ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๐ - ผลของความอยากรู้

บทที่ ๑๐ ผลของความอยากรู้


อาเมียร์หยุดม้าห่างจากร่างที่ยืนอยู่พอสมควร แล้วก็ลงจากหลังม้าก่อนจะช่วยจับมือแอชลีนน์ลงมาตาม

ดูลัสยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มทำใจให้กล้าแล้วเดินเข้าไปใกล้

“ส...สวัสดีขอรับ ท่านดูลัส”

องครักษ์หนุ่มยืนตีสีหน้าเฉยโดยไม่ตอบ แอชลีนน์มองตามสายตาของเขา...แล้วก็รู้สึกว่าเป้าหมายของมันมิใช่เธอ แต่เป็นชายอีกคนด้านหลัง

“นี่ท่านอาเมียร์ อาจารย์ที่สอนข้ากับลูกชายท่านเจ้ามณฑลขอรับ” เธอตัดสินใจแนะนำ “วันนี้ข้ากลับเย็นไปหน่อย เขาเลยอาสาจะมาส่ง”

เด็กสาวหันกลับไปทางเด็กหนุ่มผมดำบ้าง

“ท่านอาเมียร์ นี่ท่านดูลัส องครักษ์ของเจ้าหญิงขอรับ”

อาเมียร์ค่อยๆ ก้าวเข้ามายืนข้างๆ เธอ เขายิ้มน้อยๆ ขณะยื่นมือขวาออกมาข้างหน้าและพูด

“ยินดีที่ได้รู้จัก”

ชายหนุ่มผมสีทองจางยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นมือออกมาจับมือกับเขา

“เช่นกัน”

ครั้นคลายมือแล้ว ดูลัสก็ดูเหมือนจะจ้องมองอาเมียร์ต่อไปโดยไม่พูดอะไร แอชลีนน์จึงเห็นสมควรว่าจะพูดขึ้นมา

“ข...ข้าขอตัวไปเข้าเฝ้าเจ้าหญิงก่อนนะขอรับ”

“ไปสิ” องครักษ์หนุ่มรับ “เจ้าหญิงทรงรอมานานแล้ว”

เด็กสาวยิ่งสะกดความรู้สึกร้อนวาบๆ ที่ท้ายทอยไม่อยู่ เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่า...แผนการเป็นอันแตกโดยสิ้นเชิง

กระนั้นเธอยังพยายามมองโลกในแง่ดี

“ล...แล้วพบกันพรุ่งนี้ขอรับ อาจารย์”

“อือ แล้วพบกัน” อาเมียร์รับ เพียงแวบเดียวก่อนชายอีกคนจะพูดขึ้นบ้าง

“อาจไม่ได้หรอกนะ เจ้าหญิงทรงดำริว่าหากเถลไถลเกินตั้งใจเรียน ก็ควรจะให้เลิกเสีย”

“แต่ว่า—“ แอชลีนน์รีบแย้ง “ข้าไม่ได้เถลไถลนะ วันนี้ก็แค่กลับช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง วันหลังจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”

“อันที่จริงแอชเป็นเด็กที่ขยันขันแข็งมาก แล้วก็เรียนรู้เร็ว ปกติเขาก็กลับตรงเวลา แค่กลับมาสายวันหนึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุให้ต้องเลิกเรียนเลย”

ดูลัสหันขวับมาทางบุคคลที่สามที่พูดคำนั้น

“นั่นขึ้นอยู่กับพระวินิจฉัยของเจ้าหญิง ไม่เกี่ยวข้องกับ...” เขานิ่งเลือกสรรพนามอยู่ชั่วอึดใจ “ท่าน”

เด็กหนุ่มคนฟังเงียบไป...แต่ก็เพียงอีกครู่เดียว

“ข้าเข้าใจ เพียงแต่หากเด็กอยากเรียนจริงๆ ข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องล้มเลิกกลางคันเท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มคนฟังเงียบไป...เป็นเวลาพอๆ กับอีกฝ่าย

“ช่างเป็นอาจารย์ที่เอาใจใส่ลูกศิษย์จริงๆ ท่านคงจะดูแลลูกชายท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธเป็นอย่างดีเช่นนี้เหมือนกันสินะ” ดูลัสเอ่ยปากตอบ “ฝากบอกเขาด้วยแล้วกัน ว่าข้าจะรอสู้กับเขาในการทดสอบ”

“นี่ท่านเข้าร่วมการทดสอบด้วยหรือ” น้ำเสียงของอาเมียร์บอกความประหลาดใจเล็กน้อย

“ในฐานะลูกชายของเจ้ามณฑลอุลทูร์” ชายหนุ่มตอบฉะฉาน “หวังว่า ‘ลูกศิษย์’ คนสำคัญของท่านจะเป็นคู่แข่งที่ท้าทายสำหรับข้า”

แอชลีนน์รู้สึกเหมือนเห็นมุมปากของอาเมียร์หยักขึ้นน้อยๆ

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”

แล้วเด็กหนุ่มผมดำก็ขอตัวกลับก่อนจะขึ้นหลังม้าขี่ออกไป ทิ้งเด็กสาวให้สบตากับสายตาแข็งกร้าวของชายข้างตัวเพียงแวบเดียวจึงก้มหลบสายตา เดินคอตกตามเขาเข้าประตูของอารามไปสู่ห้องประทับของเจ้าหญิง

* * *

เคียราซึ่งสวมชุดของเจ้าของห้องดูเหมือนจะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างเมื่อประตูเปิดออกโดยไม่มีการเคาะ แต่เมื่อเห็นผู้เข้ามาทั้งสองก็ผุดลุกขึ้นทันที

“องค์หญิง...ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ!”

