ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒๙ - ปิดบังความเศร้า

บทที่ ๒๙ ปิดบังความเศร้า


“อย่างนั้นหรือ” ซิอ์บุลเปรยขึ้นหลังฟังเรื่องเล่าโดยละเอียดจากรูอาร์ค ขณะที่ตนเอง สิมา กับเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นไม้ในห้องว่างเปล่าของบ้านหลังเล็กในเมือง

เขาเชื่อว่าอาเมียร์ไม่ได้คิดฆ่าเฟลิม แต่ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะซับซ้อนกว่าที่คาดไว้ ซิอ์บุลหวังว่าหากพระเถระลูเธียนเป็นผู้ดำเนินการไต่สวน ก็น่าจะล้างมลทินให้เด็กหนุ่มได้ไม่ยาก และหากสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในตัวอาเมียร์สำแดงอำนาจใดออกมาจริงๆ ก็คงจะถูกผนึกได้อีกครั้ง

แต่ชื่อของพระเถระมาดายทำให้อดีตนักรบกังวล

มาดายหายสาบสูญไปหลังจากคิดกำจัดพวกเขาในทะเลทรายเมื่อสี่ปีก่อน หากพระเถระรูปนั้นยังมีชีวิตอยู่จริงและไม่ทิ้งจุดมุ่งหมายเดิม เหตุใดจึงให้เรียกพระเถระลูเธียนผู้เป็นศัตรูกลายๆ มาธีร์ดีเร ไม่ขอร้องให้คุมตัวอาเมียร์ส่งซาเกรดา โซลและให้คณะของพระเถระที่เป็นฝ่ายของตนประหารชีวิตในฐานะบุตรแห่งอสุรเทพ ซิอ์บุลไม่อาจหาคำตอบได้

“ตอนนี้อาเมียร์ถูกขังอยู่ใน ‘คุกกรงน้ำ’ ขอรับ” รูอาร์คพูดต่อ “ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยได้ยินเรื่องคุกแห่งนี้หรือเปล่า”

ชายวัยกลางคนสั่นศีรษะขณะที่ภรรยาตอบ

“ไม่เลย”

“มันเป็นคุกใต้พระราชวังติดกับทะเล ที่เรียกอย่างนั้นเพราะข้าได้ยินว่าห้องขังในคุกนี้มีลักษณะเหมือนกรงนกแขวนอยู่เหนือน้ำ เรียกได้ว่าแทบไร้ทางหนีออกมาเอง ซ้ำในบริเวณคุกยังมีห้องทรมานที่ทำไว้เป็นพิเศษด้วย ข้าเกรงว่าคนที่คิดป้ายสีอาเมียร์จะทรมานเขาให้รับสารภาพให้ได้แน่ๆ”

สิมาหันมาสบตากับซิอ์บุลอย่างกังวล แต่ก็ไม่พูดอะไร

อดีตนักรบใช่จะไม่กังวลเรื่องนั้น นั่นเป็นเรื่องแรกๆ ที่เขาคิดขึ้นมา และคิดมาตลอดทางที่นั่งเกวียนมายังเมืองนี้ด้วยซ้ำ เป็นครั้งเดียวที่เขาหวังว่าสิ่งนั้นจะช่วยคุ้มครองอาเมียร์ไม่ให้ได้รับอันตรายอะไร แต่ก็คงไม่ร้ายแรงถึงขั้นสังหารใครก็ตามที่คิดคุกคามเด็กหนุ่มอีก

เขายังไม่อยากให้เรื่องทั้งหมดยุ่งยากไปกว่าเดิม

“แล้วมีทางพอจะเข้าไปช่วยเขาได้ไหม”

“ยากมากขอรับ” รูอาร์คตอบ “คุกนี่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังที่ตั้งบนเกาะในอ่าว สองทางที่จะเข้าไปได้มีแต่สะพานใหญ่ด้านหน้ากับเรือเท่านั้น”

ที่สะพานใหญ่ย่อมมีทหารยามเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จะปลอมตัวเข้าไปข้างในก็ยังต้องเจอการตรวจตราอย่างแข็งขัน นั่นหมายความว่าเหลือหนทางเดียวโดยปริยาย

“ถ้าลอบเอาเรือเล็กเข้าไปในเวลากลางคืนล่ะ” อดีตนักรบเสนอ “เจ้าบอกว่าคุกกรงน้ำอยู่ติดทะเล แสดงว่าหากใช้เรือเข้าไปน่าจะมีโอกาสมากกว่าใช่ไหม”

“เป็นไปได้ขอรับ” รูอาร์ครับ “แต่ข้าเกรงว่าเวรยามทางทะเลคงเข้มงวดไม่แพ้กัน ถึงอย่างไรก็ต้องสืบเรื่องการคุ้มกันให้แน่ชัดก่อนคิดว่าจะลอบเข้าไปช่วยอย่างไรดี”

ซิอ์บุลกลั้นเสียงถอนใจไว้ รู้ทั้งรู้ว่ามีแต่จะต้องทำงานแข่งกับเวลาแท้ๆ แต่ก็จะรีบร้อนไม่ได้ เขาไม่ได้มีความฉลาดหลักแหลมเท่ากับคนที่อยากช่วยออกมา หรือคนที่เด็กหนุ่มคนนั้นเชื่อว่าเป็นพ่อเสียด้วย

