ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๒๗ - คุกกรงน้ำ

บทที่ ๒๗ คุกกรงน้ำ


เสียงกรีดร้องอื้ออึง...กลิ่นคาวของเลือด...

...สีดำของความมืด...

....ร่างของเสด็จพ่อที่มีผิวซีดเผือดทอดบนแท่นหินยาว...นิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งคนตาย...

...ความมืด...

...แผ่นหลังที่มีรอยแผลยับเยินของแม่...กองซากศพบนพื้นทราย...เลือดที่ย้อมเม็ดทรายใต้แสงแดงฉานแห่งสนธยา...

...ความมืด...

...แผ่นหลังของใครสักคนที่เขารู้จัก...เฟลิม...รอยยิ้มอ่อนๆ ของชายหนุ่ม...เสียงประหลาดเหมือนถุงหนังใส่น้ำตกลงแตกกระจาย...เลือดที่พวยพุ่งเป็นน้ำพุ...รอยแผลปริแตกน่าสยดสยองที่คอ...เฟลิมล้มลงกับพื้นเหมือนหุ่นชักที่ถูกตัดสาย...นัยน์ตาเบิกกว้างไร้แวว...

...ความมืดอีกครั้ง...

...ที่ใดสักแห่งที่ดูเหมือนอาคารก่อด้วยหินทราย...นาสิราตัวน้อยสวมชุดเมื่อตอนอยู่ทะเลทรายกำลังร้องไห้ข้างๆ เตียง...บนเตียงมีแม่นอนหลับอยู่...สีผิวซีดขาวผมแผ่สยายบนหมอน...ความอึดอัดที่คอ...ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของใครคนหนึ่ง...ชายชราที่มีผมสีขาว...ตาสีน้ำเงินเยียบเย็นเหมือนประกายเหล็ก...แขนของเขายื่นตรงมาข้างหน้าแต่ไม่เห็นมือ...ความอึดอัดที่คอทวีขึ้นอีกจนลมหายใจแทบขาดห้วง...นัยน์ตาของชายชราสะท้อนภาพอีกใบหน้าหนึ่ง...ใบหน้าของเด็กชายเพิ่งเข้าวัยรุ่น...ผมสีดำยาวสยาย...นัยน์ตาหรี่อย่างเจ็บปวด

...ใบหน้าของเขาเอง...


อาเมียร์รู้สึกได้ว่าตนสูดหายใจเฮือกใหญ่ อากาศที่เข้าจมูกไปนั้นเย็นชื้น ยิ่งทำให้ศีรษะปวดหนึบ ซ้ำร้ายหูเต็มไปด้วยเสียงสาดซ่าอื้ออึง และร่างกายเย็นเยือกแทบเข้ากระดูก

ใช้เวลาครู่หนึ่งเด็กหนุ่มจึงรู้ว่าตนกำลังนอนตะแคงอยู่บนพื้นแข็งซึ่งเย็นเฉียบเป็นจุดๆ ข้อมือข้อเท้ามีอะไรหนักๆ...ขยับดูก็ได้ยินเสียงเหล็กกระทบกัน

นี่มันอะไรกัน...

เขาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือเส้นยาวสีดำเรียงเป็นแนวนอนตัดกับสีเทามัวและสีขาว แต่พอลุกขึ้นนั่งก็พบว่าที่จริงมันเป็นแนวตั้ง เรียงรายไปรอบพื้นวงกลมสีดำสลับน้ำตาลรายรอบตัวเขา...เป็นซี่ลูกกรงเหล็กกล้าของกรงเหล็กทรงกระบอกที่มีรัศมีพอให้เขานอนเหยียดยาวได้ พื้นและเพดานกรงปูด้วยไม้บนโครงเหล็ก ไม้นั้นค่อนข้างมีอายุและผุไปแล้วบางส่วน กระนั้นยังคงดูพอทนทาน

อาเมียร์ยังงุนงงอยู่อีกพัก แล้วจึงค่อยๆ นึกได้ว่าตนคงอยู่ในห้องขัง...ถึงจะดูหน้าตาพิลึกพิลั่นไปสักหน่อย ขณะยันตัวลุกขึ้นยืน...เขาก็เห็นชัดแล้วว่าข้อมือข้อเท้าของตนสวมตรวนเหล็กหนาทึบและแข็งแรง เพดานกรงเตี้ยจนเขาต้องค้อมหลังน้อยๆ เวลายืน พื้นกรงไหวส่ายไปมาขณะที่เขาก้าวไปที่ขอบกรงตรงหน้าซึ่งมีพื้นหลังเป็นสีเทาขาว เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเห็นภาพด้านนอกชัดเจน

นั่นคือน้ำตกในถ้ำใต้ดิน น้ำไหลโจนจากที่สูงลงสู่โขดหินเบื้องล่าง ใกล้ๆ เขายังมีห้องขังหรือกรงแบบเดียวกันแขวนไล่ๆ กันอยู่สามสี่ใบด้วยโซ่เส้นโตซึ่งไม่รู้ว่าทอดสูงขึ้นไปอีกเท่าไร กรงพวกนั้นว่างเปล่า อาเมียร์ค่อยๆ ก้าวไปที่อีกฟากหนึ่งของกรงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับน้ำตก เห็นหอคอยไม้สลับซับซ้อนและรอกกลไกเรียงราย...คงเพื่อใช้ชักดึงกรงเหล็กพวกนี้

มองลงไปข้างล่าง...เด็กหนุ่มก็พบว่าข้างใต้กรงมีเพียงพื้นน้ำเชี่ยวกราก แต่ก่อนลงไปถึงพื้นน้ำมียกพื้นไม้ซึ่งดูเหมือนจะมีกลไกให้หมุนไปรองใต้กรงต่างๆ ได้ทีละใบ

ถ้าพูดถึงระบบป้องกันนักโทษนี้ในฐานะคุก...ที่ที่เขาเข้าใจว่าเป็นเรือนจำพิเศษในพระราชวังหลวงของธีร์ดีเรดูเหมือนจะไร้ที่ติ แต่ก็เป็นคุกที่ดูซับซ้อน ซ้ำเปลืองทรัพยากรในการสร้างและดูแลไปสักหน่อย

อาเมียร์หัวเราะขื่นๆ เมื่อนึกไปว่าตนคิดอย่างนี้ออกมาได้...ทั้งๆ ที่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ได้เหมาะสมจะมานั่งวิเคราะห์สถาปัตยกรรมหรือรสนิยมอันแปลกประหลาดของชาวธีร์ดีเรเลย

“แกบ้าไปแล้วรึ” เสียงขุ่นเขียวดังแทรกมากับเสียงน้ำตก

เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง เห็นกรงอีกใบหนึ่งซึ่งแขวนอยู่ในด้านที่เขาไม่ได้เห็นแต่แรก ข้างในนั้นคือชาลัวห์ที่ถูกจำตรวนเช่นเดียวกัน สีหน้าของอีกฝ่ายดูจะบอกอารมณ์บูดได้ที่กว่าทุกครั้งที่เขาเคยเจอ

“คงอย่างนั้นกระมัง” อาเมียร์ยักไหล่น้อยๆ “แล้วเจ้าล่ะ วิญญาณของท่านเฟลิมมาหลอกหลอนจนบ้าไปแล้วหรือยัง”

“ทำเป็นปากดี...ข้าไม่ยอมมาเน่าตายกับแกอยู่ที่นี่หรอก!!” ชาลัวห์เข่นเสียง “ข...ข้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวข้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว แกนั่นล่ะจะต้องถูกเผาโทษฐานเป็นพ่อมดหมอผี ต...เตรียมตัวไว้เถอะ!!”

