ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒๖ - การไต่สวน

บทที่ ๒๖ การไต่สวน


โถงเล็กบนชั้นหนึ่งของอาคารซึ่งลงไปสู่คุกใต้ดินเป็นที่ที่จัดไว้สำหรับการไต่สวน ดูเหมือนผู้ที่เข้าใจกันว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ครบถ้วนดี มีท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธกับบุตรชายคนรองและอาเมียร์อยู่ในฝ่ายหนึ่ง ส่วนท่านเจ้ามณฑลชอร์ซากับชาลัวห์ลูกชายอีกฝ่ายหนึ่ง เจ้าหญิงแอชลีนน์ประทับแยกอยู่อีกมุมหนึ่งเยื้องจากเสนาบดีตุลาการกับท่านผู้สำเร็จราชการคอนรอยซึ่งนั่งเป็นประธาน และมีเคียราตามเสด็จมาพร้อมกับดูลัส

หญิงชราผมขาวทั้งศีรษะ ตัวเล็กร่างผอมเกร็งถูกคุมตัวเข้ามาทั้งที่สวมตรวนไม้หนักอึ้งบนข้อมือข้อเท้าที่แทบมีแต่หนังหุ้มกระดูก นัยน์ตาของนางกลอกไปทั่วอย่างรวดเร็วราวกับลิงลม ดูตื่นหวาดเหมือนสัตว์ป่ามากกว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

สิ่งผิดปกติอย่างแรกที่นางทำ...และคงจะทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อยรวมถึงดูลัส...คือการทิ้งตัวลงบนพื้นและก้มศีรษะแทบโขกแผ่นหินเมื่อหันไปเห็นใครคนหนึ่ง

“ท่านจ้าว! อภัยให้ข้าน้อยด้วย...ข้าน้อยไม่ทราบเลยว่าเป็นท่าน!! ข้าน้อยผิดไปแล้วที่บังอาจหันคมอาวุธใส่นายท่าน!!”

ผู้ถูกคำนับ...ซึ่งดูประหลาดใจและตกใจถึงขีดสุดไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในที่นั้น...ไม่ใช่ใครเลยนอกจากอาเมียร์

“นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้ารู้จักกับนางด้วยหรือ” เสนาบดีตุลาการตั้งคำถามหลังจากทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง มีเพียงหญิงชราที่ยังละล่ำละลักร้องขออภัยต่อ ‘ท่านจ้าว’ ไม่หยุดหย่อน

“ข้าไม่เคยพบนางเลยขอรับ” เด็กหนุ่มรีบตอบ “นางคงเข้าใจผิดไปเอง”

“ท่านจ้าว...อภัยให้ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ...ข้าน้อยผิดไปแล้วจริงๆ!!”

“เงียบเสีย!” เสนาบดีตุลาการตัดสินใจออกคำสั่ง ทว่านางดูเหมือนจะไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย

ดูลัสจับตามองเรื่องไม่คาดฝันนี้อย่างตั้งใจ เขาเห็นอาเมียร์มีสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดขึ้น

“เลิกขออภัยข้า แล้วตอบคำถามของท่านเสนาบดีตุลาการตามตรงทุกข้อ...ได้ไหม”

“เจ้าค่ะ! ข้าน้อยทราบแล้ว...ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านจ้าวสั่งทุกประการเจ้าค่ะ!!” หญิงชรารับ แต่ก็ยังคุกเข่าหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มชาวทะเลทรายนิ่งอยู่เช่นนั้น...ราวกับสุนัขที่กำลังรอคำสั่งจากนาย

“...หากเจ้าไม่รู้จักนาง แล้วเจ้าออกคำสั่งให้นางทำตามได้อย่างไร” เสนาบดีตุลาการกลับถามอาเมียร์แทน

“ข้า...ก็แค่คิดว่า...ถ้านางเห็นข้าเป็นคนที่นางเชื่อฟัง นั่นน่าจะทำให้นางยอมเงียบได้ และท่านเสนาบดีจะได้ดำเนินการไต่สวนได้สะดวกขึ้นขอรับ” อีกฝ่ายตอบก่อนจะตัดสินใจพูดต่ออย่างลังเล “หันหน้าไปทางท่านเสนาบดีแล้วตอบคำถามเขาดีๆ อย่าเรียกข้าอีก”

“เจ้าค่ะ! ข้าน้อยจะทำตามนั้นเจ้าค่ะ!!” นางใช้สองมือและเข่ากระวีกระวาดหมุนตัวไปอีกทาง

ดูเหมือนท่านเสนาบดีจะยังมองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบแคลง แต่ก็เริ่มการไต่สวนนับแต่นั้น

หญิงชรากลับมาพูดจารู้เรื่องดีอย่างน่าประหลาดใจเมื่อถูกถามชื่อและพื้นเพ...แม้คำตอบของนางจะฟังเลอะเลือนไปบ้าง จนกระทั่งมาถึงคำถามสำคัญ

“เจ้าเป็นผู้สังหารท่านเฟลิม พระคู่หมั้นของเจ้าหญิงแอชลีนน์จริงหรือ”

“จริง...ตามคำสั่งของท่านจ้าวกับชายธีร์ดีเรที่ชื่อชาลัวห์”

“พูดจาพล่อยๆ!” ชาลัวห์โพล่งขึ้นทันที...อย่างที่ดูลัสใช่ว่าจะไม่คาดการณ์ไว้ “ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าเลยสักนิด!”

“แล้วเจ้าไปทำตามคำสั่งของ ‘ท่านจ้าว’ กับคุณชายชาลัวห์ได้อย่างไร”

“’ท่านจ้าว’ เป็นผู้พาชายคนนั้นมาพบข้า...และบอกให้ข้าช่วยให้เขาได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ข้าได้รับคำสั่งจากท่านจ้าวให้มอบใบแชมร็อคลงอาคมให้คู่ประลองที่สู้กับเขาทั้งสองคนพ่ายแพ้ไป แต่...แต่กลับสำเร็จไปเพียงคนเดียวเพราะมีผู้แก้มนต์ให้คู่ประลองคนหลัง สุดท้าย...ท่านจ้าวกับเขาจึงสั่งให้ข้าใช้มนต์สังหารผู้ชนะเสียในคืนก่อนคืนวาน”

“นังไพร่! กล้าดีอย่างไรมากล่าวหาข้า!!” ชาลัวห์ผุดลุกขึ้น “ข้าไม่เคยรู้จักคนชั้นต่ำอย่างเจ้าเลยด้วยซ้ำ!!”

