข้าไปถึงในกาย เมื่อหญิงสาวผินหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนพร้อมรอยยิ้มอยู่แล้ว

“ผมนึกแล้วว่าปอนด์ต้องมา”




หลังจากคลายความสงสัยของยามรักษาความปลอดภัยว่าพิรยาเป็นคนรู้จักของเขาจริงๆ เอกภพก็พาหญิงสาวเดินอ้อมอาคารสองชั้นไปยังประตูหลังของแกลเลอรีซึ่งเอาไว้ใช้ขนของ หลังจากที่เข้าไปในอาคารได้แล้ว ร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าจึงค่อยหันกลับมามองแขกของตน พิรยาขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นรอยยิ้มและประกายตาของอีกฝ่าย

“มองอะไรภพ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าโดยที่รอยยิ้มยังคงอยู่บนเรียวปาก จากนั้นจึงหมุนตัวกลับและเดินนำเธอขึ้นบันได

“เปล่าหรอก แค่คิดว่าปอนด์ยังเหมือนเดิมเลย เมื่อกี้ผมมองด้านหลังแว่บเดียวก็รู้แล้วว่าต้องเป็นปอนด์แน่ๆ”

พิรยาอดจะก้มลงมองการแต่งกายของตนไม่ได้ ก็แค่กางเกงขาสั้นกับรองเท้าหนังส้นสูงหุ้มข้อเท้า แล้วก็เสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีแดงมีฮู้ดและผมที่เกล้ามวยสูงเท่านั้นนี่นา เดี๋ยวนี้สาวๆก็แต่งตัวสไตล์เธอเยอะแยะไป ใช่ว่าเธอแต่งตัวประหลาดไปจากคนอื่นมากมายเสียหน่อย แต่ว่าหญิงสาวก็ตัดสินใจไม่เอ่ยสิ่งที่คิดออกมาและเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

บนพื้นโถงบริเวณชั้นหนึ่งมีกล่องกระดาษหลายขนาดซึ่งปิดผนึกแล้ววางกองอยู่ และระหว่างทางที่เดินขึ้นบันไดเวียนนั้น ทั้งสองก็เดินสวนกับพนักงานแกลเลอรีที่เดินขึ้นลงพลางถือผลงานที่ห่อพลาสติกกันกระแทกแล้วอย่างขวักไขว่ เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองพิรยาจึงเร่งฝีเท้าไปดึงแขนเสื้อคนที่เดินอยู่ข้างหน้าแล้วเอ่ยถาม

“นี่ปอนด์มาเกะกะหรือเปล่า เค้าเริ่มเก็บของกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เอกภพพยักหน้าให้กับพนักงานแกลเลอรีคนหนึ่งขณะเดินสวนกัน ก่อนจะหันกลับมาตอบคำถาม “ไม่เป็นไรหรอก พอดีเค้าต้องรีบเคลียร์ผลงานที่อยู่ตรงโถงใหญ่ออกไปก่อนเพราะพรุ่งนี้จะมีนิทรรศการอื่นมาลงน่ะ แต่ห้องที่เป็นส่วนจัดแสดงของผมอยู่ด้านใน ต่อให้ยังไม่ได้เอาออกไปวันนี้ก็ไม่มีปัญหา”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้แล้วปล่อยมือ จากนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีกแม้ว่าจะเป็นการพบกันอีกครั้งกับอดีตคนรักที่เธอเคยคบตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษหลังจากไม่เห็นหน้ากันหลายเดือน พิรยาพยายามจะเค้นความทรงจำว่าอีกฝ่ายเลิกแทนตัวเองว่า ‘ภพ’ แล้วเปลี่ยนเป็น ‘ผม’ กับเธอตั้งแต่ตอนไหน แต่ในเมื่อยามนี้ทั้งสองไม่ได้คบหากันในฐานะคนพิเศษของกันและกันอีกแล้ว เขาจะใช้สรรพนามอะไรกับเธอก็คงไม่สำคัญแล้วกระมัง

แต่หากนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ ทำไมเธอจึงรู้สึกหวิวโหวงในอกยามที่ได้ยินสรรพนามอันห่างเหินเช่นนี้ด้วยนะ?

เจ้าของเรือนร่างเพรียวหยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว เธอไม่เข้าใจว่าทั้งที่ตอนนี้ตัวเองควรจะอยู่ในอีกที่หนึ่ง และแสดงความยินดีกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แต่ทำไมเวลานี้สายตาของเธอกลับกำลังจับจ้องแผ่นหลังกว้างของผู้ชายอีกคนที่เดินอยู่ตรงหน้า และทำไมถึงไม่สามารถฝืนกระแสความรู้สึกโหยหาอาลัยที่เคยคิดว่ากลบฝังไปแล้วซึ่งกำลังเอ่อล้นท่วมหัวใจได้ ในเมื่อสามปีก่อน เธอเป็นคนเลือกจะหั่นสายใยที่เชื่อมโยงทั้งคู่ให้ขาดสะบั้นไปด้วยตัวเองแท้ๆ

“ปอนด์? มีอะไรหรือเปล่า?”

เสียงเรียกจากคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าคนข้างหลังหยุดเดินและหันกลับมามองอย่างเป็นห่วงทำให้พิรยาได้สติ เธอจึงส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพยายามปั้นยิ้มออกมา

“เปล่าหรอก งานของภพอยู่ห้องนี้เหรอ? ภาพไหนล่ะ?”

หญิงสาวเอ่ยพลางเร่งฝีเท้าตามไปที่หน้าห้องเล็กห้องหนึ่งและมองไปรอบตัว ห้องจัดแสดงภาพที่ทั้งคู่กำลังยืนอยู่เป็นห้องย่อยที่อยู่ด้านปีกตะวันตกของแกลเลอรี และเสียงความวุ่นวายของการเก็บข้าวของบริเวณห้องโถงใหญ่ก็ไม่กล้ำกรายเข้ามาในบริเวณนี้ แสงไฟในห้องไม่สว่างนักเนื่องจากมีการจัดวางดวงไฟให้เน้นแสงเป็นจุดๆตามภาพที่แขวนแสดงเท่านั้น

เอกภพเดินไปที่หน้าภาพสีน้ำมันภาพหนึ่ง ก่อนจะค่อยเบี่ยงตัวให้หญิงสาวที่เดินตามหลังมาได้เห็นภาพขนาดความสูงเกือบเท่าตัวของเธอได้ถนัดตา

“นี่ไง ผมอยากให้ปอนด์ได้ดูรูปนี้ตั้งแต่ตอนที่วาดเสร็จแล้วล่ะ”

ด้วยความที่ภาพมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้คนดูต้องหยุดยืนในระยะห่างประมาณหนึ่งเพื่อจะได้เห็นองค์ประกอบของภาพโดยไม่ถูกความใกล้พรางตาให้บิดเบือน ภาพสีน้ำมันบนผืนผ้าใบนั้นเป็นภาพของครอบครัวชาวนาในชนบทที่ใดสักแห่งของเมืองไทย ฝ่ายผู้ที่ท่าทางจะเป็นแม่กำลังนั่งสอนลูกสาวตัวเล็กบนตักให้หัดใช้กระสวยกับเครื่องทอผ้าซึ่งทอไปได้ครึ่งผืน ส่วนฝ่ายผู้ที่น่าจะเป็นพ่อกำลังนั่งสานงอบพลางหันมาทำท่ายิ้มแย้มกับทั้งสองคน สายตาอันเปี่ยมด้วยความรักจากคนเป็นพ่อและแม่ต่างมองไปยังลูกสาวตัวน้อยที่อยู่กลางภาพเป็นจุดเดียว

ภาพวิถีชีวิตอันเรียบง่ายสมถะถูกถ่ายทอดผ่านฝีแปรงด้วยโทนสีอบอุ่น ทำให้องค์ประกอบโดยรวมดูแล้วสบายตา และน่าจะทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็นต่างรู้สึกอิ่มใจ ทว่าพิรยากลับเอ่ยอะไรไม่ออกราวกับมีก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกที่คอ

หญิงสาวค่อยๆขยับกายเข้าใกล้ภาพ ก่อนจะยื่นปลายนิ้วออกแตะสัมผัสพื้นผิวอันสากมือของสีน้ำมันบนผืนผ้าใบตรงบริเวณที่เป็นรูปของเด็กหญิง จากนั้นจึงเหลือบตาขึ้นอ่านป้ายคำอธิบายผลงานซึ่งแขวนติดอยู่ด้านข้าง

‘ผมชอบเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆตั้งแต่สมัยเรียนศิลปะอยู่ที่ลอนดอน ตอนที่ได้กลับมาเมืองไทยก็เลยมักจะออกไปถ่ายภาพและวาดรูปชีวิตคนในชนบท เพราะรู้สึกประทับใจวิถีชีวิตที่บริสุทธิ์ไม่ปรุงแต่ง และการดำเนินชีวิตง่ายๆไม่ต้องอยู่ในกรอบและเงื่อนไขเหมือนคนในเมืองหลวง ที่สำคัญภาพนี้ก็สะท้อนให้เห็นครอบครัวที่แม่กำลังสอนลูกทอผ้าให้เป็นลวดลายโดยมีพ่อมองอยู่ มันทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความอบอุ่นที่เรียบง่ายจนน่าอิจฉา ผมเลยเลือกภาพนี้เข้าร่วมนิทรรศการลายรักครั้งนี้ และตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้ว่า [The Pattern of Our Family]’

พิรยากะพริบตาถี่ขณะอ่านคำบรรยายเนื่องจากไอร้อนที่เอ่อขึ้นบนขอบตา สำหรับคนที่มาชมนิทรรศการทั่วไป หากได้อ่านคำบรรยายนี้ก็คงเพียงรับรู้ความประทับใจของศิลปินที่มีต่อภาพที่เขาวาด แต่สำหรับเธอแล้ว ความรู้สึกที่อีกฝ่ายเขียนบรรยายนั้นราวกับหนามแหลมที่ทิ่มแทงในอก เพราะเธอเข้าใจดีว่าทำไมจิตรกรผู้วาดภาพนี้จึงได้รู้สึกอิจฉาครอบครัวในภาพ

“ภพไม่เคยยกโทษให้ปอนด์เลยสินะ ตั้งแต่เรื่องเมื่อสามปีก่อน”

