ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒ - เหตุร้ายพลันเยือน

บทที่ ๒ เหตุร้ายพลันเยือน


“เจ้ามีคนที่ชอบไหม”

“หา...” อาเมียร์หันมองคนถามที่กำลังโบกหมวกฟางต่างพัดอยู่ใต้ร่มไม้ยามเที่ยง ข้างๆ ที่ที่เขานั่งอยู่ “ถามทำไม”

“ก็...” น้ำเสียงของเกล็นฟังรื่นเริง “ไม่รู้หรือว่าตอนนี้บ้านไหนๆ ในกลาสเดลก็อยากได้เจ้าเป็นเขยทั้งนั้น”

“อะไรกัน” เด็กหนุ่มโคลงศีรษะ ไม่รู้ว่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน “ล้อกันเล่นใช่ไหม ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่สองเดือนเอง”

“ล้อกันเล่นอะไร เขยรู้หนังสือใครกันจะไม่ต้องการ ยิ่งทั้งรูปหล่อทั้งมีน้ำใจอย่างเจ้าด้วยแล้ว”

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่จุดไหน...ทว่าเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ใครๆ ก็ดูจะได้ยินมาทั้งหมู่บ้านว่าครอบครัวของซิอ์บุล ‘อ่านออกเขียนได้’ กันทุกคน หลายคนถึงกับเลียบๆ เคียงๆ ถามเขาหรือแม่ซ้ำให้แน่ใจเสียด้วย

ถึงอาเมียร์จะไม่อยากถูกมองว่าตนเองยิ่งแตกต่างจากคนอื่น เขาก็ไม่ว่าอะไรลีชาที่อาจเป็นผู้นำเรื่องนี้ไปบอกต่อเกล็นหรือใครๆ และคิดว่าคงเป็นเพราะนิสัยชอบอ่านหนังสือนอกบ้านในเวลาว่างจากงานของเขาด้วยที่ยิ่ง ‘เผยแพร่’ ข้อมูลเรื่องนี้

“แต่ข้าเป็นคนต่างถิ่น...ไม่สิ...เป็นคนต่างชาติด้วยซ้ำ เขาไม่ถือกันหรือ”

“แล้วเจ้าถือหรือ” เกล็นกลับย้อนถาม “ว่าจะแต่งงานกับคนชาติเดียวกันเท่านั้น”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป...ด้วยคำนั้นยิ่งตอกย้ำว่าที่จริงแล้วเขาไม่มีชาติ และคงไม่มีคนร่วมชาติเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากคนในครอบครัวของตน...

“เปล่า” อาเมียร์สั่นศีรษะเมื่อตั้งสติได้ “เพียงแต่ข้าไม่ได้ชอบใคร...ตอนนี้”

“แต่เจ้าก็อายุตั้งสิบเจ็ดแล้ว น่าจะคิดเรื่องมีครอบครัวได้แล้วนี่”

‘ตั้ง’ สิบเจ็ดของเกล็นเท่ากับ ‘แค่’ สิบเจ็ดตามมาตรฐานของ ‘พ่อ’ แม่เขา ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากรีบแต่งงาน เป็นสามีและพ่อตั้งแต่อายุเท่าเกล็น เขารู้ดีว่าตนเองยังไม่พร้อม ทว่าบางครั้งเขาก็อยากให้ ‘พ่อ’ กับแม่ยอมรับว่าเขาโตแล้ว และอนุญาตให้เขาทำอะไรมากไปกว่านี้บ้าง

แต่ข้าอยากทำอะไรเล่า...

คำถามที่เคยสงสัยมาหลายครั้งกลับผุดขึ้นอีก จนเด็กหนุ่มรีบไล่มันไปอย่างรวดเร็ว แล้วตั้งคำถามแรกที่นึกได้แทน

“เจ้ากับลีชาแต่งงานกันมานานเท่าไรหรือ”

เกล็นดูจะแปลกใจกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน กระนั้นก็ตอบแต่โดยดี

“เกือบสองปี”

“เท่ากับว่าแต่งกันตอนเจ้าอายุสิบห้า นาง...สิบสี่หรือ”

อีกฝ่ายหัวเราะออกมา

“ลีชาก็อายุเท่ากับข้านั่นล่ะ ที่จริงนางเกิดก่อนข้าราวสามสี่เดือนได้ แต่เพราะนางดูเด็กกว่าอายุจริง...ใครๆ ก็เลยคิดกันว่าข้าอายุมากกว่านางเป็นปีกระมัง”

“อย่างนั้นหรือ” อาเมียร์รับลอยๆ

เกล็นเงียบไปพักหนึ่ง เช่นเดียวกับคนถามที่ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย จนคนตอบเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง

“เจ้าสงสัยหรือเปล่า ว่าข้ากับลีชาพบกันได้อย่างไร”

“ก็...มีบ้าง” อาเมียร์รับ แล้วก็เผยข้อสังเกตของตน “ข้าคิดว่าลีชาคงไม่ใช่คนหมู่บ้านนี้ ท่าทางกับสำเนียงของนางต่างจากคนที่นี่บ้าง พ่อแม่หรือญาติของนางก็ดูจะไม่ได้อยู่ในกลาสเดลด้วย”

“แล้วอยากรู้ไหมล่ะ” เสียงของเกล็นจริงจังขึ้นจนผู้ฟังประหลาดใจ

“ถ้า...ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าอยากพูดถึงก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร”