หญิงชรากลับหันขวับมาทางเขา

“หากท่านจ้าวไม่บัญชาให้ข้าช่วยแก ก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะยอมเสียมนต์อันมีค่าให้คนน่ารังเกียจเบาปัญญาอย่างแกแค่กระผีกริ้น!!”

“นังนี่!!”

“ทั้งสองคนจงอยู่ในความสงบ!” เสนาบดีตุลาการสั่งก่อนจะหันมาทางหญิงชราอีกครั้ง “ท่านจ้าวเป็นใคร เหตุใดเจ้าจึงเชื่อฟังเขา จงตอบมาตามความจริง”

“ท่านจ้าว...” หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งชื่นชมกึ่งกริ่งเกรง “ท่านจ้าวคือผู้เกรียงไกรสำหรับพวกเรา คือนายแห่งอาณาจักรสาบสูญ คือจ้าวแห่งโลกมืด...จ้าวแห่งมหาอาคมอนธการผู้จักโค่นล้มองค์สุริยเทพ”

จอมปีศาจ... ดูลัสขมวดคิ้วครุ่นคิด นางพูดถึงจอมปีศาจอย่างนั้นหรือ...

แม่มดผู้ใช้มนต์ดำจะนับถือจอมปีศาจ เทพมารผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อเทพแห่งแสงสว่างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าแม่มดที่ทึกทักเป็นตุเป็นตะว่ามารตนนั้นนำคนอย่างชาลัวห์มาให้นางทำงานให้ มิหนำซ้ำยังเห็นแค่เด็กหนุ่มชาวทะเลทรายคนหนึ่งเป็น ‘ท่านจ้าว’ ผู้เกรียงไกรพระองค์นั้นเป็นเรื่องที่ออกจะเกินไปหน่อย

จะเป็นไปได้หรือ...ต่อให้อาเมียร์มีอาคมจริงๆ แต่ปิดบังไว้หรือมีโดยไม่รู้ตัวก็ตาม ดูลัสก็ยังเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับตนนี่เอง ไม่มีทางจะเป็นสิ่งใดที่เหนือกว่านั้นไปได้เด็ดขาด...

“แต่...เมื่อครู่เจ้าเรียกชายชาวทะเลทรายคนนั้นว่า ‘ท่านจ้าว’ ของเจ้าไม่ใช่หรือ” เสนาบดีตุลาการถามช้าๆ

“ใช่แล้ว เขาผู้นั้นคือท่านจ้าวของข้า”

“...แล้วเป็นคนเดียวกับท่านจ้าวแห่งโลกมืดของเจ้าหรือ”

“ใช่แล้ว เป็นท่านเดียวกัน”

“นังนี่มันบ้าไปแล้ว! ท่านอย่าเชื่อคำพูดของมันนะ!!” ชาลัวห์พูดขึ้นอีก “ข้าไม่เคยรู้จักหรือพบนางมาก่อน แล้วถ้านางเห็นไอ้คนทะเลทรายนั่นเป็นนายบ้าบออะไรของนาง...ข้ากับมันก็เกลียดกันจะเป็นจะตาย! ใครหลายคนในนี้ก็รู้อยู่! ข้าจะไปตามมันไปหานางได้อย่างไรกัน!!”

“ข้า...ข้าก็สาบานได้ว่าไม่เคยรู้จักนางเลยเหมือนกันขอรับ” อาเมียร์เอ่ยขึ้นบ้างด้วยเสียงที่สงบกว่า “อันที่จริงข้าพอระแคะระคายเรื่องที่ท่านดูลัสถูกอาคมทำให้แพ้ในการประลองรอบแรกบ้าง แล้วข้าก็เป็นคนทำลายใบแชมร็อคลงอาคมที่ถูกส่งมาให้ท่านเฟลิมเอง...ถึงจะโดยไม่ตั้งใจก็เถอะ หากข้าร่วมมือกับชาลัวห์จริงๆ ข้าจะทำอย่างนั้นไปทำไม สู้ให้ท่านเฟลิมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนั้นจะไม่สะดวกกว่าต้องมาเสี่ยงลอบฆ่าทีหลังหรอกหรือ”

องครักษ์หนุ่มเห็นด้วยกับคำพูดในตอนหลังของเด็กหนุ่ม การที่ชาลัวห์ชนะผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนซ้อนกันเพราะคู่ต่อสู้มีอาการอ่อนเพลียกะทันหันในวันนั้นทั้งคู่อาจดูมีพิรุธ...แต่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำง่ายดายและมีปัญหาน้อยกว่าลอบสังหารผู้เข้าแข่งขัน และหากการกำจัดลูกชายของเจ้ามณฑลหรือขุนนางอื่นๆ ที่จะขวางผลประโยชน์ชาลัวห์ในฐานะราชาองค์ต่อไปเป็นส่วนหนึ่งในแผนการ พวกเขาก็น่าจะเลือกเวลาและสถานการณ์ที่ไม่โดดเด่นกว่านี้...ไม่ท้าทายอุกอาจถึงเพียงนี้

แล้วเฟลิมก็เป็นคนที่ดูจะไม่มีความรู้ความสามารถหรือชั้นเชิงด้านการเมืองเป็นพิเศษจนถึงขั้นปล่อยไว้ไม่ได้เลยสักนิด ตัวดูลัสเองหรือคาเฮียร์ยังดูเหมือนมีอันตรายมากกว่าสำหรับชาลัวห์ด้วยซ้ำ...หากว่าเฟลิมไม่มีอาเมียร์เป็นอาจารย์และที่ปรึกษาอย่างเมื่อก่อน

