ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒๓ - เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร

บทที่ ๒๓ เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร


หลังเสียงแตรสัญญาณในยามบ่าย เด็กสาวก้าวมายืนอยู่หน้าที่นั่งของตน และนั่งลงก่อนจะมีเสียงขุนนางและผู้ชมอื่นๆ ที่ยืนทำความเคารพนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสองเข้ามาประจำที่ขอบสนาม และการประลองรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้นในไม่ช้า...ท่ามกลางเสียงร้องให้กำลังใจที่ไม่ใคร่ดังนักในทีแรก คงเป็นเพราะผู้เข้าประลองที่มีผู้รู้จักและให้กำลังใจมากกว่าอย่างดูลัสกับคาเฮียร์ล้วนแต่แพ้ไปก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ไม่นาน...เสียงเหล่านั้นก็เริ่มดังขึ้นเมื่อการต่อสู้ทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะ ชาลัวห์เปิดฉากรุกเป็นชุดเช่นเดิม ทว่าเฟลิมก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดายก่อนจะพลิกตัวแล้วฟาดดาบไปกลางหลังอีกฝ่ายเต็มแรงจนเซหลายก้าว เรียกเสียงเฮจากบรรดาผู้ชม

...อย่างน้อยคนที่เอาใจช่วยเฟลิมดูเหมือนจะมีมากกว่า หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...

แอชลีนน์เองก็ดูการต่อสู้ด้วยใจที่เต้นระทึก เธอเองก็ให้กำลังใจเฟลิมไปโดยปริยาย...ในเมื่อปักใจเชื่อว่าชาลัวห์ต้องวางยาโกงอะไรสักอย่างกับดูลัส เธอไม่เห็นเลยว่าชาลัวห์จะเก่งกาจอย่างไร และยิ่งเฟลิมต้อนอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เธอก็พบจุดอ่อนที่ไม่ควรมีเต็มไปหมด

ผู้ชมโห่อย่างไม่พอใจเมื่อชาลัวห์ที่เซถลาแทบล้มกับพื้นคว้าดินปนทรายขึ้นมาซัดใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วฟันซ้ำ แต่เฟลิมก็ยังหลบได้ทันท่วงที ซ้ำยังหมุนตัวไปวางดาบจ่อหลังคอคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด

ชาลัวห์กลับไม่ยอมหยุดมือ...จนกรรมการต้องเข้ามาแยกทั้งสองจากกัน

“ข้ายังไม่แพ้!! ข้าจะแพ้ได้อย่างไร!!”

“ก็ดาบของคู่ต่อสู้แตะจุดตายของท่านแล้ว”

“แตะจุดตายแล้วไม่ได้หมายความว่าโดนฆ่าเสมอไปสักหน่อย! ข้าขยับหลบได้ก่อนแต่เจ้าไม่เห็นเอง!!”

“คำตัดสินของกรรมการถือเป็นสิทธิ์ขาด” ท่านน้าคอนรอยพูดเสียงดังให้ได้ยินถึงในสนามประลอง

“ใต้เท้า!! แต่ว่า—“ ชายหนุ่มยังค้าน

“หากเจ้ายังคัดค้านคำตัดสินก็เท่ากับลบหลู่พระเกียรติของเจ้าหญิงแอชลีนน์และราชวงศ์อลาสตาร์”

นั่นทำให้ชาลัวห์เงียบลง และยอมจับมือกับผู้ชนะได้ตามธรรมเนียม กระนั้นตอนเดินกลับเข้าไปในอาคารก็ยังแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

กรรมการชูมือเฟลิมขึ้นพร้อมทั้งประกาศว่าเขาเป็นผู้ชนะ ผู้ชมโห่ร้องแสดงความยินดี และกรรมการก็ทำสัญญาณให้ชายหนุ่มก้าวมาตรงหน้าเธอ

แอชลีนน์ลุกขึ้นยืน หยิบมงกุฎใบลอว์ราสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะจากบนถาด แล้วก้าวไปยังระเบียงด้านหน้าอัฒจันทร์เพื่อพบกับเขา

เฟลิมค้อมศีรษะลงคำนับตามธรรมเนียมก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ เขาไม่มองหน้าเธอเลยขณะยืนอยู่ข้างล่างนั้น

เด็กสาวก็ไม่เห็นความจำเป็นของการบอกให้เขาเงยหน้าขึ้น เธอวางมงกุฎใบลอว์ราสลงบนศีรษะของเขา แล้วก็กลับหลังหันเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ขณะพยายามระงับคำถามที่ผุดขึ้นซ้ำๆ ในใจ...ว่าทำไมคนที่เธอรู้ว่ามีความสามารถถึงขั้นอยู่เบื้องหลังชัยชนะของชายที่จะต้องแต่งงานกับเธอจึงไม่ใช่คนที่มายืนอยู่ที่นี่แทน ทำไมคนที่เธอเฝ้านึกถึงอยู่บ่อยๆ ...ทั้งๆ ที่ยังมีความโกรธต่อคนคนนั้นอยู่ในใจอีกหลายขณะ...จึงไม่ใช่ชายคนนี้

เอาเถิด...แอชลีนน์ปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยผู้ชนะก็ไม่ใช่ดูลัสที่เคียราชอบ ไม่ใช่คาเฮียร์ที่เธอไม่รู้จัก ไม่ใช่ชาลัวห์ที่ไร้มารยาทและดูไร้ความสามารถ แต่เป็นคนที่เธอรู้จัก...และ...อย่างน้อยก็ยังไม่เห็นข้อเสียร้ายแรงอะไรอย่างเฟลิม

ถึงอย่างนั้น...เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะปฏิบัติต่อเขาในงานเลี้ยงฉลองคืนนี้อย่างไรดี