“ไม่ละลาบละล้วงหรอก อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่บางทีข้าก็อยากพูดกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้า และไม่รู้จะพูดกับใครดีนั่นล่ะนะ”

“ทำไมหรือ” อาเมียร์ตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ข้าไปพบนางตอนทำธุระในเมืองสองสามวัน คืนสุดท้ายที่พักในเมืองนั้น ข้าออกไปเดินเล่นผ่านร้านเหล้า...แล้วก็เห็นพ่อของนาง...พานางมาเร่ขายตัว ข้าทนไม่ได้เลยเอาถุงเงินให้เขาไป แล้วก็พานางมา”

ผู้ฟังตะลึงงัน

“เจ้าพูดจริงหรือ”

เกล็นเพียงพยักหน้ารับครั้งเดียว

“ลีชาเล่าให้ข้าฟังทีหลัง ว่าเมื่อก่อนพ่อของนางก็เป็นคนดี แต่ครอบครัวยากจนเพราะได้แต่เร่ร่อนรับจ้างทำงานไปเรื่อยๆ พอพ่อบาดเจ็บจนขาเสียไปข้างหนึ่ง แม่ของนางทนไม่ได้ หนีไปกับผู้ชายอีกคนแล้วทิ้งนางไว้กับพ่อ พ่อก็เริ่มกินเหล้าหนักขึ้น ซ้ำเล่นพนันจนมีหนี้ท่วมหัว หากไม่รีบหาเงินมาใช้หนี้ก็คงจะถูกเจ้ามือฆ่าเอา แต่...ไม่รู้สินะ” คนเล่าถอนใจ “เอาเป็นว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของนางทำอย่างนี้ก็แล้วกัน”

อาเมียร์นิ่งเงียบ ความคิดไพล่ไปถึงอารามฮอว์ธอร์นที่เสด็จแม่เคยก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกนางคณิกา ตอนที่ได้ไปที่นั่นหลายครั้งเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ ‘ความอยุติธรรม’ ที่พวกนางประสบ มาตอนนี้จึงได้เสียดายที่ไม่มีสถานที่เช่นนั้นอีกแล้ว

“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงยังยอมอยู่กับพ่อ ยังบอกว่าอันที่จริงพ่อก็เป็นคนที่น่าเห็นใจ คืนนั้นข้าให้นางไปพักด้วย วันต่อมาก็แนะนำให้นางไปจากพ่อแบบนั้นเสียดีกว่า แต่นางยังยืนกรานจะกลับบ้าน ข้าเลยพานางไปส่ง...แต่สุดท้ายนางก็ไม่ต้องกลับไปอยู่กับพ่ออีกแล้ว”

“เขายอมปล่อยนางไปหรือ” เด็กหนุ่มคาดเดา

“ไม่รู้ว่ายอมหรือไม่ยอม...แต่ก็ต้องปล่อยไปนั่นล่ะ” เกล็นยักไหล่เศร้าๆ “คืนนั้นเขาถูกแทง...แล้วก็ตกน้ำตาย น่าจะเป็นฝีมือพวกนักเลงที่อยากขโมยเงิน สงสัยคำสาปแช่งที่ข้าคิดในใจตอนโยนถุงเงินให้เขาคงเป็นจริงขึ้นมากระมัง”

อาเมียร์ทอดมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย

“แล้วเจ้าก็เลยแต่งงานกับนาง แล้วพานางมาที่นี่น่ะหรือ”

“ข้าพานางมาที่นี่ก่อน บอกพ่อกับแม่ว่านางเสียญาติจนหมด อย่างน้อยก็ขอให้นางอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาที่ไปได้ แล้วไปๆ มาๆ ข้าถึงพบว่า...ข้าอยากให้นางอยู่ใกล้ๆ ข้าอย่างนี้ตลอดไปมากกว่า เจ้าคิดว่าประหลาดไหม”

“ประหลาด...อย่างไรหรือ”

“ก็...ที่ข้ารักนาง แต่งงานกับนางทั้งๆ ที่รู้ว่านางเคย...เป็นอะไรน่ะ”

“ข้าไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ แต่ข้าคิดว่า...ไม่ว่านางจะผ่านอะไรมา ถ้าเจ้ากับนางรักกัน แล้วมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วนี่” เด็กหนุ่มตอบ

เกล็นยิ้มเศร้าๆ

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องเข้าใจ...คงเพราะเจ้ามาจากที่อื่น ไม่ใช่ที่นี่ที่เขาคิดกันคนละอย่างกระมัง”

ใครบอกกันเล่า...อาเมียร์นึกในใจ ทะเลทรายเป็นที่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีก...ที่ที่หญิงที่มีเคราะห์เสื่อมเกียรติเสียแล้วอาจถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่ใครจะรับเป็นภรรยา แม้ว่าหญิงผู้นั้นจะเคยเป็นภรรยาของตนมาก่อนก็ตาม

เพื่อนๆ ของเขาในที่นั้นล้วนเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ใช่เพราะคำสอนและเหตุผลที่ทั้งเสด็จแม่และแม่ในเวลาต่อมาปลูกฝังให้เขา อาเมียร์ยังเกรงว่าตนอาจจะกลายเป็นผู้ชายที่ชินชากับเรื่องแบบนี้ไปแล้วก็ได้