เด็กหนุ่มจับได้จากเสียงสั่นๆ ของอีกฝ่ายว่านั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัว โทสะของอาเมียร์ลุกวาบกับความคิดที่ว่าชาลัวห์ร่วมมือกับแม่มดนั่นฆ่าเฟลิมอย่างทารุณ...เพียงเพราะความละโมบและโอหังอยากเป็นราชาของตนแท้ๆ

“อย่ามาทำเป็นไขสือไปเลย คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าร่วมมือกับแม่มดคนนั้นจริงๆ!!”

“นั่นเป็นเพราะแกชักนำข้าต่างหาก! แก...ที่จริงแกคิดจะยืมมือข้าแล้วกำจัดข้า แต่เกิดผิดแผนเพราะกำจัดยายแม่มดนั่นไม่สำเร็จใช่ไหมล่ะ!!”

“กระทั่งเจ้าก็ยังเชื่อว่าเป็นข้าหรือ” เด็กหนุ่มย้อนถาม “ขอโทษเถอะ ถ้าข้าวางแผนจะกำจัดเจ้าจริงๆ เจ้าคงตายไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!!”

“ทำไม...แกจะใช้ใครมาระเบิดคอข้าเหมือนไอ้งั่งเฟลิมนั่นรึยังไง!!”

อาเมียร์หรี่ตาลงอย่างเย็นชา ความคิดเกิดแวบขึ้นมาว่า...หากเขาทำได้จริงๆ ก็คงดีไม่น้อย

“แล้วถ้าข้าทำได้ล่ะ”

ชาลัวห์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับเบิกตาโพลง ยกสองมือขึ้นกุมคอของตนพร้อมกับส่งเสียงขัดๆ คล้ายหายใจไม่ออก...แล้วก็ล้มลงกับพื้นกรงอย่างแรงจนกรงแกว่งดังเอียดอาด

ความโกรธของเด็กหนุ่มผมดำผู้มองอยู่กลับกลายเป็นความประหลาดใจถึงขีดสุด เขาได้แต่มองต่อไปขณะที่ชาลัวห์กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น...พลางภาวนาว่าคนตรงหน้าคงไม่ได้กำลังจะตายจริงๆ ใช่ไหม

ดูเหมือนในที่สุดชาลัวห์ก็หยุดดิ้น และงอตัวไอโขลกสลับหอบหายใจแรงๆ ราวกับเพิ่งถูกเค้นคอมา

“เจ้า...เป็นอะไรไปหรือเปล่า” อาเมียร์ตัดสินใจถาม

“ย...อย่าฆ่าข้า!!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง “ย...อย่าฆ่าข้า!! อย่าทำอะไรข้าเลย!!”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักหน่อย”

“อย่ามายุ่งกับข้า!! อย่ามายุ่งกับข้าอีก!! ไอ้...ไอ้ปีศาจ!!”

ชาลัวห์ตะเกียกตะกายคลานออกห่างเขาจนชิดลูกกรงอีกด้านหนึ่ง แล้วก็นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่เช่นนั้น

เด็กหนุ่มผมดำมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เดินไปที่อีกฟากกรงแล้วทิ้งตัวลงนั่งเช่นกันพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่

...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่...

เมื่อครู่เขาแค่คิดว่าหากฆ่าชาลัวห์ได้เสียแต่ตอนนี้คงดี...ชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะขาดใจตายเสียเฉยๆ เมื่อวานตอนไปพูดกับรูอาร์ค...เขาก็ดึงประตูจนกลอนหักได้โดยไม่รู้สึกเลยว่าตนออกแรงมากอะไรขนาดนั้น คืนหลังจากงานประลองและพิธีหมั้น...เขาก็เดินผ่านทหารยามเข้าไปยังวังชั้นในและพูดกับแอชได้ตามใจนึกโดยที่พวกทหารไม่แม้แต่จะหันมามอง ดูลัสบอกว่าใบแชมร็อคที่ไหม้คามือเขาลงอาคมให้ทำลายตนเองเมื่อผู้มีเวทมนตร์สัมผัสพวกมัน แล้วยังโจรคนแรกที่เขาฆ่า...คนที่ล้มลงตายพร้อมกับเสียงประหลาดในคอ...เหมือนทหารที่แม่มดคนนั้นฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาเขาวันนี้

...ทั้งหมดนี้หมายความว่าเขามีเวทมนตร์อย่างนั้นหรือ...

เด็กหนุ่มกุมหน้าผาก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองมีเวทมนตร์ได้อย่างไร ที่รู้แน่ก็คือเขาบริสุทธิ์ เขาคิดว่าตนเองเป็นเหตุให้เฟลิมต้องตาย...แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจวางแผนฆ่าชายหนุ่ม ไม่ได้ร่วมมือกับชาลัวห์หรือหญิงชราคนนั้น...แม้จะไม่รู้เลยว่าเหตุใดนางจึงเรียกเขาว่า ‘ท่านจ้าว’

...หรือ ‘เจ้าชายทัมมุซ’ จะมีเวทมนตร์จริงๆ...

หลังอาณาจักรล่มสลาย ทุกสิ่งดูจะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ราชินีสิมาริเมสกับเจ้าชายทัมมุซถูกประณามและตราหน้าว่าเป็นบุตรแห่งอสุรเทพ หรือที่บัดนี้เรียกกันว่าจอมปีศาจ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังเป็นที่สักการบูชาของผู้ศรัทธาในอำนาจมืด...เท่าที่เขารู้มาบ้าง แต่แม่มดคนนั้นถึงกับรู้ได้เชียวหรือว่าเขาคือเจ้าชายทัมมุซพระองค์นั้น...

แล้วนักบวชชื่อมาดายที่จู่ๆ ก็เข้ามาในห้องไต่สวนเล่า...

อาเมียร์รู้สึกเหมือนเขาเคยพบนักบวชคนนั้นมาก่อน...แต่ก็นึกไม่ออกแน่ชัด เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนฝัน...ฝันถึงนาสิราในตอนที่เด็กกว่านี้กับแม่...แม่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง...แม่ไม่สบายเป็นอะไรหรือ...หรือจะเกี่ยวอะไรกับภาพแม่ได้รับบาดเจ็บหนักที่หลังซึ่งเขาจำได้เลือนราง...แล้วยังนักบวชคนนั้น...นักบวชที่เคยบีบคอเขาแน่นจนแทบขาดใจ...

...เมื่อไรกัน...