“ข้าจะคอยสืบข่าวให้เองขอรับ” รูอาร์คพูดซ้ำ “พวกท่านก็ขอให้หลบอยู่แต่ในบ้านนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะออกไปซื้อของจำเป็นกับลีชาแล้วรีบกลับมา”

“จ้ะ ฝากด้วยนะ” สิมารับ “ลีชายังไม่คุ้นกับคนพลุกพล่านเท่าไร รูอาร์คต้องดูแลนางดีๆ นะ”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มผมแดงรับรองก่อนจะลุกจากไป

ทันทีที่ประตูปิดลง อดีตนักรบก็หันมาสบตากับภรรยาทันที

“ข้าขอโทษนะ”

สิมากลับยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา แม้นัยน์ตาจะบอกความรู้สึกอีกอย่าง

“เรื่องอะไรล่ะคะ”

“ก็...เรื่องที่...” ซิอ์บุลเรียบเรียงคำพูดอย่างยากลำบาก “ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับอาเมียร์ ซ้ำยังช่วยอะไรแกไม่ได้เลย”

“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกค่ะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น” หญิงสาวก้มลงมองมือของตนอย่างเลื่อนลอย “ข้าก็ได้แต่หวังว่าเขาจะปลอดภัยดีเท่านั้น”

“...สิมา...”

เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มเฝื่อนๆ ให้เขาอีกครั้ง

“เดี๋ยวลีชาจะออกไปข้างนอกแล้ว ข้าขอตัวไปดูแลพวกเด็กๆ ก่อนนะคะ” หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะกำชับ“ท่านซิอ์บุล อย่าคิดมากเลยนะคะ เราต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำในส่วนเราที่ทำได้ไม่ใช่หรือคะ ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ว่าอาเมียร์เป็นอันตรายหรือเปล่า เราไม่ควรทำให้เด็กๆ ไม่สบายใจไปด้วยนี่คะ”

“อือม์...” ซิอ์บุลรับ แล้วก็มองภรรยาของตนผลุบออกไปนอกห้อง

ต่อให้เธอพูดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนรู้ได้ว่าเธอวิตกกว่าที่คิด อาเมียร์สนิทกับสิมามากกว่าที่สนิทกับเขาเสียอีก ถึงแม้ช่วงหลังสองแม่ลูกจะไม่ค่อยมีเวลาพบปะพูดคุยกัน

อาเมียร์เป็นศูนย์กลางความรักของซิอ์บุลกับสิมานับแต่ถือกำเนิดมาจนบัดนี้ เช่นเดียวกับศูนย์กลางความรักของใครอีกคนที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่อดีตนักรบหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะคอยคุ้มครองเด็กที่เขาคนนั้นรักเหมือนลูกเช่นกัน

“ถ้าเป็นท่าน...” อดีตนักรบอดไม่ได้ที่จะเปรยกับคนคนนั้น “ถ้าเป็นท่านจะทำอย่างไรกัน...ท่านพี่”

* * *

แอชลีนน์ฟังอย่างเงียบๆ ขณะที่ท่านน้าคอนรอยถาม และรองราชมัลตอบคำถามแต่ละข้ออย่างกระท่อนกระแท่น

“หมายความว่า...พวกเจ้าพาเขาเข้าไปในห้องทรมานหรือ” ท่านน้าตั้งคำถามอย่างระแวดระวัง หลังจากอีกฝ่ายรายงานเรื่องผู้ตายและผู้บาดเจ็บอย่างหวาดหวั่น

“ข...ขอรับ”

คำตอบนั้นทำให้เด็กสาวทนปิดปากเงียบไม่ได้อีกต่อไป

“เรากับผู้สำเร็จราชการกำชับแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามทรมานนักโทษเด็ดขาด”

“พ...พระอาญามิพ้นเกล้า” รองราชมัลยิ่งเสียงสั่น “กระหม่อม...พ...พวกกระหม่อม...ม...ไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ...พวกกระหม่อมก็แค่...แค่ทำตามคำสั่งของท่านหัวหน้าราชมัล...กระหม่อมไม่...ไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ”

“แล้วทำไมหัวหน้าราชมัลถึงทำแบบนี้ เขาได้รับคำสั่งไปแล้วนี่” แอชลีนน์คาดคั้น

“เพราะ...เพราะเขาอยากสร้างผลงานพ่ะย่ะค่ะ” อีกฝ่ายตอบโดยเร็ว “เขา...เขาอยากให้มีการปิดคดีเร็วๆ เพื่อที่ตนเองจะได้มีความชอบ จึงได้บังคับให้พวกกระหม่อมทรมานนักโทษพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” เด็กสาวรับแล้วก็นึกขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าที่ชาลัวห์สารภาพก็เพราะถูกทรมานอย่างนั้นสิ”

“พ...พ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วอาเมียร์...” แอชลีนน์รู้สึกเหมือนลมหายใจของตนติดขัดและศีรษะร้อนผ่าวขึ้นกะทันหัน “อาเมียร์ก็ถูกทรมานเหมือนกันใช่ไหม”

“พ...พอพวกเราจะ...จะทรมานเขา...เขาก็ทำให้พวกเราบาดเจ็บเสียก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราชมัลรีบพูด

ท่านน้าคอนรอยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แปรเปลี่ยน

“แล้วเขาฆ่าหัวหน้าราชมัลเพราะอีกฝ่ายจะทรมานเขาเหมือนกันใช่ไหม”

“ไม่ใช่ขอรับ ที่หัวหน้าราชมัลถูกฆ่าเป็นเพราะ...เพราะจะนำตัวลูกเจ้ามณฑลชอร์ซามาทรมานอีก ชายทะเลทรายคนนั้นถึงได้ขู่เขาไม่ให้ทำ...แล้ว...แล้วสุดท้ายก็...”