เสนาบดีตุลาการไม่ตอบทั้งคู่ แต่ออกคำสั่งต่อหญิงชราต่อไป

“จงเล่ามาตั้งแต่ต้น ว่าเจ้าพบ ‘ท่านจ้าว’ ของเจ้ากับคุณชายชาลัวห์ตั้งแต่เมื่อไรและอย่างใด”

“ท่านจ้าวมาพบข้าที่บ้านตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยพาชายธีร์ดีเรคนนั้นมาด้วย”

“เจ้าพอระบุวันที่แน่นอนได้ไหม”

“ทำไมจะไม่ได้เล่า ข้าจำเวลาที่ท่านจ้าวเสด็จมาหาข้าได้ดีทีเดียว” หญิงชราบอกอย่างมั่นใจ “คืนของวันที่สิบสามเดือนหนึ่ง คืนที่พวกเราเหล่าสาวกแห่งความมืดทำพิธีบูชาพระองค์”

ดูลัสคิดทบทวนตามแล้วก็พบว่า...นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ผลการทดสอบรอบที่สองออกแล้ว และผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสี่คนก็ย่อมต้องเข้ามาเตรียมตัวในเมืองหลวง เท่ากับว่าทั้งชาลัวห์และอาเมียร์ย่อมอยู่ในเขตเมืองหลวงในช่วงเวลานั้น

“ทั้งสองมาทำอะไร”

“มาขอให้ข้าช่วยให้ชายคนนั้นชนะผู้เข้าแข่งขันทุกคนในวันประลองที่มาถึง เพื่อที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ท่านจ้าวเป็นผู้สั่งข้าให้ทำใบแชมร็อคลงอาคมและปลอมตนเป็นแม่ค้าเร่นำพวกมันไปให้กับคนสองคนตามคำบอกของท่าน ซึ่งจะผ่านจัตุรัสกลางในวันก่อนประลองกับวันประลองและสนใจพวกมัน”

“คนสองคนนั้นคือใคร”

“นางกำนัลที่ยืนอยู่ตรงนั้น” นางพูด เคียราสะดุ้งก่อนจะรีบก้าวหลบเมื่อนางชี้นิ้วผอมและเหี่ยวย่นมาทางเธอ “กับชายผมแดงคนนั้น”

หญิงชราหันกลับมาชี้ลูกชายคนรองของเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ซึ่งขมวดคิ้วเคร่งเครียด

“เจ้าทั้งสอง เป็นความจริงอย่างที่นางพูดหรือ” เสนาบดีหันไปถามทั้งสอง

“จ...เจ้าค่ะ” เคียราตอบตะกุกตะกัก “ข้า...ข้าออกไปเข้าอาราม ตอนก่อนกลับเห็นแม่ค้าเร่ชาวทะเลทรายคนหนึ่งมีใบแชมร็อคจึงเข้าไปซื้อของของนาง และได้นำมามอบให้ท่านดูลัสเจ้าค่ะ”

“เจ้าหมายถึงราชองครักษ์ดูลัสน่ะหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“แล้วเจ้าล่ะ” เสนาบดีตุลาการหันไปทางลูกชายคนรองของเจ้ามณฑลยาร์ลาธบ้าง

“จริงขอรับ” เด็กหนุ่มตอบ “วันนั้นอาจารย์ให้ข้าออกไปซื้ออาหารกลางวันให้พี่เพราะกลัวว่าอาหารที่สนามประลองจัดให้จะมียาบางอย่าง ข้าเลยบังเอิญเจอร้านของนางแล้วได้ใบแชมร็อคมาเหมือนกัน แต่พออาจารย์แตะใบไม้พวกนั้น พวกมันก็ไหม้เป็นเถ้าถ่านเองจนหมด พี่เฟลิมจึงไม่ได้พกติดตัวไว้”

“‘อาจารย์’ ที่เจ้าพูดถึง หมายถึงชาวทะเลทรายคนนี้น่ะหรือ”

“ขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...เจ้าได้พบนางเพราะอาจารย์สั่งให้ออกไปในวันนั้นและเวลานั้นแท้ๆ”

“แต่ถ้าเขาตั้งใจจะให้ชาลัวห์ชนะจริงๆ จะทำลายใบไม้นั้นต่อหน้าต่อตาข้าทำไมเล่าขอรับ” เด็กหนุ่มผมแดงย้อนถาม

“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนั้นเช่นกัน” เสนาบดีตุลาการพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาเรียกหญิงชราอีกที “ท่านจ้าวที่มาหาเจ้ากับคุณชายชาลัวห์มีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร”

“ท่านจ้าวสวมผ้าคลุมสีดำล้วนปกปิดหน้าตา”

“แล้วเจ้าทราบได้อย่างไรว่าชายทะเลทรายที่อยู่ที่นี่เป็นคนเดียวกับท่านจ้าวของเจ้า”

“ข้าทราบเพราะสัมผัสอำนาจเวทมนตร์อันแรงกล้าของท่านได้ พวกเราเหล่าสาวกแห่งความมืดไยจะไม่รู้จักอำนาจของนายตนเอง”

ในห้องไต่สวนมีเพียงความเงียบพักหนึ่ง ก่อนเสนาบดีจะถามต่อไป

“ในตอนนี้ เจ้ายังสัมผัสอำนาจเวทมนตร์ที่ว่าได้จากชาวทะเลทรายคนนั้นน่ะหรือ”

“บัดนี้ท่านจ้าวมิได้แผ่อำนาจออกมา แต่ข้าจดจำพระองค์ได้จากรูปร่างหน้าตา”

“แล้วเจ้าไปเห็นหน้าตาของเขาตั้งแต่ตอนไหน”