ไม่ใช่พระมหาเถระที่เขาพบกับท่านผู้กล้าลูเธียนแน่ๆ ถึงจะเคยพบแค่ครั้งเดียว...เด็กหนุ่มก็ยังจำได้ว่าพระเถระในตอนนั้นดูแก่ชรากว่ามาดายด้วยซ้ำ

ประหลาด ทำไมเขานึกไม่ออกเลย แต่ตอนที่มาดายบุกเข้ามาหาทั้งสามอย่างไม่เป็นมิตรน่าจะเป็นตอนที่พวกเขายังอยู่ที่ทะเลทราย เพราะนาสิรายังเด็กอยู่และสวมชุดเช่นนั้น เขาไม่เห็นชุดของแม่เพราะร่างของแม่คลุมผ้าห่มยาวจนถึงคอ แล้ว ‘พ่อ’ ไปอยู่ที่ไหน ฟาร์ฮานาห์ด้วย...หรือฟาร์ฮานาห์จะยังไม่เกิด

เดี๋ยวก่อน...แล้วฟาร์ฮานาห์เกิดตอนไหน

อาเมียร์สะกิดใจกับความคิดนั้น

เขาจำได้ตอนที่แม่ตั้งท้องนาสิรา แต่ฟาร์ฮานาห์เล่า เด็กหนุ่มจำวันเกิดของฟาร์ฮานาห์ได้...จากคำบอกของแม่ แต่จำเหตุการณ์ในวันที่แม่คลอดฟาร์ฮานาห์ไม่ได้ เวลาตั้งเก้าเดือน...ทำไมเขาจำไม่ได้เลยว่าแม่บอกกับทุกๆ คนในครอบครัวว่ากำลังจะมีฟาร์ฮานาห์เมื่อไร จำไม่ได้เลยว่าตอนฟาร์ฮานาห์อยู่ในท้องแม่ พวกเขาอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนนั้น

ไม่มี...นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของเขากันแน่...

อาเมียร์แทบเค้นสมองครุ่นคิด แต่ไม่ทันได้ความอะไร เขาก็ได้ยินเสียงโซ่เหล็กดังเกรื่องกร่าง...และรู้สึกได้ว่ากรงของตนค่อยๆ เลื่อนลงไปข้างล่าง

เด็กหนุ่มชะโงกมอง เห็นคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ข้างล่าง...รวมแล้วราวๆ ห้าหกคน คนหนึ่งในนั้นกำลังหมุนรอกให้กรงของเขาเลื่อนลงมา

เมื่ออยู่ในระนาบใกล้กันจนเห็นได้ชัดเจน อาเมียร์ก็พบว่าพวกเขาสวมเครื่องแบบคล้ายๆ พวกทหารยาม แต่สวมหมวกคลุมสีดำคล้ายถุงเปิดเผยเพียงนัยน์ตาแทนที่จะเป็นหมวกเกราะ

คงเป็นราชมัลผู้ดูแลคุกนี้กระมัง

เด็กหนุ่มพยายามมองโลกในแง่ดีว่าคนกลุ่มนั้นคงไม่ได้มาร้าย แต่นัยน์ตาเป็นประกายซึ่งจ้องมองเขาเหมือนสัตว์กินเนื้อเห็นเหยื่ออันโอชะกลับบอกเขาอีกอย่าง

เมื่อกรงลงมาถึงยกพื้นไม้ คนพวกนั้นก็ไขเปิดประตู ชายสองคนที่ร่างกำยำที่สุดเข้ามาดึงตัวเขาให้ลุกขึ้นยืนแล้วคุมตัวไว้ กระนั้นอาเมียร์ก็ไม่ได้มีความคิดจะหนี และถึงอยากก็ไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว

“นำนักโทษอีกคนลงมา” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มร้องสั่งคนที่อยู่หน้ารอกกลไกร้องสั่ง ยังผลให้กรงของชาลัวห์ถูกหมุนลงมาช้าๆ เช่นกัน

“พวกท่านจะพาเราไปไหน” อาเมียร์เสี่ยงถาม

“หึ” ชายคนเดิมหัวเราะเบาๆ “ก็ ‘ไต่สวน’ น่ะสิ”

“ไต่สวน...โดย...ท่านมาดายหรือ” เด็กหนุ่มตัดสินใจถามต่อ

“อะไรกัน นี่จำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่” ชายอีกคนพูดหยันๆ เสียงแหบพร่าของเขาฟังดูมีอายุไม่น้อย อาจเข้าวัยชราซึ่งถือว่าแก่เกินกว่าจะเป็นทหารองครักษ์ต่อไปด้วยซ้ำ “พวกแกช่างเป็นคนนอกรีตที่มีเกียรตินัก ไอ้หนูทะเลทราย ทางการธีร์ดีเรถึงกับต้องเชิญพระเถระลูเธียนจากซาเกรดา โซล มาเพื่อไต่สวนพวกเจ้าโดยเฉพาะทีเดียว”

“พระเถระลูเธียน...” อาเมียร์พึมพำเบาๆ

หมายถึงท่านผู้กล้าลูเธียนที่เคยมาเยือนอาณาจักรของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเสด็จแม่ และเคยเป็นคู่ซ้อมผู้แนะนำกลวิธีดาบให้กับเขา ก่อนจะนำกำลังพลมาบุกทำลายอาณาจักรของเขาในครั้งต่อมาน่ะหรือ

เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาออกบวชแล้ว ซ้ำยังได้รับการแต่งตั้งเป็นพระเถระ อดีตผู้กล้าจะยังจำเจ้าชายทัมมุซได้หรือไม่...ยังคงเคืองแค้นอาณาจักรของเขาอยู่หรือไม่...และจะทำอย่างไรกับเด็กหนุ่มกันแน่

“แล้วเขา...พระเถระลูเธียนมาถึงที่นี่แล้วหรือ”

“ต่อให้ยังไม่มาถึง...” ชายชราเอ่ยช้าๆ “...เราก็ดำเนินการ ‘ไต่สวน’ ได้”

สังหรณ์ของอาเมียร์เริ่มทำงาน...ในทางที่ไม่ดีนัก แต่เขาก็คิดปลอบใจว่าตนคงคิดมากไปเอง

“ป...ปล่อยนะ นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน!!” ชาลัวห์โวยวายทันทีที่ถูกชายอีกสองคนคุมตัว

เด็กหนุ่มปิดปากเงียบแต่กวาดมองรอบด้านเท่าที่สภาพการถูกฉุดดึงไปตามทางของตนจะอำนวย ดูเหมือนเขาจะอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีน้ำตก เพดานถ้ำสูง คนกลุ่มนั้นนำตัวเขากับชาลัวห์ไปจนถึงอาคารหินทรงสี่เหลี่ยมทึมทึบหลังหนึ่งใต้เงาเงื้อมของผาที่มีเสียงคลื่นซัดสาดดังก้อง ท้องฟ้ามืดมิดเต็มไปด้วยเมฆ บ่งบอกว่าเวลาในยามนี้คงเป็นกลางคืน

ในอาคารนั้นเป็นห้องกว้างห้องเดียว มีคบไฟปักไว้เป็นระยะๆ ให้สว่างไสว ทว่ากลิ่นภายในกลับเหม็นอับอย่างประหลาด อาเมียร์ถึงกับเบิกตาโพลง ผงะเมื่อชายที่นำหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง ให้เขาได้เห็นเต็มตาว่าสถานที่นี้คืออะไร

ในห้องมีกระถางไฟใส่ถ่านคุแดงตั้งอยู่มุมหนึ่ง...คีมคีบและตะกร้อใส่ถ่านวางอยู่ใกล้ๆ มีมีดขนาดใหญ่เล็ก ลูกตุ้มหนาม และของมีคมที่เขาไม่อาจบรรยายรูปร่างได้ชัดเจนแขวนเป็นแถวกับตะขอบนผนัง มีโซ่หลายเส้นห้อยลงมาจากเพดาน ส่วน ‘เครื่องเรือน’ ชิ้นใหญ่ในห้องนั้นมีทั้งแท่นนอนรูปร่างหน้าตาประหลาดติดเชือกเส้นใหญ่กับรอก เก้าอี้ที่มีปลอกเหล็กไว้รัดแขนขา กับหนามเหล็กแหลมพราวเป็นแถวบนที่นั่งกับพนักพิง ซ้ำยังมีโลงเหล็กที่มีรูปทรงรับกับรูปร่างของคน ซึ่งบัดนี้เปิดแง้มไว้จนเห็นหนามแหลมยาวหลายอันอยู่ภายใน

เด็กหนุ่มเข่าอ่อน แทบทรุดล้มเมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังจะพบเจอสิ่งใด ถึงอย่างนั้นริมฝีปากของเขาก็ได้แต่เผยอค้างโดยไร้เสียง ผิดกับชาลัวห์ที่ร้องเสียงหลง

“ย...อย่า!! อย่าทำอะไรข้าเลย!! ถ้าพ่อข้ารู้...ถ้าพ่อข้ารู้ต้องเล่นงานพวกแกทั้งหมดแน่ๆ!!”