“เข้าใจแล้ว” ท่านน้ารับ “ว่าแต่ ลูกเจ้ามณฑลชอร์ซาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ก...ก็แค่...แค่ถูกบีบเล็บมือเดียวเท่านั้นขอรับ พวกเราราชมัลดูแลแผลตามสมควรแล้ว”

“ก็ดี แต่ไปตามหมอมาดูอาการของเขาให้เรียบร้อยด้วย” ท่านน้าคอนรอยบอก

“ขอรับใต้เท้า” รองราชมัลมองไปรอบๆ อย่างไม่สบายใจนัก “ข้าไปได้หรือยังขอรับ”

“เหลืออีกแค่คำถามเดียว” ท่านผู้สำเร็จราชการย้ำ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าราชมัลต้องการสร้างผลงาน”

“เอ่อ...”

“เขาบอกอย่างนั้นหรือ”

“ช...ใช่ขอรับ เขา...เขาบอกอย่างนั้น”

“เข้าใจล่ะ” ท่านน้าคอนรอยพยักหน้า “ขอบใจมาก เจ้าไปเถอะ”

รองราชมัลรีบทำความเคารพ แต่แล้วก็ยืนนิ่งอยู่โดยไม่ออกไป

“มีอะไรหรือ”

“ต...ใต้เท้า ข้าไม่ทราบว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ แต่...แต่ว่า...ได้โปรดอนุญาตให้ข้าลาออกนะขอรับ” เขาอ้อนวอน “ข้า...ข้าเพิ่งยื่นใบลาออกที่กรมตุลาการเมื่อเช้านี้ ข้าหวังว่า...”

“หากเป็นความต้องการของเจ้า ข้าก็ไม่ขัดข้อง ไปเถอะ”

“ข...ขอบคุณมากขอรับ”

แอชลีนน์มองจนชายวัยกลางคนเดินตัวลีบออกไปนอกประตู แล้วจึงหันมาถามชายอีกคนในห้อง

“เราไม่ต้องลงโทษเขาหรือคะ พวกนั้นทำผิดคำสั่งของเราไม่ใช่หรือ”

“เราต้องสืบก่อนพ่ะย่ะค่ะ ว่าพวกเขาเห็นชอบกับหัวหน้าราชมัลหรือถูกบังคับ แต่กระหม่อมรู้สึกเหมือนเหตุผลที่เขาอ้างมาไม่น่าจะใช่เรื่องจริง เขารีบพูดเกินไป เหมือนกับทวนคำพูดมาเรียบร้อยแล้วตามคำบอกของคนอื่น” ท่านน้าคอนรอยเอ่ยอย่างครุ่นคิด

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะว่าคนคนนั้นเป็นใคร”

“กระหม่อมจะให้คนจับตามองราชมัลที่เหลือ แล้วก็สืบว่าก่อนหน้านี้หัวหน้าราชมัลติดต่อกับใครบ้าง”

เด็กสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยปากขอตามที่คิดไว้

“แล้วจะให้เลื่อนการประลองระหว่างดูลัสกับคาเฮียร์ไปก่อนได้ไหมคะ” แอชลีนน์รีบให้เหตุผล “ใช่ว่าหลานระแวงว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่งเป็นคนร้าย แต่หากคดียังไม่กระจ่าง ผู้ต้องหาอาจรับสารภาพแค่เพราะถูกทรมาน ยิ่งดึงดันจะดำเนินการด้านอื่นไปก่อนก็จะเป็นที่ครหาใช่ไหมละคะ”

“องค์หญิงตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านผู้สำเร็จราชการรับ

“แล้ว...อีกเรื่องหนึ่ง หลานอยาก...ลงไปสอบปากคำผู้ต้องหาในคุกกรงน้ำด้วยตนเองจะได้ไหมคะ” เด็กสาวเสี่ยงถามเมื่อความปรารถนาแรกของเธอได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดาย

แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นไปไม่ได้ สีหน้าของท่านน้าบอกชัดเจนก่อนจะเอ่ยปากพูดเสียอีก

“กระหม่อมไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่องค์หญิงถึงกับต้องทรงลดพระองค์ลงมาปฏิบัติเองพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่หลานอยากฟังด้วยหูของตนเองจริงๆ นี่เพคะว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร” เธอแย้ง “เราได้ยินแต่สิ่งที่รองราชมัลพูด แต่ไม่รู้เลยว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนพบเจออะไรบ้าง”

“เรื่องนั้นให้เจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้เป็นผู้จัดการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์ก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าผิดหวัง เธออยากพบอาเมียร์ อยากถามเขาให้รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น อยากดูให้เห็นกับตาว่าเขาปลอดภัย แต่ก็นึกข้ออ้างนอกจากนี้ไม่ได้อีก ถึงจะขอเคียราไปเยี่ยมเขาที่ห้องขังอย่างลับๆ อีกฝ่ายก็ย่อมไม่อนุญาตแน่นอน