แอชลีนน์สั่นศีรษะ

“เราไม่เป็นไร”

หญิงสาวมองเธอ แล้วก็มองชายผมสีทองจางซึ่งปิดประตูห้องลงด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วองค์หญิงก็ยังไม่เสด็จกลับมา หม่อมฉันแกล้งทำเป็นไม่สบาย ขอให้นำอาหารเข้ามาในห้อง ท่านดูลัสเป็นห่วงเลยเข้ามาดูเพคะ”

แล้วความก็แตก...เด็กสาวเดาได้โดยไม่ต้องพูดออกมา

“...หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ” นางกำนัลคนสนิทเอ่ยแผ่วๆ

“ไม่ใช่ความผิดของเคียราหรอก” แอชลีนน์ตอบด้วยความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“กระหม่อมทราบทุกอย่างจากเคียราแล้ว” ชายอีกคนในห้องเอ่ยขึ้นบ้างด้วยเสียงเคร่งขรึม “จากนี้ไป องค์หญิงจะลอบเสด็จออกไปอย่างนี้อีกไม่ได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ มันอันตรายเกินไป”

“อันตรายตรงไหน” เด็กสาวหันขวับไปแย้ง “เราทำอย่างนี้มาได้ตั้งหลายวันแล้วนะดูลัส ไม่เห็นจะมีอันตรายอะไรเลย”

“อันตรายอาจเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ทันรู้พระองค์มากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสยืนกราน “หากคนนอกรู้ขึ้นมาว่าทรงเป็นถึงเจ้าหญิง แล้วความเกิดไปถึงผู้ประสงค์ร้ายด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นอย่างไร”

“ใครจะประสงค์ร้ายกับเรา”

“คนร้ายในคดีลอบปลงพระชนม์ครั้งก่อนยังถูกจับไม่หมดนะพ่ะย่ะค่ะ แล้วถึงจะแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกนั้นจะมาที่นี่ องค์หญิงก็อาจจะถูกชักจูงล่อลวงโดยพวกที่ต้องการใช้ประโยชน์จากพระองค์ได้เหมือนกัน”

“แล้วเรามีประโยชน์อะไร”

“ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธได้พบกับองค์หญิงอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเขายิ่งเคร่งเครียดขึ้น “หากนี่เป็นแผนการของใครสักคน ให้องค์หญิงทรงได้ใช้เวลากับเขา...หรือหากพวกนั้นวางอุบายให้องค์หญิงทรงเข้าข้างเขา หรือให้เขาได้ใกล้ชิดองค์หญิงด้วยวิธีอื่นใด...”

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราเป็นเจ้าหญิง!” แอชลีนน์ค้าน “มีแต่อาจารย์ที่มองออกว่าเราเป็นผู้หญิง แต่เราก็บอกเขาไปแล้วว่าเราเป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงเท่านั้นเอง แล้วก็บอกว่าที่เราออกมาเรียนอย่างนี้ก็เพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหญิง”

“องค์หญิงทรงดำริว่าเขาเชื่อตามนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสไม่วายย้อนถาม “กระหม่อมคิดว่าชายคนนั้นต้องรู้มากกว่านั้น...เขาต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ ถึงได้ให้องค์หญิงเสด็จไปเรียนร่วมกับลูกเจ้ามณฑลยาร์ลาธอยู่ทุกวันนี้”

“เขาไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ!” เด็กสาวสั่นศีรษะ “เขาสอนให้เรา...เขาตั้งใจสอนให้เราจริงๆ ไม่ได้หาเรื่องให้เราไปใกล้ชิดคนคนนั้นเลย”

“องค์หญิงยังทรงพระเยาว์ แล้วก็ทรงมีความซื่อไร้เดียงสาอยู่มากนะพ่ะย่ะค่ะ เขาอาจจะหลอกใช้คุณสมบัติพวกนี้อยู่โดยที่ทรงไม่รู้พระองค์ก็ได้” องครักษ์หนุ่มให้เหตุผล “กระหม่อมมองออกพ่ะย่ะค่ะ คนต่างชาตินั่นเชื่อถือไม่ได้ ดูท่าทางเขาเป็นพวกรู้มากกว่าที่แสดงออกให้คนอื่นเห็น”

