อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กังต๊อก ตอน 32.คิดถึงคนไทย
คิดถึงคนไทย ........... รถมาถึงกังต็อกขณะที่ฝนโปรยลงมาอีกรอบ ฉันเองไม่แน่ใจว่าใช่กังต็อกหรือไม่สภาพคิวรถก็ไม่เหมือนคิวรถเมืองอื่นๆ ดูพื้นที่แคบๆมีรถจอดอยู่แค่สองสามคันและฉันก็เป็นคนเดียวที่เหลือมาถึงที่นี่ มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นหนึ่งคนมารอรับของที่มากับรถ เพื่อความมั่นใจฉันเลยถามไถ่เขาว่าที่นี่ใช่กังต็อกหรือไม่ เขาตอบว่าใช่ แท็กซี่มายืนรออยู่ใกล้ๆฉันบอกย่านที่จะไปพร้อมชื่อที่พักที่อยู่ในใจแล้ว ห้าสิบรูปี แท็กซี่บอกราคา หนุ่มน้อยที่คุยด้วยเมื่อครู่หันมายิ้มแหยๆให้ฉันแววตาแสดงความเห็นใจเหมือนอยากจะบอกว่า
มันแพงไปนะแต่ผมพูดอะไรไม่ได้หรอก ฉันเลยใช้วิชาลองเชิงต่อรองไปทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่ามันไกลแค่ไหน ยี่สิบรูปี แท็กซี่ส่ายหน้าท่าทีไม่ยอม หนุ่มน้อยเดินจากไปแต่แววตาเขาเมื่อสักครู่ชวนให้รู้สึกว่าน่าจะเอาเป็นที่พึ่งได้ ฉันเลยรีบแบกเป้วิ่งตามท่ามกลางฝนปรอย ย่านถนนทิเบต...อยู่ไกลไหม? ฉันถามเมื่อถึงตัวพร้อมบอกชื่อที่พักไปด้วย คิดว่าไม่ไกลเท่าไหร่...น่าจะประมาณ 250 เมตร... ค่าแท็กซี่ประมาณยี่สิบรูปีได้ไหม? ฉันถามต่อ น่าจะได้ พอดีรถกระป๋องสองแถวผ่านมาเขายื่นมือโบกรถและเรียกฉันขึ้นไปด้วย ฉันรีรอถามถึงราคา ไม่เป็นไรหรอก...ขึ้นมาเถอะ เขาบอก สถานการณ์บอกไม่ให้โยกโย้ ฉันเลยรีบปีนขึ้นรถ ส่วนเขายกมือถือขึ้นโทรหาใครสักคนเหมือนจะถามถึงโรงแรมที่ฉันจะไปว่าอยู่ตรงไหน แต่พอรถเลี้ยวขึ้นเนินได้สักพักเขายังโทรศัพท์ไม่เสร็จฉันก็บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายชื่อโรงแรมที่ฉันจะไปอยู่ข้างทางพอดี เลยรีบบอกเขาว่าถึงแล้ว ก่อนลงรีบส่งเงินยี่สิบรูปีที่ควักไว้แล้วให้เขาไป แต่เขาปฏิเสธ ไม่เป็นไรหรอกผมเรียกไปตลาดต้องจ่ายอยู่แล้ว แต่ฉันไม่ยอม ส่งเงินให้เชิงบังคับ ไม่ได้หรอกฉันขอแชร์ด้วย เขารับแบบจำใจแต่ฉันสบายใจ....นี่แหละน้ำใจตามรายทางยังล้นเหลืออยู่ในดินแดนนี้ สำหรับที่พักที่นี่ฉันได้มาจากเจ้าโลกเหงาอ่านดูแล้วน่าสนใจเพราะเป็นที่นิยมของนักแบกเป้มากและคงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ดูจากช่วงนี้แม้จะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของที่นี่ ฉันยังต้องระเห็จขึ้นไปพักถึงชั้นห้าแถมต่อรองราคาไม่ได้เลยเพราะเขาบอกว่า ห้องนี้ลดให้แล้วเพราะเห็นว่าเป็นห้องสุดท้ายที่มี ระหว่างขึ้นบันไดไปชั้นห้าเด็กที่ช่วยแบกเป้ถามว่า มาจากไหนฉันบอกไปพร้อมกับถามต่อว่า เคยมีคนไทยมาพักที่นี่ไหม? มีครับ ล่าสุดเมื่อไหร่? ฉันรีบถามต่อ วันนี้ครับ...