“องค์หญิง” ท่านน้าคอนรอยเรียกด้วยเสียงเคร่งขรึมจนเด็กสาวประหลาดใจ “กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลสักเรื่องได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไมหรือ” แอชลีนน์ได้แต่รับทั้งๆ ที่รู้สึกไม่ดีนัก

“กระหม่อมทราบว่าองค์หญิงเคยรู้จักชายชาวทะเลทรายคนนั้นมาก่อน และทรงเห็นว่าเขาเป็นคนดี แต่ความเห็นส่วนพระองค์คงมีความสำคัญไปกว่าพยานหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งทรงแสดงท่าทีว่าเข้าข้างและเป็นห่วงเขาอย่างนี้ กระหม่อมเกรงว่าจะไม่ดีนัก องค์หญิงทรงเป็นประมุขแห่งธีร์ดีเร ย่อมต้องคำนึงถึงอาณาจักรมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวลอบกำมือแน่นขณะก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนตนเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ตำหนิ แต่ก็ยังอยากยืนยันความคิดเดิม

“ก็หลานรู้จักเขา อย่างน้อยก็มากกว่าพวกขุนนางที่จ้องจับผิดเขานี่คะ หลานจะเป็นพยานให้เขาไม่ได้เลยหรือคะ”

“กระหม่อมไม่ได้หาว่าพระวินิจฉัยขององค์หญิงผิดพลาด แต่ว่าคนเราล้วนมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเกินกว่าจะไว้ใจได้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างนั้น กระหม่อมเชื่อว่าหากเขาไม่มีความผิดในการลอบสังหาร เราก็ย่อมสืบทราบเรื่องนี้ได้ด้วยพยานหลักฐาน และการยืนยันของพระเถระจากซาเกรดา โซล”

“แต่ถ้าพระจากซาเกรดา โซล เอาผิดเขาเรื่องที่มีเวทมนตร์ละคะ” แอชลีนน์นึกได้อีกเรื่องหนึ่ง “ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าเฟลิม แต่ฆ่าหัวหน้าราชมัลหรือทำให้พวกนั้นบาดเจ็บเพื่อป้องกันตัว เราจะทำอย่างไรกับเขาต่อไปคะ”

“นั่นเป็นเรื่องที่พระเถระจากซาเกรดา โซล จะเป็นผู้ตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบนั้นไม่อาจทำให้เด็กสาววางใจ หากอาเมียร์มีเวทมนตร์จริงๆ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไปด้วยเหตุใดก็ตาม ศาสนจักรแห่งซาเกรดา โซล จะปล่อยเขาไว้ได้อย่างไร

แอชลีนน์เคยได้ยินว่าผู้มีมนต์มืดเป็นสาวกแห่งปีศาจร้าย เป็นศัตรูของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและมวลมนุษย์ แต่เธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าอาเมียร์เป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มเป็นคนดี ยิ้มง่าย มีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น สาวกแห่งปีศาจร้ายจะเป็นอย่างนี้ หรือแสดงละครตบตาทุกๆ คนได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ชียวหรือ

เธออยากเสี่ยงเชื่อความรู้สึกของตนเองสักครั้ง

“แล้วถ้าพวกพระเถระลามไปจับกุมพ่อแม่กับน้องๆ ของเขามาลงโทษด้วยล่ะคะ” เธอถามต่อ

“ในเมื่อเรื่องนั้นยังไม่เกิด ก็ทรงอย่าเพิ่งกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือคะ” เสียงของเด็กสาวแข็งขึ้น “ถ้ามีความไปได้ แล้วจะไม่คิดเผื่อไว้เลยได้อย่างไรกัน”

ท่านน้าคอนรอยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ตอบช้าๆ

“หากเป็นอย่างนั้นจริง องค์หญิงก็ต้องทรงชั่งน้ำหนักดูพ่ะย่ะค่ะว่าจะทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้ โดยไม่กระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับซาเกรดา โซล หรือประชาชนชาวธีร์ดีเร ซึ่งอยู่ในพระราชภาระรับผิดชอบโดยตรงของพระองค์ กระหม่อมเห็นว่าดีแล้วที่องค์หญิงทรงตรองเรื่องนี้ด้วยเหตุผลและความเป็นไปได้ แต่ก็ควรทรงวางพระทัยเป็นกลาง ไม่ตัดสินสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกส่วนพระองค์เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วถ้าคนที่จะถูกจับกุมลงโทษเป็นคนที่ท่านน้ารู้จักล่ะคะ!” แอชลีนน์อดพูดไม่ได้ “ถ้าเป็นคนรู้จัก เป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นใครก็ตามที่ท่านน้ารักมากๆ ท่านน้าก็จะปล่อยให้เขาถูกจับถูกลงโทษทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนดีได้หรือคะ!”