แอชลีนน์อยากบอกว่าอาเมียร์เป็นคนที่ไว้ใจได้ และเธอก็ไว้ใจเขา แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลที่เหมาะสมมาคัดง้างดูลัสซึ่งพูดต่อไป

“เขาเป็นคนต่างชาติ มาจากทะเลทรายที่มีแต่พวกป่าเถื่อนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ หากเขาเป็นสายลับของต่างชาติที่หวังจะเข้ามาแทรกแซงหรือบ่อนทำลายเราจากภายในล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“เขา ไม่ใช่ สายลับแน่นอน!” เด็กสาวรับรองแข็งขัน “วันนี้ข้าไปบ้านของเขามา เขามีพ่อแม่ น้องๆ แล้วก็ยังมี...ภรรยาชาวธีร์ดีเรด้วย สายลับที่ไหนจะมากับครอบครัวอย่างนี้ แถมแม่ของเขาก็ยังท้องแก่ใกล้คลอดแล้วด้วย”

ผู้ฟังทั้งสองกลับเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม

“องค์หญิงเสด็จไปที่บ้านของเขามาหรือพ่ะย่ะค่ะ!”

“ก็...ก็แค่วันนี้เอง เราอยากรู้ว่าบ้านของเขาเป็นอย่างไรก็เลยตามเขาไป”

องครักษ์หนุ่มทำสีหน้าเหมือนข่มใจอยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นยังโคลงศีรษะน้อยๆ

“ทรงไม่ระวังพระองค์เสียเลย หากทรงเป็นอะไรไป...ธีร์ดีเรเล่าจะทำอย่างไร”

“ดูลัส!” แอชลีนน์พยายามอ้อนวอน “ถ้าดูลัสเห็นว่ามันผิด เราจะพยายามระวังตัวให้มากกว่านี้ แต่ขอร้องล่ะ...ให้เราออกไปเรียนต่อเถอะนะ เราอยากเรียนต่อจริงๆ ...อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะต้องกลับเมืองหลวง”

“ทรงรอให้ท่านราชครูมาสอนในวังหลวงจะไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็เขาสอนไม่เหมือนท่านราชครู” เด็กสาวให้เหตุผล “เวลาเรียนกับเขา...เรารู้สึกเหมือนเราเข้าใจได้ง่ายขึ้น เขาเป็นคนที่สอนเก่งมากนะ เขาสอนเราได้ตั้งหลายอย่าง ทั้งวิชาการปกครอง ทั้งฟันดาบ แล้วยังหมัดมวยอีก”

“แต่องค์หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนอย่างนั้นก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของชายหนุ่มอ่อนลงบ้าง ส่วนนัยน์ตาทอดมองลงต่ำ “พระหัตถ์บอบบางขององค์หญิงไม่ควรแตะต้องอาวุธ หรือบาดเจ็บด้วยเรื่องรุนแรงที่ไม่เหมาะกับสตรีหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์รีบชักมือกลับไปไขว้ด้านหลังเพื่อซ่อนแผล แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนดูลัสเห็นแล้ว

“แต่เราอยากดูแลตัวเองได้...พอๆ กับอยากดูแลธีร์ดีเรเองได้นี่”

“องค์หญิงทรงทำสิ่งอื่นเพื่อธีร์ดีเรได้มากมายนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เห็นจะต้องทรงฝืนพระทัยกับพระวรกายอย่างนี้เลย”

เด็กสาวสั่นศีรษะแรงๆ ความรู้สึกทั้งโกรธทั้งน้อยใจประดังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“นั่นล่ะที่ยิ่งฝืนใจเรา! เราไม่เห็นจะทำอะไรได้เลย! ทุกวันนี้ใครๆ ก็บอกว่าเราทำได้แค่รอ! รอให้อัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยธีร์ดีเร! ด้วยการแต่งงานกับเรา!! แม้แต่ดูลัสก็อยากให้เราเป็นแค่เจ้าหญิงที่ถูกขังในหอคอย...ออกไปไหนไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีใครมาช่วยหรือ!!” เธอยิ่งพูดน้ำตายิ่งรื้น

“องค์หญิง...” น้ำเสียงขององครักษ์หนุ่มเริ่มบอกความห่วงใย “ใช่ว่ากระหม่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของพระองค์ แต่หากองค์หญิงมีพระประสงค์อยากเรียนจริงๆ ก็ขอได้โปรดให้กระหม่อมรับใช้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเมื่อไรกันล่ะ!” แอชลีนน์ถามกลับ “หมู่นี้ดูลัสก็บอกว่ายุ่งอยู่ตลอด! บางครั้งเราถามอะไรไปยังไม่ได้คำตอบเลยด้วยซ้ำ!!”

