อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กาลิมปง ตอน 28. ตามหาฟาร์มดอกไม้
ตามหาฟาร์มดอกไม้
. จากแผนที่ ระยะทางไปยังสถานเพาะเลี้ยงดอกไม้(flowers nursery) อยู่ในระยะที่คิดว่าไม่ไกลสามารถเดินได้ถือเป็นการออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย แม้สภาพพื้นที่จะเป็นการเดินขึ้นลงตามไหล่เขาด้านซ้ายเป็นเขาสูงขวามือเป็นไหล่เขาที่ลาดต่ำลงไป บางช่วงทางเดินเป็นเนินสูงทำให้ได้หายใจหอบเล็กๆก็ดีเหมือนกัน เพราะชีวิตปกติไม่ค่อยจะได้ออกกำลังกายเท่าไรนัก เส้นทางเดินเป็นถนนเก่าๆคล้ายถนนในหมู่บ้านชายเขาตามต่างจังหวัดของไทยรถยนต์พอวิ่งได้แต่ก็ไม่ถือว่าได้มาตรฐาน สองข้างทางมีบ้านชาวบ้านตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ นานๆจะเจอผู้คนเดินสวนทางไปบ้างแต่ไม่ยักกะมีนักท่องเที่ยวมาเตร็ดเตร่ให้เห็น ดูแล้วค่อนข้างเปลี่ยวแต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะสายตาผู้คนที่บังเอิญสวนทางมาแม้จะมีแววสงสัยในดวงตาอยู่บ้างแต่ท่าทีต่างเป็นมิตร ฉันถามผู้คนเป็นระยะเมื่อรู้สึกว่าทำไมไม่ถึงซักที ทุกคนก็ได้แต่ชี้ไปข้างหน้าเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่พอไปถึงจุดหนึ่งชาวบ้านกลับชี้ขึ้นไปบนยอดเขาสูงข้างทางซ้ายมือ ฉันมองตามขึ้นไปเห็นมีบันไดทางขึ้นแคบๆและชันไปตามไหล่เขา.. นั่นหรือที่เพาะเลี้ยงดอกไม้?แทบจะทรุดลงตรงนั้น กะด้วยสายตาฉันจะต้องปีนเขาขึ้นบันไดสูงชันไปอีกไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร? ที่สำคัญโรงเพาะเลี้ยงที่พอมองเห็นจากด้านล่างเต็มไปด้วยไม้ใบที่เขียวครึ้มไปหมดแถมดูเงียบเชียบชอบกล ฉันชักสงสัยว่านักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ทุกคนจะต้องป่ายปีนขึ้นเขาสูงชันตรงนี้เพื่อขึ้นไปชมกระนั้นหรือ? รู้สึกท้อเลยซักชาวบ้านต่อถึงได้รู้ว่าทางขึ้นตรงนี้เป็นด้านหลังของเนอร์สเซอรี่ จากจุดนี้ถ้าจะไปด้านหน้าจะต้องอ้อมเขาลูกนี้ไปอีกไกล เพราะเนอร์สเซอรี่แห่งนี้สามารถไปได้สองทางด้านหน้าสามารถเอารถขึ้นไปได้ถึงที่ ฉันถึงบางอ้อทันที ชาวบ้านคงเห็นท่าทีหมดอาลัยของฉันเขาเลยบอกว่า ข้างหน้ายังมีอีกแห่งแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีดอกไม้ให้ชมเยอะหรือไม่เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาชมที่นี่มากกว่า เมืองนี้มีชื่อเสียงในการปลูกดอกไม้รวมทั้งกล้วยไม้ด้วย แต่ละปี ดอกไม้ที่นี่ส่งไปขายในเมืองต่างๆแถบเบงกอลตะวันตกถึงร้อยละ 80 ของผลผลิตทั้งหมด โดยเฉพาะกล้วยไม้มีการเพาะเลี้ยงมากมายหลากหลายสายพันธุ์ เอาล่ะ..ไหนๆก็เดินมาตั้งไกลแล้ว จะกลับก็กระไรอยู่ เดินหน้าอีกหน่อยยังดูจะมีอะไรให้ได้เห็นบ้างให้กำลังใจตัวเอง เดินไปได้พักใหญ่ก็เจอทหารยืนถือปืนอยู่ตรงป้อมยามหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างมีกำแพงล้อมรอบ ด้วยความอยากรู้รีบเงยหน้ามองป้ายชื่อเหนือประตูบานใหญ่
ภูฏานเฮ้าส์(Bhutan House) ชวนให้อยากหยุดเยี่ยมมองและพูดคุยกับคุณทหาร ได้ความว่า ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของกษัตริย์ภูฏาน ก่อนนั้นราชินีและราชวงศ์ภูฏานจะเสด็จมาพักผ่อนที่นี่ทุกปีแต่ระยะหลังไม่ได้มาแล้ว ดูจากสภาพอาคารที่พักนับว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บ้านหลังนี้จึงเป็นประจักษ์พยานอย่างดีที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอินเดียกับภูฏาน เดินต่อไปไม่ไกลก็เจอป้ายบอกสถานที่เพาะเลี้ยงดอกไม้ คราวนี้ตั้งอยู่ฝั่งขวามือ มีรั้วรอบขอบชิด ฉันลังเลสักพักเพราะมันดูเงียบเชียบผิดปกติสำหรับสถานที่รับนักท่องเที่ยว แต่ยังไงป้ายก็บอกชัดเจนจึงตัดสินใจกดออด หญิงวัยกลางคนมาเปิดประตูให้เมื่อรู้ความต้องการของฉันเธอยิ้มใจดีบอกว่า ตอนนี้เราไม่ได้ทำเนอร์สเซอรี่ดอกไม้แล้ว แต่ก็พอมีให้ชมได้บ้าง เราเปลี่ยนมาทำเป็นรีสอร์ทหลายเดือนแล้ว เธอเดินนำเข้าไปในอาคารสำนักงาน ที่บอกว่าพอมีให้ชมก็คือมีกล้วยไม้ 5-6 กระถางใหญ่วางประดับตัวอาคารตามจุดต่างๆนั่นเอง ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวกับชะตากรรมของตัวเอง แต่ก็ชื่นชมในความมีจิตใจที่ดีของเจ้าของบ้านที่มิได้ปฏิเสธให้แขกผู้ย่ำเท้ามาไกลต้องหวนกลับอย่างสิ้นหวัง เธอเชิญชวนและนำฉันเดินทะลุอาคารไปด้านหลังจึงได้เห็นบริเวณรีสอร์ทซึ่งกระจายอยู่บนไหล่เขาลาดต่ำลงไป เธออยากให้มาชมกระท่อมไม้หลายหลังที่ตั้งเป็นจุดๆตามไหล่เขานี่เอง ทิวทัศน์ตรงจุดนี้สวยไม่เบา พื้นที่ถูกตกแต่งให้เป็นสัดส่วนเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้มาพักและได้แต้มเติมสีสันด้วยกล้วยไม้ตามจุดต่างๆ นับเป็นรีสอร์ทที่น่ารักและบรรยากาศดีแห่งหนึ่งแต่ก็เพิ่งจะเริ่มต้น บ้านหลังเล็กใกล้จุดที่ฉันยืน พักได้สองคนคืนละสองพันรูปี เกือบเที่ยงแล้วฉันไม่อยากรบกวนเวลาเธอมาก เลยกล่าวขอบคุณและอำลาเพื่อจะไปต่อเดโล่จุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองกาลิมปง ..............................
Create Date : 25 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 19:40:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 537 Pageviews. |
|
|