อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /ตอน 2. ออกเดินทาง
ออกเดินทาง ........... วันเดินทางกำหนดเวลาเครื่องบินออกเกือบเที่ยงคืน ฉันรีบเช็คตั๋วไปรอขึ้นเครื่องที่ห้องผู้โดยสารก่อนใครๆ แต่ไม่นานก็มีคนทยอยมาเรื่อยๆ เป็นชาวอินเดียเกือบทั้งนั้น มีฝรั่งนักท่องเที่ยวแบบแบคแพคเหมือนฉันประปราย เพิ่งรู้ว่าคนอินเดียมาเมืองไทยกันมากมายก็วันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากันเป็นกลุ่มกลุ่มละสองสามคน ดูน่าจะเป็นทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ ถึงเวลาขึ้นเครื่องฉันมองไม่เห็นผู้โดยสารคนไทยแม้แต่คนเดียว จากที่นั่งตรงหน้าต่างบนเครื่องมองผ่านกระจกลงไป เห็นพนักงานกำลังลำเลียงกระเป๋าสัมภาระขึ้นท้องเครื่อง และแล้วฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสายและหนักขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกังวลว่าจะมีเป้ฉันท้าทายสายฝนอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่าหนอ? เพราะพาหนะที่ใช้ขนกระเป๋าดูแล้วก็คือรถเล็กๆพ่วงท้ายด้วยกระบะสี่ล้อที่มีกระเป๋าสัมภาระทับถมกันสูงไม่มีหลังคาหรือแม้แต่พลาสติกคลุมป้องกันสายฝน เครื่องบินออกช้ากว่ากำหนดเล็กน้อยจะด้วยเหตุฝนตกหนักหรืออะไรไม่อาจรู้ได้ หนุ่มแขกที่นั่งข้างดูแต่งตัวโทรมๆ ผมเผ้าเหมือนไม่ได้หวีมา หรือจะทรงสมัยใหม่ของวัยรุ่นยุคนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ยังดีที่ไม่มีกลิ่นประจำชาติติดตัวมาด้วย เมื่อพูดถึงกลิ่นประจำชาติพลันให้นึกอยากรู้ว่ามีชาติใดบ้างอยู่รอบๆตัวฉัน เลยลองเอี้ยวตัวเพื่อหันไปมองด้านหลังโดยผ่านช่องเล็กๆระหว่างหน้าต่างเครื่องบินกับเก้าอี้ที่นั่งและแล้วก็ต้องสะดุดกึกกับกลิ่นที่กำลังนึกถึง ฉันรีบเอี้ยวตัวกลับมาโดยไม่กล้าหันกลับไปอีก เป็นที่แน่นอนว่าที่นั่งแวดล้อมฉันมีแต่แขกกับแขกเท่านั้น พูดถึงเรื่องกลิ่นประจำชาติ ทำให้ฉันนึกถึงครั้งแรกที่ไปอินเดียกับเพื่อนร่วมงาน พอลงจากเครื่องเข้าไปในสนามบินเพื่อนผู้ชะตาคงจะไม่ค่อยสมพงศ์กับเมืองแขกเท่าไหร่ก็รีบบ่นขึ้นมาทันทีว่า พอลงเหยียบแผ่นดินก็ได้กลิ่นแขกเลยนะเนี่ย ได้ฟังแบบนั้นฉันชักอยากจะรู้ว่ากลิ่นแขกเป็นอย่างไรเลยลองทำจมูกฟุตฟิดสูดอากาศรอบๆตัวดู แต่ก็ไม่เห็นมีกลิ่นอะไรก็เลยต้องลงความเห็นว่า คนเราถ้าไม่ชอบอะไรก็มักจะพาลไปได้เสมอแบบนี้แหละ เพื่อนฉันคนนี้เริ่มแรกพอรู้ว่าจะต้องไปเรื่องงานที่อินเดียก็ไม่ค่อยจะพึงใจเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตรงข้ามกับฉันเนื้อเต้นเลยล่ะแต่ก็ต้องออมอาการไว้เพราะเกรงจะถูกหมั่นไส้เข้าให้ ถึงสนามบินโกลกาตาจอภาพบนเครื่องบอกเวลาเกือบตีสอง แต่นาฬิกาข้อมือฉันยังบอกเวลาเมืองไทยคือเกือบตีสี่ ที่นี่ช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง ฉันปรับนาฬิกาให้ตรงกับที่นี่เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการเดินทางอันเนื่องจากเวลาในระยะต่อไป หนุ่มน้อยมาดเซอร์ที่นั่งข้างๆใจดีช่วยยกเป้ใบเล็กและถุงนอนจากที่เก็บสัมภาระลงมาให้ เห็นมาดเฉยๆไม่ยิ้มแต่ก็ใจดีไม่เบา ฉันบอกขอบคุณพลันได้เห็นริมฝีปากบางๆแย้มรับ นับเป็นยิ้มแรกที่ได้เห็นบนแผ่นดินอินเดีย
อุ่นใจขึ้นเป็นกอง ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองได้ไม่ยาก อินเดียนับเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ จึงไม่เข้มงวดเรื่องคนเข้าเมืองเท่าไรนัก แต่การรอรับสัมภาระนี่สิต้องใช้เวลานานพอควรแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันกังวลเพราะไม่ได้รีบร้อนที่จะออกไปจากสนามบิน เพิ่งจะเห็นว่าแขกแต่ละคนมีสัมภาระมากมายหลายชิ้นก็ตอนต่างออกมาลากข้าวของของตัวเองออกจากสายพานส่งกระเป๋านี่แหละไม่รู้ขนอะไรกันนักหนา แล้วน้ำหนักไม่เกินหรือไงนะ? ยังเป็นคำถามในใจฉัน ! ดึกขนาดนี้กับสถานที่แปลกใหม่เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัย ฉันเตรียมใจไว้แล้วที่จะนั่งหรือนอนรอเวลาที่สนามบินจนกว่าจะสว่างแล้วค่อยใช้บริการแท็กซี่จ่ายเงินล่วงหน้า (prepaid taxi) จากสนามบินไปยังที่พัก ก่อนการเดินทางฉันได้ศึกษาและอ่านข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวกับอินเดียมามากพอควรจากหลายแหล่ง ทั้งจากนิตยสารท่องเที่ยว หนังสือเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวในอินเดีย รวมทั้งค้นหาจากอินเทอเน็ท หรือแม้แต่สอบถามโดยตรงกับคนที่เคยท่องอินเดียเป็นเวลาหลายเดือน ข้อมูลที่ได้นับเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเตรียมตัวในการเดินทางครั้งนี้ และที่สำคัญคลังข้อมูลที่ต้องติดตัวตลอดเวลาระหว่างการเดินทางก็คือ เจ้าโลกเหงา (lonely planet) เล่มเขื่องที่ตัดทอนเอาส่วนที่ไม่อยู่ในแผนการเดินทางออกไปแล้วแต่ก็ยังดูเขื่องอยู่ดี มันอัดแน่นด้วยข้อมูลท่องเที่ยวทุกรูปแบบ แม้ราคาจะดูสุดแพงในความรู้สึกแต่ประโยชน์ที่จะได้นั้นบอกได้เลยว่าสุดคุ้มทีเดียว ฉันหาซื้อหนังสือเล่มนี้อย่างไม่ลังเล เพราะเคยได้บทเรียนมาแล้วจากการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก ด้วยความที่อยากประหยัดเลยไม่ยอมซื้อหนังสือคู่มือการเดินทางเพราะรู้สึกว่าหาข้อมูลได้ในระดับหนึ่งน่าจะใช้ได้แล้ว แต่เมื่อไปจริงๆข้อมูลที่มีไม่สมบูรณ์พอ แค่วันแรกที่ไปถึงก็ถูกหลอกให้ควักเงินจ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะค่าแท็กซี่หรือค่าโรงแรมคิดแล้วเกินกว่าค่าหนังสือซะอีก สนามบินโกลกาตาดูจากภายในไม่ได้ใหญ่โตอะไร น่าจะเล็กกว่าสนามบินดอนเมือง เข็นรถออกมาเจอเคาท์เตอร์แลกเงินเลยถือโอกาสเอาเงินดอลลาร์สหรัฐแลกเป็นเงินรูปีไว้ใช้จำนวนหนึ่งก่อน อัตราที่ได้ใกล้เคียงกับเงินบาทมากแต่ค่อนไปทางอ่อนค่ากว่าเงินบาทเล็กน้อย เวลาซื้อของคิดเป็นอัตราเดียวกันก็คงไม่ผิดไปมากนักแต่เท่าที่ทราบอัตราแลกเปลี่ยนในนี้ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อเทียบกับตามสถานที่แลกเงินข้างนอก ไม่ไกลออกไปเป็นเคาท์เตอร์แท็กซี่จ่ายเงินล่วงหน้า หมายตาไว้ได้ใช้บริการแน่นอนเพราะน่าจะปลอดภัยกว่าเรียกแท็กซี่ทั่วไป ตอนนี้ต้องหาที่นั่งหรือนอนชนิดถาวรไปจนสว่างก่อน นับว่าโชคดี ยังไม่ทันออกจากส่วนของผู้โดยสารขาเข้าก็เจอป้ายบอกส่วนของผู้โดยสารขาออกซึ่งอยู่ในโถงเดียวกันเพียงถูกกั้นด้วยที่กั้นโปร่งๆและมีเจ้าหน้าที่ยืนดูแลอยู่ตรงทางออกเท่านั้น เหมาะที่จะเอาเป็นที่พักชั่วคราวได้ดีทีเดียว ห้องโถงที่ดูไม่กว้างนักมีผู้โดยสารขาออกนั่งหรือนอนบนเก้าอี้อยู่ประปราย ฉันตรงไปยังห้องน้ำเป็นอันดับแรก จำต้องลากรถเข็นเข้าไปด้วยนี่คือความกังวลที่เกิดขึ้นแบบนึกไม่ถึงสำหรับการเดินทางคนเดียว แต่ก็ช่างโชคดีที่ห้องน้ำไม่กว้างและไม่มีใครอยู่ในนั้น เลยรีบเข้าไปทำธุระอย่างรวดเร็วโดยเสี่ยงทิ้งรถเข็นไว้หน้าห้อง ออกมาเลือกที่นั่งให้ห่างจากผู้คนพอควรแต่ใกล้ร้านขายหนังสือและของที่ระลึก ในร้านโชว์หนังสือเกี่ยวกับประเทศอินเดียดูน่าสนใจหลายเล่ม ร้านรวงในนี้มีไม่กี่ร้านแต่ตอนนี้ปิดหมดแล้ว ฉันเอนตัวลงบนเก้าอี้ที่ว่างทั้งแถวเท้าข้างหนึ่งยื่นไปเกี่ยวบางส่วนของรถเข็ญสัมภาระไว้ ปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกเพลียมากกว่าที่จะง่วง แต่ยังไงก็ควรจะหลับเพื่อเอาแรงไว้วันพรุ่งนี้...นึกๆก็ขำอยู่ดีๆก็หาเรื่องมานอนทรมานสังขารอยู่โดดเดี่ยว...เดียวดายถึงที่นี่ ! หลับไปครู่ใหญ่ลืมตาขึ้นมาอีกทีเห็นฝรั่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่นั่งๆนอนๆกับพื้นอยู่ไม่ห่าง มองกวาดรอบๆห้องตอนนี้ผู้คนเริ่มมากขึ้นมีทั้งแขกและฝรั่งบางส่วนยืนเข้าคิวเป็นแถวยาวเพื่อรอเช็คตั๋วเที่ยวบินไปลอนดอน ห้องดูแคบลงถนัด ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือปาเข้าตีสามครึ่งแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็เจอหนุ่มแขกผอมเกร็งมายืนอยู่ตรงหน้าพอดี เขาส่งคำถามเป็นภาษาอังกฤษว่า คุณมาจากกรุงเทพฯใช่ไหม? ใช่ ฉันตอบแบบงงๆ เขายกแผ่นป้ายที่อยู่ในมือขึ้นเพื่อให้ฉันอ่านพร้อมกับถามต่อ ชื่อนี้หรือเปล่า ฉันอ่านป้ายชื่อหญิงไทยที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วต้องส่ายหน้าและบอก โน...