“องค์หญิง!” เคียราแทรกขึ้นบ้าง “หม่อมฉันรู้ว่าทรงไม่พอพระทัย แต่อย่าตรัสกับท่านดูลัสอย่างนี้สิเพคะ ท่านดูลัสก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว”

เด็กสาวหันขวับมาทางผู้พูด อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างใส่เธอด้วย แต่เมื่อเห็นใบหน้า ช้องผมกับเสื้อผ้าของตนที่อีกฝ่ายยังสวมอยู่แล้วก็หมดความคิดที่จะต่อว่าทันควัน

...ก็เคียราอุตส่าห์ช่วยเหลือเธอถึงขนาดนี้ แล้วตอนนี้นัยน์ตาของหญิงสาวก็ช้ำแดงจนเห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้หนักมาหมาดๆ...

...แอชลีนน์เองก็รู้ไม่ใช่หรือ ว่าการอยู่รับหน้าคนที่หาเหตุผลมาแย้งได้อย่างมีหลักการและเป็นขั้นเป็นตอนอย่างดูลัสไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และสร้างความกดดันเพียงไร...

“กระหม่อมจะให้เวลากับองค์หญิงมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “กระหม่อมรับรอง หากองค์หญิงทรงอยากศึกษาสิ่งใด กระหม่อมก็จะรับใช้สุดความสามารถ ขอเพียงอย่าลักลอบเสด็จออกนอกอารามอย่างนี้อีกเลยพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้ยังดีที่กระหม่อมเป็นคนทราบเรื่อง แต่หากเป็นคนอื่น เคียราอาจถูกลงโทษสถานหนักได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวนิ่งงันอย่างจนใจ...เมื่อตระหนักได้ว่าเธออาจทำให้คนที่เธอรักที่สุดอีกคนเดือดร้อนมากกว่าตัวเธอเองไปด้วย

“จากวันนี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะมาเฝ้าอารักขาพระองค์ในเขตอารามชั้นในด้วยตนเอง คุณแม่อธิการให้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

คำบอกของดูลัสทำให้แอชลีนน์กำมือแน่น...แม้สิ่งที่สงสัยมานานจะกระจ่างเสียทีว่าเขาพาเธอเข้ามาถึงอารามชั้นในของนักบวชหญิง ซึ่งห้ามผู้ชายเข้ามาอย่างเด็ดขาดได้อย่างไร

“กระหม่อมทูลขอเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงลักลอบออกไปอีกเลย” องครักษ์หนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำ ทว่าผู้ถูกคำนับก็ไม่ตอบแต่ประการใด สุดท้ายเขาจึงเอ่ยเพียงว่า “...กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพักผ่อนให้ทรงพระสำราญ”

จะทรงพระสำราญได้ที่ไหนกันเล่า...เจ้าหญิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรงหลังได้ยินเสียงประตูปิด แล้วก็บังคับตนเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาดังๆ

“เอาเถอะเพคะ” เคียราถอดช้องผมให้เธอ แล้วก็คลี่ผมยาวภายในนั้นให้ทิ้งตัวลงปรกไหล่ “ท่านดูลัสก็รับปากจะช่วยองค์หญิงแทนแล้ว ขอทรงสบายพระทัย...แล้วก็ทรงทำตามที่ท่านดูลัสบอกเถอะเพคะ”

แอชลีนน์ไม่อาจห้ามดวงตาไม่ให้แดงก่ำ ยิ่งไม่อาจห้ามหยดน้ำตาและเสียงสะอื้นได้เมื่อนึกไปถึงใบหน้ายิ้มแย้มของอาเมียร์...กับถ้อยคำอธิบาย คำสั่ง และคำชมกับคำให้กำลังใจง่ายๆ อย่างเป็นกันเองที่มีต่อแอช

...อย่างที่ไม่เคยมีใครมอบให้เจ้าหญิงแอชลีนน์แห่งธีร์ดีเรมาก่อน...

“เขาไม่เข้าใจ” เด็กสาวพึมพำ “เขาไม่เข้าใจเลย...ไม่มีใครเข้าใจเราเลย...เคียรา...”

“องค์หญิง...ท่านดูลัสก็เข้าใจองค์หญิงแล้วนี่เพคะ”

“เขาไม่มีเวลาให้เราหรอก” แอชลีนน์กลับแย้ง “คำก็บอกว่ามี สองคำก็บอกว่ามี แต่จริงๆ ไม่เคยมีเลยแม้แต่นิดเดียว...”