* * *

หลังถูกเคี่ยวเข็ญให้แต่งตัวงดงามที่สุดจนเย็นย่ำ แอชลีนน์จึงได้ออกมาในโถงใหญ่ที่มีเพดานสูงและสว่างพราวแพรวด้วยโคมไฟระย้าขนาดใหญ่อันเป็นสถานที่จัดพิธี เธอพยายามก้าวอย่างเรียบเฉยและสง่างามให้มากเท่าที่จะทำได้ ท่านน้าคอนรอยเป็นผู้รอรับมือของเธอ ก่อนที่เฟลิมในชุดพิธีการจะก้าวมาตามพรมที่ปูเป็นทางยาวมาที่เบื้องหน้าเด็กสาว...พร้อมกับกล่องกำมะหยี่ซึ่งเธอรู้ว่ามีแหวนหมั้นอยู่ภายใน แหวนหมั้นทั้งสองวงทำโดยสำนักพระราชวัง...ในเมื่อพระสวามีของเธอย่อมถือเป็นผู้สมรสเข้าพระราชวงศ์

ชายหนุ่มคุกเข่าลง เธอยื่นมือไปให้เขาจุมพิตเบาๆ ตามธรรมเนียม ก่อนที่จะรับแหวนทองที่สลักลวดลายเกี่ยวพันไม่มีวันจบสิ้นเป็นพื้นหลังตราประจำพระราชวงศ์จากท่านน้าคอนรอยมาสวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเขา

แหวนนั้นหลวมนิดหน่อย แต่แหวนแบบเดียวกันที่เฟลิมเป็นผู้สวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเธอพอดีกับนิ้ว เพราะเธอเคยลองแหวนวงนี้มาแล้วนั่นเอง

ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะสบตากันเลย...และเมื่อสายตาเผลอประสานแวบหนึ่ง ก็ดูเหมือนเฟลิมจะเป็นฝ่ายเบือนหลบเสียก่อนด้วย แอชลีนน์อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงประหม่าจริงๆ...แต่ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเขารู้เรื่องที่เธอเป็นคนคนเดียวกับแอชและเคียราที่ชายหนุ่มได้พบในวันลูคนาซาธหรือไม่ จึงลังเลที่จะเข้าหน้าเธอเช่นนี้

เสียงประกาศอวยชัยแด่ธีร์ดีเร เจ้าหญิงกับพระคู่หมั้นดังสะท้อนในโถงหิน ทว่าพิธียังไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เธอกับเฟลิมยังมีหน้าที่เป็นคู่เต้นรำคู่แรกของคืนนี้

ชายหนุ่มจูงเธอมายังกลางลานเต้นรำก่อนจะโค้งคำนับ และโอบหลังเอวพร้อมกับจับมือเธอไว้หลวมๆ เมื่อนั้นเองที่ทั้งสองไม่อาจหลีกเลี่ยงจะสบตากันได้อีก แอชลีนน์บังคับตนเองให้แสดงสีหน้าเรียบเฉยที่สุดขณะที่เฟลิมกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆ

“ท่านเคียรา...เจ้าหญิงคือท่านเคียรา...หรือแอช...จริงๆ ใช่ไหมขอรั...พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวไม่ตอบและก้มหน้าลงมองชายกระโปรง เพียงเสียงดนตรีที่เริ่มขึ้นให้ทั้งสองเต้นรำกันอย่างเงียบงัน...เป็นพิธีรีตอง ผิดกับการเต้นรำอันแสนสนุกสนานในวันลูคนาซาธครั้งที่แล้ว...

เมื่อจบเพลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นตามธรรมเนียม เฟลิมคลายมือจากร่างของเธอก่อนจะค้อมศีรษะอีกครั้ง แอชลีนน์ถอนสายบัวรับอย่างเงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจกลับหลังหัน

“ขออภัยด้วยที่ต้องขอตัวก่อน เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย”

เธอก้าวไปหาเคียรากับคุณท้าวทราซาที่ยืนประจำอยู่ตรงมุม ทีแรกคุณท้าวทราซายังยืนกรานให้รักษามารยาทไว้ แต่ครั้นเด็กสาวบอกว่าตนอยู่ร่วมงานไม่ไหวแล้วจริงๆ นางจึงยินยอมไปรายงานท่านน้าคอนรอย และแอชลีนน์ก็ได้รับอนุญาตให้กลับห้องบรรทมไปกับเคียรา

* * *

ดูลัสผู้สวมเครื่องแบบราชองครักษ์ค้อมคำนับเธออยู่ที่ข้างนอก ก่อนจะเป็นผู้อารักขาเธอไปตามทางเดินในวัง

“ดูลัสไม่ไปร่วมงานเลี้ยงหรือ” ระหว่างทาง แอชลีนน์ก็อดถามเบาๆ ไม่ได้

“คนแพ้อย่างกระหม่อมไม่มีเรื่องใดให้ฉลองนี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...”

“พระอาญามิพ้นเกล้า...กระหม่อมเพียงแต่ล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงกระหม่อมไม่อยากพบชาลัวห์ในงาน เพราะเกรงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น” องครักษ์หนุ่มพูดเรียบๆ

“อย่างนั้นหรือ” เด็กสาวรับ “เขา...มาในงานด้วยหรือ”

“ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหมดได้รับเชิญมาในพิธีทั้งนั้นนี่เพคะ รวมทั้ง...ผู้เข้าประลองและผู้ติดตามใกล้ชิดด้วย หม่อมฉันยังเห็นน้องชายของคุณชายเฟลิม...กับคนทะเลทรายนั่นอยู่เลยเพคะ” เคียราเอ่ยขึ้นบ้าง

แอชลีนน์กลับเงียบไป ตลอดเวลาที่อยู่ในโถงนั้นเธอเอาแต่ก้มหน้า แทบไม่มองผู้คนรอบด้านให้ละเอียดเสียด้วยซ้ำไป