ไม่ใช่ ดวงตาเขาส่อแววผิดหวังชัดเจนเขาบอกต่อว่าเขากำลังรอผู้หญิงที่ชื่อตามป้ายเธอมาจากกรุงเทพฯคนเดียว ได้จองที่พักไว้ที่วัดพุทธ(Buddhist Temple) และให้มารับที่สนามบิน พอได้ฟังเรื่องที่พักฉันก็หูผึ่งทันที รู้สึกดีใจหากได้ที่พักที่นี่ก็คงจะดี ปลอดภัย และนับเป็นโอกาสที่จะได้ติดตามไปพร้อมกับหนุ่มนี้และคนไทยด้วยกันเลย ฉันรีบถามดูว่ามีห้องว่างอีกหรือไม่ ปรากฏว่ายังมีห้องว่างราคาห้องละ 300 รูปี เขาบอกหากฉันพ่วงไปด้วยก็ไม่ต้องจ่ายค่ารถจากสนามบินไปยังที่พัก ฟังแล้วนับเป็นข้อเสนอที่ดีทีเดียวฉันรีบบอกเขาไปว่า ถ้าคุณเจอผู้หญิงคนนี้แล้วช่วยแวะมาหาฉันหน่อยจะขอไปพักด้วย ซึ่งเขาก็ตอบรับ เมื่อเขาไปแล้วฉันถึงนึกได้ว่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาฉันยังไม่เจอผู้โดยสารคนไทยเลยแม้แต่คนเดียวไม่ว่าหญิงหรือชาย ก่อนหน้านั้นเขาคงจะรอและเดินหาเธอมานานพอสมควร เพราะเครื่องบินจากกรุงเทพฯสำหรับคืนนี้ก็มีเพียงเที่ยวเดียวที่ฉันมา พักใหญ่หนุ่มแขกคนเดิมก็กลับมา พร้อมกับบอกว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่มาแล้ว แต่ถ้าฉันจะไปกับเขาก็ต้องจ่ายค่ารถ 300 รูปี... อ้าว...ไหงเป็นงั้นล่ะ? ฉันตั้งคำถามในใจด้วยความงง แต่เขามีสีหน้าปกติและไม่มีเหตุผลให้ ข้อเสนอใหม่นี่ไม่ค่อยจะไฉไลนัก...คำนวณแล้วต้องเพิ่มเงินอีกตั้ง 300 รูปี บวกกับค่าห้องพักอีก 300 รูปี สำหรับการนอนไม่เกิน3- 4 ชั่วโมง ! จะด้วยเหตุผลกลใดของแขกหนุ่มก็ตามฉันไม่จำเป็นต้องสนองหากไม่พึงพอใจ จึงรีบปฏิเสธไปด้วยสีหน้าปกติเช่นกัน...... นั่งหลับๆตื่นๆและมองดูผู้คนไปพลางๆต่อ แถวที่รอเช็คตั๋วยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนบางส่วนกำลังล่ำลากัน สาวน้อยวัยเรียนคนหนึ่งใบหน้าหมองเศร้าโผเข้ากอดลาพ่อ แม่ และญาติพี่น้องที่มาส่ง เธอกรีดน้ำตาก่อนก้มลงลากกระเป๋าเดินทางออกจากเขตผู้โดยสารขาออกเพื่อไปเตรียมขึ้นเครื่อง...วินาทีนั้นฉันเข้าใจและซึ้งถึงความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ไม่อยากหลับต่อแล้วมองดูนาฬิกาตีห้าเศษๆ ลองมองผ่านประตูทางเข้า-ออกไปข้างนอก อ้าว....สว่างแล้วนี่! ข้างนอกฝนกำลังตกปรอยๆแต่ก็น่าจะสะดวกที่จะออกไปหาที่พักได้แล้ว
..................
Create Date : 29 มีนาคม 2555 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 11:47:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 811 Pageviews. |
|
|