“พ่อของแกจะมาคุ้มหัวอะไรแกได้ ไอ้ฆาตกร ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วสารภาพมาเสียโดยดี” ชายชราซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าราชมัลผู้ทรมานนักโทษเอ่ยเสียงเย็น “ไอ้อ่อนอย่างแก...ดูแล้วก็เห็นๆ กันอยู่ว่าโกงการประลองแน่ๆ ปากพล่อยอย่างนี้มีปัญญาได้คะแนนสูงสุดด้วยรึ”

“ไอ้แก่! ก...แกเป็นใครถึงมีหน้ามาดูถูกข้า!!”

“เป็นคนที่จะทำให้เจ้าจำความเจ็บปวดไปจนวันตาย...ในอีกไม่ช้านี้...อย่างไรเล่า” ชายชราหันไปมองเพื่อนร่วมงานทุกคน “ว่าอย่างไร เราจะเริ่มจากใครก่อนดี”

ชาลัวห์หันมาทางอาเมียร์

“ม...มันก่อน!! ถ้าจะทรมานก็ทรมานมันก่อนเถอะ!!”

เด็กหนุ่มผมดำกลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะก้มลงมองจี้เขี้ยวสัตว์ของเสด็จพ่อที่แกว่งไกวอยู่เหนืออกของตน พยายามระลึกถึงสิ่งที่เสด็จพ่อตรัสต่อเขา

...จงอย่าให้ความเจ็บปวดทำลายศักดิ์ศรีของตน...

ผู้มีสายเลือดขัตติยะย่อมเป็นเป้าหมายที่ชาติศัตรูหมายปอง...การทรมานคนเหล่านั้นให้กระทำสิ่งที่อดสูคือการทำลายศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรงที่สุด อาเมียร์ตั้งใจว่าถึงอย่างไรเขาจะสารภาพความเท็จออกไปด้วยความเจ็บปวดไม่ได้ ถึงอย่างนั้น...

...เขาก็นึกไม่ออกเลยว่าตนจะอดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาลได้อย่างไร อย่าว่าแต่จะรอดพ้นจากเครื่องทรมานเหล่านี้ไปในสภาพปลอดภัยครบถ้วนทุกประการเลย...

“ดี” ชายชราพยักหน้า ก่อนจะโบกมือให้ผู้คุมที่คุมตัวชาลัวห์ดึงเขามาข้างหน้า

“ไอ้เวร! ข...ข้าบอกให้ทรมานมันก่อนอย่างไรเล่า!! หูตึงรึ!!!”

“ก็เพราะหูไม่ตึงน่ะสิ...ถึงได้เคารพการเสียสละของแก” ชายชราหันไปพยักพเยิดกับราชมัลอีกคน “เอาอย่างเบาที่สุดก่อน”

อาเมียร์เห็นราชมัลคนนั้นหยิบเครื่องมือเหล็กที่มีลักษณะเป็นแถบเหล็กยาวโค้งหยักสองเส้นขนานกัน แต่ละแถบหนาราวหนึ่งข้อนิ้ว ยึดไว้ด้วยตะปูเกลียวซึ่งดูจะหมุนให้แถบเหล็กทั้งสองขยับเข้าชิดกันได้

เด็กหนุ่มหลับตาลงทันทีเมื่อเห็นพวกราชมัลดึงมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มออกมา แล้ววางปลายนิ้วของเขาลงบนร่องเหล็กแต่ละร่อง

“ถ้าอยากให้หยุดก็สารภาพมา”

“สารภาพอะไร!! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!! อย่า...อย่าทำอย่างนี้กับข้าเลย!!”

เสียงพูดละล่ำละลักกลับกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนในไม่ช้า...พร้อมๆ กับเสียงเอียดอาดของเหล็กที่บิดอย่างฝืดฝืน

...และเสียงพูดกลั้วสะอื้นก็ตามมา...ดูเหมือนจะในเวลาไม่ถึงนาที

“ยอมแล้ว!! ข้ายอมแล้ว!!”

เด็กหนุ่มผมดำลืมตาขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้ามองอีกฝ่ายเช่นเดิม

“มีอะไรก็รีบคายออกมา”

“อ...เอาไอ้เครื่องนี่ออกไปก่อน...”

“มีอะไรก็คายออกมาก่อน” ชายชรายังพูดเสียงเหี้ยมตามเดิม “เจ้าวางแผนฆ่าพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงจริงๆ ใช่ไหม”

“จ...จริง...แต่ข้า...ข้าไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน...” ชาลัวห์เค้นคำพูดออกมาเป็นห้วงๆ “ข้า...ข้าถูกบังคับ...มัน...มันบังคับข้า...”

“ใครบังคับเจ้า”

“ไอ้คนทะเลทรายนี่...มัน...มันนั่นล่ะที่บังคับข้า!”

เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นคำผรุสวาท แล้วพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุด

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า ในศาลก่อนหน้านั้นนางแม่มดบอกว่าคนที่พาเจ้าไปหานางสวมผ้าคลุมปกปิดหน้าตาตลอดไม่ใช่หรือ”

“แล้วจะไม่ใช่แกไปได้อย่างไร! ก็นังแม่มดนั่นเรียกแกว่า ‘ท่านจ้าว’ ให้ข้าเห็นจะๆ อย่างนั้น!”

“เรื่องแค่นั้นใช้เป็นหลักฐานได้เสียที่ไหน!!”

“นั่นสินะ” ชายชราเอ่ยราบเรียบ “เรื่องแค่นั้นใช้เป็นหลักฐานยังไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น...”

เสียงบิดของเหล็กดังขึ้นอีกครั้ง...เช่นเดียวกับเสียงร้องไม่เป็นภาษา

“ไอ้นี่น่าจะกระตุ้นความจำของแกได้มากกว่านี้นะ”

“ข...ก็ข้าสารภาพแล้ว...จะเอาอะไรกับข้าอีกเล่า!!”

“แค่นี้ยังไม่พอ” ราชมัลเฒ่าสำทับ “จงนึกดู มันมีตำหนิอะไรที่จะชี้ตัวได้อีก ตรงแขนขาน่ะมีไหม นึกดูให้ดีๆ”

อาเมียร์เบิกตาโพลงกับคำถามนั้น

มันประหลาดเกินไป...มันชี้เฉพาะจนเกินไป แต่ทว่า...

“ข...ข้านึกออกแล้ว” ชาลัวห์ละล่ำละลักทันควัน “มัน...มันมีแผลเป็น...เป็นรอยเหมือนรอยบาดแถวข้อมือ...ข...ข้าเคยเห็นตอนมันยื่นมือออกมา...”