ผู้หญิงสองคน คำตอบของเขาทำให้ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกและก็แปลกใจตัวเองที่เป็นเช่นนั้น.....นี่คงเพราะฉันเดินทางคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวมาหลายวัน ... คงจะคิดถึงเมืองไทยโดยไม่รู้ตัวและนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอยากเจอคนไทย...... อยากพูดภาษาไทย.....อยากมีใครสักคนมาร่วมแสดงความเป็นพวกเดียวกันให้ใครๆได้เห็น.... แต่พอนึกอีกทีใจก็เหี่ยวลงเพราะ ดูจากรูปการณ์และโอกาสที่จะได้เจอเธอทั้งสองคงจะยาก
นี่ฉันกำลังโหยหาเพื่อนและพวกพ้องกระนั้นหรือ? อารมณ์นี้ทำให้ฉันนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนที่ฉันได้ประสบและก็เพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำบอกกล่าวของหนุ่มไทยคนนั้นก็ตอนนี้เอง.....เมื่อคราที่ฉันและคณะคนไทยได้มีโอกาสไปดูงานที่ประเทศจีน ณ เวลานั้นจีนเพิ่งเปิดประเทศให้คนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ไม่นาน วันแรกที่คณะเราไปถึงโรงแรมที่พักซึ่งก็ล่วงเข้าเวลาเย็นสลัวแล้ว ที่ลอบบี้โรงแรมมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ถลาเข้ามาสวัสดีและแนะนำตัวเองกับพวกเราด้วยสีหน้าและแววตาปิติยินดีเป็นยิ่งนักว่า ผมเป็นคนไทยครับ บริษัทส่งตัวมาทำงานที่ประเทศจีนหลายเดือนแล้วไม่เคยได้กลับเมืองไทยและก็ไม่เคยเจอคนไทยเลย......ผมคิดถึงเมืองไทยมากอยากเจอคนไทยบ้างและอยากพูดภาษาไทย...... เขามีอาการละล่ำละลักบอกและที่น่าเห็นใจเขามากขึ้นไปอีกก็เมื่อรู้ว่าเขามารอพวกเราตั้งแต่เช้า...จนค่ำกว่าจะได้เจอ!! เขาบอกต่อว่า ผมมารอพวกพี่ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วครับ...ทราบข่าวว่าวันนี้จะมีคนไทยมาพักที่นี่ ผมดีใจมากเลยรีบขับรถออกจากบ้านมาแต่เช้ากลัวจะไม่เจอพวกพี่ บ้านผมอยู่นอกเมือง ห่างจากที่นี่สามสิบกว่ากิโลเมตรครับ... ณ วันนี้ฉันซึ้งแล้วกับคำว่า.....เราคนไทยเหมือนกัน!! ไม่น่าเชื่อ.....ในบางเวลาความเป็นพวกเดียวกันมันมีพลังต่อจิตใจมนุษย์ได้มากมายอย่างคาดไม่ถึง......(แต่.....หากได้อยู่ท่ามกลางพวกเดียวกันอย่างจำเจและชาชินแล้ว.....