อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม/ดาร๋จีลิ่ง ตอน 21.อุ่นใจด้วยไอรัก
บ้านใหม่อุ่นใจด้วยไอรัก ..
. บ้านของยูเอสคือบ้านพักตำรวจเป็นบ้านชั้นเดียวตั้งอยู่บนไหล่เขาทำเลดีมาก มองจากลานหน้าบ้านออกไปจะเห็นเทือกเขาที่เขียวครึ้มไปด้วยป่าสน เขาบางลูกมีบ้านแซมขึ้นตามไหล่ลาดชันซึ่งยังไม่แน่นหนามากเหมือนเขาหลายลูกที่ได้เห็นมา มุมมองหน้าบ้านเป็นแบบร้อยแปดสิบองศา ในบริเวณเดียวกันกับตัวบ้านมีอาคารหลังใหญ่สองชั้น ยูเอสบอกว่าเป็นเรือนรับรองสำหรับตำรวจที่ทำงานอยู่นอกพื้นที่จะเดินทางมาพักเมื่อมีงานราชการที่ดาร์จีลิ่ง ยูเอส พาฉันขึ้นไปชมห้องพักที่มีอยู่หลายห้อง ต้องบอกว่าสภาพห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้บริการผู้มาพัก มันระดับเกือบๆโรงแรมชั้นหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะห้องที่กว้างขวาง เตียงนอนที่มีผ้าคลุมเตียงลายสวยสะดุดตา ห้องน้ำสะอาดและกว้างพอควรแก่การอยู่พักอย่างสบาย การมีสิ่งเหล่านี้ให้กับตำรวจที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้พอจะมองหาเหตุได้อยู่เพราะการเดินทางไป-มาในแต่ละเมืองแถบนี้มันแสนจะลำบาก แต่ยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะให้ความสำคัญและยอมทุ่มเงินไปกับเรื่องแบบนี้ได้มากมายขนาดนั้น ฉันเองบอกได้คำเดียวว่า น้ำลายไหลอยากจะมาพักที่นี่แทนบ้านยูเอสเต็มแก่ ยูเอสยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อฉันชื่นชมกับสิ่งที่เห็นและบอกว่าสถาบันตำรวจของไทยเราไม่มีบริการดีๆแบบนี้ให้หรอก ยูเอสมีลูกชายสามคนแต่งงานหมดแล้ว มีหลานสาวตัวเล็กอายุประมาณหกขวบหนึ่งคนเป็นลูกของทาชิลูกชายคนโตซึ่งเปิดร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวอยู่ที่เมืองเคอซง ทาชิฝากลูกสาวให้พ่อแม่ช่วยดูแลที่บ้านนี้ ส่วนลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งสองคู่ก็พักอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ทั้งหมด ภายในบ้านมีห้องนอนอยู่สามห้อง มีห้องโถงตรงกลางและห้องครัวอยู่ด้านหลังซึ่งทะลุไปถึงห้องน้ำได้ ห้องนอนทั้งสามห้องที่เป็นอยู่จึงมีเจ้าของจับจองอยู่แล้ว เมื่อฉันเข้ามาพักที่นี่จะต้องมีหนึ่งคู่ที่เสียสละห้องให้ฉัน ออกจะรู้สึกไม่สบายใจที่มาแย่งที่นอนหรือความสะดวกสบายของคนอย่างน้อยถึงสองคน ฉันจึงบอกยูเอสไปว่า ขอฉันไปพักที่โรงแรมหรือเกสต์เฮ้าส์ก็ได้ แต่ยูเอสก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ พักที่นี่แหละ ตกเย็นอากาศเริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อยๆที่นี่อากาศหนาวกว่ามิริคมาก พื้นที่สูงถึงสองพันหนึ่งร้อยเมตรและสูงกว่ามิริคกว่าสี่ร้อยเมตร หน้าหนาวที่นี่มีหิมะตกทุกปี ตอนนี้แค่ทุ่มกว่าๆยังรู้สึกว่าอากาศนั้นหนาวได้ใจจริงๆ น่าจะไม่เกินสิบองศา ฉันได้พักห้องนอนที่ดูกว้างเป็นพิเศษ แต่ดูจากสภาพห้องแล้วน่าจะเป็นการปรับห้องรับแขกให้สามารถนอนได้แบบถาวรมากกว่า