“เมื่อสามคืนก่อน...” สีหน้าของหญิงชราดูหวาดหวั่นขึ้น “ข้าได้รับคำสั่งจากท่านจ้าวและชายธีร์ดีเรนั่นให้ฆ่าคู่หมั้นของเจ้าหญิง และเมื่อท่านจ้าวออกไป...ชายธีร์ดีเรนั่นก็บอกให้ข้าฆ่าผู้ติดตามของคู่หมั้นที่เป็นคนทะเลทรายอีกคนหนึ่งด้วย ข้าจึงลงมือฆ่าทั้งสองพร้อมกันในคืนวาน แต่ว่า...ไม่นึกเลยว่าผู้ติดตามคนนั้นที่แท้คือท่านจ้าว! ที่แท้ท่านจ้าวปิดบังอำนาจของตนไว้...ข้าเพิ่งได้ทราบเมื่อท่านจ้าวทำลายอาคมของข้าได้!! ซ้ำยังทำให้อาคมนั้นย้อนกลับมาสู่ข้าเอง!!” นางยกมือขึ้นกุมสีข้างใต้ชุดนักโทษแบบเรียบๆ ที่สวมอยู่

“นั่นเป็นเหตุให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”

“ใช่! ท่านจ้าว...ท่านจ้าวช่วยข้าน้อยด้วย!!” หญิงชราหันไปพูดกับอาเมียร์อีกครั้ง “ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด ข้าน้อยเพียงพลาดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่บังอาจทำร้ายท่าน...โปรดอภัยและรักษาข้าน้อยด้วย!!”

นางเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ เกลือกศีรษะกับพื้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าทั้งสงสัย กังวล และลำบากใจ

เสนาบดีตุลาการนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประกาศ

“ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ ขณะที่เจ้าหญิงทรงมีพระวินิจฉัยร่วมกับท่านผู้สำเร็จราชการ” เขาหันมาทางทั้งสองแล้วเอ่ยเบาลง “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดนี้สุดที่กระหม่อมจะตัดสินใจว่าจริงเท็จประการใด กระหม่อมคิดว่า...เราควรประสานศาสนจักรแห่งซาเกรดา โซล เพื่อขอให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีความรู้หรือความรับผิดชอบด้านอาคมจริงๆ เข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่นั่น...จะไม่ถือเป็นการดึงอำนาจต่างชาติเข้าแทรกแซงหรือ” เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงติง “ในเมื่อซาเกรดา โซล...”

เด็กสาวเงียบไปเท่านั้น ทว่าดูลัสเข้าใจดีว่าพระองค์ต้องการจะตรัสอะไร หากเหตุลอบสังหารไม่เกิดขึ้น...เจ้าหญิงก็คงจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทของซาเกรดา โซล ไปแล้ว ตามพระวินิจฉัยของพระราชาและพระราชินีผู้ล่วงลับ ซึ่งกำลังดำเนินการให้มีการหมั้นหมายกันเมื่อสามปีก่อน...ก่อนจะมีอันต้องล้มเลิกไปเพราะเหตุร้ายที่เกิดขึ้นและบีบให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงกลายเป็นรัชทายาทพระองค์สุดท้ายไปโดยปริยาย

“กระหม่อมคิดว่าคณะสังฆราชาคงจะไม่นำเรื่องการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ท่านคอนรอยออกความเห็น “และเหตุครั้งนี้ก็ดูเหนือธรรมชาติจนเกินความคาดคิดของพวกเราแล้วจริงๆ”

“เช่นนั้น เราควรจะคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งสองไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้เลย ขณะรอให้พระเถระผู้ตรวจสอบไสยเวทและพฤติกรรมนอกรีตมาถึง” เสนาบดีตุลาการสรุป

“ต้องถึงขั้นคุมตัวเชียวหรือ!” เด็กสาวกลับพูดอย่างตกใจ

“เราจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปไม่ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่อาเมียร์...ข้าหมายความว่าทั้งสองคนจะหนีไปที่ไหนได้”

“โอกาสและที่ให้หนีหรือหลบซ่อนตัวมีมากมาย เราจะประมาทไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ว่า...แล้วครอบครัวของเขาล่ะ”

“ครอบครัว?” ดูเหมือนเสนาบดีตุลาการจะตีความเป็นคนละทางอย่างสิ้นเชิง “เจ้าหญิงทรงมีพระสติปัญญานัก กระหม่อมจะให้มีการตรวจสอบครอบครัวของทั้งสองว่ามีส่วนร่วมใดหรือไม่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะครอบครัวผู้อพยพชาวทะเลทรายนั่นยิ่งน่าสงสัย”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย” เจ้าหญิงแอชลีนน์รีบแก้ “เรา...เพียงแต่คิดว่าสอบสวนแค่เจ้าตัวก็พอแล้ว คนในครอบครัวของเขาไม่น่าจะรู้เรื่องได้อย่างไรไม่ใช่หรือ”

“หากไม่สอบสวน...แล้วจะทรงทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็เรา...” เด็กสาวกลับเงียบไป

ดูลัสภาวนาอย่าให้เจ้าหญิงทรงแพร่งพรายความจริงที่ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองย่อมไม่ยินดีที่ได้ฟังออกไปเลย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล...

เด็กสาวกลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจพูด

“เราเคยไปที่บ้านของเขามาก่อน”

สีหน้าของทั้งสองผู้ฟังเปลี่ยนไปทันที

“ตรัสว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ” ท่านคอนรอยถามซ้ำ

“เรา...ตอนที่เราไปแสวงบุญที่อารามในยาร์ลาธ...เราได้ข่าวเรื่องเขาในฐานะอาจารย์ของคุณชายเฟลิม เราจึงได้สนใจและลองไปที่บ้านของเขาดู...แต่แค่ครั้งเดียวนะ ครอบครัวของเขาก็เป็นครอบครัวผู้อพยพธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครที่น่าสงสัยเลยสักนิดเดียว มีแค่พ่อแม่ของเขากับน้องๆ อายุมากสุดแค่ห้าขวบเท่านั้นเอง”

องครักษ์หนุ่มไม่เคยพบครอบครัวของเด็กหนุ่มมาก่อน แต่ความรู้สึกแวบแรกก็บอกว่า...ลองเจ้าหญิงทรงรับรองหนักแน่นเสียว่าไม่น่าสงสัยเช่นนี้แล้ว ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองซึ่งมากประสบการณ์กว่าก็ย่อมสงสัยขึ้นมาแทนที่พระองค์ทรงออกหน้าปกป้องคนพวกนั้น...ต่อให้ไม่ได้สืบประวัติของครอบครัวของอาเมียร์ซึ่งมีแต่ความคลุมเครือทั้งพ่อแม่และเจ้าตัวอย่างละเอียด

“ถึงอย่างนั้นก็ควรตรวจสอบดูเพื่อความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีตุลาการตัดสินใจทูล

“ตรวจสอบนี่ไม่ได้หมายความว่าจะจับกุมพวกเขาใช่ไหม”

“หากไม่มีหลักฐานความผิด จะไปจับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีตอบแฝงนัยอย่างแยบยล

เมื่อเจ้าหญิงแอชลีนน์พยักหน้ารับอย่างดูเหมือนไม่ติดใจอะไร เขาจึงได้หันไปประกาศต่อคนอื่นๆ

“เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงมีพระดำริให้คณะสังฆราชาจากซาเกรดา โซล เข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ครั้งนี้เพื่อพิสูจน์เรื่องการใช้ไสยเวทและพฤติกรรมนอกรีต และพวกเราจะคุมตัวคุณชายชาลัวห์ ผู้อพยพชาวทะเลทรายชื่ออาเมียร์ กับนางแม่มดคนนี้ไว้ในเรือนจำพิเศษก่อน”

“พวกท่านจะจับข้าเข้าคุกไม่ได้นะ!!” ชาลัวห์ขึ้นเสียงทันที “ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้นนอกจากคำพูดของยายแก่บ้านี่!!”

“ใช่!” เจ้ามณฑลชอร์ซาซึ่งมีร่างอ้วนใหญ่เสริมขึ้น “ข้าไม่ยอมให้ลูกข้าถูกจับเข้าคุกเหมือนคนชั้นต่ำแค่เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างคำพูดของยายแก่เสียสติอย่างนี้หรอก!!”

“นี่เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของพวกเรา ขอให้พวกท่านเข้าใจด้วย” ท่านเสนาบดีตุลาการตัดบท “หากผู้ใดก็ตามคัดค้านก็เท่ากับหมิ่นพระราชอำนาจและพระวินิจฉัยของเจ้าหญิงแอชลีนน์”

“ข้าทราบขอรับใต้เท้า” เด็กหนุ่มชาวทะเลทรายกลับพูดขึ้นบ้าง “เพื่อรูปคดี ข้ายินดีถูกคุมตัวไว้ขอรับ แต่ข้า...ข้าจะขอเพียงเวลาเดินทางกลับไปยังยาร์ลาธครู่เดียวก่อนจะมามอบตัวได้ไหมขอรับ ข้าเป็นห่วงทางบ้าน ข้าไม่ได้กลับไปหาพวกเขาเลยตั้งแต่ต้นฤดูหนาวมาแล้ว ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้กลับไปเยี่ยมพวกเขาเถอะขอรับ...ให้ทหารคุมตัวข้าเดินทางไปกลับก็ได้”

“อาเมียร์” เจ้ามณฑลยาร์ลาธเอ่ยขึ้นช้าๆ แม้จะดูลังเลอยู่บ้าง “ถ้าเจ้าบริสุทธิ์ใจก็ให้พวกเขาคุมตัวเจ้าไปตั้งแต่ตอนนี้เถอะ ข้าเชื่อว่าไม่เป็นอะไรหรอก ข้าจะแจ้งครอบครัวเจ้าให้เอง และจะดูแลพวกเขาให้เป็นอย่างดีในช่วงที่เจ้าไม่อยู่”

เด็กหนุ่มยังดูเหมือนไม่วางใจนักกับคำพูดนั้น แต่ก็ยอมพยักหน้ารับ

“ขอบคุณมากขอรับ”

จากนั้นก็ดูเหมือนอาเมียร์จะหันไปพูดอะไรเบาๆ กับลูกชายคนรองของเจ้ามณฑลยาร์ลาธก่อนจะลุกจากที่นั่ง พวกทหารยามเข้ามาคุมตัวเขา หญิงชราที่ยังหมอบพึมพำอยู่เบื้องหน้าเขา และชาลัวห์

หญิงชรายอมให้พวกทหารพยุงตนเองขึ้นมาโดยไม่ขัดขืนแต่ประการใด ทว่าเมื่อทหารยามทำท่าจะเข้าไปคุมตัวเด็กหนุ่มทะเลทราย นางก็เบิกตากว้างและร้องขึ้นมาทันที

“อย่าบังอาจเอามือสกปรกของพวกแกมาแตะต้องท่านจ้าว!!”

ทหารยามสองนายที่อยู่ใกล้อาเมียร์ผงะออกไปทันทีพร้อมกับส่งเสียงร้อง บนแขนของพวกเขาปรากฏรอยแผลคล้ายเส้นเลือดบวมและแตกออกมาโดยตัวของมันเอง...ทั้งๆ ที่หญิงชราเพียงแต่จ้องมองพวกเขาอยู่เท่านั้นโดยมิได้ขยับตัวเลย

ดูลัสรู้สึกเหมือนมีลมเย็นเยือกอย่างประหลาดพัดเข้ามาในห้องวูบหนึ่ง และเห็นทหารยามที่อยู่ใกล้อาเมียร์ที่สุดคนหนึ่งยกมือขึ้นกุมลำคอของตน ในแวบต่อมามีเสียงดังซึ่งเขาบรรยายไม่ถูก...เลือดที่พุ่งกระฉูดเป็นสายเหมือนน้ำพุ...และแล้วร่างของทหารยามคนนั้นก็ล้มลงจมกองเลือดของตนโดยไม่มีโอกาสร้องสักครั้งเดียว

เคียราต่างหากที่กรีดร้องอย่างตกใจ องครักษ์หนุ่มปราดมายืนขวางหน้าเจ้าหญิงแอชลีนน์ไว้ ใครหลายคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที กระทั่งทหารยามที่คุมตัวหญิงชราอยู่ก็ถอยกรูดไปจากนางซึ่งเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ท่านจ้าว...อา!! ท่านจ้าว!!! ข้าจะปกป้องพระองค์เอง!! รีบหนีเถิด!! รีบ—“

นางพูดได้เท่านั้น ดูลัสก็เห็นใครสักคนเปิดประตูผัวะเข้ามา เขาเบิกตากว้างเมื่อพบว่านั่นคือมาดายซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวทับด้วยผ้าทอลวดลายสัญลักษณ์ซับซ้อน บ่งบอกสถานะพระเถระชั้นผู้ใหญ่แห่งซาเกรดา โซล และถือคทาที่มีตราสัญลักษณ์แห่งองคสุริยเทพ...