หญิงสาวเอ่ยพลางกำมือแน่น นัยน์ตาเพ่งป้ายที่เขียนอธิบายผลงานจนแสบตา ทว่าชายหนุ่มที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างๆกลับส่ายหน้า

“เปล่า ผมยอมรับว่าตอนแรกผมโกรธมากจริงๆที่ปอนด์ทำแท้ง แต่หลังจากที่พวกเราเลิกกันแล้วผมก็พยายามจะคิดว่าทำไมตอนนั้นปอนด์ต้องทำแบบนั้น แล้วลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นปอนด์บ้างจะทำยังไง ผมเลยไม่คิดโทษปอนด์ เพียงแต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้...ว่าถ้าลูกยังอยู่ เขาจะโตขึ้นมาเป็นแบบไหน จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะซุกซนแล้วก็ช่างพูดเหมือนแม่ หรือว่าเป็นคนเงียบๆแล้วชอบนั่งวาดรูป มองผู้คนไปเรื่อยเหมือนพ่อ”

หยดน้ำใสไหลกลิ้งลงจากนัยน์ตากลมโตจนพิรยาต้องหลับตาลง ภาพความหลังเมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาและเธอยังเป็นนักศึกษาของสถาบันศิลปะที่ลอนดอนหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ตอนนั้นทั้งสองอยู่ในหอพักนักศึกษาในย่านไม่ห่างกันนัก ความที่เขาแก่กว่าเธอเพียงสองปีและมาจากบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมและพัฒนาความสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว พิรยาหลงใหลในตัวเอกภพที่แม้จะมาจากครอบครัวที่แตกแยกและฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี แต่ว่าก็ขยันทำงานส่งเสียตัวเองจนกระทั่งได้ทุนมาเรียนศิลปะที่สถาบันขึ้นชื่อแห่งนี้ ขณะที่เธอเติบโตมาในครอบครัวที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็เพียงเอ่ยปากขอโดยไม่เคยได้รับคำปฏิเสธ ทำให้ค่อนข้างติดนิสัยเอาแต่ใจและมั่นใจในตัวเองสูง และความแตกต่างนี้เองที่ดึงดูดทั้งคู่เข้าหากันและกันราวแม่เหล็กต่างขั้วอย่างง่ายดาย

ระหว่างที่เรียนอยู่ที่สถาบันเดียวกันนั้น ทั้งคู่ใช้ชีวิตเต็มที่แบบนักเรียนนอกที่ห่างไกลจากสายตาพ่อแม่ ทั้งแบกกระเป๋าท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปด้วยกัน ลองหัดเล่นยาด้วยกัน แม้แต่ย้ายออกไปอยู่อพาร์ตเม้นท์เดียวกันโดยไม่ให้ครอบครัวที่เมืองไทยรู้ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งพิรยาเป็นลมในห้องเรียนขณะที่เหลืออีกสองเดือนก็จะเรียนจบจนถูกหามส่งโรงพยาบาล และหมอแจ้งให้ทราบว่าในท้องของเธอโอบอุ้มอีกชีวิตหนึ่งมาได้สามเดือนแล้ว หญิงสาวก็ถูกความจริงอันโหดร้ายฉุดกระชากให้ตื่นจากโลกที่เปี่ยมอิสระราวทุกอย่างเป็นเพียงภาพฝันทันที

ตอนนั้นเธอรักเอกภพด้วยใจจริง แต่เธอไม่พร้อมจะเป็นแม่คนด้วยวัยเพียงยี่สิบปี และความหวาดหวั่นว่าเธอจะต้องสูญเสียอะไรบ้างในอนาคตจากการมีลูกโดยที่ไม่พร้อม อีกทั้งยังความหวั่นเกรงต่อสายตาจากคนในครอบครัวและเพื่อนๆที่เมืองไทยหากพวกเขาได้รู้ว่าเธอใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้พิรยาตัดสินใจเอาเด็กออกทันทีโดยไม่ปรึกษาใคร และนั่นก็นำไปสู่จุดจบของความสัมพันธ์ที่เพาะบ่มมาเกือบสามปีระหว่างเธอกับเขานั่นเอง

ตอนที่ตัดสินใจทำแท้งนั้น พิรยาปิดเรื่องที่เธอท้องและแผนการทำแท้งเป็นความลับกับทุกคนแม้แต่กับเอกภพ แต่แล้วเพื่อนสนิทชาวต่างชาติที่คิดว่าไว้ใจได้ซึ่งเป็นคนพาเธอส่งโรงพยาบาลกลับเอาความลับไปบอกกับอีกฝ่าย ทำให้เขาและเธอทะเลาะกันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมาก่อน เพราะปกติแล้วหากมีเรื่องขัดแย้งกันไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เอกภพก็จะยอมเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้เธอตลอดเวลา แต่เรื่องครั้งนี้กลับทำให้เธอได้เห็นด้านที่เกรี้ยกราดวราวพายุจากชายหนุ่มที่มักใจเย็นดุจสายน้ำถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำร้ายร่างกายเธอก็ตาม และความรู้สึกผิดที่กัดกร่อนจิตใจทั้งจากการเอาลูกออก การทำให้ผู้ชายที่เธอรักผิดหวัง และการที่ทำผิดต่อความไว้ใจของคนในครอบครัวแม้จะไม่มีใครรู้ ทำให้พิรยาตัดสินใจย้ายออกจากอพาร์ตเม้นท์ของเอกภพแล้วไปอาศัยอยู่กับเพื่อนแทนเพราะทนความอึดอัดและกดดันไม่ไหว และเมื่อเรียนจบแล้วก็กลับมาเมืองไทยทันทีโดยไม่เคยติดต่ออดีตคนรักอีกเลย

หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดได้หนึ่งปี พิรยาก็เปิดร้านขายเสื้อผ้ากับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมในย่านกลางเมือง ฝีมือการออกแบบอันมีเอกลักษณ์บวกกับเส้นสายของมณิมนทำให้ร้านของเธอมีลูกค้าประจำเป็นนักร้องและดารามีชื่อเสียงมากมาย และทำให้เธอได้รู้จักและเริ่มคบกับจิรวัฒน์ผ่านเพื่อนดาราเหล่านี้นั่นเอง ชีวิตของเธอดูจะไปได้ดีถึงแม้พ่อกับแม่จะไม่ชอบใจคนที่เธอเลือกคบนัก แต่แล้วก็ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะในงานแต่งงานของพี่สาวคนโตซึ่งพิรยาเป็นคนตัดชุดให้และเป็นเพื่อนเจ้าสาวเองเมื่อกลางปีที่แล้ว หญิงสาวก็ได้พบกับเอกภพอีกครั้งเพราะอีกฝ่ายเป็นญาติห่างๆกับพี่เขยของเธอ และเพิ่งจะกลับมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทำงานเป็นศิลปินอิสระที่อังกฤษมาตลอดตั้งแต่หลังเรียนจบนั่นเอง

ชายหนุ่มที่เธอได้พบในวันงานแต่งงานของพี่สาวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักในด้านรูปกายภายนอก แต่ท่าทางการวางตัวและวิธีพูดก็แสดงให้รู้ว่าระหว่างที่เธอเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเองโดยปราศจากเขา อีกฝ่ายก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่และสุขุมขึ้นกว่าสมัยที่ทั้งคู่ยังคบกันมากเช่นกัน พิรยาได้รับรู้ว่าเอกภพนั้นส่งผลงานเข้าร่วมประกวดตามนิทรรศการต่างๆในหลายประเทศและเคยได้รับรางวัลมากมาย ทำให้เขาได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษตามสถาบันศิลปะหลายแห่ง และมักได้รับเชิญให้นำผลงานไปร่วมออกแสดงในนิทรรศการมีชื่ออยู่เสมอๆ แม้กระทั่งมหาเศรษฐีที่หลงใหลในงานของเอกภพยังยอมจ่ายอย่างงามเพื่อให้ได้ผลงานของเขามาครอบครอง

ทั้งที่ควรยินดีกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางชีวิต แต่ตอนที่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆเหล่านี้จากพี่เขยในงานเลี้ยงเฉพาะญาติสนิทหลังจากวันพิธีแต่งงาน พิรยาก็อดจะปวดแปลบในอกไม่ได้ที่เอกภพยังคงดำเนินชีวิตต่อและก้าวไปข้างหน้าได้แม้จะไม่มีเธออยู่เคียงข้าง ทั้งที่เขาเคยบอกกับเธอเองว่าหลังได้พบเธอแล้ว พิรยาเป็นเหมือนนางฟ้าที่มอบแรงบันดาลใจให้กับการสร้างสรรค์ผลงานของเขา หลังจากที่เขาเคยไม่เชื่อถือในความรักมาตลอดเพราะความสัมพันธ์อันระหองระแหงระหว่างพ่อกับแม่ตั้งแต่เขายังเด็ก


“ขอโทษนะ”

หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทุ้มอบอุ่นที่ดังขึ้นใกล้ตัว ร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายมายืนอยู่ข้างกายเธอตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่าเงาร่างของเขาก็ทาบทับลงบนร่างของเธอราวจะตอกย้ำตัวตนของอีกฝ่ายที่ไม่เคยจางหายไปจากส่วนลึกในหัวใจ พิรยาจึงหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่สนใจจะเช็ดคราบน้ำตาที่สะท้อนแสงไฟอยู่บนผิวแก้ม และแววตาที่ฉายชัดให้เห็นว่าคนตรงหน้าผ่านความร้าวรานมาแค่ไหนก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบ

“ถ้าหากเราสองคนจะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดตอนนั้นด้วยกัน จะเป็นไปได้มั้ย?”