เนื่องจาก ภายในห้องมีชุดรับแขกทั้งเก้าอี้ โซฟาครบชุด มีตู้หนังสือขนาดใหญ่ เก็บหนังสือจำนวนมากหลากหลายชนิด ถ้าจะบอกว่าเป็นห้องนอนก็คงเพราะมีเตียงนอนพร้อมเครื่องนอนอยู่ด้านในสุดของห้องเท่านั้นแหละ หนูน้อยเพม่า(Pema) หลานของยูเอสในชุดกันหนาวเต็มที่เดินเข้ามาในห้องขณะที่ฉันกำลังรื้อข้าวของออกจากเป้ เราคุ้นเคยกันระดับหนึ่งแล้วที่โต๊ะอาหารเมื่อตอนเย็น เธอเป็นเด็กฉลาดพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษได้ดีมาก ชนิดที่พอฉันพูดถ้าเธอฟังไม่ออกหรือไม่คุ้นกับสำเนียง แม้ฉันได้พยายามย้ำหลายๆครั้งพร้อมคำอธิบายจนเธอเข้าใจชัดเจนดีแล้วเธอก็จะไม่หยุดอยู่แค่นั้นเธอจะรีบออกเสียงคำนั้นใหม่เพื่อย้ำและเน้นเหมือนจะสอนฉันว่าการออกเสียงที่ถูกต้องจะต้องอย่างที่เธอออกเสียงนั่นเอง ที่น่าขำและเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่โต๊ะอาหารได้ก็ตรงที่ท่าทีเธอดูจริงจังมาก โดยเฉพาะตอนที่ออกเสียงย้ำจะเน้นเสียงหนักและดังผิดปกติจนตัวโยกคลอนมายังทิศที่ฉันนั่ง ดูแล้วเหมือนจะเลียนแบบการสอนของครูที่โรงเรียนมาโดยไม่รู้ตัว เธอเรียนหนังสือที่โรงเรียนฝรั่ง จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะเก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น ฉันได้สัมภาษณ์เธอไปแล้วโตขึ้นเธอมีความใฝ่ฝันอย่างมั่นคงที่จะเป็นคุณหมอให้ได้.....ช่างน่าชื่นชมที่หนูน้อยคนนี้เธอมีความใฝ่ฝันและเป้าหมายในอาชีพตั้งแต่ตัวเท่านี้ ตอนนี้เธอมีท่าทีรีรอเมื่อเห็นฉันยังง่วนอยู่กับเป้ และของที่กระจายอยู่รอบตัว ฉันเรียกเธอเข้ามาใกล้ๆ เธอมองข้าวของของฉันที่ถูกรื้อออกมาเกะกะอยู่บนพื้นและเก้าอี้ข้างตัวด้วยความสนใจ และพลันสายตาเธอก็ไปหยุดอยู่ที่กล่องข้าวลายการ์ตูนสีสันน่ารักของพั้งค์กี้ ฉันมองตามด้วยความรู้สึกใจหายอีกครั้ง ก็มันเป็นเสมือนสิ่งที่ย้ำเตือนให้ฉันต้องตำหนิตัวเองอย่างไม่น่าให้อภัย ฉันลืมสนิทเลยสำหรับตัวแทนของน้ำใจและความห่วงใยที่นิชามอบให้มา ก็จาปาตีและไข่ต้มที่นิชาบรรจงจัดให้เมื่อเช้านี้ฉันลืมสนิททิ้งให้อยู่ในกล่องแสนสวยมาจนบัดนี้ไงล่ะ!! เพม่ามองกล่องข้าวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากฉันอย่างสิ้นเชิง เธอมองอย่างพึงใจในลวดลายและสีสันตามประสาเด็ก ดวงตาแวววาวอย่างมีความหมายขณะที่มือชี้ไปที่กล่องพร้อมคำถาม นี่กล่องอะไร ฉันตอบไปตามความเป็นจริงโดยไม่ได้ใส่ใจกับความพึงใจเป็นพิเศษของเพม่าที่มีต่อกล่องแสนสวยนั้น คงเพราะฉันยังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดตัวเองอย่างที่ไม่น่าให้อภัยนั่นเองยิ่งกว่านั้น สุดท้ายฉันก็ได้ลืมเจ้ากล่องน่ารักนี้ไว้ที่บ้านหนูน้อยเพม่า ด้วยเอาไปล้างคว่ำไว้ที่ห้องครัวแล้วลืมไปหยิบกลับมา ....