“ปีศาจร้ายจงถูกกำราบสิ้น!”

สิ้นเสียงประกาศ หัวคทาประดับแก้วใสที่ชายชราถืออยู่ก็ดูเหมือนจะสว่างแวบขึ้นมาแวบหนึ่ง หญิงชราเบิกตาโพลง...ปากอ้ากว้างโดยไร้เสียงร้องขณะที่ร่างของนางเริ่มสั่นเทิ้ม

ของเหลวรินเป็นสายจากดวงตา...หู...ปาก...และรูจมูกของนางเหมือนเลือด ทว่าเป็นเลือดที่มีสีดำสนิทและหลั่งไหลไม่หยุด นางส่งเสียงกลั้วน้ำเหมือนกับสำลักเลือดของตน และอีกครู่เดียวถัดมาก็ล้มฟาดลงกับพื้น

ทุกคนในห้องนั้นตะลึงงันไปครู่ใหญ่ ก่อนที่เสนาบดีตุลาการจะตั้งคำถามกับชายผู้เข้ามา

“ท...ท่านเป็นใคร”

“ถวายบังคมเจ้าหญิงแอชลีนน์แห่งธีร์ดีเร ขอประทานอภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท” ชายชราค้อมศีรษะ “กระหม่อมมีนามว่ามาดาย เป็นพระเถระแห่งซาเกรดา โซล ผู้ได้รับมอบหมายให้ปราบปรามปีศาจและพวกนอกรีต กระหม่อมติดตามคนนอกรีตกลุ่มหนึ่งมาจากดินแดนทะเลทรายจนกระทั่งสืบทราบมาว่าพวกเขากบดานอยู่ ณ ธีร์ดีเรแห่งนี้ ทว่าพวกเขากลบลบอำนาจเวทมนตร์ของพวกตนได้แนบเนียนนัก กระหม่อมจึงต้องใช้เวลาจับสังเกตพวกเขาอยู่นานจนกระทั่งเผยร่องรอย โปรดอภัยด้วยที่กระหม่อมมาช้าเกินไป จึงไม่อาจรักษาชีวิตของท่านเฟลิมไว้ได้”

ในห้องดูเหมือนจะมีเพียงความเงียบนิ่งนานอีกครั้ง กระทั่งดูลัสยังประหลาดใจมากที่เพิ่งได้รู้ว่าจอมเวทมาดายผู้ติดตามของท่านพ่อที่แท้เป็นใคร

“ล...แล้วท่านเข้ามาได้อย่างไร” เสนาบดีตุลาการเป็นผู้ถาม

“ขอประทานอภัยเจ้าหญิงแอชลีนน์ กระหม่อมเป็นผู้นำเขาเข้ามาเอง” องครักษ์หนุ่มเห็นบิดาของตนเดินเข้ามา “กระหม่อมเป็นผู้ให้การรับรองพระเถระมาดายขณะพักอยู่ในธีร์ดีเรโดยไม่เปิดเผยตัว เมื่อเช้านี้เพิ่งทราบว่าจะมีการไต่สวนผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด ท่านมาดายจึงขอให้กระหม่อมรีบพาเขามาที่นี่เพื่อป้องกันเหตุร้าย แต่ในทีแรกพวกทหารที่เฝ้าอยู่ไม่ยอมให้พวกเราเข้ามา ไม่นึกเลยว่า...เพราะเจรจากันอยู่พวกเราจึงมาช้าไป”

“ที่ท่านทั้งสองมาทันให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่ได้รับอันตราย และผู้กระทำผิดหลบหนีไปก็นับว่าดียิ่งแล้ว” เสนาบดีตุลาการเอ่ยขึ้น ก่อนจะร้องสั่งทหารอีกครั้ง “คุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไป”

“ต...แต่ว่า...” เสียงสั่นๆ กลับมาจากทหารอีกคนที่มองศพเพื่อนร่วมงาน ซึ่งนอนแน่นิ่งเบื้องหน้าอาเมียร์ผู้ทรุดล้มลงนั่งและเบือนหน้าไปอีกทาง สีหน้าของเขากลับกลายเป็นหวาดหวั่นถึงขีดสุดตั้งแต่เมื่อใดดูลัสก็ไม่ทันสังเกต

“ให้ข้าจัดการเอง” มาดายรับด้วยเสียงเรียบๆ ก่อนจะรีบก้าวเข้ามาด้วยความกระฉับกระเฉงราวกับคนหนุ่ม เป้าหมายของเขาคืออาเมียร์ซึ่งดูจะไม่หายตกใจ คงเพราะเลือดที่ไหลนองและคนที่ล้มลงตายต่อหน้าต่อตา เด็กหนุ่มเหลือบมองเขาแวบเดียวก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น

“น...นี่มัน...”

“ไม่ได้พบกันเสียนาน” นักบวชชราเอ่ยแล้วแค่นยิ้ม “แต่...เจ้าคงจำไม่ได้แล้วสินะ”

มาดายวาดคทาเป็นสัญลักษณ์บางอย่างพร้อมกับพึมพำอะไรสั้นๆ แค่ชั่วแวบนั้นเด็กหนุ่มผมดำก็ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา เขางอตัวดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นแวบหนึ่งก็แน่นิ่งไป

“อาจารย์!!” คนร้องออกมาเช่นนั้นเป็นคนแรกคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ “นี่เจ้า...เจ้าทำอะไรเขา!!”