เรากลับดูเหมือนจะไม่เห็นคุณค่านั้นเลย...) ช่างโชคดี พอขึ้นมาถึงหน้าห้องพลันสายตาฉันมองไปตามทางเดินด้านในก็เห็นหญิงสาวชาวเอเซียสองคนกำลังเดินคุยกันมาจากห้องริมสุด สัญชาตญาณบอกทันทีว่าทั้งสองเป็นคนไทยแน่นอน ฉันรีบทักทายก่อนด้วยความดีใจ...ช่วงสั้นๆก็ได้รู้ว่าน้องคนไทยทั้งสองเพิ่งมาจากดาร์จีลิ่งวันนี้เอง และเราก็อดที่จะพูดคุยเล่าเรื่องสนุกระหว่างเดินทางสู่กันฟังไม่ได้โดยเฉพาะต่างไม่ลืมที่จะพูดถึงด้วยความขบขันเกี่ยวกับกระเทยแสบสองคนบนรถไฟจากโกลกาตาที่เราได้ประสบมาเหมือนกัน... สุดท้ายเราตกลงกันว่าจะหาทัวร์ไปเที่ยวด้วยกัน จากนั้นน้องทั้งสองก็ขอตัวไปคุยกับทัวร์ก่อน เย็นนี้เรานัดเจอกัน ความรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกยังไม่จางหายก็ต้องสดุดหยุดลงทันทีเมื่อเด็กเปิดประตูห้องให้เห็นข้างใน และฉันก็แทบผงะด้วยกลิ่นอับชื้นของห้องที่เข้ามาปะทะจมูกอย่างแรง พื้นห้องเป็นกระเบื้องบางจุดผุแตกและชื้นห้องน้ำสุดจะบรรยายพูดได้คำเดียวว่าแสนจะโกโรโกโส ไม่น่าเชื่อว่าคำชื่นชมของเจ้าโลกเหงาจะแตกต่างจากสภาพที่เป็นจริงได้ขนาดนี้ เท่าที่เห็นย่านนี้มีที่พักอยู่หลายแห่งแต่ตอนนี้เหนื่อยก็เหนื่อย ตัดสินใจอะไรไม่ถูก แต่บอกตัวเองว่า น่าจะลองลงไปเดินดูที่ใหม่แถวๆนี้ก่อนหากไม่เข้าท่าหรือแย่กว่านี้ค่อยทนนอนที่นี่สักคืนไปก่อน แรกๆสภาพที่พักที่นี่คงจะดูดีตามคำชมเจ้าโลกเหงานั่นแหละแต่พอนานไปทุกอย่างก็เสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ลูกค้าคงจะมีตลอดจนไม่มีเวลาปรับปรุงสถานที่ ขณะเดียวกันข้อมูลเจ้าโลกเหงาก็ไม่ได้รับการอัพเดทตามสภาพที่เปลี่ยนไป นี่แสดงให้เห็นว่าจะเชื่อเจ้าโลกเหงาไปทั้งหมดคงไม่ได้แล้ว ออกมานอกตึกที่พักแค่มองข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกันก็เจอโรงแรมที่ดูใหม่กว่าแล้ว สภาพห้องดีทีเดียวสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งเครื่องทำน้ำอุ่นแถมทีวีก็มีให้ ที่สำคัญราคาเดียวกันด้วยแต่สภาพแตกต่างกันราวฟ้ากับดินไม่คิดว่าจะโชคดีขนาดนี้ เลยกลับไปขอย้ายมาที่ใหม่ทันทีบอกพนักงานว่ายินดีจะจ่ายค่าเสียโอกาสให้ แต่เขาก็ใจดีเหมือนจะเข้าใจแค่บอกว่า ไม่เป็นไรครับให้เป็นค่าทิปเด็กช่วยขนของก็แล้วกันแล้วเรื่องที่พักก็แฮปปี้ไป วันต่อมาน้องคนไทยทั้งสองก็ย้ายมาพักที่เดียวกับฉัน
Create Date : 25 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 18:57:29 น. |
|
0 comments
|
Counter : 610 Pageviews. |
|
|