แผ่นหลังของเด็กหนุ่มเย็นวาบ เขามีรอยหินบาดที่ข้อมือซ้ายจริงๆ ตอนที่ช่วยเสด็จอาเนมอสดึงเสด็จแม่ขึ้นมาจากเหวเมื่อครั้งอาณาจักรล่มสลาย แต่ชาลัวห์จะรู้ได้อย่างไร...หรือสังเกตเรื่องนี้ได้อย่างไร

คำถามนี้มันชี้นำเกินไปจริงๆ เสียด้วย!

“ข้อมือข้างไหนข้าจะไปรู้ได้เล่า!! อยากรู้ก็ดูข้อมือมันเองสิ!!”

อาเมียร์รู้สึกได้ว่าข้อมือของตนถูกบิดไพล่หลังทั้งสองข้าง ตรวนมือถูกขยับจนขอบเหล็กบาดผิวเนื้อให้แสบแปลบ

“มันมีแผลเป็นเล็กๆ ตรงข้อมือซ้ายขอรับ”

“อือม์” ชายชราทำเสียงรับ

“เห็นไหม! เป็นอย่างที่ข้าบอกจริงๆ! ข...ข้าพูดความจริงทั้งหมดนะ...ป...ปล่อยข้าได้แล้ว!!” ชาลัวห์พูดได้เท่านั้นก็ร้องโหยหวนอีกครั้ง

ตะปูเกลียวของเครื่องบีบเล็บส่งเสียงเอียดอาดบาดแก้วหู...ตามมาด้วยเสียงดังกร็อบ...ไล่ๆ กันสองสามเสียง...แล้วก็เสียงร้องปานจะขาดใจของเจ้าของกระดูกนิ้วที่คงจะเพิ่งแตกละเอียดไป

เหมือนเสียงร้องที่เคยตามหลอกหลอนเขา...เสียงกรีดร้องในความมืดของคนที่กำลังจะตาย...

“พอเถอะ!” อาเมียร์กลั้นใจพูดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่และน้ำตาเริ่มรื้น “เขายอมสารภาพก็พอได้แล้ว!!”

“ถึงไม่อยากพอก็คงต้องพอแล้วนั่นล่ะ” ชายชรารับ “เพราะเครื่องบีบเล็บบีบเข้าจนสุดพอดี บีบต่อไปไม่ได้อีกหรอก”

ปีศาจ...เด็กหนุ่มผมดำนึกขึ้นมา พวกนี้มันปีศาจชัดๆ!!

“พาตัวมันกลับไป แล้วก็ ‘จัดการ’ กับแผลกับคราบสกปรกนี่ให้เรียบร้อยด้วย”

ชาลัวห์ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะที่เสียงฝีเท้าโซเซของเขากับผู้คุมทั้งสองห่างออกไป เด็กหนุ่มไม่กล้าเงยมองชายคนนั้น...กระนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยมาเข้าจมูกของตน...พร้อมกับกลิ่นเหม็นของสิ่งขับถ่ายที่คงเล็ดลอดออกมาจากร่างของชายหนุ่มด้วยความกลัว

ใจของอาเมียร์เริ่มเต้นรัว ท้ายทอยร้อนผ่าว เขาไม่อยากตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับชายอีกคน...ไม่อยากเจ็บปวดและอับอายอย่างนั้น

แต่เขาจะทนได้หรือ...ความเจ็บปวดขนาดนั้น...แล้วยังความพิการที่จะตามมา เด็กหนุ่มรู้ว่าหากกระดูกปลายนิ้วของตนแหละเละไปเสียทุกนิ้ว...มือข้างถนัดของเขาคงจะใช้การอะไรไม่ได้คล่องอีก ไม่ว่าจะจับดาบจับอาวุธหรือเขียนหนังสือ...ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม

หรือจะสารภาพ...แกล้งสารภาพไปก่อนเพื่อเอาตัวรอด แล้วรอให้พระเถระเดินทางมาสอบสวนเอง ท่านลูเธียนดูเหมือนจะไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรูจริงๆ ไม่ใช่หรือ หากสารภาพไปเขาก็คงพอไปตายเอาดาบหน้าได้...

...จริงๆ หรือ...

ข้อกังขานั้นตีแสกหน้าเด็กหนุ่มจังๆ จนมึนชา ราชมัลพวกนี้ไม่ได้ต้องการคำสารภาพ หากต้องการเท่านั้นก็คงจะหยุดมือไปตั้งแต่ตอนที่ชาลัวห์ซัดทอดเขาแล้ว

พวกนั้นต้องการทรมาน...แววตาของราชมัลเฒ่าบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วแท้ๆ ว่าแค่ต้องการใครสักคนให้ทรมาน ไม่มีหนทางที่เขาจะหนีจากพวกมันได้เลย

เขากลัว...พระวิญญาณของเสด็จพ่อหรือเทพเจ้าพระองค์ใดก็ตามช่วยทีเถอะ เขากลัวจริงๆ

“ทีนี้ก็ตาแกแล้ว” ชายชราเอ่ยเสียงเย็น

อาเมียร์พยายามดิ้นรนบ้างแต่ไม่เป็นผล พวกผู้คุมกดตัวเขาให้คุกเข่าลง แขนซ้ายถูกบิดไพล่หลังขณะที่แขนขวาถูกดึงออกมาข้างหน้า เด็กหนุ่มปิดตาแน่นและกัดฟันที่สั่นระริกเพื่อข่มเสียงร้อง...ขณะที่ปลายนิ้วของเขาถูกบังคับให้กางออกและทาบลงบนร่องเหล็กแต่ละร่อง...ซึ่งยังมีของเหลวข้นหนืดติดอยู่ให้สัมผัสได้

ใครก็ได้!! ใครก็ได้ช่วยข้าที!!

เขาได้ยินเสียงบิดตะปูเกลียวดังเอียดอาด

เหล็กบีบอีกชิ้นคงกำลังเคลื่อนลงมา...เคลื่อนลงมาเรื่อยๆ ...แล้วอีกไม่นานมันก็คงจะบีบอัดนิ้วของเขา...ความเจ็บปวดกำลังจะตามมา

...ทว่าความเจ็บปวดนั้นไม่เคยมาถึง...

จู่ๆ เสียงบิดตะปูเกลียวก็หยุดลง

“เกิดอะไรขึ้น” ชายชราถามอย่างประหลาดใจ

“มัน...มันแข็งมากจนบิดไม่ไปขอรับ” ผู้บิดคงเป็นคนตอบ...เพราะเสียงของเขาครางตามมาเหมือนกำลังออกแรง

“เจ้าลองดูซิ”

อาเมียร์ลืมตาอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าหันไปมอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้า ดูเหมือนผู้คุมจะผลัดเปลี่ยนที่กัน ใครอีกคนส่งเสียงครางยาวขณะพยายามบิดตะปูเกลียว

“ไม่ไหว ไม่ไปเลยขอรับ”

“อะไรกัน กับคนตะกี้ยังบีบได้สุดอยู่เลยนี่นา” ชายชราเปรยอย่างสงสัย “ไปเอาน้ำมันมาหยอดเพิ่มซิ”

“ขอรับ”

เครื่องบีบเล็บยังคงคาอยู่กับนิ้วของเขา แต่เด็กหนุ่มก็ภาวนาอย่าให้มันบีบลงได้อีก...ภาวนาอย่างแรงกล้าให้เจ้าเครื่องบีบเล็บนี้พังไปเสีย

น้ำมันเย็นๆ สองสามหยดตกลงบนปลายนิ้ว ก่อนที่เขาจะรู้สึกได้ว่ามีคนออกแรงบิดตะปูเกลียวอีกครั้งจนตนเองเผลอหลับตาลง

แทนที่จะมีเสียงเอียดอาดและความเจ็บปวด...กลับมีเสียงเหล็กแตกกระจาย...และเสียงร้องโหยหวนที่ไม่ใช่ของเขา

อาเมียร์เงยหน้าขึ้นมองทันทีตามสัญชาตญาณ แล้วก็ก้มหลบแทบไม่ทัน...กระนั้นภาพที่เห็นยังติดตา ราชมัลที่พยายามหมุนตะปูเกลียวมีปลายตะปูเกลียวปักคาท่อนแขนของตน เลือดไหลชุ่มโชกแดงฉานอาบแขน

“อะไร...นี่มันอะไรกัน!!”