ทั้งสามเดินกันมาเงียบๆ จนถึงห้องบรรทม เมื่อนั้นเองที่เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“ดูลัส เรา...เราขอพูดกับดูลัส...ตามลำพัง...แค่ครู่เดียวได้ไหม”

ทั้งองครักษ์หนุ่มและนางกำนัลสาวมีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน

“องค์หญิง! เรื่องแบบนี้...” เคียราเริ่มค้าน

“แค่ครู่เดียวเอง เคียรา...นะ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากด้วย เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกเมื่อไร”

“...เพคะ” หญิงสาวรับอย่างจำใจ “หม่อมฉันจะดูต้นทางให้ แต่อย่านานนักนะเพคะ”

แอชลีนน์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องของตน ตามมาด้วยชายหนุ่ม

“มีเรื่องอะไรจะตรัสกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสรีบถาม

“เรา...” เด็กสาวพยายามเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะหาคำที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่สุดไม่ได้จริงๆ “เรา...หวังว่า...ดูลัสจะไม่เสียใจมาก...เรื่องประลอง...เรา...เราเชื่อว่าดูลัสมีฝีมือมากกว่านี้...เราเชื่อว่าต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่ๆ”

เธอเห็นอีกฝ่ายยิ้มอ่อนๆ

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ว่า...ถึงจะไม่ชนะ...ดูลัสก็...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว

“คือ...เราคิดว่า...มีคนที่...” แอชลีนน์รวบรวมความกล้า “มีคนที่...เรา...คิดว่าคู่ควรกับดูลัสอยู่ ถ้าดูลัส...เอ้อ...ไม่ได้หมายความว่าเราอยากให้ดูลัสจำใจคบกับคนคนนั้นหรอกนะ แต่ว่า...ถ้าดูลัสกับคนคนนั้นมีใจตรงกัน...เราจะ...จะดีใจมาก”

“ขอบพระทัยในพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มกลับพูดเสียงเครียด “แต่...ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร กระหม่อมคงต้องขอบังอาจปฏิเสธ ในเมื่อองค์หญิงทรงโทมนัสอย่างนี้...แต่ยังทรงมีพระเมตตาคำนึงถึงความสุขของกระหม่อมก่อนแท้ๆ”

“หมายความว่าอย่างไร” เด็กสาวถามอย่างสงสัย

“องค์หญิงไม่ได้มีพระประสงค์จะอภิเษกกับเฟลิมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แค่เห็นในพิธีหมั้นเมื่อครู่กระหม่อมก็ทราบแล้ว ชายทะเลทรายคนนั้นเป็นคนผลักดันให้เขาชนะจนได้ นั่นคือแผนการของพวกเขาไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เรา...” แอชลีนน์รู้ว่าใจจริงเธอไม่อยากอภิเษกกับใคร...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสี่คน

“หากองค์หญิงทรงไม่พอพระทัย ก็ได้โปรดให้กระหม่อมได้ช่วยเท่าที่ทำได้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วดูลัสจะทำอย่างไร”

“กระหม่อมจะสืบ...ทั้งเรื่องที่กระหม่อมมีอาการแปลกๆ ตอนสู้กับชาลัวห์ ทั้งเรื่องจุดมุ่งหมายของชาวทะเลทรายพวกนั้น หากทราบแผนร้ายของพวกเขาได้ก่อนพิธีอภิเษกก็จะเปิดโปงจับกุมพวกเขา...และผลักดันให้มีการคัดเลือกพระคู่ใหม่ได้”

แอชลีนน์ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการหรือไม่

“แต่...เราไม่คิดว่าเฟลิมจะโกงหรอกนะ” เธอพยายามแย้ง “ส่วนอาเมียร์...ถึงเขาจะมีแผนอะไร เราก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เขาแค่...แค่คิดถึงธีร์ดีเรมากกว่าใจของเราเท่านั้นเอง”

“แต่องค์หญิงคือพระหถทัยของธีร์ดีเร หากองค์หญิงไม่ทรงสำราญแล้ว...ความสงบสุขของธีร์ดีเรก็ไม่มีความหมายหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...” เด็กสาวเริ่มไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำไมกันหนอ...เรื่องที่เธออยากพูดเกี่ยวกับดูลัสกับเคียรากลับกลายมาเป็นเรื่องไร้คำตอบของเธอจนได้แท้ๆ

เธอตกใจเมื่อองครักษ์หนุ่มถึงกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ

“ขอเพียงองค์หญิงตรัสมาคำเดียว ดูลัสก็พร้อมจะรับใช้ถวายชีวิตทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...เรา...”

เสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนกลับดังขึ้น

“องค์หญิง คุณท้าวทราซากำลังเดินมาแล้วเพคะ”

ชายหนุ่มรีบออกไปจากห้อง ให้เคียราผลุบเข้ามาแทบทันควัน การสนทนาที่ไม่เป็นผลอะไรจึงจบลงเพียงเท่านั้น

* * *

“ท่านได้พูดอะไรกับเจ้าหญิงไหม” อาเมียร์ตรงเข้ามาถามเฟลิมทันทีที่ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“ข้า...ทำได้แค่ถามว่าเจ้าหญิงเป็นคนเดียวกับแอชกับเคียราหรือเปล่าเท่านั้นขอรับ พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบ ส่วนข้ายังไม่ทันได้บอกเรื่องที่อาจารย์ฝากให้บอกเลย พระองค์ก็ทรงขอตัวออกไปก่อน”

เด็กหนุ่มพยายามเก็บความกังวลไว้

“ขออภัยด้วยขอรับ ตอนเต้นรำกันอยู่ข้าไม่กล้าเสี่ยงพูด...กลัวทำอะไรผิดไปแล้วจะไม่ดีนัก”

“ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องขอโทษหรอก ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ”

