อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 17.ผิดคาด
ผิดคาด ......... บ้านเพื่อนของแซมเทนเป็นร้านอาหารอยู่ใกล้สวนสาธารณะริมทะเลสาบ วันนี้ร้านปิดเพื่อประท้วง เธอคงได้บอกเพื่อนไว้ก่อนแล้วเพราะพอเรามาถึงก็เจอเขามีท่าทีเหมือนรอเราอยู่แล้ว บาซู คือชื่อของเขา เด็กหนุ่มที่ดูน่าจะอายุมากกว่าเธอสักหน่อย แฟนล่ะซิ....ริมีแฟนแต่เด็ก ฉันอดเหน็บแนมเธอในใจไม่ได้ บาซูพูดภาษาอังกฤษได้ดีเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา....อีกแล้ว ออกจากร้านเราเดินย้อนกลับไปยังสะพานโค้งเพื่อข้ามอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาป แล้วเลี้ยวซ้ายเลียบเขา ซึ่งตรงข้ามกับทางที่ไปกับท่านลามะเมื่อวันก่อน ทางเดินเท้าขึ้นเขาแคบๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกหญ้าเล็กๆหลากสี สดใส ทั้ง ขาว ชมพู แดง และเหลืองอร่ามไปทั่ว บางช่อยังมีน้ำค้างเกาะพราวดูมีชีวิตชีวาจริงๆ แซมเทนกับบาซูเดินคุยกันอยู่ข้างหน้า ส่วนฉันก็เพลินกับการถ่ายรูปวิวและดอกหญ้าสองข้างทาง เราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจึงถึงรีสอร์ทบนยอดเขา กระท่อมไม้ขนาดย่อมน่ารักเรียงรายอยู่บนยอดเขาประมาณสิบกว่าหลัง สนนราคาราว หนึ่งพันบาท อยู่กี่คนก็ได้ แต่มีห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมเตียงคู่ ห้องรับแขก และห้องครัว นับว่าไม่แพง แต่ฉันคงไม่มีโอกาสนั้นหรอก เรายืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขามองลงไปเบื้องล่างด้านหนึ่งจะเห็นทะเลสาบสีเขียวถูกโอบล้อมด้วย ภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยป่าสนแซมบ้านคนเป็นจุดๆซึ่งเกาะอยู่ตามไหล่เขา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือเขาสูงที่เป็นที่ตั้งของวัดทิเบตที่ฉันไปมาเมื่อวานนั่นเอง ตอนนี้ดูเหลืองอร่าม แจ่มแจ๋วอยู่บนยอดเขาเมื่อต้องแสงแดดยามไร้เมฆหมอกมาบดบัง แต่บางช่วงก็ดูมลังเมลืองอยู่ภายใต้ไอหมอกที่ขาวบางเบาเมื่อถูกลมพัดมาคลุมทับ อากาศบนนี้ยังเย็นสดชื่นแสนสบายแม้จะปาเข้าสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เขาลูกหนึ่งอยู่ไกลลิบมีตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมดแต่ดูคุ้นๆ ใช่..พั้งค์กี้เคยบอกว่าเป็นที่ไหนสักแห่งแต่ตอนนี้ฉันลืมชื่อไปแล้ว ฉันชี้ถามแซมเทนอีกครั้ง เธอบอกว่า นั่นคือเมืองเคอซง เป็นเมืองที่ใหญ่และทันสมัยกว่ามิริคมาก เป็นเมืองการศึกษา มีความเป็นอเมริกันมาก บาซูและฉันเคยไปเรียนวิทยาลัยด้วยกันที่นั่น เธอพูดเรื่อยๆ แต่ฉันกลับตลึงกับสิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับตัวเอง ส่วนบาซูยิ้มรับตามคำพูดนั้น ฉันพยายามเก็บออมความแปลกใจเกี่ยวกับตัวเธอไว้เพราะไม่อยากจะแสดงความโง่ให้เธอประจักษ์ตอนนี้