ชายตรงหน้าเธอนิ่งงันไปเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ

“หากกระหม่อมมีหน้าที่ต้องรักษาสิ่งอื่นที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่า กระหม่อมก็ต้องยอมสละความรู้สึกของตน ยิ่งผู้ปกครองเช่นองค์หญิง ก็ต้องทรงเรียนรู้ที่จะสละเพื่อคนส่วนรวมก่อนจะเป็นห่วงคนส่วนน้อยที่รู้จักเป็นการส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านน้า...” ความเจ็บแปลบในใจทำให้คอของเธอตีบตันจนเอ่ยได้เพียงเท่านั้น

ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายที่อยากพูด ว่าความคิดเช่นนั้นช่างเลือดเย็น ว่าท่านน้าพูดออกมาได้เพราะไม่เคยต้องทนดูใครที่ตนรักและสนิทสนมด้วยตายไปอย่างอยุติธรรมแท้ๆ

แต่เธอพูดไม่ได้ ท่านน้าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคารพ และที่จริง ท่านน้าก็สูญเสียเสด็จแม่ที่เป็นพี่สาวไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

ท่านน้าคอนรอยยิ้มเฝื่อนๆ ออกมา

“กระหม่อมเชื่อว่าองค์หญิงทรงหวังดีต่อทุกคน แต่ความหวังดีควรจะมาพร้อมกับความรอบคอบและความคำนึงถึงพระราชภาระด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนลุกจากเก้าอี้ “กระหม่อมมีงานต้องทำต่อ ขออภัยที่ต้องทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

“หามิได้ค่ะ” แอชลีนน์จำใจรับ แล้วก็ลุกไปจากห้องนั้นพร้อมกับเคียราที่ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ เช่นกัน

กระนั้น ใจของเธอก็ยังเร่งคิดว่าตนเองจะมีหนทางช่วยอาเมียร์ให้ปลอดภัยโดยเร็วได้อย่างไร แทนที่จะมานั่งห่วงพระราชภาระที่เธอพบว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดีด้วยซ้ำ

หากเธอไม่อาจปกป้องครอบครัวเดียวได้เพราะต้องรักษาเกียรติของพระราชวงศ์หรือความสัมพันธ์ต่ออาณาจักรอื่นที่เห็นกฎสำคัญกว่าชีวิตคน แล้วเธอจะถือว่าตนเองมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวธีร์ดีเรได้อย่างไรกัน

* * *

ในตลาดอันจอแจ ลีชาก้มลงมองพื้นปูหิน สลับกับแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผมแดงตัวสูงที่นำหน้า ขณะเดินหิ้วตะกร้าใส่เนื้อรมควันกับผักไปตามทางโดยพยายามไม่ใส่ใจกับเสียงอึกทึกรอบด้าน

บางเสียงยืนยันข่าวร้ายที่รูอาร์คบอกว่าพี่ชายของเขาตายแล้ว และอาเมียร์ถูกจับในฐานะคนฆ่า ตอนที่ท่านสิมาเล่าให้ฟังในเกวียนเธอแทบไม่อยากเชื่อ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนเรื่องนั้นเป็นความจริงไปไม่ได้ ในเมื่อรูอาร์คยังพูดคุยทักทายบรรดาพ่อค้าแม่ค้าได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซ้ำยังตอบคำถามที่แม่ค้าร้านขนมปังถามมาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“แหม...ไม่เห็นแผล็บเดียว แต่งงานตั้งแต่เมื่อไรกันจ๊ะ ภรรยาน่ารักดีนี่”

“ก็...ก่อนย้ายมาที่นี่เลยนั่นล่ะ”

“น่าอิจฉาจัง” สาวใหญ่ร้านขนมปังถอนใจ “แต่แต่งกันใหม่ๆ ก็ดูแลกันหน่อยสิ ดูซิ มือไม้ไม่ยักกะจับกะจูง เดี๋ยวผู้หญิงเขาน้อยใจแย่หรอก”

รูอาร์คหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันมามองเธอแวบหนึ่ง

“ไม่หรอกพี่สาว ภรรยาข้าเป็นคนเรียบร้อยน่ะ จริงๆ ออกมาเดินตลาดด้วยกันนี่นางก็เขินแย่แล้ว”

ลีชาหันหลบเพื่อซ่อนสีบนแก้มของตน เธอบอกตนเองว่าไม่ได้เขินแน่นอน แต่ลำบากใจและโมโหที่ใครคนหนึ่งยังพูดเล่นกับเรื่องแบบนี้ได้ต่างหาก

“โธ่! เอาเถอะ เดี๋ยวอยู่กันไปก็หายเขินเอง แต่ระวังเถอะ เขาบอกว่าผู้หญิงที่ก่อนแต่งงานกับช่วงแต่งงานใหม่ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาน่ะ ลองแต่งกันไปนานๆ จะบ่นรัวจนฟังไม่ทัน ยิ่งมีลูกขึ้นมาล่ะก็นะ”

เด็กหนุ่มผมแดงหัวเราะอีกครั้ง เด็กสาวจึงตัดสินใจก้าวยาวๆ ไปจากร้านนั้นโดยไม่รอเขา

ก็รู้อยู่ว่านี่เป็นแค่การเล่นละคร รูอาร์คเป็นคนวางบทและหว่านล้อมเธอให้ยอมร่วมมือด้วยเสร็จสรรพ เขาอ้างว่าตนเองอาจต้องกลับบ้านหรือไปสืบข่าวที่อื่นบ้าง จึงต้องให้ลีชาออกมาซื้อของจำเป็นและอยู่รับหน้าชาวเมืองแทนคนทั้งบ้าน เพราะเธอเป็นคนธีร์ดีเร ซึ่งดูสะดุดตาน้อยกว่าครอบครัวของท่านซิอ์บุล ซ้ำพวกชาวบ้านที่หมู่บ้านเดิมก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเธอบ่อยๆ จนจำได้ติดใจด้วย