เด็กหนุ่มอยากถามอย่างนั้นเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่าตะปูเกลียวหักครึ่งแล้วกระเด็นไปทิ่มราชมัลคนนั้นได้อย่างไร

“เจ้าพาเขาไปทำแผลเสีย” ชายชราตัดสินใจร้องสั่งในเวลาไม่นาน ตามมาด้วยเสียงตอบของคนรับคำสั่ง

อาเมียร์รู้สึกได้ว่าชายคนหนึ่งที่คุมตัวเขาอยู่ผละออกไป แต่เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยและสับสนเกินกว่าจะใส่ใจ เด็กหนุ่มได้เสียงร้องกลั้วสะอื้นของคนเจ็บ และเสียงฝีเท้าของทั้งคู่ดังออกห่าง

“แล้ว...” เสียงอีกเสียงถามอย่างลังเล “จะทำอย่างไรกับมันต่อไปขอรับ”

“ลากตัวมันไปตรงนั้น”

อาเมียร์หวังว่าพวกนั้นจะพาเขากลับเข้าห้องขัง ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นผล ชายชราเข้ามาช่วยราชมัลวัยกลางคนคุมตัวเขาแทน เขาถูกบังคับให้ลุกขึ้นยืน...ก่อนจะกระชากตัวไปยังแท่นเอียงที่มีเชือกและรอก

พวกนั้นปลดโซ่ข้อมือข้อเท้าเขาทีละข้าง...แล้วรัดไว้ด้วยปลอกหนังที่สี่มุมของกระดานนั้น

“อย่าคิดว่าไอ้เครื่องนี่ไม่ทรมานมากไปกว่าเครื่องบีบเล็บล่ะ” ชายชราพูดเหี้ยมเกรียม “สารภาพออกมาเสีย ก่อนที่ข้อต่อในตัวแกจะหลุดเป็นชิ้นๆ จนหมด โชคดีไม่มีเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”

เด็กหนุ่มพยายามกัดฟันข่มความกลัว

“ไม่ว่าข้าจะพูดอะไร...พวกแกก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วนี่!”

“หึ...” ราชมัลเฒ่าหัวเราะสั้นๆ “เอาอย่างนั้นก็ตามใจ แต่บอกไว้ก่อนว่าพวกเราไม่มีบริการต่อข้อกลับ...ลงมือได้!”

รอกส่งเสียงเอียดอาดเมื่อชายวัยกลางคนหมุนรอกที่ข้างแท่น...

อาเมียร์หลับตาลง รู้สึกได้ว่าข้อมือข้อเท้าของเขาถูกยืดออกห่างจากกันจนแขนขาเริ่มตึง เด็กหนุ่มพยายามอย่างหนักที่จะผ่อนลมหายใจ พยายามนึกถึงเสด็จพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียวให้เขารับความทรมานเหล่านี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี...

...แต่แล้วเชือกทั้งสองเส้นก็พลันขาดดังผึงก่อนความทรมานจะมาถึง...

เด็กหนุ่มเสี่ยงลืมตาขึ้น เห็นชายชรามองแท่นดึงตัวที่เพิ่งใช้การไม่ได้ตาค้างอยู่อีกครู่หนึ่ง

กระนั้น เมื่อราชมัลสองคนที่คุมตัวชาลัวห์กลับไปเข้าห้องขังย้อนมา...เขาก็ได้ยินคำสั่งที่ทำให้รู้ว่าความทรมานยังไม่จบสิ้น

...เพียงแต่เด็กหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่ามันเป็นความทรมานของใครกันแน่...

* * *

ดูเหมือนราชมัลเฒ่าจะเป็นพวกไม่ยอมแพ้...

เขาสั่งให้พวกราชมัลนำตัวอาเมียร์ไปนั่งเก้าอี้ตะปู...ตะปูบนพนักพิงและที่นั่งทุกอันก็ดูจะหักงอราบไปกับพื้นผิวเก้าอี้ก่อนร่างของเขาจะทันสัมผัส เขาสั่งให้พวกนั้นนำปลอกขาเหล็กมาสวมและตอกลิ่มลงไปตามรูบนปลอกให้กระดูกขาของเด็กหนุ่มแตก...ราชมัลที่ได้รับคำสั่งก็เหวี่ยงค้อนหลุดมือไปถูกมือของอีกคน...รุนแรงเสียจนราชมัลคนนั้นคงกระดูกมือแตกไปสักชิ้นและต้องถูกพาไปพยาบาลอย่างเร่งด่วน เขาสั่งให้พวกนั้นคีบถ่านร้อนมานาบตัวเขา คีมก็หลอมเหลวไปเสียก่อนในกองถ่าน...ยิ่งไม่นับว่าตะกร้อถ่านซึ่งทำด้วยเหล็กหลุดมือและลวกแขนราชมัลผู้ถือเสียเอง จนเป็นอันว่าราชมัลอีกคนต้องถูกพาตัวไปพยาบาลแผลไฟลวกอย่างรุนแรงอีกคนไปโดยปริยาย

อาเมียร์เริ่มไม่แน่ใจว่าตนกลัวหรือไม่...และกลัวอะไรมากกว่ากันแน่ ระหว่างความเป็นไปได้ที่ยังเหลืออยู่ว่าเขาจะไม่โชคดีทุกครั้งไปกับเครื่องทรมานที่ยังไม่พังไปด้วยวิธีใดสักวิธี...หรืออำนาจลึกลับที่ยังคงคุ้มกันเขาอย่างเหนียวแน่น

ราชมัลลำดับรองลงมาที่เหลือปลอดภัยอยู่เพียงคนเดียวเริ่มหน้าเสียและขอร้องให้พอ...หลังจากเห็นเพื่อนร่วมงานบาดเจ็บอย่างไม่น่าเชื่อไปถึงสามคน แต่ดูเหมือนราชมัลเฒ่าจะเป็นพวกชอบเอาชนะยิ่งกว่านั้น...

“ลองสาวพรหมจรรย์เหล็กอีกเครื่องเดียวพอ ถ้ายังไม่ได้อีกก็ค่อยว่ากัน!”