“อาจารย์” เฟลิมยิ้มอย่างอ่อนใจ “เราก็พูดกันแล้วนี่ขอรับ”

หลังจากเฟลิมชนะ อาเมียร์ก็รีบขอเวลาพูดกับเขากับรูอาร์คตามลำพังทันที เพื่อเปิดเผยเรื่องที่เขารู้ว่าแอชกับเคียราในวันลูคนาซาธคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ ชายหนุ่มดูจะประหลาดใจและตกใจมากจริงๆ ถึงอย่างนั้นเมื่ออาเมียร์ขอโทษที่ปิดบังไว้ เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ

“ถ้าอาจารย์บอกข้าตั้งแต่ตอนนั้นว่าแอชคือเจ้าหญิงแอชลีนน์...ข้าคงจะวางตัวไม่ถูกจนเจ้าหญิงทรงไม่สบายพระทัยตั้งแต่แรกแน่ๆ”

เด็กหนุ่มตัดสินใจเล่าต่อว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์เลิกเสด็จมาเรียนเพราะเข้าใจไปว่าเขาต้องการจับคู่พระองค์กับเฟลิม จึงบอกฝากคำขอโทษให้กับเจ้าหญิงด้วยถ้ามีโอกาส ชายหนุ่มไม่ได้ต่อว่าเขาในเรื่องนี้ รูอาร์คฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างนั้นยังแอบยิ้มมุมปากและมองเขาด้วยสายตาเป็นนัยๆ เหมือนกับจะบอกว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดของตนไม่มีผิดเลย

“อาจารย์ก็หาโอกาสไปพูดกับเจ้าตัวเองไม่ได้หรือ” เด็กหนุ่มผมแดงแทรกขึ้นใกล้ๆ ทั้งสอง “ใครเขาจะอยากฟังคำขอโทษที่มีคนฝากมากันเล่า”

“ก็ข้าเข้าพบเจ้าหญิงได้เสียที่ไหน” เด็กหนุ่มผมดำแย้งทันควัน

“เข้าพบไม่ได้ก็ปีนเข้าห้องคืนนี้เลย ไหนๆ ตอนนี้ก็ได้พักในวังแล้ว ข้าไปตะล่อมถามนางกำนัลแถวนี้มาให้ก็ได้ว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน จะได้ปีนสะดวก”

อาเมียร์กำลังจะอ้าปากดุคนยุให้เขาหาเรื่องหัวขาดอยู่พอดี...เมื่อท่านเบเรคกับท่านหญิงภรรยาและคุณหนูฟิเดลมาเดินเข้ามา

“พูดอะไรกันอยู่หรือพ่อหนุ่มทั้งสาม” ท่านเบเรคถาม

“เรื่องที่พี่เฟลิมเพิ่งถูกสลัดรักกระมังขอรับ” รูอาร์คโพล่งตอบทันควัน

“รูอาร์ค นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วทันควัน

เด็กหนุ่มผมแดงกลับยักไหล่ก่อนจะผละไปคุยกับหญิงในชุดราตรีอีกคน แล้วไม่นานก็ควงแขนกันไปเต้นรำเรียบร้อย

“เจ้าหญิงคงจะแค่ทรงพระประชวรนิดหน่อย ตอนพิธีหมั้นกับเต้นรำ ลูกก็ทำถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่าง อย่าห่วงเลย” ท่านเบเรคดูเหมือนจะเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายคนโตเช่นกัน

“ขอรับ ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก” เฟลิมตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ

“ไปพักผ่อนตามสบายเถอะ แต่ตอนนี้ลูกเป็นพระคู่หมั้นแล้วก็วางตัวให้ดีด้วย” ท่านเจ้ามณฑลไม่วายบอก ก่อนจะหันมาทางลูกสาวคนเล็ก “เอ้อ ฟิเดลมา ลูกอยากไปเต้นรำหรือเปล่า”

เด็กสาวผมสีน้ำตาลก้มหน้าลงอย่างสำรวม

“ถ้าท่านพ่ออนุญาตนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้น...ไปเต้นรำกับอาเมียร์ไหม” เด็กหนุ่มผมดำประหลาดใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน พอมองไปทางท่านเบเรคก็เห็นอีกฝ่ายสบตาด้วยเหมือนคะยั้นคะยอทางอ้อม “ให้เกียรติเต้นรำกับลูกสาวข้าสักหน่อยเถอะนะ”

“ข้า...ขออภัยขอรับ” อาเมียร์รีบค้อมศีรษะ “ข้าเต้นรำอย่างชาวธีร์ดีเรไม่เป็นขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายนะ” ชายวัยกลางคนรับ “หากรู้ก่อน ข้าจะได้ให้เฟลิมหรือรูอาร์คช่วยหัดให้ เอาเถอะ กลับไปแล้วก็ไปหาโอกาสฝึกก็ได้”

“ให้ฟิเดลมาเต้นรำกับข้าก่อนก็ได้นะขอรับท่านพ่อ” เฟลิมเสนอขึ้น

“ก็ดี ถึงอย่างไรก็มาในงานวังหลวงแล้ว จะได้ถือเป็นประสบการณ์ไว้ เสียแต่คู่เต้นรำก็ต้องเลือกหาให้ดี ให้ได้คนที่เป็นสุภาพบุรุษและมีเกียรตินั่นล่ะนะ” ท่านเบเรคลดเสียงลงขณะเหลือบมองไปอีกทาง เป็นครั้งเดียวที่ดูคล้ายรูอาร์คมากขึ้น “อย่างน้อยก็อย่าเลือกอย่างรองชนะเลิศงานนี้เป็นอันขาด”