พิรยายืนตัวแข็งเมื่อเอกภพยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำตาบนหน้าให้ สัมผัสอ่อนโยนและปลอบประโลมปลุกเร้าความทรงจำของวันคืนเก่าๆที่เธอมักฝันถึงแม้จะคอยหลอกตัวเองว่าลืมไปแล้วให้พลุ่งพล่านขึ้นมา ทั้งไออุ่นจากเรือนกายที่ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดบนหน้าผาก และสายตาอันส่องประกายแน่วแน่ที่สะท้อนแต่ภาพของเธอเพียงคนเดียว ในห้องสลัวที่มีเพียงเสียงหายใจของคนสองคน หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงวันที่เธอได้รับจูบแรกจากคนตรงหน้าในสตูดิโอที่สถาบันศิลปะซึ่งทั้งคู่ได้พบกันนั่นเอง

เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังฝ่าความเงียบและปลุกคนทั้งคู่ขึ้นจากภวังค์ พิรยาสะดุ้งเมื่อตระหนักถึงลมหายใจอุ่นที่ไล้ผะแผ่วบนปลายจมูก และริมฝีปากบางของคนตรงหน้าที่อยู่ห่างริมฝีปากอิ่มเต็มของเธอเพียงคืบ เมื่อรู้ตัวว่าเสียงเพลงเรียกเข้าดังมาจากเครื่องของเธอเอง หญิงสาวก็รีบถอยห่างก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต และเมื่อเห็นว่าเจ้าของหมายเลขที่โทรเข้ามาคือใคร พิรยาก็เหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวดทันที

‘My honey’

นี่คือ...โลกแห่งความจริงสินะ

ชายหนุ่มและหญิงสาวสบตากันนิ่ง ขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังไม่หยุดราวปลายสายจะสัมผัสได้ถึงความสับสนของคนที่โทรหา พิรยากัดริมฝีปากพลางหลบตาเอกภพ นิ้วมือเรียวกระชับรอบโทรศัพท์แน่นจนสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงระบายลมหายใจหนักๆจากร่างสูงตรงหน้า ก่อนที่หญิงสาวจะช้อนสายตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา

“ปอนด์รับสายเถอะ ผมจะไปรอที่โถงข้างนอก”

พิรยามองตามแผ่นหลังกว้างจนกระทั่งเอกภพเลี้ยวออกจากห้องไป ก่อนจะหลับตาและระบายลมหายใจยาว จากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นและยกโทรศัพท์มือถือเครื่องบางขึ้นแนบหู

“ค่ะพี่กั้ง ปอนด์ค่ะ”

“ปอนด์เหรอ งานมอบรางวัลเสร็จแล้วจ้ะ เดี๋ยวปอนด์จะมากินเลี้ยงกับพวกพี่มั้ย?”

ปลายสายเอ่ยถามด้วยเสียงอบอุ่น ไม่มีแววตัดพ้อต่อว่าที่เธอไม่ไปร่วมงานช่วงพิธีมอบรางวัลทั้งที่เขาเคยชวนไว้แล้ว และน้ำเสียงที่ฟังแล้วราวจะโอบกอดเธอไว้ก็ทำให้พิรยาแทบจะน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิรวัฒน์อายุมากกว่าเธอมากหรือเพราะอีกฝ่ายผ่านอะไรมามากกว่า แต่บางครั้งคนรักของเธอก็ราวจะรับรู้สภาพอารมณ์ของเธอเพียงแค่จากการได้ฟังเสียงหรือเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปชั่ววูบเท่านั้น หญิงสาวจึงรีบเงยหน้าให้น้ำตาไหลกลับลงไป และตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใสเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายผิดสังเกต

“ไปสิคะ ตอนนี้ฝนหยุดรถคงไม่ติดแล้ว เดี๋ยวสักยี่สิบนาทีปอนด์ก็คงไปถึงแล้วล่ะ พี่กั้งไม่โกรธปอนด์นะที่ไม่ได้ไปตอนรับรางวัลน่ะค่ะ พอดีปอนด์ติดธุระนิดหน่อย แต่เดี๋ยวจะรีบไปแล้วล่ะ”

หญิงสาวเอ่ยเสียงออดอ้อน การเป็นลูกคนสุดท้องทำให้พิรยาค่อนข้างชินกับการใช้คำพูดเอาใจคนอื่น ซึ่งนิสัยนี้ก็ช่วยเอื้อประโยชน์ให้เธอทั้งในด้านความสัมพันธ์กับคนรอบตัวและกิจการร้านเสื้อมาหลายครั้งแล้ว และการที่ตนเผลอปล่อยใจให้หวั่นไหวกับชายอื่นเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าควรชดเชยด้วยการเอาใจคนรักให้มาก หญิงสาวยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย

“พี่ไม่กล้าโกรธปอนด์หรอก แต่เดี๋ยวถ้าคืนนี้ไม่ได้เจอกันแล้วพี่งอนจะมาว่าพี่ไม่ได้นะ ยังไงรีบมาแล้วกันนะครับ พี่รออยู่”

หญิงสาวหัวเราะคิก “โอเคค่ะ เดี๋ยวจะรีบบึ่งไปหาเดี๋ยวนี้เลย บอกทางโรงแรมให้กันดินเนอร์ไว้ให้ปอนด์ด้วยนะ ค่า....แล้วเจอกันค่ะ”

พิรยากดวางสาย หญิงสาวยืนนิ่งขณะพยายามระงับความรู้สึกที่ปั่นป่วนให้สงบลง เธอไม่ปฏิเสธว่าการได้พบเอกภพอีกครั้งทำให้ความรู้สึกที่เธอเคยมีให้เขาถูกปลุกขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่อาจปล่อยให้ความทรงจำในอดีตฉุดรั้งเธอจากการก้าวไปสู่อนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในตอนนี้เธอกำลังเริ่มวางรากฐานอันมั่นคงสำหรับอนาคตนั้นกับผู้ชายอีกคน และความไว้ใจที่เขาคนนั้นมอบให้เธอก็ไม่ควรถูกทำลายเพราะความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำเพียงชั่วครู่ชั่วยาม

หญิงสาวเดินออกจากห้องแสดงภาพ และได้เห็นว่าเอกภพกำลังยืนรอเธออยู่ที่เชิงบันไดแล้ว ร่างเพรียวบางจึงก้าวเร็วๆเข้าไปหา

“เดี๋ยวปอนด์คงต้องไปธุระต่อแล้วล่ะภพ พอดี...เค้า...โทรมาเรียกแล้ว”

พิรยาไม่ได้ระบุว่าเขาคนนั้นที่เธอพูดถึงคือใคร ทว่าเอกภพก็ราวจะเดาออกได้เอง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกันเมื่องานแต่งงานของพี่สาวนั้น ผู้ชายทั้งสองในชีวิตของเธอก็ได้พบหน้ากันไปแล้ว

ชายหนุ่มพยักหน้า “อืม...งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถแล้วกัน ว่าแต่ปอนด์อยากแวะห้องน้ำก่อนมั้ย?”

คำถามท้ายประโยคทำให้พิรยาแปลกใจจนต้องเลิกคิ้ว เอกภพจึงยิ้มก่อนจะใช้นิ้วชี้เคาะเบาๆที่ใต้ตาของตัวเอง หญิงสาวจึงเผลอยกมือขึ้นแตะใต้ตาของตัวเองบ้าง สัมผัสหมาดชื้นทำให้รู้ว่ายังมีคราบน้ำตาเกาะบนใบหน้าของตน และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกว่าผิวหน้าอุ่นซ่านขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้างั้นขอเวลาปอนด์สามนาทีนะ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย?”

ชายหนุ่มพยักหน้า พิรยาจึงผละไปที่ห้องน้ำหญิงและจัดการรวบผมใหม่รวมทั้งซับน้ำตาและเติมแป้งให้เรียบร้อย เพราะคงไม่ดีแน่หากเธอไปหาจิรวัฒน์ในสภาพขอบตาบวมช้ำและจมูกแดงเรื่อ หลังจากเติมลิปสติกและตรวจให้แน่ใจว่าคงไม่มีใครดูออกว่าเธอเพิ่งร้องไห้มาแล้ว หญิงสาวจึงค่อยผลักประตูออกมาส่งยิ้มให้กับคนที่ยืนรออยู่แล้วเดินลงบันไดไปด้วยกัน

คนทั้งสองเดินออกมาจนถึงลานจอดซึ่งมีรถโฟลค์สีครีมคาดแถบสีชมพูจอดอยู่ เอกภพเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวสลับกับรถแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ทว่าพิรยากลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เพราะเธอโดนใครต่อใครแซวเรื่องสีรถประจำตัวจนชาชินเสียแล้ว ก็เธอชอบของเธอแบบนี้นี่นา ใครจะค่อนขอดว่าชอบสีลูกกวาดเหมือนเด็กสาววัยรุ่นก็ช่างปะไร

พิรยาหยิบรีโมทขึ้นกดปลดล็อก ทว่าเป็นเอกภพที่ยื่นมือไปเปิดประตูรถให้ แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ปิดประตูทันทีหลังจากที่หญิงสาวขึ้นนั่งประจำที่คนขับแล้ว และพิรยาก็เพียงบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง แต่ว่าก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่ารีบร้อนจะเร่งขับออกไป

“ปอนด์”

“ภพ”

ทั้งสองเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะพากันกะพริบตาปริบๆแล้วหัวเราะ พิรยาจึงทำท่าแบมือเหมือนจะให้อีกฝ่ายพูดก่อน แต่เอกภพกลับส่ายหน้า “เลดี้เฟิสท์ ปอนด์พูดก่อนก็แล้วกัน”

หญิงสาวเม้มปาก จากนั้นจึงพยักหน้า “ขอบคุณที่ส่งโบรชัวร์กับที่โทรไปชวนนะ แล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้มาดูให้เร็วกว่านี้ ปอนด์ชอบภาพของภพนะ”

เอกภพยิ้มบ้าง “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็แค่อยากเจอปอนด์เท่านั้น เพราะเดี๋ยวเดือนหน้าก็ต้องไปอิตาลีแล้ว คราวนี้คงอยู่นานเพราะจะไปสอนที่นั่น”

พิรยาชะงัก มือข้างหนึ่งที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ นี่เอกภพกำลังจะเดินทางไกลอีกแล้วงั้นหรือ?

“ไปนานแค่ไหนเหรอ?”

