การเดินทางนอกจากจะทำให้จิตใจแกร่งขึ้นแล้ว...ยังช่วยบ่มเพาะความคิดให้เติบโตตามไปด้วย...
Group Blog
 
All Blogs
 
อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/มิริค ตอน 16.กูรข่าสไตรค์

 กูรข่าสไตรค์

 

...........

 

                 เมื่อพั้งค์กี้ไปวัดแล้วทานอาหารเช้าเสร็จนิชาก็แต่งตัวในชุดส่าหรีดูเป็นทางการบอกจะไปมีตติ้ง(meeting) แล้วเธอก็ผลุนผลันไป ประชุมอะไรของเธอไม่รู้ไม่อยากถามมากเพราะล่ามพั้งค์กี้ ไปวัดซะแล้ว

 

                 ฉันนั่งรอแซมเทนจนสายเลยเวลานัด แม้กระทั่งพั้งค์กี้ก็กลับจากไปวัดมาแล้วแซมเทนก็ยังไม่มา   ‘ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ไปวัดกับพั้งค์กี้ซะก็ดีหรอก’ อดคิดด้วยความเสียดายไม่ได้

 

                  สิบโมงครึ่งแล้วแซมเทนก็ยังไม่มา เลยตัดสินใจไม่รอต่อไป คิดว่าออกไปเดินเที่ยวเองเลยดีกว่า ส่วนพั้งค์กี้ก็กลับมาพร้อมกับเพื่อนและขลุกกันอยู่ในห้องเลยไม่อยากรบกวน แต่ก็ฝากพั้งค์กี้บอกแซมเทนว่า ฉันรอเธอนานแล้วไม่เห็นมาเลยขอออกไปก่อน

 

                พอเดินออกจากบ้านมาโผล่ตรงถนนริมทะเลสาบ มองซ้าย-ขวาดูว่าจะไปทางไหนดี ก็เห็นแซมเทนกำลังวิ่งหน้าเริ่ดมาแต่ไกลจากทางขวามือ พอมาถึงเธอรีบละล่ำละลักขอโทษที่มาช้าและบอกว่า

 

                       “วันนี้มีสไตรค์ ทหารกูรข่าในมิริคสไตรค์กัน”  สีหน้าเธอดูตื่นเต้นพอควรและพูดต่อ

 

                       “ วันนี้มีการหยุดงานหมดรถก็ไม่มีจะให้ไปไหนร้านค้าก็ปิดหมดทุกๆแห่งจะมีแต่ทหารถ้าไปไหนก็ต้องระวังตัว อาจเกิดอันตรายได้ วันนี้คนเขาไม่ไปไหนกัน ” เธอพูดยาวเหยียดดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวันและยังไม่หายจากการตื่นเต้น แต่ฉันออกจะงงกับคำพูดของเธอ นั่นหมายถึงเธออยากบอกอะไรฉันเป็นนัยๆหรือเปล่า เช่น ‘วันนี้ฉันหมดโอกาสที่จะไปเที่ยวที่ไหนแล้วกระนั้น’ ฉันออกจะรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่มาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้

 

                 ทันใดภาพเหตุการณ์บางอย่างเมื่อตอนเช้าก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง ....นิชารีบแต่งตัวอย่างเป็นทางการบอกคำเดียวว่าจะไปมีตติ้ง แล้วก็ผลุนผลันออกจากบ้านไป ...ฉันยังคิดว่าเธอคงเป็นคณะกรรมการอะไรซักอย่างของหมู่บ้านซึ่งก็เป็นธรรมดาที่วันหยุดจะมีกิจกรรมของหมู่บ้านบ้าง

 

                 มิน่า... เดินออกจากบ้านมาบรรยากาศรอบๆดูมันเงียบชอบกล ระหว่างทางก็ไม่เจอผู้คนแม้แต่คนเดียว  ความฉลาดเกินตัวของแซมเทนคงทำให้เธอจับอารมณ์ผิดหวังเล็กๆของฉันที่เกิดขึ้นกะทันหันได้เธอบอกฉันต่ออย่างเอื้ออาทรว่า

 

                       “เราอาจไปวัดฮินดูและขึ้นไปเที่ยวรีสอร์ทบนเขาได้นะ” พร้อมชี้มือไปยังเขาสูงเบื้องหน้าที่เห็นกระท่อมไม้ลิบๆอยู่บนยอดเขา   ‘คงจะเป็นรีสอร์ทที่ดีเพนเคยพูดถึง’   ฉันเดาในใจและรีบตอบโอเคด้วยความดีใจ เพราะการปีนเขาขึ้นไปชมธรรมชาติในมุมสูงนับเป็นความชอบโดยส่วนตัวของฉันอยู่แล้ว และเธอก็บอกต่อว่า

 

                       “ขอฉันแวะรับเพื่อนผู้ชายไปด้วยเพื่อความปลอดภัยนะ”  ฉันพยักหน้าอุ่นใจขึ้น

 

                ฉันอดที่จะถามเธอต่อเกี่ยวกับการสไตรค์ไม่ได้ แต่คำตอบหรือคำพูดของเธอมันทำให้ฉันต้องหน้าชาเพราะรู้สึกว่าโดนเด็กปรามาสเอาอย่างแรงน่ะซิ!