ท่านหญิงยกพัดขึ้นป้องปาก ส่วนอาเมียร์กับเฟลิมยิ้มออกมา...แม้จะไม่สดใสนัก

ชายหนุ่มส่งมือให้กับฟิเดลมาก่อนจะพาเธอไป ส่วนเด็กหนุ่มผมดำก็ได้รับคำบอกจากนายจ้างให้ผ่อนคลายตามสบายในงานเลี้ยง เขาจึงเลี่ยงเดินไปดื่มเครื่องดื่มและรับประทานของว่างที่จัดไว้บนโต๊ะมุมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่อาจทำตนเองให้ชินกับบรรยากาศของงานที่ล้วนมีเพียงขุนนางชั้นสูง ซ้ำบางคนยังลอบมองหรือซุบซิบอย่างประหลาดใจที่คนต่างชาติอย่างเขาแต่งกายราวกับขุนนางเข้ามาอยู่ในงานนี้ได้

สุดท้ายอาเมียร์จึงหลบไปสูดอากาศในสวนด้านนอก ที่สวนยามค่ำซึ่งมีตะเกียงจุดไว้เป็นระยะๆ นั้นไม่มีคนมากนัก ลึกเข้าไปอีก เด็กหนุ่มเห็นหลังคา ด้านบนของป้อมกำแพง และหอคอยหลังหนึ่งซึ่งสูงดึงดูดสายตาที่สุด เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจพวกมันขึ้นมา พระราชวังหลวงของธีร์ดีเรแตกต่างจากวังที่เขาเคยอยู่ซึ่งประกอบด้วยหมู่อาคารหลายหลังบนพื้นที่กว้างขวาง ปราสาทหลังนี้สร้างบนเกาะในอ่าว ก่อด้วยหินแน่นหนาเหมือนป้อมปราการ มีทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ทางเดียวคือสะพานขนาดใหญ่ซึ่งมีกลไกชักออกได้ เหมือนจะใช้ทะเลเป็นด่านคุ้มกันทางธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง กระทั่งในสวนเช่นนี้ กลิ่นไอเกลือก็ยังโชยเข้ามาแม้จะไม่ได้ยินเสียงคลื่น

มิน่าเล่า...แอชจึงบอกว่าใกล้ถึงปราสาทเมื่อใด สิ่งแรกที่บอกให้รู้ก็คือกลิ่นไอเกลือ

ความคิดถึงเจ้าของชื่อนั้นทำให้เด็กหนุ่มสงสัยขึ้นมาว่าตอนนี้เจ้าหญิงแอชลีนน์อยู่ที่ใดและกำลังทำอะไรอยู่ สนามประลองอยู่ด้านหน้าสุดของปราสาท ขนาบซ้ายขวาของลานที่มีประตูใหญ่ด้านหน้าโถงท้องพระโรง ที่ประทับส่วนพระองค์ก็คงจะอยู่ลึกเข้าไปข้างใน...ตรงส่วนที่มีหอคอยสูงๆ นั่นกระมัง

แต่แอชก็คงไม่ถึงกับอยู่บนยอดหอคอยเหมือนเจ้าหญิงในตำนานพื้นบ้านแถบนี้จริงๆ...แม้สถานการณ์ของเธอจะดูเหมือนไม่ต่างกับเจ้าหญิงองค์นั้นเลย

เด็กหนุ่มลองเดินสำรวจในสวนไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบทางเดินต่อไปอีกด้านหลัง ทางนั้นมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทักหรือห้ามเขาเมื่อเดินผ่านเข้าไปแต่อย่างใด

ข้างในนั้นดูเหมือนจะเป็นสวนเล็กๆ ติดคูน้ำ ปลูกต้นหลิวไว้เป็นทิวดูร่มรื่นกว่าด้านนอก แลไปอีกก็เห็นระเบียงเล็กๆ ล้อมกรอบด้วยราวเหล็กดัด

...มีสีขาวขยับไหวน้อยๆ อยู่บนนั้น...

อาเมียร์กะพริบตาเผื่อเขาจะตาฝาดไป แต่สีขาวนั้นยังคงอยู่ สิ่งที่พลิ้วไหวเหมือนเนื้อผ้าบอกว่าร่างนั้นคงเป็นผู้หญิง เขาลองก้าวเข้าไปใกล้...แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

“แอช!”

ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมา เป็นคนที่เขาคิดจริงๆ...ซึ่งสวมชุดนอนสีขาวพลิ้วมีผ้าคลุมไหล่อีกผืน เด็กสาวกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นขึ้นก่อนจะถามลงมา

“ท่านเข้ามาได้อย่างไร”

“ข้า...” อาเมียร์ชี้ข้ามไหล่ไปข้างหลัง “ก็เดินเข้ามาทางนี้”

“นี่เขตวังชั้นในนะ ทหารยามไม่ห้ามไว้หรือ”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ

“เห็นพวกเขาไม่พูดว่าอะไร ข้าเลยเดินเข้ามา”

เจ้าหญิงแอชลีนน์ขมวดคิ้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเข้มขึ้น

“ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดจริงหรือใช้วิธีอื่นลอบเข้ามา แต่รีบออกไปเสีย” เธอกลับหลังหัน “หากไม่อยากถูกลงโทษ”

“เดี๋ยวก่อน” อาเมียร์ร้องห้ามทันควันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้า....กระหม่อม...มีเรื่องต้องกราบทูลให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวเหลียวหน้ามาน้อยๆ

“เรายังมีอะไรต้องพูดกันอีก”

“กระหม่อมฝากจดหมายขอโทษไปกับดูลัสตั้งแต่ก่อนกลับเมืองหลวง พระองค์คงจะทรงยังไม่ได้รับ...ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าหญิงหันกลับมาทางเขาเต็มตัว แต่ยังไม่เข้ามาใกล้ระเบียงนัก

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็...ทุกเรื่องที่กระหม่อมทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย โดยเฉพาะ...เรื่องที่กระหม่อมทำตัวเป็นพ่อสื่อโดยที่พระองค์ไม่ต้องการ”