หญิงสาวได้แต่หวังว่าน้ำเสียงของตนคงไม่โหยหาหรือให้ความหวังอีกฝ่ายมากเกินไป ส่วนคนถูกถามเพียงแค่ยักไหล่

“ก็คงดูไปก่อน ที่แน่ๆตอนนี้เซ็นสัญญากับสถาบันทางโน้นไว้แค่ปีเดียว แต่ถ้าจบปีแล้วเค้าเสนอให้ต่อสัญญาก็อาจจะคิดดู ไม่แน่อาจจะหาลู่ทางไปสอนที่ประเทศอื่นบ้างก็ได้ ได้ท่องเที่ยวใช้ชีวิตในหลายๆประเทศก็สนุกดี”

สายตาของชายหนุ่มเหม่อมองไปข้างหน้าราวกำลังวาดภาพอนาคตอันแสนไกล และนั่นก็ทำให้พิรยาเผลอกัดริมฝีปาก เพราะนั่นคือสิ่งที่เอกภพอยากทำมาตลอดตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่นั่นเอง และดูเหมือนตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำให้ฝันของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว และเส้นทางชีวิตของทั้งคู่ที่เริ่มจากจุดที่บรรจบกันก็ดูจะแยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆจนเป็นเส้นตรงที่ทำมุมห่างกันมากขึ้นทุกที

“ภพ...ไม่ได้ปิดตัวเองใช่มั้ย?”

พิรยาบังคับตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้ หญิงสาวรู้ดีว่าหลังจากทั้งสองแยกทางกัน ชายหนุ่มคงมีโอกาสที่จะได้รู้จักกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่หลงใหลในตัวจิตรกรหนุ่มชาวเอเชียที่อารมณ์อ่อนไหวและเป็นสุภาพบุรุษ และทั้งที่ตัวเองก็กำลังคบหากับชายอื่น ทว่าเมื่อคิดว่ามีใครได้อยู่เคียงข้างเอกภพที่ไม่ใช่เธอก็ทำให้ในอกอึดอัดอย่างไม่อาจควบคุมได้

ชายหนุ่มเงียบไปหลังได้ยินคำถาม ก่อนจะค่อยๆหันกลับมาสบตากับพิรยาและตอบด้วยเสียงแน่วแน่

“ไม่หรอก เพราะถ้าปิดตัวเอง ภพคงไม่กล้าขอให้ปอนด์กลับมาหาแบบนี้”

หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก คำตอบที่ได้และคำเรียกแทนตัวที่กลับไปเป็นเหมือนสามปีก่อนทำให้ความปั่นป่วนในใจที่น่าจะสงบไปแล้วกลับฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้พิรยาต้องตัดใจหักห้ามตัวเองไม่ให้สบตากับสายตาคมกริบคู่นั้นต่อ เพราะมันอาจทำให้ความตั้งใจของเธอสั่นคลอนขึ้นมาเหมือนตอนที่อยู่ในแกลเลอรี

“ปอนด์ไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวพี่กั้งจะรอนาน ขอให้ภพโชคดีกับงานที่อิตาลีนะ”

พิรยาหันกลับไปยิ้มให้เอกภพอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงพยักหน้าให้ แต่แล้วเมื่อหญิงสาวจะดึงประตูปิดก็ถูกมือแข็งแรงรั้งไว้เสียก่อน

“ผมไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ผมอยากให้รู้ไว้ว่าผมอยากให้ปอนด์มีความสุข ต่อให้สุดท้ายแล้วคนที่ปอนด์เลือกจะไม่ใช่ผมก็ตาม”

ทั้งสองสบตากันนิ่ง ก่อนที่ครั้งนี้เอกภพจะเป็นฝ่ายยิ้มก่อนและปิดประตูให้เอง พิรยามองตามหลังร่างสูงที่เดินกลับไปที่แกลเลอรี ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังด้านหน้ารถอีกครั้ง หญิงสาวสูดหายใจลึกก่อนจะค่อยเหยียบคันเร่งเพื่อออกจากลานจอด

หลังจากพารถออกมาแล่นบนถนนใหญ่ได้สักพัก พิรยาก็ยื่นปลายนิ้วออกกดเปิดวิทยุเพื่อฟังเพลง แต่แล้วเสียงเพลงที่ได้ยินก็ทำให้เธอต้องยกมือขึ้นปิดปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น

ทำไมต้องเป็นเพลงนี้...ในเวลานี้ด้วยนะ



Time ... I've been passing time
watching trains go by
All of my life ...
Lying on the sand, watching seabirds fly
Wishing there would be
Someone waiting home
for me ...


Something's telling me it might be you
It's telling me it might be you ...
All of my life ...




นี่เป็นเพลงที่เอกภพชอบร้องคลอกับการดีดกีตาร์ให้เธอฟังตอนที่ยังคบกัน โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษอย่างวันเกิดหรือวันครบรอบ แม้ชายหนุ่มจะไม่ใช่คนร้องเพลงเก่ง แถมเวลาไปคาราโอเกะกับเพื่อนๆก็จะเอาแต่นั่งเงียบฟังเธอร้องด้วยซ้ำ แต่เพราะเขารู้ว่าเธอชอบเพลงนี้เนื่องจากพ่อชอบเปิดให้ฟังตั้งแต่ยังเด็ก และเขาเองก็รู้สึกกับเธอเหมือนในเพลงนี้เช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเขินจนหน้าแดงขนาดไหนระหว่างที่ร้องเพลงนี้ให้ แต่เธอก็จะยิ้มอย่างมีความสุขและจูบขอบคุณเขาหลังจากร้องจบทุกครั้ง



Looking back as lovers go walking past ...
All of my life
Wond'rin' how they met and
what makes it last

If I found the place
Would I recognize the face?
Something's telling me it might be you
Yeah, it's telling me it might be you



พิรยาหักเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางและปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มเงียบๆ บางทีคำเอ่ยลาจากเอกภพเมื่อครู่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้อนุญาตให้ตัวเองลืมความจริงว่าตนกำลังก้าวไปข้างหน้ากับผู้ชายคนใหม่ในชีวิต และปล่อยให้ภายในสองตาสะท้อนแต่ภาพของเขาด้วยความคะนึงหาวันคืนในอดีตโดยไม่รู้สึกผิด เพราะจากนี้ไปเส้นทางชีวิตของทั้งคู่คงไม่บังเอิญหวนกลับมาบรรจบกันได้อีก



So many quiet walks to take
So many dreams to wake
And we've so much love to make

I think we're gonna need some time
Maybe all we need is time ...
And it's telling me it might be you
All of my life ...

I've been saving love songs and lullabies
And there's so much more
No one's ever heard before ...



ลาก่อน....สุดที่รัก หวังว่าสักวันเธอคงได้พบคนที่จะมอบบทเพลงนี้ให้ได้ เพราะฉันคงไม่สามารถเป็นผู้หญิงคนนั้นให้เธอได้อีกแล้ว



Something's telling me it might be you
Yeah, it's telling me it must be you
And I'm feeling it'll just be you
All of my life ...
It's you ...
It's you ...
I've been waiting for all of my life...


Maybe it's you ...
Maybe it's you ...
I've been waiting for all of my life ...


Maybe it's you ...
Maybe it's you ...
I've been waiting for all of my life ...



++---End คือรักในความทรงจำ---+




A/N:
เป็นไงกันบ้างคะเรื่องของน้องปอนด์ เล่นกับประเด็นหนักน่าดูทีเดียวถึงจะไม่ได้ลงรายละเอียดเท่าไหร่ ไม่รู้คนที่เคยได้อ่านลำนำรักสีรุ้งมาก่อนจะรู้สึกไหมว่า "นี่แหละ น้องสาวของเป้จริงๆด้วย" เพราะชีวิตพี่น้องครอบครัวนี้ นอกจากพี่ปิ่นแล้วไม่ธรรมดากันเลยสักคน ยังไงต้องขอโทษผู้อ่านนะคะที่ไม่มีเป้หรือวิวโผล่มาเลย เพราะเราอยากให้ตัวเด่นของเรื่องนี้คือน้องปอนด์จริงๆค่ะ

ใครที่จำได้ว่าในลำนำรักสีรุ้ง พี่ปูมก็ทำแฟนท้องก่อนแต่งเหมือนกัน อาจจะถามว่าทำไมทีพี่ปูมไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่โตแบบปอนด์เลย? เพราะว่ากรณีพี่ปูมกับแฟนนั่นเค้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ค่อนข้างโตแล้ว และฐานะทางบ้านพี่ปูมก็ดี แต่กรณีน้องปอนด์นี่เธออายุยี่สิบเองตอนที่ท้อง (ถ้าไล่ลำดับเวลา พี่ปูมจะจบโทและกลับมาเมืองไทยก่อนที่ปอนด์จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน เพราะพี่ปูมแก่กว่าปอนด์เจ็ดปี ส่วนเป้แก่กว่าปอนด์ห้าปี) แล้วฐานะของภพตอนนั้นก็ไม่รู้จะดูแลเธอกับลูกไหวไหม อีกอย่างที่ดำเนินเรื่องแบบนี้ก็เพราะอยากลองเขียนว่าอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนให้เด็กสาวคนหนึ่งก้าวผ่านความเป็นวัยรุ่นสู่การเป็นผู้ใหญ่ โทนเรื่องเลยอาจไม่กุ๊กกิ๊กเท่าไหร่นะคะ

นี่เป็นเรื่องชาย-หญิงเรื่องแรกที่เขียนเลย ก็มองๆอยู่เหมือนกันว่าอาจมี spin off เป็นเรื่องของน้องปอนด์กับพี่กั้งบ้าง แต่ว่ายังไงคงจะต้องเอาเรื่องอื่นๆที่กำลังเขียนอยู่ให้จบก่อน ดังนั้นโปรเจ็กต์น้องปอนด์นี่ก็คงดองยาวเลย ยังไงใครอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรก็บอกกันหน่อยนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่รักทุกคนค่ะ




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 13 เมษายน 2554 11:20:17 น.
Counter : 764 Pageviews.  

[เรื่องสั้น] Honesty รักนี้ขอความจริงใจ

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



คืนวันศุกร์...