คิดว่ามันจะเป็นมรดกตกทอดจากฉันที่ถูกใจเพม่าอย่างแน่นอน!! สักครู่ยูเอสและภรรยาก็เข้ามาในห้อง ทั้งคู่มองมาที่เพม่าแล้วอมยิ้มพร้อมคำพูดหยอกเย้าหลานแบบเอ็นดูเหมือนจะรู้ใจว่าหลานกำลังเห่อแขกแปลกหน้าคนใหม่ เพม่าหันไปยิ้มให้ปู่กับย่าอย่างเอียงอายและเดินไปหาทั้งคู่ซึ่งนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้ามากที่สุด เรามีโอกาสได้พูดคุยกันป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนนี้แหละ ภรรยายูเอสแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้(เป็นคนเดียวในบ้านที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้) แต่เธอก็ดูไม่เบื่อที่จะสื่อสารผ่านยูเอส ใบหน้าเธอยิ้มเยื้อนตลอดเวลาบ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี ดูเธอจะเป็นภรรยาประเภทช้างเท้าหลังที่สอดประสานจังหวะการเดินกับเท้าหน้าได้เป็นอย่างดี เราพูดคุยสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในหลายๆเรื่อง นอกจากเรื่องการเดินทางในช่วงต่อไปของฉันและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่แล้ว เรายังคุยไกลไปถึงหน้าที่การงาน แล้ววนไปเรื่อง เศรษฐกิจ การเมือง ประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศเราทั้งสองด้วย ยูเอสบอกว่าแม้ลูกชายทั้งสามคนของเขาจะแต่งงานหมดแล้วแต่การงานถือว่ายังไม่มั่นคง คนโตแม้จะมีร้านขายของที่ระลึกที่เคอซงแต่รายได้ก็ไม่แน่นอนขึ้นกับสถานการณ์นักท่องเที่ยว คนที่สองชื่อบิจอย(Bijoy) เรียนจบมาได้ 3 ปีแล้ว ยังหางานที่ดูมั่นคงทำไม่ได้ตอนนี้ก็รับสอนพิเศษภาษาอังกฤษตามโรงเรียนในช่วงเช้า ส่วนช่วงเย็นก็สอนภาษาอังกฤษพิเศษที่บ้านโดยใช้ห้องเล็กๆในอาคารของตำรวจซึ่งอยู่ติดบ้าน คนที่สามไม่ได้ทำอะไรจะไปช่วยพี่ชายคนโตที่ร้านเป็นบางวันเท่านั้น ฉันก็ได้แต่รับฟังปัญหาของคนที่มีฐานะเป็นพ่อ-แม่ด้วยความเห็นใจ ดูปัญหาว่างงานจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายๆประเทศซึ่งก็รวมประเทศอินเดียด้วยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ที่ประจักษ์กับฉันอย่างชัดเจนวันนี้ก็คือ ยูเอสเป็นพ่อที่น่ารัก อบอุ่น และมีความห่วงใยต่อผู้คนในครอบครัวมากๆคนหนึ่งอย่างน่ายกย่องทีเดียว สักพักทุกคนในบ้านก็ทยอยเข้ามาในห้องเพื่อร่วมวงสนทนากับคนจรจากแดนไกลซึ่งดูจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนบ้านนี้จริงๆ ที่น่าขำสำหรับฉันก็คือการที่ทุกคนสนใจเป็นอย่างมากกับข้าวของของฉันหลายๆชิ้นที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะกล้อง เครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋ว(ที่ค่อนข้างจะล้ำยุคนิดหน่อย) ปากกาด้ามสวย ถุงนอน หรือแม้แต่ยาสระผม และยาสีฟัน บิจอยจะเป็นคนเข้ามาหยิบขึ้นดู สำหรับกล้องและเทปก็จะดูยี่ห้อแล้วถามถึงประสิทธิภาพการทำงาน เขาบอกว่าเขามีกล้องดิจิตอลที่ซื้อมาได้สามเดือนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ไม่รู้เป็นอะไร ว่าแล้วเขาก็ไปหยิบกล้องมาให้ฉันดู