เด็กหนุ่มถูกผลักหัวซุนไปยังโลงเหล็กที่มีหนามภายใน...ซึ่งทำให้เขาเริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมาจริงๆ อีกครั้งเมื่อแผ่นหลังถูกปลายหนามบางอันสะกิดเข้า

ดูจากหนามแหลมที่ปักพราวไม่เว้นกระทั่งใบหน้า...มิหนำซ้ำยังมีจุดที่ตรงกับดวงตาทั้งสองข้าง ดูเหมือนพวกนี้จะตั้งใจให้เขาพิการไม่ก็ตายเสียแน่แล้ว

ถึงอย่างนั้น...เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจลึกก่อนจะหลับตารอรับชะตากรรม

โลงเหล็กปิดลงพร้อมเสียงสะท้อนก้องดังปึง...แต่อาเมียร์ก็ยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตามเดิม

ข้างนอกมีเพียงความเงียบ จนกระทั่งมีเสียงโลงเหล็กเปิดและแสงไฟ เด็กหนุ่มเสี่ยงลืมตาขึ้น เห็นว่าหนามยาวทุกอันในโลงเหล็กนั้นหักงอไปตั้งแต่มุมฉากหรือมุมที่แหลมกว่านั้น กระทั่งไม่มีอันใดเลยที่สามารถทิ่มแทงเข้าเนื้อเขา

“ท...ท่านหัวหน้า” ราชมัลที่เสียงหนุ่มกว่าพูดเสียงสั่น “ข...ข้าว่ามันไม่ใช่คนเสียแล้วนะ”

“พูดบ้าๆ!” ชายชราตวาด “มันก็แค่มี ‘เวทมนตร์’ เท่านั้นเอง! ซ้ำพระเถระยังสะกดเวทมนตร์ในตัวของมันไว้แล้วด้วย!!”

“แต่ถ้าสะกดไว้แล้วมันยังทำได้ถึงขนาดนี้...ข...ข้าว่ามันน่ากลัวเกินไปนะขอรับ! พอทีเถอะ!!”

ราชมัลเฒ่ายังแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ แต่แล้วก็ออกคำสั่งกับอีกคนว่า “คุมตัวมันไป!” พร้อมกับปราดมากระชากตัวอาเมียร์ออกจากโลงเหล็กที่เสียหายยับเยินอย่างประหลาดไปแทน ถึงราชมัลผู้อายุน้อยกว่าจะจับตัวเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชายชราก็ยังคงมีแรงมากเกินวัยจนเด็กหนุ่มที่ถูกจำตรวนไม่กล้าเสี่ยงขัดขืน...ในเมื่อยังไม่เห็นทางหนีทีไล่ที่มีโอกาสสูงว่าจะหลบรอดไปได้

“อย่าเพิ่งนึกล่ะ...ว่ามันจะจบแค่นี้!” ชายชราเข่นเสียง

“ทำไม เจ้าคิดจะทำอะไรกับข้าอีก” อาเมียร์รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของตนฟังเหนื่อยหน่ายอย่างพิกล

อีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมาเหมือนคลั่ง

“เขาว่ากันว่าพวกแม่มดหมอผีมัน ‘กลัวน้ำ’ ใช่ไหมนะ”

เด็กหนุ่มฟังแล้วกลืนน้ำลายฝืดๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดกันที่คุ้มครองตนจากเครื่องเคราทรมานทั้งหลาย แต่...การจมน้ำตายน่าจะเป็นคนละเรื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็คุ้มกันไม่ได้เสียแล้ว

“เบื้องบนจะไม่ลงโทษพวกท่านหรือ...หากว่านักโทษตายไปเสียก่อนการพิจารณาคดีจริงๆ” อาเมียร์พยายามใช้เหตุผลเอาตัวรอด “แล้วอีกอย่าง...ข้าคิดว่าเจ้าหญิงกับท่านผู้สำเร็จราชการคงไม่ทราบเรื่องที่พวกท่านทรมานเราสองคนใช่ไหม หากหยุดเสียตอนนี้...พวกท่านยังมีโอกาสเก็บเรื่องเงียบไว้ และข้าก็จะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย”

“ช่างมัน!” ชายชราแผดเสียง “ข้าไม่สน! ข้าทำงานมาที่นี่ตั้งแต่เจ้าหญิงหรือแม้แต่ฝ่าบาทรัชกาลก่อนจะเกิดเสียอีก!! ข้าไม่ยอมให้นักโทษคนไหนมาหยามข้ากับห้องทรมานของข้าได้เป็นอันขาด!! ต่อให้มันเป็นจอมขมังเวทหรือปีศาจจากนรกขุมไหนก็เถอะ!!”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไป ไม่ใช่เพราะจำนน...แต่เพราะคำคำหนึ่งที่ชายชราพูดตอกย้ำบางสิ่งในใจของเขาเสียจนไม่อาจนึกว่าจะเอ่ยอะไรได้อีก

อย่าบอกนะว่า...ที่ ‘เจ้าชายทัมมุซ’ รอดจากเครื่องทรมานพวกนั้นมาได้เป็นเพราะตัวเขาเป็นปีศาจจริงๆ ตามที่สาวกของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเคยกล่าวหา...

อาเมียร์สั่นศีรษะอยู่ในใจ

บ้าที่สุด! เขาจะเป็นปีศาจทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเป็นปีศาจได้อย่างไร!

* * *

ครั้นกลับมาถึงบริเวณกรงแขวน...อาเมียร์ก็ถูกผลักหัวคะมำเข้าไปในกรงของตน น้ำหนักของตรวนที่ข้อมือข้อเท้าทำให้เขาล้มลงกระแทกพื้น แล้วประตูกรงก็ปิดลง

“หย่อนกรงลงไปในน้ำ” ราชมัลเฒ่าเอ่ยอย่างเย็นชาทันที

“ต...แต่ว่า...”

“นี่เป็นคำสั่ง! กะแค่นักโทษประหารตายไปสักคนจะเป็นอะไรหนักหนา!!”

“ต...แต่เขายังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดนะขอรับ”

“หรือเจ้าอยากเข้าห้องทรมานแทนมัน ข้าวของที่ยังใช้ได้ก็พอมีอยู่นี่”

เวลาผ่านไปครู่หนึ่งโดยไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย...ก่อนจะมีเสียงโซ่ที่ค่อยๆ ขยับเกรื่องกร่างให้กรงของเด็กหนุ่มลดต่ำลงไปเบื้องล่างดังแว่วมา

อารามเร่งร้อนทำให้อาเมียร์ผุดลุกขึ้นไปเกาะลูกกรงทันควัน

“พวกท่านจะถูกลงโทษ! ถ้าข้าตาย...พวกท่านต้องถูกลงโทษแน่ๆ!!”

“แล้วอย่างไร” ชายชรากลับเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

“พวกท่าน...พวกท่านอยากถูกให้ออกจากราชการ...หรืออยากถูกลงโทษหนักกว่านั้นหรือ! คิดถึงครอบครัวของพวกท่านไว้บ้างเถอะ!! พวกเขา...พวกเขาย่อมไม่อยากให้ท่านถูกคุมขัง...ทรมาน...หรือกระทั่งประหารชีวิตไม่ใช่หรือ!!”