เสียงดนตรีจากวงที่กำลังเล่นสดอยู่บนเวทีดังกระหึ่มไปทั้งร้าน บีตกลองประสานเข้ากับเสียงกีตาร์ เบสและคีย์บอร์ดเป็นจังหวะเร่งเร้าเอาใจเหล่าผีเสื้อราตรีที่กำลังวาดลีลากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมยิ้มให้กับสาวน้อยในเสื้อรัดรูปที่จงใจเบียดเนินอกขาวผ่องเข้ากับอกผมระหว่างทางที่เธอจะเดินผ่านไปห้องน้ำก่อนจะปรายตาไปยัง “เขา” ที่กำลังยืนถือขวดเบียร์และโยกตัวตามจังหวะดนตรีอยู่กับเพื่อนอีกสองคนตรงโต๊ะด้านในสุด

แม้ความสลัวบวกกับระยะห่างอาจทำให้มองรายละเอียดได้ไม่ชัดเจน แต่เขาคนนั้นดูเหมาะสมกับคำบรรยายลักษณะว่า “เด็กหนุ่ม” มากกว่า “ชายหนุ่ม” เพราะจากจุดที่ผมยืนอยู่ก็พอบอกได้ว่าเจ้าของเครื่องหน้าที่ลงตัวนั้นดูอ่อนวัยจนไม่น่าเชื่อว่าจะอายุถึงเกณฑ์เข้าผับนี้ได้ เชิ้ตลำลองขนาดพอดีตัวที่เขาใส่ช่วยขับเน้นรูปร่างเพรียวที่ค่อนข้างผอม และเมื่อร่างนั้นขยับตามจังหวะดนตรีก็จะทำให้เกิดหลืบเงาบนร่างจากแสงไฟที่ไม่ได้สว่างไสวนักในร้าน

ภาพนั้นดึงดูดสายตาผมให้มองไปทางเขาบ่อยๆจนเพื่อนที่มาด้วยกันคงรู้เลยทำท่าสะกิดบอกเจ้าตัว ตอนแรกเขาก็แสดงท่าทางไม่ใส่ใจนัก แต่ผมก็เห็นว่านัยน์ตาที่เป็นประกายวาววามล้อแสงไฟคู่นั้นแอบเหลือบมาทางผมเป็นระยะ ผมเลยตั้งใจจ้องอย่างเปิดเผยให้เจ้าตัวรู้ว่าผมมองอยู่จริงๆ เมื่อสายตาเราทั้งคู่ประสานกันเขาก็แสดงท่าทางขัดเขินเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนของเขาต่อ แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้ดีว่าสายตาคู่นั้นแอบฉวยโอกาสยามเพื่อนๆของเขาเผลอชำเลืองมาทางผมอีกหลายครั้ง

คืนนั้นผมออกมาก่อนที่ผับจะปิดด้วยความเสียดายโดยมีภาพของ “เขา” ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ


....


คืนวันศุกร์ สองสัปดาห์ถัดมา...

หลังเลิกงานผมแวะกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะขับรถกลับไปยังผับที่ผมได้เจอ “เขา” อีกครั้ง ปกติแล้วผับที่ดนตรีเสียงดังและคนเบียดเสียดแออัดอย่างนั้นไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ บางทีคงจะเป็นเพราะผมพ้นวัยที่สนุกสนานกับความจอแจและเสียงดังระคายหูเช่นนั้นแล้วก็เป็นได้ แต่ความว้าเหว่ของการต้องอยู่คนเดียวในช่วงหลังๆนี้ก็ทำให้ผมอยากไปเปิดหูเปิดตาในสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จักบ้าง ความจริงผมเคยได้ยินเพื่อนนักเที่ยวหลายคนแนะนำร้านนี้มาก่อนแล้วแต่ไม่เคยคิดจะไปแวะไปจนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา และผมคงไม่คิดจะกลับไปที่นั่นอีกถ้าไม่ใช่เพราะผมคาดหวังว่าอาจจะได้เจอ “เขา” เจ้าของนัยน์ตาหวานที่แม้ได้สบตากันจากระยะไกลก็ทำให้ผมหวั่นไหวคนนั้น

หากใครมาตั้งคำถาม ผมเองก็คงตอบไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ติดใจ “เขา” นัก และหากวันนี้ได้พบเขาที่ผับนั้นอีกจริงๆผมจะทำอะไรเพื่อสานความสัมพันธ์กับเขามากไปกว่าการส่งสายตาให้หรือเปล่าผมก็ตอบไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นผมก็ทนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหวจึงต้องหาคำตอบด้วยการมุ่งหน้าไปยังผับแห่งนั้นอีกครั้ง

หลังเทียบรถจอดที่หน้าร้านและยื่นกุญแจให้พนักงานเอารถไปจอดให้แล้ว ผมก็ยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่หน้าทางเข้าตรวจก่อนจะก้าวเข้าไปภายใน คงเพราะผมมาตั้งแต่หัวค่ำเกินไปภายในร้านจึงยังพอมีที่ว่างอยู่บ้าง แต่บรรดาขาเที่ยวที่ทยอยตามเข้ามาไม่ขาดสายก็บ่งบอกให้รู้ว่าในไม่ช้าที่ว่างที่เหลืออยู่คงต้องถูกแย่งกันจับจองจนแทบไม่มีที่ยืนอย่างแน่นอน

ผมเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์และสั่งแจ๊ค แดเนียลส์ ออนเดอะร็อคมาจิบพลางกวาดตามองไปรอบๆร้าน ท่าทางพยับเมฆครึ้มที่ผมเห็นเมื่อตอนขับรถมาที่นี่จะเริ่มแปรสภาพเป็นพายุฝนแล้ว เพราะทุกครั้งที่ประตูร้านเปิดผมจะได้ยินเสียงซ่าของพายุฝนดังไล่หลังเข้ามา และลูกค้าบางรายที่เข้ามาสั่งเครื่องดื่มหรือนั่งอยู่โต๊ะไม่ห่างจากผมก็พากันบ่นกระปอดกระแปดเรื่องเสื้อผ้าและผมที่เปียกชื้นเนื่องจากหลบฝนไม่ทันระหว่างมาที่ร้าน

ผมยืนหันหลังพิงเคาน์เตอร์พลางละเลียดจิบวิสกี้และลอบสังเกตุบรรยากาศในร้านไปเรื่อยๆ หลายคนที่เดินแวะเวียนมาที่เคาน์เตอร์ยิ้มให้ผมพลางส่งสายตาเชิญชวนให้อย่างไม่ปิดบัง แต่ทุกครั้งผมจะเพียงยิ้มบางๆตอบก่อนจะหันกลับมาสนใจแก้วของเหลวในมือ หมุนช้าๆให้ความเย็นกระจายจากก้อนน้ำแข็งไปยังของเหลวทั่วแก้วแล้วยกขึ้นจิบ ผมยังไม่พบคนที่สนใจจากบรรดาชายหญิงมากหน้าหลายตาที่ผลัดเปลี่ยนกันเฉียดกรายเข้ามาในระยะสายตา และสำหรับผม หากไม่ใช่คนที่สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้ตั้งแต่แวบแรกผมก็จะไม่เข้าไปทำความรู้จักให้เสียเวลา

“ขอโคโรน่าสามขวดครับ”

เสียงที่ใสเด่นขึ้นมาจากเสียงดนตรีในร้านและคำลงท้ายประโยคทำให้ผมเหลือบไปมองคนสั่งอย่างสนใจ เพราะปกติแล้วผมไม่ค่อยเห็นผู้ชายสั่งเบียร์ยี่ห้อนี้นัก และวินาทีที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าของผู้เป็นเจ้าของออร์เดอร์ หัวใจผมก็เต้นเร็วขึ้นพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นที่วาบขึ้นในอกทันที

ดูท่าเจ้าของมือเรียวที่กำลังยื่นมือไปจ่ายเงินและรับขวดเบียร์ใสซึ่งมีซีกมะนาวเสียบอยู่ที่ปากขวดจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องจึงหันมา นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววประหลาดใจขึ้นครู่หนึ่งก่อนเจ้าตัวจะรีบปรับสีหน้าเป็นเหมือนเดิม ถ้าหากผมไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ผมคิดว่าเห็นประกายแห่งความยินดีในดวงตาคู่สวยที่หายไปแทบจะในทันทีที่กระพริบตา แต่ถึงกระนั้นผมก็เชื่อว่าผมไม่ได้พลาดสัญญาณนั้นอย่างแน่นอน

ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย “เขา” เมื่อได้เห็นใกล้ๆทำให้เห็นว่าใบหน้าเรียวรีที่มีคางแหลมมนนั้นยิ่งดูอ่อนวัยกว่าที่ผมจำได้เมื่อตอนที่มองจากระยะไกลเมื่อคราวก่อนเสียอีก เสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีลายพิมพ์กราฟฟิคบนอกเสื้อข้างหนึ่งสะท้อนแสงฟลูออเรสเซนต์ในร้านเป็นสีม่วงอมฟ้าอ่อนๆ ขับใบหน้าเนียนเกลี้ยงเกลาให้ยิ่งดูมีเสน่ห์ลึกลับชวนมอง บนติ่งหูเล็กข้างซ้ายมีตุ้มเพชรใสที่ล้อแสงจนเป็นประกายสวมอยู่

ริมฝีปากอิ่มได้รูปสีสดยกยิ้มตอบก่อนเจ้าตัวจะหลบตาผมแล้วหยิบขวดเบียร์ทั้งสามไปจากเคาน์เตอร์ ผมมองตามทิศทางที่เขาเดินไปเพื่อดูว่าโต๊ะของเจ้าตัวอยู่ที่ไหนแล้วก็เห็นว่าเขามากับเพื่อนก๊วนเดิม ท่าทางเพื่อนสองคนนั้นก็คงจะพอคลับคล้ายคลับคลาผมอยู่บ้างจึงทำท่ากระซิบกระซาบกับเขาก่อนจะตบไหล่เจ้าตัวอย่างหยอกล้อ เขาค่อยๆเอี้ยวคอกลับมามองผมอีกครั้งก่อนจะรีบหันหลบวูบเมื่อผมทำท่าชูแก้วให้ ท่าทางเขินอายเช่นนั้นทำให้ผมอดหัวเราะในคอไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนที่มาเที่ยวผับบาร์สมัยนี้ที่ทำท่าทางไร้เดียงสาได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้อยู่อีก

เวลายิ่งดึกขึ้นเท่าไหร่ ดนตรีที่วงประจำร้านเล่นก็ยิ่งทวีจังหวะความเร่าร้อนมากขึ้นเท่านั้น เรือนร่างของเหล่าขาแดนซ์ที่โยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะดนตรีบดบังโต๊ะที่ผมคอยมองอยู่เป็นบางช่วง ดูท่าทาง “เขา” จะกำลังสนุกกับบรรยากาศในร้านอย่างเต็มที่ ผมเองก็โยกคอกับเอานิ้วเคาะเคาน์เตอร์ตามจังหวะดนตรีบ้างเหมือนกัน แต่ผมเพลินกับการมองเขายามที่กำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆมากกว่า