“ข้าไม่คิดจะเล่าให้ใครที่นี่ฟังหรอกว่านางมาจากไหน” เกล็นพูดหนักแน่น “ต่อให้พ่อแม่ข้าก็เถอะ ข้ากำลังรอว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆ จะพานางกับก็อธฟรีด์ย้ายไปที่อื่น ข้ารู้ว่าทุกวันนี้ลีชาต้องอดทนมากแค่ไหน...โดยเฉพาะกับแม่ ถึงต่อหน้าข้าทั้งคู่จะทำเป็นไม่มีปัญหาอะไรกัน ข้าก็มองออกว่าแม่ยังตั้งแง่กับลีชาไม่เลิก”

ผู้ฟังพยักหน้ารับน้อยๆ เสียงเรียกของแม่ของเกล็นที่เขาได้ยินตอนพบลีชาครั้งแรกแฝงความห้วนและถ้อยคำที่ชวนให้คิดไปเช่นนั้น

“แต่ตอนนี้ยังไปไหนไม่ได้ ข้าเลยยิ่งเป็นห่วง...” เกล็นพูดตรงๆ “ข้ากลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ลีชากับลูกจะเป็นอย่างไร หากมีใครสักคนที่ข้าพอจะฝากฝังพวกเขาได้ก็คงดี”

“เกล็น...” อาเมียร์เรียก ด้วยความรู้สึกที่กลับหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

แต่แล้วอีกฝ่ายก็ยักไหล่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“นี่ข้าเป็นอะไรไปนะ...ในเมื่อยังไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะพูดอย่างนี้เลย”

“คงเพราะไม่เคยพูดออกมาเลย พอได้พูดแล้วถึงกังวลขึ้นมามากกระมัง” อาเมียร์สันนิษฐาน

“คงใช่” เกล็นรับ แล้วก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “เออนี่ เจ้ารู้เรื่องพิธีเลือกคู่ของเจ้าหญิงไหม”

“ก็...ได้ยินว่าจะมีขึ้นเร็วๆ นี้” เด็กหนุ่มต่างถิ่นรับ “ทำไมหรือ”

“เจ้าอยากให้ใครชนะ”

“ข้ายังไม่รู้จักใครเลย...จะให้ถือข้างใครได้เล่า” อาเมียร์แย้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยข้าภาวนาอย่าให้เป็นลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาก็แล้วกัน” เกล็นตอบง่ายๆ “ใช่ว่าข้าไม่รักมณฑลของเรานะ...แต่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับลูกท่านแล้วสงสารเจ้าหญิง ถึงอย่างไรลูกชายเจ้ามณฑลอีกสองคนที่เหลือกับลูกขุนนางคนอื่นๆ ก็ดีกว่าอยู่แล้ว ใครจะชนะก็สุดแท้แต่เทพเจ้าเถอะ”

“ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซามีอะไรหรือ”

“รายนั้นน่ะ” คนอธิบายพ่นลมหายใจ “ชอบทำกร่างไม่เกรงใจใคร เห็นว่าถูกใจลูกสาวบ้านไหนก็ใช้ทั้งเงินทั้งอำนาจเอาตัวมาให้ได้ พอเบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง ลองนึกภาพคนแบบนั้นเป็นราชาดูสิ”

คนฟังโคลงศีรษะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกล็นไปได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหนและเชื่อถือได้มากเท่าไร ในเมื่อการปล่อยข่าวลือโจมตีคู่แข่งทางการเมืองย่อมเป็นไปได้ แต่ลองเด็กหนุ่มคนบอกเป็นคนซื่อๆ และชาวมณฑลชอร์ซาเสียเองก็มีโอกาสเป็นความจริงได้เช่นกัน

“ข้าคนหนึ่งล่ะไม่ขอราชาที่ทำตัวไม่ผิดกับโจรเด็ดขาด ทุกวันนี้เราก็โดนโจรรังควานมามากพอแล้ว”

อาเมียร์รับเบาๆ โดยไม่ใส่ใจอะไรนัก แม้บางสิ่งในความรู้สึกของเขาจะกระตุกวูบกับคำคำเดียวกับที่ได้ยินลีชาพูดในวันนั้น...

* * *


ภาพเหล่านี้อีกแล้ว...

แผ่นหลังของเสด็จพ่อที่สลายหายไปกับการลงดาบ...ร่างระเกะระกะโชกเลือดของผู้หญิงและเด็กๆ...เสด็จแม่ที่คู้ร่างอยู่กลางกองเลือด...โอบอุ้มบางสิ่งที่ท่านต้องการปกป้องไว้

...และเบื้องหน้าเขาก็กลับเป็นเงาร่างสูงใหญ่ดำทะมึน...เงาร่างที่กรูเข้ามาอย่างคุกคาม...

ตื่นเร็ว...ภัยกำลังใกล้เข้ามา...


เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมกับหอบหายใจ สายตาเลื่อนไปยังบานหน้าต่างราวกับมีผู้บอกให้หันไปมองทางนั้น

เขาใจหายวาบเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวในไร่ด้านนอก...จากเหล่าร่างในชุดสีดำทะมัดทะแมงกลืนไปกับความมืด ประกายสีเงินใต้แสงจันทร์ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งจากแถวสะเอวของร่างหนึ่งในกลุ่ม

อาเมียร์ผุดลุกจากเตียง คว้ากริชของเสด็จพ่อและดาบที่ ‘พ่อ’ ให้มาไว้กับตัว ก่อนจะออกไปนอกห้อง

เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก แทบร้องออกมาเมื่อพบร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งถือดาบยืนอยู่ในห้องกลางของบ้าน ซึ่งใช้เป็นทั้งห้องอาหารและห้องครัว แต่แล้วร่างนั้นก็กระซิบเสียก่อน

“‘พ่อ’ เอง”

เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่ร่างตรงหน้าก้าวไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างระแวดระวัง

“แม่ตื่นแล้ว ดูแลน้องๆ อยู่ในห้องนอน เจ้าไปเฝ้าที่ประตูหลัง แต่อย่าเพิ่งออกไป”

‘พ่อ’ ผลุบออกนอกประตูไปโดยเร็วโดยไม่รอคำตอบ เสียงร้องอย่างตกใจดังตามมาหลังจากนั้น อาเมียร์ข่มใจให้นิ่งกับเสียงนั้นแล้ววิ่งไปยังประตูอีกบานใกล้กับมุมครัว

เสียงอุทานและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากข้างนอกเป็นระยะๆ ยังผลให้เด็กหนุ่มกลับเย็นวาบที่หลังอย่างห้ามไม่อยู่

ไม่ใช่...นั่นเป็นเสียงของ ‘ศัตรู’ ไม่ใช่เสียงของพวกเรา...ไม่ใช่เสียงเหมือนวันนั้น...

แม้จะมีอาวุธอยู่ในมือ...เขากลับยืนพิงผนัง ภาวนาอย่างแรงกล้าอย่าให้พวกมันคนใดเข้ามาทางนี้ เขาไม่อยากสู้...ไม่อยากฆ่า...ไม่อยากจับดาบ ไม่อยากเห็นของเหลวสีแดงฉานอย่างเมื่อตอนนั้นอีก...

คำภาวนาเห็นจะไม่เป็นผลเมื่อบานประตูเขยื้อนโดยแรง แล้วก็เปิดผลัวะเข้ามา

อาเมียร์กระชับดาบในมือ แล้ววิ่งออกไปโดยพยายามไม่คิดอะไร

เขายังช้าอยู่...เพราะผู้บุกรุกยกอาวุธขึ้นกันได้ทัน แต่วิชาดาบที่ร่ำเรียนมากับ ‘พ่อ’ แต่เล็กจนแทบฝังเป็นสัญชาตญาณก็ช่วยให้รีบเบี่ยงหลบได้ทันที ก่อนจะฟันสวนไปอีกดาบ

เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าคมดาบกินลึกเข้าไปในเนื้อ...มีเสียงร้อง...แล้วร่างนั้นก็งอตัวลง

ใต้แสงเพียงสลัวนี้เขามองไม่เห็นสีแดงของเลือด นั่นอาจทำให้ใจชื้นขึ้นได้บ้าง...หากว่ากลิ่นคาวคลุ้งในระยะใกล้จะไม่ปะทะเต็มๆ จนอยากขย้อนขึ้นมาทันควัน

ร่างที่เขาเพิ่งฟันไปกลับยืดร่างขึ้นยืนโงนเงนอีกครั้ง

ความพะอืดพะอมที่แล่นเป็นริ้วๆ อยู่ในช่องท้องทำให้อาเมียร์ไม่ทันตั้งตัว ดาบของอีกฝ่ายใกล้เข้ามาจนเขารู้สึกได้ถึงลมวูบหนึ่งที่พัดปะทะผิวเนื้อ

อันตราย!

พร้อมๆ กับความคิดที่ผุดขึ้นในศีรษะ...จู่ๆ ดาบของอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งแค่เฉียดผิวของเด็กหนุ่ม ร่างนั้นพลันชะงัก และทรุดลงกับพื้นโดยไม่ได้ร้องอีกเลยสักครั้ง

เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังก่อนจะก้มมองร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น เสียงโหวกเหวกทำให้รีบตั้งสติจับดาบเตรียมพร้อม ทว่าสิ่งที่ได้ยินกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง

“ถอย!”

เสียงนั้นดังไล่กันเป็นทอดๆ อาเมียร์ผลักประตูปิด พยายามลงกลอนซึ่งหักตอนที่ประตูถูกถีบเข้ามาให้พอปิดกั้นคนภายนอกได้ ก่อนจะรอให้เวลาผ่านไป...โดยพยายามไม่มองร่างที่กองอยู่แทบเท้าตน ซึ่งเขาแน่ใจว่าวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว

นานเหลือเกินในความรู้สึก...กว่าประตูหน้าบ้านจะถูกเปิดเข้ามา เขาแทบไม่สงสัยเลยว่าด้วยมือของ ‘พ่อ’

“เจ้าปลอดภัยใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

“พวกมันถอยไปแล้ว...อย่างน้อยก็จากบ้านเรา แต่เห็นแสงไฟอยู่อีกทาง อาจมีบ้านที่ถูกวางเพลิง” ‘พ่อ’ เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจพูด “เจ้าพอจะดูแลแม่กับน้องๆ ได้ไหม ข้างนอกนั้นคงมีคนต้องการความช่วยเหลือ”

...ไม่...อย่าไป...ข้ารับมือพวกมันไม่ได้หรอก...อย่าให้ข้าต้องทำอย่างนี้อีกเลย...

...ข้าไม่อยากตาย...ไม่อยากให้แม่กับน้องต้องตาย...แต่ก็ไม่อยากฆ่าใครด้วย...