“ไอ้หนู เจ้าคิดว่าราชมัลประจำคุกกรงน้ำอย่างพวกเราจะมีครอบครัวได้หรือ”

คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป

“เจ้าเป็นคนต่างชาติ คงยังไม่รู้สินะ เอาเป็นว่าข้าจะสงเคราะห์เรื่องประวัติของ ‘คุกกรงน้ำ’ นี่ให้สักเล็กน้อยก่อนตายก็แล้วกัน” ราชมัลเฒ่าเอ่ยช้าๆ “นี่เป็นคุกที่ฝ่าบาทรัชกาลก่อนหน้าฝ่าบาทพระองค์ก่อน หรือก็คือพระราชอัยกาของเจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงมีพระบัญชาให้สร้างขึ้นหลังจากการกบฏของพระอนุชา...เพื่อกักขังพระอนุชาของพระองค์เอง...รวมทั้งพระญาติและครอบครัวของขุนนางคนอื่นๆ ที่สนับสนุนพระอนุชาให้ค่อยๆ ตายไปช้าๆ เครื่องทรมานที่เจ้าเห็นพวกนั้นลิ้มรสเลือดและความทรมานของพวกเขามานานนมแล้ว และพวกเราราชมัลที่ดูแลคุกนี้แต่เดิม...ก็ล้วนเป็นเด็กกำพร้าไม่มีครอบครัวทั้งนั้นจึงได้ถูกคัดเลือกมา ตอนเริ่มทำงานในทีแรก...ข้ายังมีอายุน้อยกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ!”

อาเมียร์เบิกตาโพลง คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ใจของเขาเย็นวาบยิ่งกว่าน้ำทะเลที่ท่วมถึงอกของเขาเสียอีก

“ชีวิตของพวกเราเหลือแต่คุกกรงน้ำ...แต่พอผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน คุกกรงน้ำก็ถูกปลดประจำการเป็นคุกว่างเปล่า ถึงอย่างนั้น...พระราชบิดาของเจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ยังทรงให้พวกเรารับราชการเฝ้าคุกเปล่าๆ ต่ออย่างเสียไม่ได้ พวกเราทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น...ทำเป็นแต่ทรมานนักโทษเท่านั้น เจ้าไม่รู้หรอก...ว่าการได้รับคำสั่งให้ทรมานนักโทษใหม่อีกครั้งมีความหมายอย่างไรสำหรับพวกเรา!” ชายชราหัวเราะออกมา

“แล้วใคร!!” เด็กหนุ่มอดร้องถามไม่ได้ “ใครเป็นคนสั่งพวกเจ้า!!”

ไม่มีคำตอบจากราชมัลเฒ่า...หรือมิเช่นนั้นเขาก็ให้คำตอบหลังจากที่กรงของอาเมียร์จมลงไปในน้ำจนมิด

เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ พยายามลอยตัวอย่างไม่เป็นผลนักในเมื่อต้องรบกับโซ่ตรวนที่ถ่วงทั้งข้อมือข้อเท้า เขาว่ายไปที่ลูกกรงด้านหนึ่ง พยายามอย่างจนตรอกเพื่อที่จะแหกซี่กรงให้ห่างออกจากกันเพียงเล็กน้อย...ให้เขาแทรกตัวออกไปได้ก็พอ

ข้ายังตายไม่ได้...แม่...’พ่อ’...นาสิรา...ฟาร์ฮานาห์...อาซิซ....พวกเขายังรอข้าอยู่...ยังอยากให้ข้ากลับไป...ข้าจะตายไม่ได้!!

และยังมีคนอื่นๆ อีก...รูอาร์คจะต้องเสียใจมาก...เด็กหนุ่มผมแดงเพิ่งเสียพี่ชายไปโดยที่เขามีส่วนเป็นต้นเหตุแท้ๆ...แต่ก็ยังเชื่อใจเขาและรับปากจะรีบกลับไปแจ้งข่าวให้ครอบครัวของอาเมียร์โดยเร็วที่สุด

แล้วก็แอช...แอชจะเสียใจเพียงไร...หากเขาต้องมาตายในคุกตามเฟลิมเพราะคำสั่งที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนี้

ลูกกรงเหล็กแยกออกห่างจากกันในที่สุด อาเมียร์ไม่มีเวลาจะคิดว่าเขาใช้เพียงมือเปล่าถ่างพวกมันได้อย่างไร เขาถีบขาพยายามว่ายขึ้นมา อากาศคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องรีบขึ้นสู่ผิวน้ำและหาทางขึ้นฝั่งโดยเร็วที่สุด

แต่แล้วเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งยึดขาของตนไว้

น่าแปลก...น้ำทะเลในตอนกลางคืนน่าจะยิ่งมืดมิด ทว่าอาเมียร์กลับรู้สึกเหมือนเห็นสิ่ง...หรือที่ถูกควรจะเป็น ‘คน’ ที่ใช้มือทั้งสองจับขาของเขาไว้แน่นหนาอย่างชัดเจน ร่างนั้นมีผิวขาวเผือดร่างเปลือยเปล่าท่ามกลางห้วงน้ำ...เส้นผมสีดำยาวสยายพัดปลิวเหมือนสาหร่าย...และใบหน้าเย็นชาของเด็กผู้ชายอายุราวๆ สิบสามสิบสี่...

เด็กนั้นมีหน้าตาเหมือนเขาไม่มีผิด เว้นเพียงนัยน์ตาที่เป็นสีทองส่องประกาย...เหมือนไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์

เด็กหนุ่มมองร่างนั้นตะลึงงัน...กระทั่งตระหนักได้ว่าอากาศในปอดของเขากำลังจะหมดลงกับพรายฟองอากาศ

...อาเมียร์พยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย...แต่ก็ไม่อาจเอาชนะภูตพรายตนนั้น...และสติที่เริ่มรางเลือนไปในห้วงน้ำมืดของคุกกรงน้ำ...

บทที่ ๒๘ ดำเนินการ

* * *

คุกกรงน้ำหน้าตาพิลึกพิลั่น ได้แรงบันดาลใจจากคุกในเกม ICO และนิยาย อิโคะกับปราสาทแห่งม่านหมอก ของอ. มิยาเบะ มิยูกิ ครับ นึกดูตามภาพก็เป็นทั้งคุกที่สวยและน่ากลัว (เสียวโซ่ขาดกรงตกลงมาจริงๆ) แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโซ่รับน้ำหนักกรงไหวได้ยังไงกัน แล้วใครเป็นคนออกแบบกลไกชักรอกกรง แต่ผมเองก็ไม่เคยเรียนทางวิทย์มาลึกซึ้งพอจะนั่งคำนวณแบบแปลนเสียด้วยสิ ^^a

ที่จริงตอนคิดเรื่องคุกนี่ก็นึกไว้แล้วว่าอาเมียร์งานเข้าชัวร์ๆ ถูกพาทัวร์ห้องทรมานพร้อมกับชาลัวห์แน่ๆ ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะทรมานเต็มรูปแบบอะไรแต่อาจโดนซ้อมสะบักสะบอมชิมลาง แต่เพื่อให้น่ากลัวขึ้นเช่นเดียวกับชาลัวห์ที่ต้องมาผจญกรรมด้วยกันทั้งๆ ที่ไม่เคยไปทำชั่วอะไรด้วยกันเลย จึงลองไปค้นเรื่องเครื่องทรมานต่างๆ ในยุคกลาง จนออกมาเป็นฉากอย่างที่เห็นในตอนนี้...ท่ามกลางความสยดสยองหน่อยๆ ของผู้เขียนที่ว่าคนสมัยนั้นช่างจินตนาการล้ำลึกในด้านความเจ็บปวดจริงๆ - -a

อาเมียร์จะทำอย่างไรเมื่อถูกถ่วงน้ำ จะมีเหงือกงอกออกมาเหมือนแฮรี่ภาค 4 หรือได้หญิงแอชมาช่วยผายปอดด้วยความรัก (???) ขอให้ติดตามชมในตอนหน้าครับ


Create Date : 04 มิถุนายน 2552
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 18:18:15 น. 0 comments
Counter : 352 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.