“องค์หญิง...ท่านดูลัสมีงานยุ่งนะเพคะ แต่เขาก็จะพยายามให้เวลากับองค์หญิงสุดความสามารถนี่เพคะ” เคียรายังให้เหตุผลขณะหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าให้เธอ แล้วก็ช่วยถอดเสื้อชั้นนอกให้ “บางที...ถ้าท่านดูลัส...ชนะการทดสอบครั้งนี้ องค์หญิงก็คงจะทรงมีเวลาอยู่กับเขา...แล้วก็ทรงเรียนรู้จากเขาได้มากเพคะ ทรงเอาพระทัยช่วยท่านดูลัสอยู่ไม่ใช่หรือเพคะ”

เด็กสาวนิ่งงันไป

ใช่...เธอเคยให้กำลังใจดูลัส เคยคิดว่าเธออยากให้ดูลัสได้แต่งงานกับเธอ...อย่างน้อยก็มากกว่าใครอื่น เขาเป็นคนที่ใกล้เคียงกับพี่ชายที่สุดที่เธอมี เขาคอยปรามให้เธออยู่ในโอวาท...โดยไม่เกรงใจเจ้าหญิงที่ถูกพูดถึงลับหลังว่า ‘เอาแต่พระทัย’ อย่างเธอมากกว่าองครักษ์คนอื่นๆ เขาห่วงใยเธอ...ข้อนี้เธอรู้และแน่ใจ หากเป็นดูลัส...เธอคงจะเข้ากับเขาได้ดีกว่าใครก็ตามที่เธอไม่รู้จักแต่ก็ต้องแต่งงานด้วย แต่กระนั้น...

...ตั้งแต่ก่อนหน้านี้...ก็ยังมีเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกผิดกับความคิดนั้น...เหตุผลที่เกี่ยวกับคนที่ชอบเอ่ยถึง ‘ท่านดูลัส’ ด้วยน้ำเสียงชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง...คนที่ห่วงใยดูลัสมากกว่าที่เธอเคยห่วงใย....แล้วก็ให้กำลังใจเขาในการทดสอบครั้งนี้อยู่เสมอ...

...ทั้งๆ ที่รู้ว่า...ชัยชนะของดูลัสจะหมายความว่าหญิงสาวจะไม่ได้ครองคู่กับเขาตลอดกาล...

หมายความว่า...หากเป็นเฟลิมแทน...ก็ดีหรือ

แอชลีนน์ตั้งคำถาม...แล้วก็ไม่พบคำตอบ

จริงอยู่ว่าเฟลิมดูเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน แล้วก็เหมือนจะไม่เข้มงวดเหมือนดูลัส ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้รักเขา รู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้มาจากชายคนนี้

...แล้วมาจากใครกันล่ะ...

ดูเถิด...หัวใจเจ้ากรรมกลับประหวัดไปถึงชายหนุ่มผมสีดำผิดลักษณะของชาวธีร์ดีเรบ่อยครั้ง เธออดคิดไม่ได้ว่า...หากคนที่ชนะการประลองเป็นคนที่ทั้งมีความสามารถและอ่อนโยนอย่างเขาได้จะดีเพียงไร...ทั้งๆ ที่วันนี้เธอเห็นผู้หญิงอีกคนที่อาจจะสวมแหวนแต่งงานของเขาแท้ๆ...

...อันที่จริงเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีก็ได้ หากแต่งงานแล้วยังทิ้งภรรยาไว้กับบ้านพ่อแม่ ไม่ยอมแนะนำให้ใครๆ รู้จัก...อย่างนี้แล้วหมายความว่าเขาหมายตาจะเป็นลูกเขยของท่านเจ้ามณฑลจริงๆ หรือเปล่า...

เด็กสาวสั่นศีรษะแรงๆ

“องค์หญิง” เคียราเรียกอย่างสงสัยและตกใจ “มีอะไรหรือเพคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก” แอชลีนน์ตอบเท่านั้นก็เงียบไป ใจจดจ่อกับความคิด

ข้าก็แค่ชื่นชมเขาเท่านั้น เขาเป็นคนเก่ง...เป็นคนที่เต็มใจสอนข้าจริงๆ เป็นคนแรก...ทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่ได้รับอะไรตอบแทนเพิ่มเติมเลยแท้ๆ...

...ข้าก็แค่อยากเรียนรู้จากเขาให้ได้มากกว่านี้...


“นี่อะไรหรือเพคะ” เสียงเรียกของนางกำนัลดึงความสนใจของเธอไปอีกครั้ง และเด็กสาวก็เห็นเธอวางตลับไม้เล็กๆ ลงบนโต๊ะ

“ตลับยาน่ะ อาจารย์ให้เรามา”

“ใช้ได้หรือเพคะ” น้ำเสียงคนถามบอกความเคลือบแคลง

แอชลีนน์เอื้อมไปหยิบตลับนั้น เปิดฝาออกดูก็พบสมุนไพรที่โขลกกวนจนเป็นเนื้อสีเขียวข้นอยู่ข้างใน

“...กลิ่นแรงจริง หม่อมฉันว่าอย่าทรงทายานี่เลยเพคะ หากทรงเป็นอะไร หม่อมฉันไปขอยาจากนักบวชในอารามมาให้ดีกว่า”

“เขาบอกว่ายานี่กลิ่นแรง แต่แก้ปวดได้ชะงัด” แอชลีนน์พูดเรียบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นดูข้อนิ้วที่บวมแดงอีกครั้ง

...คนที่ให้ยานี้กับเธอมา...คนที่พูดถึงแม่ของตนด้วยความรักและแววตาเทิดทูนอย่างนั้น...คนที่เล่นกับน้องๆ อย่างร่าเริงอย่างนั้น...ย่อมไม่ใช่คนที่จะละเลยภรรยา และหวังจะแต่งงานใหม่ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงเด็ดขาด...