เมื่อเพลงสุดท้ายจบลงและนักร้องเอ่ยอำลากับลูกค้าในร้านก่อนจะยกเวทีให้วงที่ต้องขึ้นเล่นต่อไป ผมเห็นนัยน์ตาหวานของคนที่ผมคอยจับจ้องอยู่เหลือบมาทางผมอย่างมีความหมายก่อนเจ้าตัวจะผละจากเพื่อนร่วมโต๊ะ ผมเห็นดังนั้นก็รีบยกแก้วที่เหลือวิสกี้ติดอยู่เพียงก้นแก้วขึ้นดื่มจนหมดแล้วขอทางเบียดฝูงคนที่กำลังส่งเสียงจ้อกแจ้กอยู่เพื่อไปตามทิศที่ “เขา” กำลังเดินนำไปทันที

เสื้อสีขาวที่เรืองแสงฟลูออเรสเซนต์ของเขาสว่างจนเหมือนกับผิวของเจ้าตัวเองที่เป็นคนส่องแสงนั้นออกมา และนั่นทำให้ผมไม่คลาดสายตาจากแผ่นหลังที่กำลังเดินหายขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน เมื่อผมเดินตามขึ้นไปก็เห็นเขาเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำจึงเลี้ยวตาม แต่แทนที่จะพบเขาอยู่ในนั้น ผมเห็นว่าด้านในห้องน้ำมีประตูอีกบานที่เชื่อมออกไปยังระเบียงได้ ด้วยความมั่นใจว่าเขากำลังรอผมอยู่ที่หลังประตูนั้นผมจึงตรงไปเปิดประตูออก และได้พบว่าเขากำลังยืนรอผมอยู่แล้วจริงๆ เมื่อผมปิดประตูตามหลังมือเรียวขาวสองข้างก็ยื่นมากระชากปกคอเสื้อผมเข้าหาพร้อมกับแนบริมฝีปากร้อนรุ่มตามมาทันที

ด้วยความที่ถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วทำให้ผมเกือบเสียหลักจึงต้องเอามือข้างหนึ่งยันผนังไว้ขณะอีกข้างรวบเอวผอมบางแล้วดันให้เขาเข้าไปยืนพิงผนัง รสเบียร์จากปลายลิ้นนุ่มที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามาในปากทำให้ผมต้องยิ้ม แพขนตางอนยาวของเจ้าของใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มขยับไปมา ผมสนองตอบคำขออย่างไร้เสียงของ “เขา” ด้วยการเผยอริมฝีปากให้ แต่ในวินาทีเดียวกันผมก็เปลี่ยนสถานะจากการเป็นคนถูกรุกด้วยการตวัดลิ้นแล้วดูดปลายลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายอย่างแรงจนเขาหลุดเสียงครางออกมาด้วยความตกใจ

มือที่เมื่อครู่ยึดปกเสื้อผมไว้แน่นพยายามดันอกผมออกอย่างต่อต้าน ผมจึงผ่อนแรงลงและค่อยๆไล้ปลายลิ้นไปกับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน มือข้างที่ผมใช้ยันผนังเมื่อครู่ถูกยกขึ้นขยี้ติ่งหูนิ่มเบาๆขณะที่รสจูบเริ่มแปรเปลี่ยนจากดุดันเป็นอ่อนหวานและเย้ายวน ผมดันเข่าข้างหนึ่งเข้าไประหว่างขาเรียวใต้กางเกงยีนส์เข้ารูปและบดคลึงไปมาจนเขาต้องยกแขนที่สั่นสะท้านขึ้นโอบคอผมแน่น

“ดะ...เดี๋ยว...พอก่อน”

เสียงหอบหายใจแผ่วหวิวหลุดจากลำคออีกฝ่ายเมื่อผมปล่อยริมฝีปากที่ถูกจูบจนแดงช้ำให้เป็นอิสระ นัยน์ตาหวานที่พร่ามัวกระพริบถี่ขณะปรือตาขึ้นมองผม ใบหน้าขาวเนียนแดงเรื่อไปถึงคอขณะที่แขนสองข้างโอบรอบคอผมอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ทำไมให้หยุดล่ะ คุณพาผมขึ้นมาที่นี่เองนะ”

ผมเอ่ยยั่วก่อนจะก้มลงดูดเม้มผิวเนื้อตรงต้นคอที่มีเหงื่อซึมนิดๆจนเจ้าตัวสะดุ้ง เสียงครางที่ราวกับเจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หลุดออกมายิ่งเร้าอารมณ์จนผมต้องยกเข่าตัวเองที่อยู่หว่างขาของเขาให้สูงขึ้นอีก

“อย่าเข้าใจผิดนะ! คุณ...คุณตามผมมาเองต่างหาก”

“เขา” เอ่ยท้วงด้วยเสียงตะกุกตะกัก แพขนตางอนยาวทั้งสองข้างหลุบลงเพื่อหนีสายตาของผมที่จ้องเขาแน่วนิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้กฎของเกมนี้ดี

ใครรับว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถือว่าแพ้ และหากโดนจับได้ง่ายๆมนต์เสน่ห์ของเกมนี้ก็จะหายไปทันที

เสียงสัญญาณบอกเวลาจากนาฬิกาข้อมือของผมดังขึ้นตัดกับความเงียบโดยรอบ เสียงที่ดังค่อยๆแต่เป็นจังหวะหยุดการเคลื่อนไหวของเราทั้งสองไปชั่วครู่ ร่างในอ้อมแขนตวัดสายตาขึ้นสบตากับผมก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะคลี่ยิ้มขำ

“นี่คุณตั้งเวลาทั้งที่ออกมาเที่ยวด้วยเหรอ?”

“อืม...พอดีมีธุระสำคัญน่ะ ท่าทางผมจะอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ”

ผมเอ่ยก่อนจะปล่อยแขนที่โอบเอวบางให้เป็นอิสระ เรียวคิ้วของคนตรงหน้าขมวดมุ่นทันทีก่อนที่อ้อมแขนรอบคอผมจะกระชับแน่นขึ้น ผมยิ้มมองสีหน้าราวกับเด็กถูกขัดใจนั่นแล้วก็ก้มลงแนบจูบกับริมฝีปากบางเบาๆ

“อย่าดื้อสิครับ เจ้าชายต้องกลับปราสาทแล้วนะ”

ดูท่าทางประโยคยั่วล้อนั่นจะสะกิดต่อมโมโหเข้า แขนเรียวยาวที่โอบรอบคอผมเมื่อครู่จึงเปลี่ยนเป็นผลักผมออกอย่างแรงทันที

“เออ!! จะปราสาทหรือจะคุกที่ไหนก็รีบไสหัวกลับไปเลย! ไอ้บ้า ไอ้คนไม่มีหัวใจ!”

“เขา” ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนจะหันหลังหนีผม แขนเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นปิดปากขณะที่อีกข้างกอดตัวเองไว้ แต่แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามสะกดกลั้นยังไงผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นหลุดออกมาอยู่ดี

ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าคนเมาจะอารมณ์อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ แต่...เฮ่อ...ผมไม่ชอบเห็นใครมาร้องไห้ต่อหน้าเสียด้วยสิ

ร่างเพรียวสะดุ้งเมื่อถูกผมดึงตัวมาโอบกอดจากด้านหลังก่อนจะแนบจูบลงที่หางตาของเขาอย่างอ่อนโยน แต่นั่นกลับเป็นการเปิดทำนบน้ำตาที่เจ้าตัวพยายามปิดกั้นไว้ให้ไหลเอ่อออกมา

“คุณน่ะ...ก็....คุณ...ทั้งที่คุณเป็นฝ่ายมองผมก่อนแท้ๆ...ฮึก”

ร่างในอ้อมแขนพูดไปสะอื้นไปจนผมต้องลอบถอนหายใจ พูดอีกก็ถูกอีก ผมเป็นฝ่ายส่งสายตาเชิญชวนเขาก่อนจริงๆไม่ว่าจะเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหรือเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา แล้วทั้งที่ “เขา” เป็นฝ่ายกล้าเริ่มเปิดทางให้ผมก็ดันมาทำให้อารมณ์ค้างเติ่งครึ่งๆกลางๆแบบนี้ใครบ้างจะไม่เสียความมั่นใจ แล้วดูท่าทางเขาก็ไม่น่าจะใช่พวกที่ชอบให้ท่าใครเสียด้วยสิ นี่ไม่รู้ว่าเพราะเมาหรือเพราะเพื่อนเชียร์หรือเพราะทั้งสองอย่างกันแน่เขาถึงได้กล้าทอดสะพานให้ผมก่อนแบบนี้

“อย่าร้องสิครับคนดี ผมขอโทษที่วันนี้ผมมีธุระจริงๆ ยังไงเราเจอกันวันหลังก็ได้นี่”

ผมกระซิบข้างหูเขาพร้อมกับโยกตัวร่างในอ้อมแขนอย่างปลอบโยน นัยน์ตาที่แดงช้ำจึงหันมาหาผมก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะได้เจอคุณที่นี่ไหม?”

ผมหมุนตัวคนในอ้อมแขนให้หันมามองกันตรงๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วไล้หยาดน้ำตาจากผิวแก้มเนียนให้ ใบหน้าหวานของเขาแสดงทีท่าเขินอายเมื่อถูกผมจ้องตานิ่ง

“...ได้เจอสิ ผมจะคอยอยู่ที่เดิม พรุ่งนี้ก็มองหาผมล่ะ”

ผมลดมือที่เคลียกับผิวแก้มใสก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากได้รูปสีสดอีกครั้ง เมื่อผละออกนัยน์ตาสุกใสคู่นั้นก็มองผมอย่างโหยหาจนผมเกือบจะเปลี่ยนใจ แต่สุดท้ายผมก็หักห้ามใจตัวเองแม้จะเสียดายอย่างสุดแสนแล้วหมุนตัวเดินจากมาได้สำเร็จ

สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นและรสของเบียร์โคโรน่ายังคงติดตรึงอยู่บนปลายลิ้นผมจางๆ


....