“แล้วจะมาพูดอะไรกันตอนนี้” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ในเมื่อท่านผลักดันเฟลิมจนมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ”

“กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจให้ท่านเฟลิมชนะ แต่กระหม่อมทราบว่าจะปล่อยให้ชาลัวห์ชนะไม่ได้” เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย “กระหม่อมได้ยินมาว่าชาลัวห์ชอบฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน แล้วพ่อของเขายังอยู่เบื้องหลังพวกโจรป่าที่เที่ยวปล้นเก็บค่าคุ้มครอง...พวกที่ฆ่าสามีของลีชาก็เป็นพวกนั้น กระหม่อมเชื่อว่าท่านดูลัสแพ้เพราะถูกโกงด้วยวิธีบางอย่าง แต่ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้...ก็มีแต่ใครสักคนต้องชนะชาลัวห์ให้ได้ก่อนเท่านั้น”

เด็กสาวเงียบไปอีกครู่

“...อย่างนั้นหรือ” เธอรับแล้วก็ถามช้าๆ “แล้วถ้า...พิสูจน์ได้ว่าชาลัวห์โกงจริงๆ ท่านจะทำอย่างไร ผลักดันให้มีการประลองใหม่อย่างยุติธรรม...อย่างนั้นหรือ”

อาเมียร์ครุ่นคิดว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ต้องการบอกอะไรเขาจากคำตอบนั้น

“หากทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น”

เขารู้สึกเหมือนได้ยินเด็กสาวถอนใจหยันๆ

“ความต้องการของเราเคยสำคัญเสียที่ไหน”

“ถ้าทรงต้องการให้ดูลัสชนะ...กระหม่อมมั่นใจว่าเขาต้องชนะได้อย่างยุติธรรมแน่ๆ” เด็กหนุ่มเสี่ยงพูด

แอชลีนน์กลับจ้องเขม็งมาทางเขาทันควัน

“แล้วท่านไปรู้ได้อย่างไรว่าเราอยากให้ดูลัสชนะ เราอาจจะอยากให้ชาลัวห์ชนะ...อยากให้คาเฮียร์ชนะ...หรืออาจจะอยากให้ใครก็ตามที่ไม่ได้ลงประลองตั้งแต่แรกชนะก็ได้”

เด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น...ไม่ก็คิดว่าตนเข้าใจ แต่ทว่า...

“ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่ไม่มีสิทธิ์เข้าประลองเป็นผู้ชนะ ก็เลิกหวังเสียเถอะพ่ะย่ะค่ะ หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดพระทัยเมื่อผิดหวัง”

“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไปไม่ได้” เด็กสาวแย้งทันที

“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าเป็นไปได้”

“ก็ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

“เรื่องบางอย่างผิดพลาดแล้วไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างเดิมได้” อาเมียร์พยายามตัดบท “เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ยังรั้นจะหวังก็เหมือนกัน กระหม่อมเคยหวังในสิ่งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นไปไม่ได้...และก็ผิดหวังมาแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงหวังแต่ในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ดีกว่า”

“เรื่องที่ท่านหวังคืออะไร...และเมื่อไร” เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับถาม “ใช่...เรื่องเดียวและเวลาเดียวกับที่ข้าหวังไว้หรือเปล่า”

เด็กหนุ่มตอบตนเองได้ทันทีว่า...เขาไม่อาจเอื้อมถึงขั้นนั้น เจ้าหญิงแอชลีนน์...เมื่อตอนเป็นแอช...เป็นคนที่สดใสและกล้าหาญชาญชัยกว่าหญิงอีกหลายคนตามความเข้าใจของเขา แต่ตัวเขาเองปิดกั้นใจไม่ให้รักคนที่รู้ว่าไม่มีทางครองคู่กันได้เสียแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว

“เห็นจะไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” อาเมียร์ตัดสินใจตอบ “เป็นเรื่อง...การสู้รบครั้งใหญ่...ในแผ่นดินเกิดของกระหม่อมเมื่อนานมาแล้ว มีคนที่กระหม่อมอยากช่วยชีวิตไว้ให้ได้...มีคนที่กระหม่อมไม่อยากให้ตายอยู่มากมาย กระหม่อมหวังว่าตนเองจะไม่อ่อนแอ...หวังว่ากระหม่อมจะช่วยชีวิตพวกเขาได้...และหวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิต แต่กระหม่อมทำไม่ได้ ตอนนี้กระหม่อมได้แต่หวังว่า...เรื่องผิดหวังอย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก กระหม่อมไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือดใดๆ ก็ตามอีกในธีร์ดีเร...โดยเฉพาะเรื่องที่กระหม่อมอาจเป็นต้นเหตุ”

อย่างน้อยสิ่งที่เขาพูดในตอนต้นก็เป็นความจริง...เป็นหนึ่งในความผิดหวังมากมายที่เขาแบกรับอยู่

เจ้าหญิงแอชลีนน์เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจยาว

“ทำไมท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลย”

“เรื่องที่จบสิ้นไปนานแล้ว...ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดขึ้นมานี่พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ข้าอยากรู้ ข้ามีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับท่านมากมาย ข้าไม่เคยพบใครอย่างท่านมาก่อน บางที...” เด็กสาวชะงักไป “ข้า...จะพยายามเลิกหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่...โอกาสที่เราจะได้พบได้พูดคุยกัน...โอกาสที่ท่านจะได้สอนข้าเหมือนเมื่อก่อนยังมีอยู่ใช่ไหม อันที่จริง...ข้าไม่ได้รังเกียจอะไรเฟลิมหรอก บางทีข้ายังคิดว่าหากเป็นเขา...หากเขาชนะโดยที่ท่านไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ทั้งหมด...ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ท่านจะยังสอนเขาเหมือนเมื่อก่อน...ไม่ก็เป็นที่ปรึกษาของเขาใช่ไหม”

อาเมียร์พลันเย็นวาบในใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองหวาดระแวงเกินไปหรือไม่...แต่ก็เหมือนสังหรณ์ในใจบอกว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ยังไม่ได้ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ถึงจะรู้ว่าครองคู่กันไม่ได้ก็ยังคิดจะพบเขา...ยังคิดจะให้เขาอยู่ใกล้ๆ

...และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะ...