...แล้วยังมือของเธอนี่อีก อุตส่าห์ได้แผลพวกนี้มาแล้ว จะไม่พยายามต่อไปให้เรียนรู้สำเร็จ...ให้ความเจ็บปวดและรอยแผลเหล่านี้ไม่สูญเปล่าได้อย่างไร...

...ไม่มีวัน...

เราไม่ยอมแพ้หรอก
...เด็กสาวบอกกับตนเอง ถึงดูลัสจะรู้แล้วก็เถอะ เรายังมีวิธีให้เขายอมตามเราอยู่เหมือนกัน

แอชลีนน์มองเงาสะท้อนในกระจก ซึ่งจ้องตอบมาอย่างเด็ดเดี่ยว

* * *

อาเมียร์คอยมองไปทางประตูห้องหนังสือเป็นระยะๆ หลังจากสั่งให้ลูกศิษย์ทั้งสองใช้เวลาอ่านบทความช่วงหนึ่งจนจบก่อนจะอภิปรายกัน

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว...แอชก็ยังไม่มาอยู่ดี

เขาพยายามมองโลกในแง่ดีว่าเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มอาจมาสายด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอถูกใครบางคนห้ามไม่ให้ออกมาจริงๆ

...ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย...และไม่ควรเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้อยากเห็นผิดกาลเทศะของรูอาร์คแท้ๆ...

เมื่อวานเขาไม่รู้ว่ารูอาร์คพลอยทำให้พี่ชายถูกต่อว่าไปด้วยหรือเปล่าที่แอบออกไปจากจวนตอนเย็นค่ำโดยไม่บอกกล่าว แต่ท่านเจ้ามณฑลก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเรื่องนี้เลยที่โต๊ะอาหารเช้า มีแต่เจ้าตัวดีที่ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปเป็นแถบๆ นั่นล่ะที่ยังมีหน้ามาบอกเขาขณะที่ทั้งสามเข้าห้องหนังสือมาเตรียมตัวสำหรับการเรียนกันแล้ว

“ถ้าอาจารย์มีเมียแล้ว ก็น่าจะบอกพ่อสักหน่อยสิ เกิดพ่อถูกใจอาจารย์จนยกฟิเดลมาให้จะยุ่งนา”

“หือม์” อาเมียร์ขมวดคิ้วทันควัน

“ก็เมื่อวานข้าเห็น ผู้หญิงผมทองตาสีเขียวที่บ้านอาจารย์สวมแหวนแต่งงานด้วย อาจารย์คงไม่ได้คิดจะจับปลาสองมือใช่ไหม”

เห็นสีหน้ายียวนของคนถามแล้ว...เด็กหนุ่มก็บอกได้ทันทีว่าเขาไม่ได้คิดจะจับปลาสองมือหรอก แต่อยากใช้ทั้งสองมือเค้นคอเจ้าเด็กหัวแดงที่ลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้สักคนให้มันดิ้นพราดๆ เป็นปลาขาดน้ำเสียหน่อย

กระนั้นอาเมียร์ก็ข่มใจตอบเรียบๆ

“ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”

“หมายความว่า...” รูอาร์คยังไม่ยอมเลิกรา “ผู้หญิงคนนั้นหนีสามีตามอาจารย์มาหรือ”

“รูอาร์ค” เฟลิมรับหน้าที่ปรามอีกครั้ง

เด็กหนุ่มพยายามตีสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด ขณะนึกหาคำตอบที่เหมาะสม

“นางแต่งงานแล้ว แต่สามีเสียและไม่มีญาติที่อื่น แม่ของข้าเลยให้นางมาช่วยทำงานที่บ้าน แล้วก็พักอยู่ด้วยเลย ชัดเจนหรือยัง”

เด็กหนุ่มทำเป็นพยักหน้าหงึกหงัก พร้อมทั้งส่งเสียงรับ “อ้อๆ” เหมือนเพิ่งค้นพบสัจธรรม

...แล้วยังไม่วาย...

“แต่จะแต่งกันเมื่อไรก็บอกนะขอรับ อย่าลืมเชิญข้าไปงานแก้เซ็งด้วย”

อาเมียร์เริ่มกระบวนการตอบโต้อย่างว่องไว

“ก็ไม่รู้ว่าจะมีงานให้เชิญเจ้าไปหรือเปล่า แต่หลังคาบนี้มี ‘งาน’ ให้เจ้าทำแก้เซ็งแน่ๆ รูอาร์ค” เขาพูดยิ้มๆ “คัดภาษิตนักรบร้อยจบมาให้ข้าภายในคืนนี้ ตัวบรรจงด้วย ถ้ามีลายมือหวัดขึ้นมาต้องคัดเพิ่มเติมเป็นสองเท่า”

“อ้าว อาจารย์ ไม่เห็นมันจะช่วยในการเรียนรู้ตรงไหนเลยนี่”

“ช่วยสิ” เด็กหนุ่มตอบหน้าตาย “ช่วยให้ลูกศิษย์อย่างเจ้าเลิกว่างและเซ็งจนสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของอาจารย์ขึ้นมาอย่างไรเล่า”

เจ้าตัวแสบหัวแดงเพลิงบ่นงึม แต่ก็ยอมหุบปากแต่โดยดีได้นับแต่นั้น

...แล้วก็มาเปิดปากเอาหลังเขาสั่งให้อ่านไปได้ห้านาที...