ความคิดเหล่านี้แล่นพล่านจนอาเมียร์ต้องขับไล่พวกมันไปอย่างยากเย็น แล้วก็ผงกศีรษะรับ

“ถ้าเห็นท่าไม่ดี ‘พ่อ’ จะรีบกลับ” อีกฝ่ายรับรองพลางใช้ท่อนแขนซ้ายที่เหลืออยู่ตบบ่าเขาเบาๆ “อย่าคิดมาก...บางครั้งเราก็จำเป็นต้องฆ่าเพื่อปกป้องคนที่เรารัก แล้วพวกมันก็ไม่ใช่คนที่ดีนักหรอก”

‘พ่อ’ พูดเท่านั้นก็ตรงไปที่ประตู และจากไปอีกครั้ง

เด็กหนุ่มเหลือบมองศพแทบเท้าตนอีกแวบหนึ่ง เขากลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะพยายามไม่คิดว่าสิ่งที่กองอยู่ตรงนั้นคือสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์เหมือนกับเขา...และเพิ่งขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้จนครู่ก่อนหน้านี้เอง

...กระนั้น...เขาก็ไม่อาจทำใจอยู่กับมันได้นานไปกว่านี้...

อาเมียร์คว้าผ้าขี้ริ้วแถวนั้นมาเช็ดคราบเลือดจากดาบให้หมด ทิ้งผ้าลงบนพื้น แล้วรีบก้าวไปที่ประตูของอีกห้องหนึ่งในบ้าน

ประตูนั้นลงกลอนอยู่ เขาเคาะประตูเบาๆ สองสามครั้งโดยไม่ได้รับเสียงตอบกลับ จึงได้พูดออกไป

“แม่ นี่ข้าเอง”

มีเสียงปลดกลอน ก่อนที่ประตูจะเปิดออกโดยเร็ว

“รีบเข้ามา”

เขาทำตามคำกระซิบของแม่โดยไม่รอช้า ในห้องมืดสลัวนั้นทั้งนาสิรากับฟาร์ฮานาห์ยังนอนห่มผ้าหลับสนิทไม่รู้เรื่องราวบนเตียงเล็กๆ ของตน

แม่ลงกลอนประตูอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงคู่อีกหลัง อาเมียร์เห็นว่ามือของแม่ยังจับด้ามมีดสั้นทรงโค้งของ ‘พ่อ’ ไว้แน่น

“เมื่อครู่แม่ได้ยินเสียงแถวๆ ครัว...ลูกปลอดภัยใช่ไหม”

เด็กหนุ่มจำใจพยักหน้า

“มีคนหนึ่งบุกเข้ามา แต่ข้า...” เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง “...ข้า...ฆ่าไปแล้ว”

หากแม่จะประหลาดใจบ้าง...ท่าทีของแม่ก็ยังคงเรียบเฉย และริมฝีปากเอ่ยถามอีกอย่าง

“แล้ว ‘พ่อ’ ล่ะ”

“ตอนนี้ออกไปข้างนอก ‘พ่อ’ จัดการพวกที่มาที่บ้านเราหมดแล้ว แต่ในหมู่บ้านคงยังมีคนต้องการความช่วยเหลือ”

“จ้ะ” แม่รับลอยๆ ครั้นเห็นเขายังยืนอยู่ก็ตบฟูกข้างๆ ตัวเบาๆ “อย่างน้อยเราต้องรอจนกว่า ‘พ่อ’ จะกลับมา...หรือไม่ก็ถึงเช้า ลูกนั่งก่อนเถอะ”

อาเมียร์ทำตามคำบอกเช่นเคย แล้วก็ได้แต่เหลือบมองหญิงข้างกายซึ่งนิ่งเงียบ มือข้างหนึ่งประคองมีดสั้นในฝักไว้ ขณะที่อีกข้างทาบบนครรภ์ที่นูนออกมา สายตาดูจะทอดมองลูกสาวเล็กๆ อีกสองคนอย่างแน่วแน่...ราวกับตั้งใจไว้แล้วว่าจะปกป้องพวกแกไว้ให้จงได้

...ในชั่วครู่นั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนแม่ได้กลับเป็นเสด็จแม่...เป็นราชินีสิมาริเมสผู้ทั้งอ่อนโยนและแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยวได้ในคนเดียวกันอีกครั้ง

...เหมือนตอนที่...

เขาเบิกตาโพลงเมื่อภาพในฝันย้อนกลับมาอีกครั้ง...แผ่นหลังขาวนวลที่ชุ่มโชกด้วยเลือด...แจ่มชัดต่อหน้าต่อตาราวกับเขากำลังยืนมองอยู่แค่เพียงเบื้องหน้า...

เลือด...ใช่เลือดจริงๆ...สีแดงของมันสะท้อนแสงเข้าตา...กลิ่นคาวยังติดอยู่แค่เพียงปลายจมูก

เด็กหนุ่มเผลอร้องออกมา สองมือยกขึ้นกุมหน้าผากเมื่ออาการปวดอย่างประหลาดวาบขึ้นในทันใด

“อาเมียร์!” มีเสียงร้อง...พร้อมกับมือที่โอบเขาไว้ “เป็นอะไรไปหรือลูก...”