 

                      “ทหารกูรข่าเขาสไตรค์ทำไมหรือ  ฉันถามด้วยอยากรู้เพราะคิดว่าอาจมีบางสิ่งที่รัฐบาลทำให้พวกเขาไม่พอใจ

 

                      “การสไตรค์เป็นเรื่องการเมืองอย่างหนึ่งที่เราอยากให้รัฐบาลอินเดียรับรู้ว่าเราไม่พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่หรือไม่พอใจการปกครองของรัฐบาล พวกเราและทหารกูรข่าเป็นคนเนปาลี ”  เธอพูดยาวเป็นเรื่องเป็นราวด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมีอารมณ์ร่วม              

                       ดูความฉลาดของเธอจะมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เจอกันและเล่นเอาฉันงุนงงอยู่เรื่อย แต่นั่นมันเป็นคำตอบทั่วไปแบบกว้างๆจึงยังไม่ชัดเจนสำหรับฉันที่คิดว่าการประท้วงคราวนี้น่าจะมีข้อเรียกร้องที่พิเศษมากกว่านั้นอีกก็เลยถามต่อว่า

 

                      “ที่ประท้วงนี่เขาต้องการเรียกร้องอะไรเป็นพิเศษจากรัฐบาลหรือเปล่า?” เธอเงยหน้าขึ้นมองฉันเหมือนมองเด็กที่ไม่รู้เรื่องประสีประสาอะไรและดูเธอไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามแต่ก็พูดแบบจำใจว่า

 

                      “คุณไม่เข้าใจหรอกว่าการประท้วงมีความสำคัญอย่างไร...” ...โอ้โห.. นี่มันโดนเด็กตบหน้าเข้าอย่างจังชนิดตั้งตัวไม่ติดเลยนะนี่ ‘ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เด็กแสบ!!’ ฉันได้แต่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ  และตอบด้วยเสียงที่เน้นน้ำหนักมากขึ้นว่า

 

                       “ฉันเข้าใจ!!”  แต่ดูเธอจะไม่รู้สึกรู้สมกับคำพูดที่เน้นน้ำหนักอย่างผิดปกติของฉันหรอกกลับย้อนถามฉันต่อว่า

 

                       “คุณทำงานอะไรเหรอแน่ะชักเริ่มลามปามมากขึ้นแล้วไง รู้สึกว่าเธอออกจะหมิ่นความรู้สึกร่วมทางสังคมและการเมืองของฉันมากไปหน่อยแล้ว จะทำเป็นถามถึงหน้าที่การงานเพื่อวิเคราะห์ความคิดหรือมุมมองทางสังคมและการเมืองของฉันล่ะซิ  มันเจ็บจริงๆไอ้เด็กคนนี้!!

 

                       “เป็นนักวิจัย ( Researcher) ” ฉันตอบแบบไว้ท่าทีโดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม จะดูซิว่าเธอจะรู้จักคำนี้หรือไม่ และค่อนข้างจะมั่นใจว่าเธอจะต้องงงและยังไม่รู้จักคนทำงานลักษณะนี้อย่างแน่นอน  ฉันมองหน้าเธอเพื่อดูปฏิกริยา เธอมีสีหน้าเหมือนรับรู้แต่ไม่พูดอะไรต่อ ซึ่งฉันก็แกล้งถามย้ำต่อไปว่า

 

                       “เธอรู้จักไหม....นักวิจัยน่ะ?” 

 

                      “รู้จัก” เธอตอบหน้าตาเฉย...และไม่ถามอะไรต่อ ‘โฮ้...นี่มันเด็กอัจฉริยะหรือเปล่าเนี่ย? ’ ฉันออกจะงุนงงและกังขาอยู่ในใจว่าเธอจะรู้จริงแบบที่พูดหรือไม่ บางทีอาจจะไม่รู้ก็ได้แต่ทำเป็นฟอร์ม …เพราะหน้าตาและสรีระของเธอมันฟ้องสายตาอยู่แล้ว อย่างสูงสุดเธอต้องอายุไม่เกิน 15 หรือ16 ปี แน่นอน และอย่างเก่งก็เรียนไม่เกินชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4    ฉันเลยไม่ได้ใส่ใจที่จะเอาเรื่องเอาราวอะไรมากไปกว่านี้ และก็ไม่ได้คิดที่จะไถ่ถามเรื่องชั้นเรียนของเธอแต่อย่างใด   

 

..............................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 30 มีนาคม 2555
Last Update : 15 เมษายน 2555 8:52:43 น. 0 comments
Counter : 488 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนฉลาดที่อยู่แต่ที่เก่า...ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง.."
จากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง


"การเปลี่ยนแปลง...ต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..."

New Comments
Friends' blogs
[Add SmileIce's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.