ผมยกเบรกมือขึ้นก่อนจะล็อกรถแล้วสาวเท้าเร็วๆไปที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า โทรศัพท์มือถือในอกเสื้อไม่ส่งสัญญาณเรียกเข้าทั้งที่ผมกะเวลาผิดจนมาถึงสนามบินช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงทำให้ใจชื้นขึ้นว่าตัวเองไม่ได้มาสาย พอผลักประตูแก้วใสผ่านเข้าไปในอาคารกระจกขนาดใหญ่ผมก็เห็นแถวผู้ที่มารอรับผู้โดยสารเริ่มบางตาลงแล้ว

ผมมองซ้ายขวาก็ไม่พบใบหน้าคุ้นตา แต่ขณะที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกผมก็เห็นคนที่ผมเฝ้าคิดถึงมานานก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี

ร่างผอมสูงทว่าเตี้ยกว่าผมนิดหน่อยในเสื้อแจ๊กเกตหนังและกางเกงยีนส์ที่ไม่ถึงกับพอดีตัวแต่ก็ช่วยขับเน้นช่วงขาเพรียวยาวกำลังยืนกดโทรศัพท์เหมือนส่งเมสเสจหาใครอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างที่กำลังขมวดคิ้วจ้องหน้าจออย่างตั้งใจทำให้ผมอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ ท่าทางที่กำลังสนใจสิ่งที่ได้เห็นบนหน้าจอมากจนไม่ทันสังเกตุเห็นผมที่เดินเข้าไปใกล้ๆทำให้ผมนึกอยากแกล้งขึ้นมา

“เบิร์ดครับ คิดถึงจังเลย”

ร่างในอ้อมแขนที่โดนผมรวบมากอดอย่างกะทันหันอุทานอย่างตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หล่น แต่พอเจ้าตัวหันมาทำตาดุใส่ผมก็ยิ้มตาเป็นมันให้

“ท่าทางที่ปรากจะยังหนาวอยู่นะเนี่ย ตัวเบิร์ดยังเย็นๆอยู่เลย หรือว่าไง?”

“มาสายแล้วยังจะเล่นอะไรเป็นเด็กๆอีก รีบเอากระเป๋าผมไปที่รถได้แล้ว ผมเหนื่อย อยากกลับบ้าน”

แม้คนพูดจะพยายามทำเสียงเรียบแต่ผมก็บอกได้จากความคุ้นเคยว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิด ผมเลยยอมปล่อยมือและหันไปผลักรถเข็นสนามบินที่มีกระเป๋าเดินทางใบเขื่องสองใบวางอยู่กลับออกไปที่ลานจอดรถแต่โดยดี

ระหว่างที่เข็นรถไปผมก็แอบมองหน้าคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นปีไปด้วย แม้เจ้าตัวจะยังไม่ถอดแจ็กเก็ตหนังออกแต่ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่าเบิร์ดผอมซูบไปนิดหน่อย ใต้ขอบตามีรอยคล้ำจางๆเหมือนคนนอนไม่พอ แต่กระนั้นนัยน์ตาสีเข้มที่มักเปล่งประกายอย่างคนที่มั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยมก็ยังดูทรงพลังและมีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่เปลี่ยน

ครับ...ผมมีคนรักอยู่แล้ว ผมกับเบิร์ดคบกันมาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่มหา’ลัย ถ้านับเวลาที่เราคบกันเบ็ดเสร็จตอนนี้ก็หกปีเข้าไปแล้ว และผมก็ไม่เคยรักใครมากเท่าเบิร์ดมาก่อนเลยด้วย

ยกเว้นบางเวลาที่เห็นคนหน้าตาน่ารักถูกใจก็อาจหลงมองตามบ้าง แต่ก็นานๆทีหรอกนะ

“ทำไมถึงมาช้า?”

หลังจากนั่งเงียบมาจนอีกไม่กี่นาทีจะถึงบ้านเบิร์ดก็เอ่ยถามขึ้น ผมเหลือบมองสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ของคนข้างตัวก่อนจะกลืนน้ำลาย แม้ดูจากภายนอกจะเหมือนเจ้าตัวแค่ถามเป็นเชิงสนทนาแต่ผมก็รู้ว่านี่เป็นเสียงที่เบิร์ดชอบใช้เวลารู้ว่าผมปิดบังความลับอะไรอยู่ และขืนผมพูดความจริงออกไปก็มีหวังระเบิดลงตั้งแต่ยังไม่ถึงบ้านแน่

“ก็ไปเที่ยวกับพวกไอ้เต๋ออยู่ เบิร์ดก็รู้ว่าไอ้พวกนี้เหล้าเข้าปากทีไรหยุดยากจะตาย นี่ผมก็ต้องเอาชื่อเบิร์ดไปขู่มันตั้งนานกว่ามันจะยอมปล่อยผมมาได้”

“เหรอ แต่ทำไมกิตโทรบอกผมว่าเห็นพลไปเที่ยวคนเดียวที่ร้านประจำของหมอนั่นได้ล่ะ?”

เสียงพูดเรื่อยๆของเบิร์ดทำให้ผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมา หรือว่า...ตายห่า นี่ขนาดผมอุตส่าห์เลือกร้านที่ไกลวงโคจรของคนรู้จักแล้วนะ ดันเป็นร้านประจำของลูกพี่ลูกน้องแฟนผมหรือนี่

“กิตตาฝาดหรือเปล่า สงสัยเห็นใครท่าทางคล้ายๆผมมากกว่ามั้งเลยนึกว่าเป็นผม”

“หึ แล้วที่หายไปกับเด็กอีกคนที่ชั้นสองของร้านตั้งนานนั่นล่ะ จะให้ผมโชว์ MMS ที่กิตถ่ายรูปคุณจากที่ร้านให้ดูเป็นหลักฐานมั้ย?”

ไอ้เวรประกิต!! อยู่ดีไม่ว่าดีชอบเสือกเรื่องชาวบ้านดีนัก อย่าให้เจอกันคราวหน้านะมึงพ่อจะจับกระทืบให้ไส้แตก!!

บรรยากาศในรถเงียบจนน่าอึดอัดไปตลอดทาง พอผมเลี้ยวเข้าจอดในรั้วบ้านปุ๊บเบิร์ดก็เปิดประตูแล้วเดินนำลิ่วเข้าไปในบ้าน ขณะที่ผมกำลังพะวักพะวนว่าจะตามเข้าไปเลยดีหรือเอากระเป๋าลงมาก่อนก็โดนเสียงเฉียบขาดเรียกไว้

“กระเป๋าทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ แล้วก็รีบเข้ามาเร็วๆ”

พอโดนสั่งผมเลยล็อกรถแล้วรีบก้าวตามคนรักเข้าไปในบ้านแต่โดยดี แต่ยังไม่ทันจะปิดประตูตามหลังก็โดนสองแขนล็อกคอแล้วเหวี่ยงให้ล้มลงบนโซฟาก่อนจะโดนร่างเพรียวขึ้นคร่อมทับและแนบริมฝีปากร้อนๆมาปิดปากเสียก่อน

“เบิร์ดครับ...โอ๊ย!!”

ผมครางไม่เป็นภาษาเมื่อโดนอีกฝ่ายใช้ปลายเล็บครูดอย่างแรงไปบนหน้าอกที่โดนถอดกระดุมเสื้อออกตอนไหนไม่รู้ โชคดีว่าเบิร์ดชอบไว้เล็บสั้นเลยไม่ถึงกับจิกเข้าเนื้อ แต่ก็ทำเอาผมแสบๆร้อนๆผิวไปเหมือนกัน ร่างกายท่อนล่างของคนที่คร่อมผมอยู่บดเบียดขึ้นลงอย่างปลุกเร้าจนอะไรๆของผมที่อารมณ์ค้างเติ่งมาตั้งแต่อยู่ที่ผับลุกพรึ่บขึ้นมาใหม่

“ละสายตาหน่อยไม่ได้เลยใช่มั้ย? เด็กนั่นน่ารักมากเลยรึไง ไหนบอกมาซิ”

เบิร์ดถอยตัวลงก่อนจะก้มลงขบติ่งเนื้อบนหน้าอกผมจนเป็นรอยแดงทั้งสองข้าง พอผมจะยกมือขึ้นสัมผัสเจ้าตัวบ้างก็โดนมือที่ดูบอบบางแต่แรงเยอะเกินคาดดึงเข็มขัดตัวเองมารัดมือผมไว้เหนือหัว แถมการที่เจ้าตัวนั่งคร่อมผมอยู่ทำให้ผมขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งดิ้นก็เหมือนจะยิ่งทำให้คนรักที่เคยได้เทควันโดสายดำไม่พอใจหนักเข้าไปอีก สุดท้ายผมเลยหลับตาก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง

“จะมาโทษผมฝ่ายเดียวไม่ได้นะ ก็ช่วงหลังๆนี้เบิร์ดไม่ยอมโทรมาหาผมเลย ผมโทรไปเบิร์ดก็ไม่ค่อยอยากคุยด้วย ผมก็เหงาเป็นเหมือนกันนี่”

แก้ตัวไม่ออกก็ต้องใช้ไม้นี้แหละ ก็เมียผมปล่อยให้ผมเหงาเฝ้าบ้านอยู่คนเดียวมาเป็นปีเลยนี่นา ผมละเกลียดงานคณะติดตามท่านทูตที่เบิร์ดทำอยู่จริงๆ ทั้งที่ผมขอแล้วขออีกว่าให้ลาออกมาทำงานบริษัทเดียวกับผมจะได้ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆนานๆก็ไม่เชื่อ

“แล้วพลเลยต้องแก้เหงาด้วยการไปตกเด็กในผับงั้นเหรอ?”

เสียงคนที่นั่งทับผมอยู่เข้มขึ้นจนผมชักเสียวๆ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับให้ซวยล่ะ ผมยังไม่อยากถูกน็อคทั้งที่เพิ่งได้เจอหน้าหวานใจหรอกนะ

“นี่ๆ ผมไม่รู้นะว่าไอ้กิตมันบอกเบิร์ดว่าอะไรบ้าง แต่ผมเพิ่งไปผับนั่นเป็นครั้งที่สองเอง อีกอย่างผมไม่เคยมีอะไรกับใครนอกจากเบิร์ดจริงๆ สาบานให้ก็ได้เอ้า!”