หากต้องทำเพื่อครอบครัวของท่านซิอ์บุลกับท่านสิมาจริงๆ เด็กสาวก็ยินยอม ถึงจะหายใจไม่ทั่วท้องนักเมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางคนไม่รู้จักมากมายในเมืองที่ตนไม่คุ้นเคยอย่างนี้ ทว่ารูอาร์คไม่เพียงเที่ยวแนะนำคนอื่นๆ ไปทั่วว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน แต่ยังไปหาแหวนแต่งงานจากไหนก็ไม่รู้มาสวมติดนิ้วนางซ้ายไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

“เดี๋ยว! รอด้วยสิลีชา!” อีกฝ่ายวิ่งตามมาจนทันพร้อมกับตะกร้าใส่ขนมปัง “อย่าโกรธสิ ข้าก็แค่พูดไปตามบทเท่านั้นเอง”

“เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแท้ๆ ท่านยังมีแก่ใจพูดเล่นได้อีกหรือ” เด็กสาวพูดเบาๆ

“จะให้ข้าตีหน้าโศกที่ลูกชายคนโตของท่านเจ้ามณฑลตายไป เหมือนรักกับเขามาแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร” รูอาร์คกลับพูด “เราเล่นเป็นคู่แต่งงานใหม่กัน ข้าก็ต้องทำทุกอย่างให้เราสองคนดูสมเป็นคู่แต่งงานใหม่กันมากกว่าต่างหาก”

“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลย” ลีชายังแย้ง “ใครเขาทัก ท่านก็ต้องบอกให้หมดหรือ เรื่องแบบนี้น่าอายจะตายไป”

“ก็ถ้าสามีภรรยามาด้วยกัน สามีจะไม่แนะนำภรรยากับคนรู้จักของตัวเองหรือ นี่ข้าอุตส่าห์พูดแทนเจ้าทุกอย่างเพราะเห็นว่าเจ้าไม่อยากพูดหรอกนะ”

เด็กสาวปิดปากเงียบ และก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าอย่างพยายามไม่สนใจอะไรอีก

“นี่จะไปไหน” เด็กหนุ่มข้างๆ ยังไม่วายถาม

“กลับบ้าน”

“บ้านอยู่ทางโน้น หรืออยากไปเดินเล่นอ้อมเมืองด้วยกันข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ”

ลีชาหยุดเดิน ปล่อยให้รูอาร์คก้าวขึ้นนำอีกครั้งแล้วเลี้ยวไปอีกทาง

“ถึงเจ้าไม่ชอบก็ทนหน่อยเถอะ ออกจากตลาดไปนี่คงไม่ค่อยมีคนแล้ว ข้าก็แค่หวังว่าจะฝากให้พวกเขาช่วยดูแลเจ้ากับ ‘ครอบครัวล่องหน’ ในบ้านเราในตอนที่ข้าไม่อยู่จริงๆ เท่านั้นเอง”

“บ้านของท่าน ไม่ใช่บ้านของข้า” เด็กสาวพูดเสียงแข็ง

“ถึงอย่างไรก็คงต้องอยู่ด้วยกันไปในบ้านนั้นสักพัก คิดเสียว่าเป็นบ้านของตัวเองเถอะ”

“นี่ท่านต้องการอะไรกับข้ากันแน่” ลีชาตัดสินใจถามเบาแทบเป็นกระซิบเมื่อทั้งสองพ้นจากตลาดมายังบริเวณบ้านเรือนที่เรียงรายเป็นแถว “ก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นอะไร ทำไมถึงยังยุ่งกับข้าไม่เลิก”

“ก็เจ้าน่ารัก” รูอาร์คพูดตรงๆ อย่างที่เธอเห็นว่าไม่อายฟ้าดิน “ข้าชอบเจ้าเลยอยากมาพูดด้วย อยากมาอยู่ใกล้ๆ มันผิดด้วยหรือ”

“ผิดสิ” เด็กสาวเผลอตัวพูดเสียงดังขึ้น “ข้ามีสามีแล้ว มีลูกแล้ว ไม่ใช่คนที่ท่านจะ...จะชอบได้หรอก”

“ก็แล้วใครตัดสินล่ะว่าข้าชอบเจ้าไม่ได้ เจ้ารู้ก็พามาคุยกันหน่อยสิ”

ลีชาไม่อยากเชื่อเลยว่าในโลกจะมีคนกวนประสาแถมดื้อแพ่งแบบนี้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น...

“พี่ชายของท่านเพิ่งตายไปไม่กี่วัน อาเมียร์ก็ถูกขังอยู่ในคุก ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอย่างนี้อีกหรือ”

คำพูดของเธอทำให้เด็กหนุ่มผมแดงชะงักกึก

“นึกว่าเจ้าจะแยกออกเสียอีก ว่าคนแกล้งพูดเล่นปิดบังความเศร้ากับพูดเล่นจริงๆ มันต่างกันตรงไหน”

เด็กสาวพลอยหยุดเดินตาม ยังดีที่ตอนนี้ทั้งสองเดินผ่านถนนที่ไม่ค่อยมีคนนัก จึงไม่มีใครที่จะมาสนใจให้เธอไม่สบายใจไปกว่าเดิม

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พูดเล่นปิดบังความเศร้านี่ทำได้ด้วยหรือ”