“พระอาญามิพ้นเกล้า...” ชายชราค้อมศีรษะให้กับพระองค์ “กระหม่อมเพียงแต่ร่ายมนต์สะกดอำนาจมืดในตัวเขาไว้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของพวกทหารที่คุมตัวเขาพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีตุลาการทำมือเป็นการออกคำสั่งอีกครั้ง พวกทหารยังคงรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยุงเด็กหนุ่มที่หมดสติออกไป...ตามมาด้วยชาลัวห์ซึ่งหน้าเสียนิ่งเงียบไปอีกคน ดูเหมือนเขาจะตกใจกับเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเกินกว่าจะมีสติร้องโวยวาย

“จากนี้เราต้องนำศพของนางแม่มดไปเผาเสีย แล้วปล่อยเถ้าถ่านให้ลอยไปในสายลม ข้าจะเจรจากับอารามใกล้ๆ นี้ให้จัดการเอง ส่วนพวกท่าน...ก็ขอให้ดำเนินการติดต่อศาสนจักรแห่งซาเกรดา โซล ตามสมควรเถิด”

“แต่...ท่านมาดายก็มีความรู้ความสามารถเรื่องเวทมนตร์ จะเป็นผู้ช่วยเราสืบคดีนี้โดยตรงเลยไม่ได้หรือ” เสนาบดีตุลาการตั้งคำถาม

“เรื่องนั้นข้าคงต้องขอปฏิเสธ ความรู้เรื่องอาคมของข้ายังจำกัดนัก และ...หากว่าชายชาวทะเลทรายผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ ‘อำนาจมืดอันยิ่งใหญ่’ แล้ว อำนาจของข้าเพียงลำพังคงไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเขาได้ ผู้ที่ข้าคิดว่าเหมาะสมกับหน้าที่นี้มีเพียง...พระมหาเถระลูเธียนเท่านั้น”

“พระมหาเถระลูเธียน...ท่านหมายถึงพระมหาเถระลูเธียนท่านนั้นน่ะหรือ” ผู้สำเร็จราชการเอ่ยขึ้น

ดูลัสเองรู้ว่านั่นคือพระมหาเถระลูเธียนคนใด ผู้มีศรัทธาในองค์สุริยเทพน้อยนักจะไม่รู้จักพระมหาเถระลูเธียน...พระมหาเถระซึ่งได้รับการแต่งตั้งแต่ยังเยาว์ และสืบสายเลือดจากผู้กล้าลูเธียนผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ในกาลก่อน ดูเหมือนเมื่อสามปีก่อนจะมีเรื่องร่ำลือกันว่าพระมหาเถระลูเธียนเป็นผู้ปราบปีศาจร้ายที่ออกอาละวาด ณ เมืองแห่งหนึ่งในทะเลทรายอยู่เช่นกัน ทว่าองครักษ์หนุ่มซึ่งไม่ได้สนใจเรื่องของภูตผีปีศาจก็ไม่รู้เรื่องราวนัก

“เดี๋ยวก่อน” เจ้าหญิงแอชลีนน์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นี่ท่านกำลังจะบอกว่าอาเมียร์เป็นปีศาจ...หรือเป็นพ่อมดที่ชั่วร้ายหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น”

เคียรารีบเข้าไปแตะแขนของเจ้าหญิง คงหมายจะให้รู้สึกพระองค์ กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

“ข้า...ข้ารู้จักเขา...ข้าเคยพูดคุยกับเขา...เขาเป็นคนดี...ข้าไม่เคยเห็นเขายุ่งเกี่ยวกับเวทมนตร์เลย...ข้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด...ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ! เขาจะฆ่าเฟลิมไปทำไมกัน!!”

“‘ปีศาจ’ สามารถปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตนได้แนบเนียนนักพ่ะย่ะค่ะ ขอให้เจ้าหญิงทรงใคร่ครวญและระวังให้ดีเถิด” มาดายติง

“แต่ว่า...แต่ว่า...”

“การไต่สวนสิ้นสุดแล้ว เจ้าหญิงคงจะทรงเหนื่อยมาก ขอให้เสด็จกลับไปทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ท่านผู้สำเร็จราชการคอนรอยตัดบท “เรื่องนอกเหนือจากนี้พวกกระหม่อมจะจัดการเอง”

เด็กสาวยังมีสีหน้าสับสนและไม่ยอมรับ...กระนั้นเมื่อเคียราพยุงเธอให้ออกไปทางประตูด้านหลังโดยมีราชองครักษ์หนุ่มตามไป เธอก็ทำตามแต่โดยดี

ดูลัสเหลือบมองด้านหลังแวบหนึ่งก่อนออกจากห้อง เขาแลเห็นพวกทหารนำผ้ามาห่อศพหญิงชรากับทหารอีกคนออกไป เห็นร่างอ้วนท้วนของเจ้ามณฑลชอร์ซาเดินออกไปช้าๆ อย่างสลดและเงียบงัน เห็นคนอื่นๆ นอกจากนั้น...ทั้งท่านคอนรอยผู้สำเร็จราชการ ท่านเสนาบดีตุลาการ ท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธ รวมทั้งท่านเจ้ามณฑลอุลทูร์บิดาของเขายืนสนทนากันอยู่เงียบๆ

องครักษ์หนุ่มสะกิดใจว่าไม่เห็นลูกชายของเจ้ามณฑลยาร์ลาธซึ่งเป็นคนเดียวที่มีผมสีแดงโดดเด่นกว่าใครอยู่ที่นั่นเลย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้สลักสำคัญอะไรกับตนนัก

เขาพบว่าเรื่องของ ‘พระเถระมาดาย’ เป็นเรื่องที่ควรสืบรู้มากกว่า

* * *

“ท่านพ่อทราบเมื่อไรหรือขอรับ ว่าท่านมาดายเป็นพระเถระจากซาเกรดา โซล” ดูลัสปลีกตัวออกจากพระราชวังในเย็นนั้น มายังคฤหาสน์ของตระกูลในเมืองหลวงซึ่งบิดากำลังพักอยู่ และได้รับคำชวนให้มาพักดื่มน้ำชาด้วยกัน