“ไม่เชื่อ อย่างนี้ต้องพิสูจน์”

ผมกลืนน้ำลายเมื่อคนเบื้องบนลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนจะค่อยๆถอดแจ็ตเกตกับเสื้อตัวในออก ตามด้วยซิปกางเกงที่ไร้ชั้นในรองอยู่ข้างใต้ เรือนร่างที่อาบย้อมไปด้วยแสงไฟของเบิร์ดขาวโพลนอยู่บนตัวผม ยิ่งเมื่อไล่สายตาลงไปตามแผ่นอกและหน้าท้องแบนราบจนถึงจุดที่แสดงความต้องการของเจ้าตัวผมก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องชายของตัวเองมันชักอึดอัดที่โดนทับและอยากออกมารับอากาศภายนอกมากขึ้นทุกที แต่นัยน์ตาที่หรี่มองผมด้วยประกายดุดันก็ทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวหรือแม้แต่จะส่งเสียงทัดทาน

“เก็บกดนักใช่มั้ย!? งั้นเดี๋ยวผมจะทำให้พลจำได้เองว่าตรงนี้ของพลน่ะผมมีสิทธิ์เคลมได้คนเดียว”


....


เสียงหอบหายใจของเราสองคนสอดประสานกันอย่างเหนื่อยอ่อน ร่างกายเหนียวเหงื่อของสุดที่รักฟุบอยู่บนอกผมทั้งๆที่ไอ้หนูของผมยังคาอยู่ในตัวของเบิร์ดอยู่เลย บทรักเร่าร้อนตลอดสองชั่วโมงก่อนผ่านไปเร็วราวกับฝันโดยที่ผมได้แต่นอนนิ่งๆให้เบิร์ดทำทุกอย่างกับร่างกายตัวเองตามใจ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบเวลาเบิร์ดเอาแต่ใจแบบนี้หรอกนะ

ไม่รู้ว่าเบิร์ดเหนื่อยจนเผลอหลับไปหรือยังไง แต่พอผมขยับตัวเพราะความเมื่อยก็ได้ยินเสียงครางในคออย่างไม่พอใจของคนที่นอนทับผมอยู่

“เบิร์ด อย่าเพิ่งหลับสิ แก้มัดให้ผมก่อน”

ผมพยายามขยับตัวในส่วนที่พอจะขยับได้ ซึ่งรวมถึงการยกสะโพกที่ถูกคร่อมอยู่ด้วย แต่ไอ้การทำแบบนั้นดันทำให้ท่อนล่างอุ่นๆของเบิร์ดตอดรัดไอ้หนูของผมจนชักจะเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกทั้งที่โดนขย่มจนแตกในตัวเบิร์ดไปตั้งสามรอบแล้ว นี่ยังไม่รวมที่เบิร์ดแตกในตัวผมก่อนหน้านั้นไปรอบนึงอีกต่างหาก

ปกติเบิร์ดจะเป็นฝ่ายรับตลอดเวลาที่เรามีอะไรกัน ยกเว้นเวลาที่เจ้าตัวโมโหหรืออยู่ในอารมณ์ที่อยากสลับตำแหน่งบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องตราบใดที่มันไม่บ่อยจนเกินไป ก็ผมยังไม่อยากเปลี่ยนเป็นฝ่ายรับถาวรนี่คร้าบ

เหมือนเบิร์ดจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองใช้เข็มขัดพันธนาการผมไว้ เจ้าตัวเลยปรือตาขึ้นก่อนจะยื่นแขนไปปลดเข็มขัดออกจากข้อมือให้ แต่ด้วยความที่ผมโดนมัดในท่านั้นมานาน แถมยังนอนตัวเกร็งตลอดเวลาที่โดนเบิร์ดทำโทษอย่างไม่ปราณีปราศรัยเมื่อครู่ ข้อต่อหัวไหล่ผมเลยปวดแปล๊บไปหมดเมื่อพยายามจะยกแขนกลับมากอดคนที่ทำผมหมดแรงเอาไว้

ลิ้นอุ่นๆของเบิร์ดไล้ไปมาบนริมฝีปากผมก่อนจะชอนไชเข้ามาในโพรงปาก และผมก็เผยอปากรับก่อนจะจูบกลับแต่โดยดี สงสัยการได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกไปเมื่อครู่จะทำให้แฟนผมอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว

“ทีนี้ยังจะกล้านอกใจอีกมั้ย?”

เบิร์ดเท้าแขนขึ้นมองผมตาดุทั้งที่น้ำเสียงมีแววเหนื่อยอ่อน และนั่นก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ชอบยั่วแฟนด้วยการทำทีเป็นมีคนอื่นนัก ก็เพราะเวลาเบิร์ดโมโหแล้วจะชอบแสดงอาการหึงหวงอย่างเร่าร้อนแบบนี้ออกมาน่ะสิ และถึงแม้บางทีผมอาจจะเผลอตัวเผลอใจกับใครไปบ้าง แต่เอาเข้าจริงผมก็ทำใจมีอะไรกับคนอื่นนอกจากเบิร์ดไม่ได้หรอก

“ไม่กล้าแล้วครับที่รัก แต่ถ้าคราวหน้าเบิร์ดหายไปนานๆอีกผมก็ไม่รู้ว่าจะทนเหงาคนเดียวไปได้นานแค่ไหนนะ โอ๊ยๆๆ!!”

พูดยังไม่ทันจบประโยคผมก็ต้องแหกปากร้องด้วยความเจ็บ จะไม่ให้แหกปากได้ไงล่ะครับ สุดที่รักผมเล่นจิกเล็บเข้ามาตรงสีข้างเต็มแรงทั้งสองข้างเลยนี่ ถึงเนื้อไม่หลุดติดมือออกมาก็ต้องทิ้งรอยเล็บเขียวช้ำไว้แหงๆ นี่สงสัยกะให้วันพรุ่งนี้ผมลุกไม่ไหวไปทั้งวันเลยมั้งนี่

“งั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว ผมทำเรื่องยื่นกับผู้ใหญ่ไปแล้วว่าจะขอกลับมาประจำกระทรวงที่เมืองไทย ไม่ขอติดตามคณะท่านทูตแล้ว”

เบิร์ดว่าก่อนจะผงกหัวขึ้นยิ้มให้ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นเมื่อเห็นผมกระพริบตาปริบๆ

“ทำไม? ไม่ดีใจที่ผมบอกว่าจะกลับมาประจำที่นี่หรือไง อยากไปหาเศษหาเลยกับกิ๊กทั้งหลายของคุณอีกล่ะสิ”

“เฮ้ยๆ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ ผมกำลังดีใจต่างหาก เบิร์ดก็รู้ว่าผมขอเบิร์ดเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่แบบนี้ก็เหมือนผมไปขัดโอกาสก้าวหน้าของเบิร์ดเลยไม่ใช่เหรอ?”

ผมรีบกดศีรษะที่มีผมนุ่มๆของคนรักลงแนบอก ในใจยังสับสนไม่หาย ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือความดีใจแน่นอนอยู่แล้วที่จะได้เห็นหน้าและอยู่ใกล้ๆคนที่รักทุกวัน แต่อาจเพราะอีกด้านหนึ่งผมก็ค่อนข้างชินกับชีวิตคู่ที่มีอิสระเพราะเบิร์ดต้องเดินทางไปต่างประเทศครั้งละนานๆอยู่พอสมควร ตอนนี้มันเลยยังงงๆกับตัวเองอยู่เท่านั้นเอง

“ทำงานในกระทรวงก็ก้าวหน้าได้น่ะ อีกอย่างถ้าเข้าตาจนจริงๆผมให้ลุงช่วยวิ่งเต้นให้ก็ได้ พลลืมแล้วหรือไงว่าลุงผมเป็นใคร?”

พอโดนทักขึ้นมาเลยทำให้นึกขึ้นได้ เออจริง ผมก็ลืมไปสนิทว่าเครือข่ายญาติฝ่ายแม่ของแฟนผมนี่เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลในวงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเต็มไปหมด ส่วนเหตุผลว่าทำไมผมถึงยังไม่ถูกท่านๆทั้งหลายนั่นจับไปเผานั่งยางโทษฐานเอาหลานชายสุดที่รักมาเก็บไว้เชยชมคนเดียวนี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“งั้นต่อไปนี้เบิร์ดก็ไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศทีละนานๆอีกแล้วสิ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะในคอจากคนที่กำลังไล้ปลายนิ้วเขี่ยยอดอกผมไปมาจนขนลุกซู่ เบิร์ดผงกหัวขึ้นหอมแก้มผมก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง แต่ไม่รู้เพราะความเพลียจนตาพร่าหรือเปล่าทำให้ผมรู้สึกว่านัยน์ตาสวยคู่นั้นดูเหี้ยมๆพิกล

“ใช่ เพราะฉะนั้นก็เตรียมบอกลาเด็กๆทั้งหลายในสังกัดของคุณไว้ได้เลยนะ เพราะต่อจากนี้ไปผมจะทำให้พลไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะออกไปหาเด็กพวกนั้นไหวเอง”

เอ่ยจบเบิร์ดก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะยกตัวขึ้นนั่งคร่อมจุดยุทธศาสตร์ของผมอีกครั้ง แว่บหนึ่งผมนึกถึงใบหน้ามีความหวังของ “เขา” ที่ผับหลังจากผมให้คำสัญญาว่าจะกลับไปพบในคืนวันพรุ่งนี้ แต่แล้วเมื่อคนเบื้องบนเริ่มบดคลึงสะโพกไปมาและก้มลงจูบไซ้ซอกคอผมไปด้วยความสำนึกผิดในใจที่มีต่อเขาคนนั้นก็หายไปทันที

เอาเถอะ ไหนๆตัวจริงของผมก็กลับมาอย่างถาวรแล้วนี่ คงต้อง(พยายาม)บอกลานิสัยเจ้าชู้ของตัวเองให้เด็ดขาดเสียทีก่อนจะเป็นฝ่ายโดนแฟนทำชะตาขาดจะดีกว่าล่ะมั้ง


+---End---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 12:46:43 น.
Counter : 959 Pageviews.  

1  2  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.