เขาสั่นศีรษะ...แต่ยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งปวดตุบๆ เสียงกรีดร้องยังดังไม่หาย...แล้วยังเสียงดาบฟาดฟันตัดเนื้อและกระดูก...เหมือนกับเสียงที่เขาเพิ่งทำให้เกิดขึ้นและได้ยินชัดเจนอยู่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้เอง

ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นคือของเหลวสีแดง...ของเหลวสีแดงที่เคยรายรอบตัวเขา ของเหลวที่ส่งกลิ่นเหมือนด้ามโลหะของดาบที่เขาเพิ่งกำไว้ในมือ...และใช้ฟาดฟันเพื่อสร้างของเหลวที่ส่งกลิ่นเช่นนั้นให้ฉุนคาวกว่าเดิม

แล้วของเหลวอุ่นๆ ก็เริ่มรินลงมาตามใบหน้า...ตามมาด้วยเสียงสะอื้นที่เขาไม่ทันห้าม

“...นิ่งเสียนะ...” วงแขนบอบบางยังคงกอดเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมถ้อยคำนั้น “นิ่งเสียลูก...มันจบลงไปแล้ว...ไม่มีใครเป็นอะไร...พวกเราปลอดภัย...แล้ว ‘พ่อ’ ก็ต้องปลอดภัยด้วย ลูกไม่ได้ทำผิด...ลูกทำเพื่อปกป้องนาสิรา ฟาร์ฮานาห์ กับแม่ กับน้องเล็กไว้ต่างหาก”

เขาไม่ตอบ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหล...ปล่อยให้สองมือที่เพิ่งคร่าชีวิตไปสั่นเทิ้มโดยไม่อาจหยุดพวกมันได้ ลำคอตีบตันไม่ยอมให้ถ้อยคำใดๆ ผ่าน ในสมองก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกอย่างไร...และร้องไห้เหมือนเด็กๆ เพราะอะไร

กระนั้น...แม่ก็ยังปลอบโยนเขาด้วยอ้อมกอดและมือที่ลูบบนแผ่นหลังอย่างเงียบๆ ไม่มีคำปรามหรือตำหนิติเตียนที่เขาไม่ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชาย หรือคำถามว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงกลับอ่อนแอขึ้นมา

...เหมือนกับเขายังเป็นลูกน้อยคนเดิมของท่านอยู่เสมอ...

“...ไม่เอาแล้ว...” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เค้นคำพูดออกมาได้สำเร็จ “...ข้าไม่อยากเห็นของแบบนั้นอีก...ข้าไม่อยากทำแบบนั้นเลย...มันน่ากลัวเหลือเกิน...แม่...ข้า...ข้าไม่อยากเห็นหรือได้กลิ่นเลือดอีกด้วยซ้ำ...”

“ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรเลยที่ลูกจะกลัว...พวกเราทุกคนก็กลัวทั้งนั้น” แม่กระซิบ “แม่รู้จ้ะ...เราเจอเรื่องแบบนี้มามาก แม่รู้ว่าทำไมลูกถึงกลัว”

“แต่...แต่ข้าไม่ควรจะกลัวไม่ใช่หรือ...ข้าเป็นผู้ชาย...ผู้ชายต้องเป็นนักรบ...แล้วนักรบที่ไหนกันที่เขากลัว...”

“ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นนักรบหรอก หากลูกไม่ต้องการ” แม่พูดหนักแน่น “แม่ไม่ขอให้ลูกเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากคนดี...คนที่เห็นใจความทุกข์ของคนอื่นๆ และพยายามไม่เบียดเบียนใคร เท่านั้นก็พอแล้ว”

“แต่ข้า...ข้า...”

“พ่อก็เข้าใจลูกเหมือนกัน กระทั่งพ่อยังไม่อยากเป็นนักรบเลยเห็นไหม พ่อก็ไม่อยากให้มือต้องเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้หรอก” แม่ลูบศีรษะของเขา “นอกจากเพื่อปกป้องพวกเรา”

เด็กหนุ่มพยายามคิดตามนั้น...เขาจำเป็นต้องทำเพื่อตนเอง และเพื่อคนที่เขารักอีกสามคนไม่ใช่หรือ ทว่าความคิดก็ไม่อาจระงับน้ำตาที่หลั่งไหล

“ระบายออกมาเถอะจ้ะ” แม่กลับบอก “มีอะไรก็พูดออกมา...ร้องออกมาเสียให้พอ ลูกจะได้สบายใจขึ้น”

และเขาก็ทำตามคำบอก...ระบาย...ร้องไห้...คร่ำครวญ...ทำสิ่งที่เขาไม่คิดเลยว่าตนควรทำ แม้ต่อหน้าคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดอย่างแม่ก็ตาม

* * *


เมื่อช่วงเวลาของความรู้สึกที่ปั่นป่วนจนบรรยายไม่ถูกผ่านไปพร้อมกับการแห้งเหือดของกระแสน้ำตา เด็กหนุ่มค่อยรู้สึกโล่งใจ แต่ขณะเดียวกันก็กลับละอายขึ้นมาแทนที่มีคนรับรู้ความอ่อนแอของตน

แม่เสียอีกกลับเป็นฝ่ายปล่อยให้เหตุการณ์นั้นผ่านไปอย่างเงียบๆ และอย่างน้อยก็คงถือเป็นโชคดีที่ ‘พ่อ’ กลับมาหลังจากนั้น

แม่เปิดประตูรับท่านเข้ามาหลังได้ยินเสียงเคาะประตูและน้ำเสียงที่ยืนยัน

“เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายเท่าที่คิด” ‘พ่อ’ โคลงศีรษะน้อยๆ “ข้าฆ่าพวกมันไปได้บ้าง แต่ยังมีพวกที่หนีรอดไปได้ พวกมันฆ่าแล้วก็จับชาวบ้านไปได้บางส่วน แต่ยังไม่รู้แน่นอนว่ากี่คน”

“คนเจ็บเยอะไหมคะ”

“ไม่ค่อยมีใครเจ็บหนักเท่าไร แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องหาคนเก็บรวบรวมศพ” ‘พ่อ’ ตอบขณะที่แม่ถอดเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ ให้ “อย่างน้อยเราคงต้องจัดการที่อยู่ในครัวก่อน เด็กๆ จะได้ไม่ตกใจ ส่วนข้างนอกนั่นพอให้ชาวบ้านมาช่วยทีหลังได้ อาเมียร์...”