ในตอนนั้นมาดายไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ด้วย เขาถามบิดาเมื่อก่อนหน้านี้และได้รับคำตอบว่าชายชราออกไปจัดการธุระบางอย่างที่อาราม ซึ่งควรจะรวมถึงเรื่องพิธีสะกดวิญญาณของแม่มดที่ตายไปในห้องไต่สวนด้วย

“ทราบมาตั้งแต่ต้นแล้ว” ชายชราเบื้องหน้าเขาตอบเรียบๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ

“แล้วทำไมท่านพ่อถึงไม่บอกข้าเลย” ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกครั้ง

“เรื่องแบบนี้...ให้คนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”

ก็จริง...ทั้งบิดาและตัวดูลัสเองล้วนยึดหลักการนี้ ชายหนุ่มเองก็พร้อมจะกระทำการใดๆ ลับหลังผู้เป็นพ่อของตนได้ทุกเมื่อ...หากจำเป็น...

“แล้วท่านพ่อเชื่อได้อย่างไรว่าเขาเป็นพระเถระจากซาเกรดา โซล จริงๆ”

“เขามีสัญลักษณ์รับรองตนเองว่าเป็นนักบวชชั้นเถระจากซาเกรดา โซล และพ่อก็ไปสืบมาแล้ว ว่ามีพระเถระจากซาเกรดา โซลที่ชื่อว่า ‘มาดาย’ จริงๆ”

“แต่มาดาย...ออกจากซาเกรดา โซล และมาอยู่กับท่านพ่อโดยปิดบังฐานะที่แท้จริงของตนไว้ตั้งสามสี่ปีเพื่ออะไรกันแน่ล่ะขอรับ” ดูลัสติง

“ก็ดูเหมือนเขาจะติดตามครอบครัวของผู้อพยพพวกนั้นมาตั้งแต่ตอนนั้นไม่ใช่หรือ สามปีก่อน...ไม่สิ...นับถึงตอนนี้ก็เป็นสี่ปี...มีเรื่องปีศาจที่เมืองเมืองหนึ่งในทะเลทราย...เจ้าคงได้ยินมาบ้าง ถึงศาสนจักรจะไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมาก...ก็ดูเหมือนเรื่องครั้งนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ประกาศผลการจับกุมสืบสวน ไม่มีการลงโทษคนนอกรีตเป็นสาธารณะเหมือนทุกๆ ครั้ง เท่ากับว่า...คงจะจับคนนอกรีตมาไม่ได้กระมัง แล้วถ้าพวกนั้นจะหนีเข้ามาในธีร์ดีเร เป็นเหตุให้ศาสนจักรต้องส่งพระเถระที่รับผิดชอบเรื่องนี้มาสืบอย่างลับๆ ก็คงไม่แปลกอะไร”

“แต่ว่า...” ชายหนุ่มตัดสินใจพูดออกไป “มาดายมาอยู่กับท่านพ่อถึงสี่ปี ขณะที่ข้าสืบมาแล้วว่าผู้อพยพพวกนั้นเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น ในช่องว่างสามปีนั้นพวกเขาไปอยู่ที่ไหน และมาดายกำลังรออะไรอยู่เล่าขอรับ ถ้าพวกเขาอพยพซอกซอนไปตามอาณาจักรอื่นๆ จริง มาดายก็ควรจะติดตามพวกเขา ไม่ใช่มาอยู่กับท่านพ่อตั้งแต่ต้นอย่างนี้เหมือนกับรู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะมาที่นี่ เพราะถ้ารู้ล่วงหน้าจริงก็คงจะป้องกันไม่ให้เฟลิมถูกฆ่าเสียตั้งแต่ต้นแล้ว”

เขาพูดเองแล้วก็ชะงักไปแวบหนึ่ง เมื่อคิดไปว่า...หากคนคนนั้นรู้ล่วงหน้าแต่หวังผลว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปในรูปนี้เพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งของตนเล่า

ชายชราเบื้องหน้าเขาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะย้อนถามเรื่องที่ดูลัสพบว่าไม่เกี่ยวกันเลย

“ดูลัส เจ้าเชื่อในชะตากรรมไหม”

ชายหนุ่มยิ่งขมวดคิ้ว

“ทำไมหรือขอรับ”

“พ่อกับมาดายเชื่อในชะตากรรม และกำลังรอสิ่งนั้นอยู่” บิดาของเขาลุกจากเก้าอี้เป็นการตัดบททางอ้อม “เมื่อ...ถึงเวลาที่ทุกสิ่งกระจ่างแล้ว พ่อจะเล่าให้เจ้าฟังในตอนนั้น”

ชายหนุ่มได้แต่มองตามหลังบิดาของตนไปอย่างสงสัย...เจือด้วยความหวาดระแวงอันเกิดจากสังหรณ์ของตน ว่าการตายของเฟลิมกับนางแม่มดเสียสติ การจับกุมอาเมียร์กับชาลัวห์ การเผยตนของ ‘พระเถระ’ มาดาย และ ‘ชะตากรรม’ ที่ท่านพ่อพูดถึงนั้นมีความเกี่ยวข้องกันมากกว่าที่คิด

บทที่ ๒๗ คุกกรงน้ำ

* * *

เพิ่งเริ่มไต่สวน คดีก็มีกลิ่นตุๆ ชัด พระเอกที่ควรเป็นนักสืบก็กลับถูกจับเข้าคุกโดยไม่รู้ตัว ขอเชิญผู้อ่านทุกท่านเดาตัว "คนร้ายที่แท้จริง" ไปพลางๆ ก่อนจะมาพบชะตากรรมของอาเมียร์ในคุกชื่อแปลกตาในตอนหน้านะครับ

ปล. มีใครคิดเหมือนผมมั้ยนะ ว่ามาดายเล่นมุขคลับคล้าย 'ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา' อย่างไรก็ไม่รู้แฮะ ^^a


Create Date : 28 พฤษภาคม 2552
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:46:29 น. 0 comments
Counter : 368 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.