“เจ้าเปี๊ยกนั่นจะไม่มาอีกแล้วหรืออาจารย์”

“...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” อาเมียร์ตอบอย่างกังวล “แต่เมื่อวานตอนพาไปส่ง ได้ยินองครักษ์ของเจ้าหญิงบอกว่าอาจไม่ให้มาเรียนอีกเพราะกลับช้า”

“ข้าขอโทษด้วยขอรับ” เฟลิมรับแทน

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องขอโทษหรอก” อาเมียร์บอก “แต่ใครเป็นคนต้องขอโทษก็ควรจะรู้อยู่แก่ใจ”

คนที่ถูกพาดพิงถึงกลอกตา แล้วก็ทำเป็นนั่งอ่านไป เกาหัวไปโดยไม่รับรู้อะไร

“แต่ถ้าข้าห้ามรูอาร์คแทนที่จะตามไปด้วย แอชก็คงไม่ต้องลำบากอย่างนี้” ชายหนุ่มแย้ง

“เอาเถอะ” เด็กหนุ่มพยายามตัดบท “เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ที่สำคัญอย่าให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีกก็พอ”

แต่การไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก...จะเป็นเพราะแอชมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ

อาเมียร์ยังอดภาวนาไม่ได้...ว่าจะได้พบเด็กสาวคนนั้นที่นี่อีกครั้ง ไม่ว่าเธอจะใช่คนที่เขาคิดหรือไม่ก็ตาม

แอชเป็นคนขยันเรียนและอยากรู้อย่างจริงจัง ว่าไปก็มากกว่ารูอาร์คแน่นอน และดูจะมุ่งมั่นกว่าเฟลิมที่ตั้งใจเรียน แต่ไม่ได้มุ่งมั่นเต็มที่ว่าจะต้องเอาชนะการประลองและอภิเษกกับเจ้าหญิงให้จงได้เสียอีก เด็กหนุ่มพยายามถ่ายทอดทุกอย่างให้แอชเพราะดูเหมือนแอชต้องการจะเรียนรู้อย่างแรงกล้า และพยายามถ่ายทอดทุกอย่างให้เฟลิมเพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับหน้าที่ปกครอง...ไม่ว่าจะเป็นมณฑลนี้หรือทั้งอาณาจักรก็สุดแท้แต่โชคชะตา

“ถ้าแอชถูกห้ามไม่ให้มาจริงๆ พวกเราไปอธิบายที่อารามดีไหมขอรับ” เฟลิมเสนอขึ้น “ว่าที่เขากลับช้าไม่ใช่ความผิดของเขา เจ้าหญิงก็ดูจะทรงเอ็นดูแอชมาก ถึงทรงอนุญาตให้เขามาเรียนที่นี่ หากทรงทราบเหตุผล ก็คงจะทรงอนุญาตให้แอชได้กลับมาเรียนกับพวกเราอีก”

อาเมียร์ยักไหล่น้อยๆ นึกเสียดายว่าหากทุกสิ่งง่ายดายตามความคิดของเฟลิมผู้มองโลกในแง่ดีเสมอก็คงน่ายินดีเสียเหลือเกิน

“คงไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก จะไปรบกวนเจ้าหญิงเสียเปล่าๆ ลองรอดูไปอีกสองสามวันเถอะ”

* * *

สี่วันผ่านไป...ทั้งรวดเร็วและเชื่องช้ากว่าที่เขาคิดไว้ในเวลาต่างๆ กัน ถึงอย่างนั้นแอชก็ไม่ได้มาที่นี่เลย

อาเมียร์กำลังจะบอกตนเองให้ถอดใจอยู่พอดี...เมื่อเธอมาในวันที่ห้า

มาอย่างแปลกกว่าทุกวัน เพราะแทนที่จะนั่งรถม้ารับจ้างมา เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มกลับขี่ม้าซ้อนมากับองค์รักษ์ของเจ้าหญิงผู้มีนามว่าดูลัส คนเดียวกับที่เขาพบในวันที่ไปส่งเธอที่อาราม และเดาว่าน่าจะรู้ ‘ความลับ’ ของเด็กสาวเช่นกัน

ดูลัสทำเรื่องเอิกเกริกพอดู เพราะพอพาแอชมาถึงประตูจวนก็บอกทหารยามให้ไปเรียกอาเมียร์ออกมา ก่อนจะคุยด้วยสั้นๆ ผ่านประตูรั้วเหล็ก