“ทีเจ้ายังเคยยิ้มปิดบังความเศร้าเลย ทำไมจะไม่มีล่ะ”

ลีชาเสหลบไปทางอื่น บังคับตนเองอย่าให้ถามว่ารูอาร์ครู้ได้อย่างไร เพราะนั่นจะเป็นการยอมรับความจริงต่อหน้าเขา บางทีเด็กหนุ่มก็สายตาแหลมคม มองใจเธอทะลุปรุโปร่งจนเหมือนเกล็นจนเกินไป ทั้งๆ ที่การแสดงออกกลับไม่เหมือนเอาเสียเลย

รูอาร์คถอนใจยาว

“ข้าไม่อยากมานั่งทำหน้าเศร้าทั้งๆ ที่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้ทำได้ดีกว่านั้นตั้งมากตั้งมายหรอกนะ ข้าร้องไห้ให้พี่เฟลิมจนปวดตาแล้ว ส่วนอาจารย์น่ะข้าไม่อยากร้องไห้ให้แกเป็นลาง ต่อให้ถ้าว่ากันตามจริง ข้าตีหน้าเศร้าให้เจ้าดูคงจะเรียกคะแนนเห็นใจได้มากกว่านี้อีกโข”

“เรื่องแบบนั้น...” เด็กสาวกำลังจะแย้งว่าประโยคสุดท้ายไม่เป็นความจริง ก็พอดีเขาพูดต่อไป

“เจ้าก็เคยเล่นละคร น่าจะรู้นี่”

ลีชาเพียงเผยอปากจะบอกว่าไม่เคย รูอาร์คก็พูดต่ออีกครั้ง

“รู้ใช่ไหม นักแสดงน่ะ พอสวมบทบาทตัวละครอยู่ ต่อให้ปวดหัวปวดท้องจะแย่ก็ยังต้องเล่นบทนั้นต่อไปจนกว่าจะลงจากเวที ต่อให้ญาติพี่น้องนอนป่วยร่อแร่อยู่ที่บ้านก็ต้องหัวเราะเล่นตลกได้ ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากยิ้มก็ต้องยิ้ม มันเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่ก็เป็นหน้าที่ของนักแสดง”

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านจะพูดอะไร” เด็กสาวตัดสินใจบอกดื้อๆ

“ถ้ายังไม่เข้าใจในตอนนี้ เก็บไปคิดทีหลังจนกว่าจะเข้าใจก็ได้ ที่จริงข้าก็แค่อยากบอกว่ารู้ ว่าการจำใจเล่นตามบทที่คนอื่นเขียนให้หรือบทอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ตัวเราน่ะมันเจ็บปวดแค่ไหนเท่านั้นเอง”

ลีชากลืนน้ำลายฝืดๆ แล้วตัดสินใจพูดความจริง ด้วยหวังจะปรามเขาเสียก่อนจะคิดอะไรขึ้นมามากกว่าแค่ล้อเล่นด้วยวาจาอย่างนี้

“หมายความว่า...ท่านรู้สินะ ว่าก่อนแต่งงานข้าเคยเป็นอะไร”

“ฮื่อ” รูอาร์คหันกลับมาสบตากับเธอและพยักหน้าขึงขัง

“แล้วทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้น ก็ยังบอกว่า...ชอบ...ข้าได้อีกหรือ ที่ชอบนี่หมายความว่าท่านคิดว่าข้าจะ...ยอมให้ง่ายๆ ใช่ไหม”

“ข้าไม่เคยอยากให้เจ้ายอมให้ง่ายๆ เลย แต่อยากให้เจ้ามอบใจให้ก่อนอย่างอื่นมากกว่า คำว่าชอบคงเบาไป เอาเป็นว่าข้ารักเจ้านั่นล่ะ ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”

เด็กสาวเบิกตากว้างตะลึงงัน มือยิ่งบีบหูตะกร้าแน่นขึ้นไม่ให้เผลอทำมันร่วงลงบนพื้น

“โกหก”

ใช่ ต้องโกหกแน่ๆ มีผู้ชายที่ไหนเขาขอแต่งงานกันดื้อๆ อย่างนี้ ซ้ำยังกับผู้หญิงที่เขารู้ว่าเป็นนางโลมมาก่อนเสียอีก

ไม่มีผู้ชายที่ทำได้เหมือนกันถึงสองคนหรอก แล้วคนที่เคยพูดอย่างนั้นกับเธอก็ต้องมาร่วมแบกรับบาปของเธอ และชดใช้มันด้วยความตายก่อนเวลาอันควรไปแล้วมิใช่หรือ

เด็กหนุ่มยักไหล่

“ถ้าข้าคิดจะหาผู้หญิงมาหลอกเล่นๆ แล้วทิ้งสักคน สู้ไปหาคนอื่นตั้งมากตั้งมายที่ข้ารู้ว่าพูดคำเดียวก็ตกลงแล้วไม่ดีกว่าหรือ ข้าพูดจริงนะ ถ้าเจ้าต้องการเวลาพิสูจน์สักห้าปี...ข้ารอได้ สิบปีนานอยู่...แต่ข้าก็รอได้ ยี่สิบปี...เจ้าใจร้าย แต่ข้ารอได้ ห้าสิบปี...เราคงกลายเป็นตาแก่ยายแก่ไปแล้ว แต่ขอแค่มานั่งเลี้ยงหลานด้วยกันหลังขดหลังแข็ง ข้าก็รอได้ ขออย่างเดียวอย่าถึงร้อยปี ‘หลุมศพมันมืดและเงียบดี...แต่คงไม่มีใครไปนอนกอดกันในนั้น’”

ลีชาตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก ไม่มีเสียงเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ไปเสียดื้อๆ อย่างเดียวที่เธอพูดได้เมื่อหากล่องเสียงของตนเจอมีเพียง

“พ...พอแล้ว”

รูอาร์คเดินนำไปโดยไม่พูดอะไร แต่ผิวปากเป็นเพลงเกี้ยวสาวที่เธอจำเนื้อร้องได้รางๆ ว่า “แม่ดอกไม้แรกแย้มจะประวิงเวลาไปไย” ทำให้เด็กสาวได้แต่บังคับสองเท้าให้ยอมก้าวต่ออย่างแข็งขัด

เธอไม่เชื่อหรอก ไม่มีวันเชื่อ นั่นมันก็แค่คำพูดของคนปากหวานที่มีไว้หลอกผู้หญิงชัดๆ ไม่เหมือนคำพูดของเกล็นที่ไม่ประดิดประดอยขนาดนี้และฟังจริงใจกว่ากันเป็นไหนๆ

แล้วถึงรูอาร์คจะจริงใจและจริงจัง นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เธอเป็นนางโลม เป็นหญิงม่ายลูกติด เป็นเหยื่ออารมณ์ของพวกโจรและชายอื่นๆ อีกมากมายที่เธอไม่เคยและไม่กล้านับ เป็นทุกสิ่งที่ไม่มีวันแต่งงานเคียงคู่กับขุนนางระดับลูกชายเจ้ามณฑลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเธอไม่ได้รักเขาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขามองทะลุความเศร้าที่เธอปิดบังไว้ได้เหมือนอย่างเกล็นก็ตาม


บทที่ ๓๐ เส้นทางใหม่

* * *

กลอนที่รูอาร์คพูดว่า "หลุมศพมันมืดและเงียบดี แต่คงไม่มีใครไปกอดกันในนั้น" แปลมาจากวรรค "The grave's a fine and private place,/ But none, I think, do there embrace." ในบทกวี "To His Coy Mistress" ของกวีชาวอังกฤษ Andrew Marvell ว่าไปก็เป็นเหมือนกลอนจีบสาวเล่นตัวแนวจิกกัดว่า "ฉันไม่มีเวลามานั่งรอนั่งพรรณนาชมโฉมเธอเป็นร้อยปีหรอกนะ" พูดง่ายๆ ก็คือรีบตกลงกันก่อนจะต้องไปจีบกันในหลุมดีกว่ากระมัง ^^a

ส่วนเพลงที่ว่า "แม่ดอกไม้แรกแย้มจะประวิงเวลาไปไย" ได้แรงบันดาลใจมาจากกลอนแนว Carpe Diem หรือแนวหาความสุขกันในวันนี้เพราะชีวีสั้นอีกบทหนึ่ง คือท่อนแรกว่า "Gather ye rosebuds while ye may" ในกลอน "To the Virgins, to Make Much of Time" ของ Robert Herrick ครับ

สรุป นอกจากรูอาร์คจะบ้าบทละครแล้วยังบ้ากลอน (โดยเฉพาะกลอนจีบสาว) ^^a ว่าไปก็เหมือนตัวละครที่แต่งมาสนองตัณหาเด็กอักษรที่อยากแบ่งปันบทกลอนเจ๋งๆ จริงๆ แฮะ

ส่วนเรื่องเครียดกว่าของแอชกับท่านคอนรอย ก็ไม่รู้ว่าแอชค่อนข้างจะมองอย่างแคบและเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเกินไปสำหรับผู้ปกครองหรือเปล่า แต่ผมก็เห็นว่าถ้าแอชทำตัวเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดูดำดูดีความเดือดร้อนของครอบครัวหนึ่งซึ่งจะรู้จักกันหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่น่าชื่นชมยิ่งกว่าครับ ต่อให้ซาเกรดา โซล ดึงดันจะให้ส่งตัวครอบครัวของคนที่แอชไม่รู้จักไปให้ได้เพราะพวกนั้นเป็นพวกนอกรีต ผมก็คิดว่าแอชคงอยากปกป้องคนพวกนั้นในฐานะประชาชนของตนเองมากกว่าอยู่ดี

ตอนนี้ผมคิดว่าจะตัดแบ่งภาคของสงครามฯ ใหม่ และจะให้ตอนที่ ๓๐ เป็นตอนจบภาคแรกเพราะคิดว่าลงตัวกว่าตอนที่ ๒๔ ด้วยหลายประการ ตอนนี้กำลังพยายามรีไรท์เนื้อเรื่องที่เคยเขียนมาถึงตอนหน้าให้กระชับขึ้น ถ้ามีความเห็นว่าควรแก้ไขการดำเนินเรื่องช่วงไหนก็เสนอแนะได้นะครับ

แล้วพบกับเส้นทางใหม่ของอาเมียร์ แอช รวมทั้งธีร์ดีเรได้ในตอนหน้าครับ :)


Create Date : 19 มิถุนายน 2552
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 0:59:16 น. 0 comments
Counter : 531 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.