“ให้อาเมียร์เฝ้าน้องๆ เถอะค่ะ” แม่ตัดบททันที “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องทำความสะอาดครัวกับทำอาหารอยู่แล้ว จะได้เก็บกวาดเสียทีเดียวเลย”

“แม่ ข้าไม่—” เด็กหนุ่มพยายามแย้ง

แม่หันมายิ้มน้อยๆ ให้เขา แล้วก็พูดสั้นๆ เพียงว่า

“ฝากดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ”

“สิมา ตอนนี้เจ้าไม่ควรออกแรงมาก” ‘พ่อ’ ติง

“ตั้งห้าเดือนแล้วนะคะ ไม่เป็นไรหรอก”

แม่พูดเท่านั้นแล้วก็เดินนำไปโดยไม่ฟังใครอีก ทำให้ชายทั้งสองในบ้านรู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางคัดค้าน

‘พ่อ’ โคลงศีรษะแล้วตามออกไป ทิ้งเขาไว้กับเด็กหญิงทั้งสองคนที่ยังหลับใหล...หลับสนิทจนเขาอิจฉาว่าเหตุใดตนจึงไม่ได้หลับสนิท ไม่รู้เรื่องราวอะไรจนเช้าเช่นนี้บ้าง

แต่ถึงเป็นอย่างนั้น ‘พ่อ’ ก็คงต้องปลุกเขาให้มาช่วยเฝ้าแม่กับน้องๆ เพราะเขาเป็นผู้ชายอีกคน เขาอายุสิบเจ็ดซึ่งถือว่าโตแล้ว และเขาเป็นลูกของนักรบ...

นี่คือความรับผิดชอบของเขา...ความรับผิดชอบที่เขาไม่อาจละเลย เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของคนอื่นๆ ที่เขารัก

แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน...ทำไม...

ทำไมโลกนี้จึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงต้องมีการฆ่าฟัน หากใครสักคนหยุดวงจรของการฆ่าฟันนี้ได้จะดีเพียงไร

อาเมียร์ได้แต่สั่นศีรษะเมื่อตระหนักว่านั่นเป็นได้เพียงอุดมคติ

เสด็จพ่อยังเคยตรัสไม่ใช่หรือ ว่า “การฆ่าเพื่อปกป้อง” นั้นมีอยู่ “การเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า” นั้นก็มีอยู่ กระทั่งเสด็จพ่อเองยังต้องฆ่าฟันข้าศึก และสละพระชนม์ชีพของท่านเพื่อให้โอรสและประชาชนได้มีโอกาสหลบหนีไม่ใช่หรือ

หากการฆ่าเป็นสิ่งที่ใครๆ บอกว่าผิด...แล้วเหตุใดคนที่ไม่อาจฆ่าผู้อื่นจึงกลายเป็นคนอ่อนแอที่ต้องทุกข์ทน และไร้พลังเสียเหลือเกิน

“อาเมียร์”

ความคิดของเด็กหนุ่มสะดุดลงเมื่อมีเสียงเรียกและเสียงเปิดประตู

แม่ชะโงกหน้าเข้ามา

“แม่อบขนมปังไว้แล้วนะจ๊ะ ไว้กินกับเนื้อรมควันที่แขวนอยู่ ส่วนผักแม่แช่ไว้ในอ่าง ถ้าน้องๆ ตื่น ลูกก็ทำอาหารเช้ากินไปก่อนเลยนะ แม่จะออกไปกับพ่อหน่อย”

“แม่อยู่ที่นี่เถอะ” อาเมียร์ตัดสินใจพูด “ข้าจะออกไปช่วยพวกชาวบ้านกับ ‘พ่อ’ เอง”

แม่มีสีหน้าเป็นกังวล แม้จะไม่คัดค้านออกมาตรงๆ

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ พร้อมกับพยายามยิ้ม “ให้ข้าไปเถอะ”

“ทั้งศพทั้งเลือดเต็มไปหมด เจ้าไหวหรือ” เสียงของ ‘พ่อ’ ถามอยู่ด้านหลังแม่ ราวกับรู้อาการของเขาดี

แม่บอกหรือ...อาเมียร์คิดอย่างไม่สบายใจ และออกจะน้อยใจ กระนั้นเขาก็พยายามรับให้หนักแน่นที่สุด

“ไหว”

‘พ่อ’ กับแม่ของเขาหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่งเหมือนจะถามความเห็นกันเงียบๆ ก่อนที่ ‘พ่อ’ จะเป็นฝ่ายตอบ

“ได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าต้องบอกกันล่ะ”

* * *


จริงอย่างที่ ‘พ่อ’ พูด ศพของโจรซึ่งสวมชุดทะมัดทะแมงสีดำราวห้าหกศพกองระเกะระกะในบริเวณไร่ของเขา โดยเฉพาะหน้าบ้าน นอกเหนือจากนั้นก็มีกระจายกันไปตามที่ต่างๆ

ไม่เป็นไร...ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย...เด็กหนุ่มย้ำกับตนเองพร้อมกับพยายามไม่มองศพใดศพหนึ่งหรือกองเลือดที่ใดที่หนึ่งให้นานเกินไป หากทำเช่นนี้เขาก็พอเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่หวั่นผวานัก

แต่ก้าวไปได้ไม่นาน...