“เจ้าหญิงทรงอนุญาตให้แอชมาเรียนอีก แต่ นับแต่วันนี้ไปเขาจะเถลไถลกลับช้าไม่ได้ เข้าใจไหม หากนับแต่นี้เขากลับช้าเพียงครั้งเดียว...ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม เขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาอีก ดังนั้นข้าจึงจะมารับส่งเขา และหากเขาได้รับอันตรายอะไร หรือไม่อยู่ที่จวนในขณะที่ข้ามารับ ท่านในฐานะอาจารย์ก็จะต้องรับผิดชอบเต็มที่”

เด็กหนุ่มรับฟังด้วยสีหน้าเฉยๆ นัยน์ตามองอีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีระแวดระวังอย่างพินิจพิเคราะห์ คำพูดและท่าทางของดูลัสยิ่งยืนยันสันนิษฐานในตอนแรกของเขา แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจงใจจะบอกชัดเจนให้รู้...เพื่อจะได้เตือนว่าตนรู้แผนการ ‘วางหมาก’ ของเขา

“เข้าใจแล้ว” กระนั้นอาเมียร์ก็ตอบด้วยสีหน้ายินดี “ข้าจะทำตามนั้น ฝากขอบพระทัยในพระเมตตาของเจ้าหญิงด้วย”

ดูลัสยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยน และบอกสั้นๆ ก่อนจะไปเพียงว่า “ข้าจะมารับเขาตอนสี่โมงตรง”

* * *

แอชดูผอมเซียวไปบ้าง แต่สีหน้ากลับร่าเริงอย่างเห็นได้ชัดขณะเดินไปยังห้องหนังสือกับเขา

“เจ้าไม่สบายหรือ”

“เปล่าหรอก” เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มตอบ “เพียงแต่ข้าต้องใช้มาตรการเด็ดขาดสักหน่อย เขาถึงได้ยอมให้ข้าออกมา”

“เขา” อาเมียร์ทวนคำ “หมายถึงดูลัสหรือ”

“อือ”

“แล้ว ‘มาตรการเด็ดขาด’ นี่คืออะไร”

“ข้าอดอาหาร”

คนฟังเงียบไป ประหลาดใจและคาดไม่ถึงจริงๆ กับคำตอบสั้นๆ นั้น

“ข้าบอกดูลัสว่าจะไม่ยอมรับประทานอะไร จะไม่ยอมแตะแม้แต่น้ำจนกว่าเขาจะอนุญาตให้ข้าออกมาอีก ทีแรกเขาก็ทำเป็นเฉยๆ นะ ต่อมาเขาถึงทั้งขู่ทั้งอ้อนให้ข้ายอมรับประทานให้ได้ แล้วพอข้าไม่ยอม สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้จนได้”

“เจ้านี่ร้ายไม่เบา” อาเมียร์ยิ้มเฝื่อนๆ “เจ้าหญิงคงจะทรงลำบากพระทัยแย่...กับนางกำนัลหัวดื้ออย่างเจ้า”

แอชสะดุ้งแวบหนึ่ง แต่แล้วก็รีบตอบ

“ต...แต่เจ้าหญิงทรงเข้าข้างข้านะ ที่ข้าออกมาได้ก็เพราะพระองค์ตรัสกับท่านดูลัสช่วยข้าด้วยนั่นล่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มทำเป็นรับ “ก็ดีแล้ว รูอาร์คกับเฟลิมก็คิดถึงเจ้า บอกว่าพอไม่มีเจ้าเรียนด้วยแล้วเงียบไปมาก”

“ร...หรือ” เด็กสาวเสมองไปอีกทาง “...แล้วท่านล่ะ”

“หือม์”

“อาจารย์ล่ะ...คิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า”

“คิดถึงสิ” อาเมียร์ตอบ “เด็กขยันเรียนอย่างเจ้า อาจารย์ที่ไหนจะไม่คิดถึง”

ดูเหมือนแอชจะเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็มองทางเบื้องหน้าต่อ

“อย่างนั้นหรือ” เธอรับเรียบๆ

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้น เพราะมาถึงหน้าห้องหนังสือเรียบร้อยแล้ว

แล้วการเรียนการสอนก็ดำเนินต่อไปในวันนั้น...และในวันต่อๆ มาเช่นปกติ จนกระทั่งย่างเข้าฤดูเก็บเกี่ยวราวเกือบสองเดือนต่อมา


บทที่ ๑๑ เช้าวันลูคนาซาธ

* * *


สรุป ถึงดูลัสจะเข้มงวดยังไง แอชก็ชนะอยู่ดีนี่เอง ^^a

(...ตอนนี้คอมเมนต์สั้นจัง)

คุณข้ามขอบฟ้า - ขอบคุณที่ข้ามขอบฟ้ามาอ่านนะครับ ^^


Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 10:20:02 น. 0 comments
Counter : 342 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.