โอ้....มันอะไรกันนี่.... มิน่าล่ะ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันรู้สึกกังขาและแปลกใจในตัวเธออยู่เรื่อยๆ มันกระจ่างขึ้นมาทันที และเธอก็ดูจะกลายเป็นผู้ใหญ่สำหรับฉันขึ้นมาในบัดดลและเมื่อลองซักเธอต่อจึงรู้ความจริงว่า ตอนนี้เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่สองของ คณะวิศวะกรรมศาสตร์(Civil Engineering)ในเมืองจัลปายกูริเมืองที่ฉันลงจากรถไฟนั่นเอง เธอบอกต่อว่าหลังจากจบจากวิทยาลัยแล้วบาซูไม่ยอมเรียนต่อ แต่เธอชอบเรียนหนังสือจึงไปเรียนต่อ.... การศึกษาเป็นเส้นทางลัดที่นำไปสู่ความฉลาดได้จริงๆ! เราเดินลงจากยอดเขามาได้สักพักเหมือนจะกลับ ฉันเลยถามแซมเทนเรื่องวัดฮินดูที่เธอบอกไว้ก่อนว่าจะพาไป เธอลังเลแล้วย้อนถามฉันว่า คุณทานเนื้อมาหรือเปล่า ? ฉันงงเล็กน้อยแต่ก็ตอบไป เปล่า.... ตั้งแต่มาอยู่อินเดียยังไม่ได้ทานเนื้อเลย การทานเนื้ออาจเป็นเงื่อนไขในการไปวัดก็ได้ เลยมีความหวังเล็กๆ แต่เธอกลับลังเลแล้วถามต่อ แล้วคุณทานข้าวมาหรือยัง ? ไม่อยากโกหกเลยต้องตอบเธอไปตรงๆว่าทานแล้ว ถ้าทานข้าวเช้ามาจะไปวัดไม่ได้ เขาห้ามทานข้าวเช้าก่อนไปวัด นี่ถ้าฉันไม่ได้รู้มาจากพั้งค์กี้ก่อนเมื่อตอนเช้านี้ฉันคงไม่เชื่อเธอหรอก คงจะระแวงว่าเธอไม่อยากไป แล้วพยายามหาเหตุมาอ้างมากกว่า(ก็ชักไม่ไว้ใจความฉลาดในตัวเธอซะแล้วน่ะซิ!) ตกลงเลยไม่ได้ไปวัดฮินดู ฉันเลยชวนเดินไปดูย่านตัวเมืองที่เราผ่านเมื่อวานนี้เผื่อจะได้หาอะไรทานกลางวัน เธอบอกว่าวันนี้ร้านค้าคงปิดหมดแต่เธอก็ไม่ค้านที่จะลองไปดู ระหว่างผ่านร้านรวงย่านการค้าที่ปิดเป็นทิวแถวนั้น ฉันอดนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของคนเนปาลที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้เขาคงเจอกับความคับแค้นใจจากการปกครองของรัฐบาลอินเดียพอควร แม้แต่เด็กรุ่นใหม่อย่างแซมเทนก็ยังมีความรู้สึกแรงกล้าในการมีส่วนร่วมทางการเมืองกับสังคมที่เธออยู่ เมื่อมองกลับไปดูประเทศไทยเราทุกวันนี้อดกังวลไม่ได้ นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะมีจิตสำนึกร่วมทางสังคมและการเมืองแบบนี้คงจะหาได้ยากแล้ว...... สักพักก็มีโทรศัพท์เข้ามือถือแซมเทน ท่านลามะนั่นเองบอกให้เราแวะไปที่วัดของท่าน ฉันบอกตกลง แต่บาซูขอกลับบ้านก่อน เขาคงเห็นว่าไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วเพราะเราจะไปวัดกัน ฉันขอบคุณที่เขาอุตสาห์มาเป็นเพื่อน ระหว่างที่เดินไปวัด เราคุยกันหลายเรื่องและผ่านสถานที่หลายแห่ง แห่งหนึ่งมีรั้วล้อมรอบอย่างดีติดป้ายว่า ยูธโฮเทล (Youth Hotel) ฉันออกจะตื่นเต้นและเกิดสงสัยรีบถามทันทีว่า ที่นี่มีบ้านพักเยาวชนสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยเหรอ? ที่นี่ถ้าเป็นยูธโฮเทลจะหมายถึงหอพักสำหรับเด็กนักเรียนไม่ใช่สถานที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวหรอก เธอบอก ตอนนี้ฉันรับรู้อย่างมั่นใจในคำพูดของว่าที่วิศวกรสาวอย่างไม่มีข้อกังขาแล้ว! นอกจากนั้น เธอยังได้บอกเล่าเรื่องราวของท่านลามะ(ก็ออกแนวนินทานั่นล่ะ)ในส่วนที่ฉันเองยังไม่รู้มาก่อนให้ฟัง โดยเริ่มจาก คุณรู้ไหม ?... ท่านลามะมีเมียแล้วนะ มีลูกแล้วสามคน โดยไม่ทันได้คิดอะไรฉันหันขวับจากสิ่งที่สนใจข้างทางมามองหน้าเธอด้วยความแปลกใจพร้อมเสียงอุทานเบาๆ เธอหัวเราะชอบใจเหมือนได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้ฉันฟัง แต่พอฉันนึกได้ว่าลามะที่นี่สามารถมีเมียได้ความแปลกใจทั้งหมดก็หายไป เลยอดหัวเราะผสมโรงไปกับเธอไม่ได้ .........................................
Create Date : 30 มีนาคม 2555 |
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:54:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 506 Pageviews. |
|
|