“...ลูกแม่!...โถลูกแม่...”

เสียงร้องไห้โหยหวนดังมาจากบ้านที่อยู่เพียงใกล้ๆ ...เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อจำได้ว่านั่นคือเสียงของแม่ของเกล็น

ครั้นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้...ก็พบนางทิ้งตัวเกลือกหน้ากับอกของร่างหนึ่งที่นอนแน่นิ่งกับพื้น ร่างที่มีผมสีฟาง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างและริมฝีปากอ้าค้างราวกับยังเรียกชื่อใดชื่อหนึ่งไม่จบ ส่วนมือข้างหนึ่งยังไม่คลายจากด้ามคราดที่ข้างตัว

ทั้งปลายคราดและบนร่างนั้นเปื้อนเปรอะคราบเลือด และมีรอยเลือดหยดเป็นทางไปจนถึงร่างในชุดสีดำที่นอนคว่ำอยู่อีกร่างหนึ่งไม่ไกลนัก

ชายวัยกลางคนอีกคนยืนก้มหน้าสงบนิ่งเหมือนกำลังข่มใจอยู่ข้างๆ หญิงที่คร่ำครวญหวนไห้ ขณะที่ใจของอาเมียร์เต้นระรัว กวาดมองไปโดยรอบเพื่อมองหาใครอีกสองคนที่ควรจะอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

...แต่ก็ไม่พบ...

“ลีชากับก็อธฟรีด์...” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็กระซิบกับ ‘พ่อ’

“ถูกพวกมันเอาตัวไป” ชายผู้สูงวัยกว่าพูดเคร่งขรึม “กับพวกผู้หญิงกับเด็กคนอื่นๆ...เห็นเขาว่ากันว่าอย่างนั้น”

อาเมียร์กำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อพร้อมกับเบือนหน้าหลบ

อีกแล้วหรือ...การฆ่าฟัน...ฉุดคร่า...ปล้นสะดม...ที่นี่ก็ไม่ต่างจากอาณาจักรที่ล่มสลาย หรือทะเลทรายที่พวกเขาหนีมาเลยใช่ไหม

พ่อของเกล็นสังเกตเห็นทั้งสอง แล้วจึงเดินเข้ามา เอ่ยเรียบๆ แม้สีหน้าจะดูสลด

“หัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมอีกครึ่งชั่วยามหน้า พวกเจ้าจะไปหรือเปล่า”

ซิอ์บุลรับคำ ขณะที่ใจของเด็กหนุ่มจดจ่อปั่นป่วนอยู่แต่กับความคิดถึงคนที่เขาเพิ่งพูดคุยด้วย...คนที่เพิ่งบอกความลับที่ไม่เคยบอกใครให้เขาฟังเมื่อเที่ยงวาน ก่อนจะมีอันต้องหมดลมหายใจโดยไม่ควรในเวลาไม่ถึงวันเดียวต่อมา

...แล้วก็คนที่คนคนนั้นต้องการปกป้องและห่วงใยยิ่งชีวิตอีกสองคน...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบัดนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร...


บทที่ ๓ การช่วยเหลือ

* * *


เขียนตอนนี้แล้วผมก็เสียดายตัวละครอย่างเกล็นแฮะ ที่ออกมาได้แค่สองตอนก็ต้องตายจากกันไปแล้ว (ถึงผมจะวางไว้ให้เขาต้องตายในทีแรกแล้วก็เถอะ) เกล็นเป็นคนที่ดูซื่อๆ ไม่ฉลาดมาก แต่ก็เป็นลูกผู้ชายตัวจริงคนหนึ่งล่ะครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเขียนเรื่องเบื้องหลังของเกล็นกับลีชาให้จบสมบูรณ์เหมือนกันว่ามาพบกันและรักกันได้อย่างไร

ส่วนเรื่องที่อาเมียร์หรือทัมมุซกลัวเลือดและการฆ่ามาจากความฝังใจในตอนเด็กเมื่ออาณาจักรล่มสลาย ถ้าเป็นไปได้เขาก็คงไม่อยากฆ่าใครก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์รอบด้านที่เป็นไปก็นับเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาเมียร์ก็ต้องผ่านความรู้สึกในตอนนี้ไปให้ได้ครับ

คุณ kanhompung - ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะครับ ^^


Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 9:55:02 น. 1 comments
Counter : 265 Pageviews.

 

เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
จงปกปักรักษา
คุ้มครองให้ท่านและครอบครัว
มีความสุขความเจริญ
ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ
ปรารถนาสิ่งใด
ที่เป็นไปด้วยความชอบธรรม
ขอให้สำเร็จสมความปรารถนา
ทุกประการ เทอญ


จากใจ...โสดในซอย



โดย: โสดในซอย วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:12:07:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.