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะ

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไม...หมายความว่าอย่างไร”

“กระหม่อมตัดสินใจมาก่อนหน้านี้ได้พักใหญ่แล้ว...ว่ากระหม่อมจะเลิกทำงานกับท่านเจ้ามณฑลเมื่อสิ้นสุดการประลอง” เขาพูดตามที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้

“ทำไม!” เด็กสาวก้าวเข้ามาใกล้ลูกกรงกั้นระเบียง สองมือเท้าบนราวขณะชะโงกมองเขา

“กระหม่อมคิดได้ว่ากระหม่อมไม่เหมาะกับงานนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วท่านจะไปทำอะไร”

“ก็คงจะกลับไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ตามเดิม”

“แต่ความสามารถของท่านล่ะ...ท่านเก่งออกขนาดนั้น เก่งจนข้ายังอิจฉาเลย”

“กระหม่อมไม่ได้เก่งอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ คนที่มีความสามารถมากกว่ากระหม่อมยังมีอยู่อีกมากมาย กระหม่อม...ก็แค่สำคัญตนไปว่าตนเองจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยธีร์ดีเรได้ แต่บางที...กระหม่อมคงจะเดินมาผิดทางเสียเอง”

“ถ้าท่านตั้งใจจะช่วยข้าจริงๆ ท่านอาจจะทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ได้” เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับแย้งจนเขาประหลาดใจขึ้นมา “ถ้า...ถ้าชาลัวห์โกงจริงๆ อย่างที่ท่านว่าก็ต้องมีใครสักคนหยุดเขา ท่านเพียงแต่บังเอิญเป็นคนของเฟลิมเท่านั้นเอง แล้วถ้าท่านอยากจะช่วยธีร์ดีเรก็มาช่วยข้าเถอะ...ช่วยชี้แนะข้ากับเฟลิมว่าจะปกครองอย่างไรดีเถอะนะ”

อาเมียร์ยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธ เขากลัวว่านั่นต่างหากจะเป็นการเดินผิดทางซ้ำสอง

“ท่านเฟลิมเรียนรู้จากกระหม่อมไปมากแล้ว และหากทรงต้องการผู้ชี้แนะจริงๆ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่ากระหม่อมอยู่ไม่ห่างพระองค์นี่เอง ขออภัยด้วย”

ครั้งนี้เด็กสาวนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

“เอาเถอะ” เธอยิ้มเจื่อนๆ “ข้าเข้าใจ...ว่าการทำสิ่งที่ต้องฝืนใจตนเองเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจขนาดไหน ข้าไม่โทษอะไรท่านหรอก ถึงอย่างไร...เราก็ยังเป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิม ถึงอย่างไร...ข้ากับเฟลิมก็ยังไปเยี่ยมเยียนบ้านท่านได้ใช่ไหม...ถึงเราสองคนคงจะไม่ค่อยว่างนัก”

“บ้านของกระหม่อมยินดีต้อนรับฝ่าบาทกับท่านเฟลิมเสมอพ่ะย่ะค่ะ” เขาพยายามยิ้มตอบ

“แล้ว...อย่างน้อยท่านก็จะอยู่ร่วมพิธี...ของพวกเราใช่ไหม อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับเถอะนะ”

อาเมียร์นิ่งคิดอยู่อีกครู่ก่อนจะตัดสินใจ

“...พ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์พยักหน้า แล้วก็มองไปรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเราคงมีเวลาพูดกันวันหลัง ตอนนี้ท่านรีบกลับเข้างานไปก่อนดีกว่า มาคุยกันนานๆ อย่างนี้ในเขตหวงห้ามสำหรับท่านออกจะอันตรายไปหน่อย”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“รับด้วยเกล้าอะไรกัน” เด็กสาวยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะยักไหล่ “ข้า...ยังเห็นท่านเป็นอาจารย์อยู่เหมือนเดิมนะขอรับ”

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น...ลาก่อนนะแอช”

“ลาก่อนขอรับ อาจารย์”

เด็กหนุ่มโบกมือให้เด็กสาวบนระเบียงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป

...ด้วยใจที่ปลอดโปร่งขึ้น...แต่ก็ยังมีความไม่สบายใจบางประการค้างอยู่ในใจ...

เขาไม่รู้อีกแล้วว่าสิ่งใดถูกหรือผิด รู้แต่ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะทำเป็นการช่วยเหลือธีร์ดีเรอาจไม่ใช่ความช่วยเหลือที่แท้จริง และสิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะยอมทำเพื่อคำพูดสวยหรูอย่าง ‘อุดมการณ์’...สิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะทำได้เพื่อคนอื่น...ก็กลับกลายเป็นเรื่องเล่นๆ เอาสนุกเพียงเมื่อไม่มีชีวิตคนอื่นเป็นเดิมพัน...ซ้ำบางอย่างก็เป็นเพียงการสนองความสาสมใจส่วนตัวที่เขาได้รับจากการทำลายความหวังคนที่เขาเกลียดชังอย่างชาลัวห์เท่านั้น เขาคิดถึงใจของคนที่อยู่กลางเรื่องทั้งหมดนี้และจะได้รับผลกระทบทุกประการอย่างแอชน้อยเกินไปอย่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ

...บางที...การออกห่างจากเรื่องบ้านเมืองของธีร์ดีเร...และจากแอชกับเฟลิมเพื่อให้ทั้งสองคนได้ช่วยเหลือกันและกันให้ก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีเขามายุ่งเกี่ยว...ก็อาจจะเป็นการดับโอกาสของปัญหาอะไรก็ตามที่อาจเกิดตามมาก็เป็นได้

* * *

แอชลีนน์มองตามร่างของอาเมียร์จนลับสายตา ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้งเมื่อคิดขึ้นมาว่า...เธอยอมแพ้ง่ายดายไปหรือเปล่าหนอ ถึงอย่างนั้น...เมื่อรู้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า...การมัวโกรธเขาอยู่อย่างนี้จะทำให้เรื่องอะไรก็ตามดีขึ้นมาได้อย่างไร

เขาคงรู้...ไม่สิ...ต้องรู้ความรู้สึกของเธอแน่ๆ ถึงได้หลีกเลี่ยงเสียขนาดนั้น บางทีเขาคงไม่ได้มีใจตรงกับเธอจริงๆ ไม่สิ...ถึงมี...เธอจะคาดหวังให้เขาทำตามความปรารถนาของเธอได้อย่างไรกัน

ถึงจะมีความรู้ความสามารถเหนือกว่าขุนนางหลายคน...อาเมียร์ก็ยังคงเป็นผู้อพยพต่างชาติที่ไม่มีอำนาจหนุนหลัง มิหนำซ้ำยังมีพ่อแม่และน้องเล็กๆ ให้ต้องเป็นห่วง แล้วยังเรื่องที่เขาพูดเป็นนัยๆ ให้เธอฟังอีก...

เด็กสาวเคยได้ยินมาบ้างว่าชนเผ่านับร้อยในทะเลทรายเป็นพวกป่าเถื่อนที่นิยมการสู้รบ แม้ไม่มีเรื่องแค้นเคืองอะไรก็สามารถยกพวกมารบราฆ่าฟันจนถึงขั้นล้างเผ่าใดเผ่าหนึ่งได้ และเธอยังเคยคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันที่ชาวทะเลทรายที่ดูมีชาติตระกูลและมีความรู้ความสามารถอย่างครอบครัวของอาเมียร์อพยพเข้าธีร์ดีเรมาเพียงเพื่อใช้ชีวิตเป็นชาวไร่อย่างนี้...

บางที...คงมีเหตุอะไรมากกว่านั้น ครอบครัวของอาเมียร์อาจจะรอดชีวิตมาจากการฆ่าล้างเผ่า...ในขณะที่เขายังเด็กอยู่ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมที่เขาบอกว่าอยากให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขกว่านี้ แต่เมื่อนึกถึงฐานะของเขาในปัจจุบัน เธอก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่เกินตัวเสียเหลือเกิน...

ไม่มีทางที่พวกขุนนางแทบทั้งธีร์ดีเรจะยอมรับเขา และเธอก็ยังเคารพรักเสด็จพ่อเสด็จแม่ กับเสด็จพี่ไอลีชผู้ล่วงลับเกินกว่าจะทิ้งธีร์ดีเรที่ทั้งสามฝากไว้ให้ หรือแม้แต่จะบังอาจเห็นความสุขของตนเองมาก่อนความมั่นคงของชาติ บางที...ความโกรธเคืองที่เธอมีเมื่อก่อนหน้านี้คงเป็นเรื่องที่ไร้สาระและเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ

แล้วเธอก็ยังเก็บความโกรธนี้มาได้นานแสนนาน...เพียงเพื่อจะตระหนักได้เมื่อได้พบเด็กหนุ่มอีกครั้งแท้ๆ

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเรียกจากด้านล่างทำให้เธอก้มลง เห็นองครักษ์ที่มีผมสีทองอ่อนค้อมคำนับในสวนห่างออกไปอีกระยะ

“ดูลัส มีอะไรหรือ”

“เมื่อครู่...ทรงมีพระปฏิสันถารกับใครหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินเสียงมาแว่วๆ”

“เอ้อ ไม่มีใครหรอก เราก็แค่...พูดอะไรกับตัวเองนิดหน่อยน่ะ” เด็กสาวรีบกลบเกลื่อน

“อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ใช่น่ะสิ เดี๋ยวเราจะไปเข้านอนแล้ว ดูลัสก็ไปทำตามหน้าที่เถอะ ราตรีสวัสดิ์นะ”

“...ถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์กลับหลังหันก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตน ใจยังคงคิดถึงคนที่เธอเพิ่งพบเมื่อครู่...ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ยังไม่อาจสลัดความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ออกไป...แม้เมื่อสิ้นสุดพิธีสยุมพรแล้วก็ตาม


บทที่ ๒๔ เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้

* * *

ณ ตอนนี้ อาเมียร์ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ไปแล้ว ตอนหน้าก็จะจบเนื้อเรื่องช่วงแรกของที่ผมแบ่งคร่าวๆ ไว้จากหนึ่งในสามครับ

มุขรูอาร์คยุอาเมียร์ให้ปีนขึ้นห้องเจ้าหญิง (น่าตีดีจริงๆ) ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Rhodes จากบอร์ด All-final ครับ ว่าไปก็น่าให้ลองทำจริงๆ เหมือนกันนะนี่ เผื่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง (ไม่ใช่เป็นพระสวามีหรอก นักโทษประหารข้อหาอะไรก็ตามแต่นั่นล่ะ ^^a ) พรวดพราดกับเขาโดยไม่ต้องมานั่งช่วยคนอื่นรบเสียที

แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)


Create Date : 07 พฤษภาคม 2552
Last Update : 7 พฤษภาคม 2552 21:22:06 น. 1 comments
Counter : 284 Pageviews.

 


โดย: c (chaiwatmsu ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:06:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.