และก็ช่างโชคดีซะเหลือเกินที่ฉันเจอจุดบกพร่องเล็กๆที่พอแก้ไขให้ได้เพราะเคยมีประสบการณ์กับกล้องของตัวเองมาแล้ว ทุกคนดีใจมากบิจอยขอบคุณฉันเป็นการใหญ่ (แปลกใจมากว่าทำไมไม่เอาไปให้ร้านที่ซื้อมาดูให้ แต่ก็ลืมถาม) ส่วนปากกาสวยหลากสีเขาหยิบขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนดู สายตาทุกคู่มองอย่างชื่นชมจนฉันนึกได้ถึงปากกาที่เอามาด้วย เลยได้ควักขึ้นมาแจกเป็นที่พอใจกันทั่วหน้า ยาสระผมและยาสีฟันเขาก็จะถามถึงส่วนผสมว่าทำมาจากอะไร ดูเขาจะสนใจและเห็นเป็นของแปลกไปหมดทุกอย่างจนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมาจากต่างดาวมากกว่ามาจากประเทศไทย เวลาล่วงเข้าเกือบสามทุ่มแล้ว ยูเอส และภรรยาได้ขอตัวไปนอนก่อนพร้อมกับจูงเพม่าออกไปด้วย ส่วนลูกชายและสะใภ้ยังคงสนใจซักถามฉันเกี่ยวกับประเทศไทยต่อ พวกเขาต่างอยากมีโอกาสไปเที่ยวประเทศไทยเพราะรู้สึกว่าประเทศไทยมีทิวทัศน์และสถานที่ที่สวยงามมากมาย บิจอยบอกเขาชอบเก็บและสะสมภาพวิวทิวทัศน์รวมทั้งสถานที่ที่สวยงามใส่อัลบั้มภาพไว้ดู เขาเอาอัลบั้มภาพมาอวด ในนั้นมีภาพทิวทัศน์และสถานที่สวยงามหลายแห่งจากทั่วโลก มีหลายภาพที่อยู่ในประเทศไทยเขาชี้ให้ฉันดูด้วยความภูมิใจที่ได้มีไว้ครอบครอง เช่น ภาพวัดพระแก้วและภาพวัดอรุณราชวรารามในยามอัสดง ซึ่งก็เป็นภาพที่ฉันเคยเห็นและมีความประทับใจกับความงามของภาพนั้นเช่นกัน มีภาพวิวอยู่ภาพหนึ่งที่เขาเปิดผ่านไป แต่ฉันต้องรีบพลิกกลับและบอกว่าที่นี่ก็อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน เขาทำตาโตอุทานออกมาด้วยความแปลกใจแกมทึ่งในความงามของภาพเหมือนจะบอกว่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าอยู่ในประเทศไทย ภาพนั้นก็คือภาพหญิงสาวผมยาวสยายเต็มแผ่นหลังนั่งอยู่บนชะง่อนผากำลังเหม่อมองไปยังขอบฟ้าหลากสียามอัสดงที่มีพระอาทิตย์ดวงใหญ่กลมโตสีแดงกำลังจะลับเหลี่ยมเขาที่สลับซับซ้อนไป เหนือศีรษะของหญิงสาวมีกิ่งสนสามใบแผ่กิ่งก้านเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวอย่างมีศิลปะ ภาพนี้นักเที่ยวป่าเขาชาวไทยส่วนใหญ่คงจะคุ้นๆกันอยู่แล้ว ก็ภาพมุมมหาชนบนผาหล่มสักที่ภูกระดึงนั่นไง ใครที่ไปภูกระดึงมาจะต้องมีภาพนี้เป็นของตัวเองหากไม่มีถือว่าไปไม่ถึงภูกระดึงอย่างแน่นอน! (ก็ช่วงวัยรุ่นฉันยังต้องไปเข้าคิวด้วยความอดทนเพื่อให้ได้ภาพตรงนี้มาแล้วเหมือนกัน ) กว่าจะเลิกราและแยกย้ายกันไปนอนก็ล่วงเข้าสามทุ่มกว่า ฉันเดินไปปิดประตูห้องพร้อมกับถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเล็กน้อย แต่ก็ชุ่มชื่นในหัวใจที่ได้มีโอกาสรู้จักและใกล้ชิดกับครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักครอบครัวหนึ่ง...แม้บางครั้งอาจรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวบ้างแต่คงต้องยอมรับตามสภาพที่เป็นไป หากเราเลือกที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนความเป็นส่วนตัวของเราก็ต้องลดลง และตรงกันข้ามหากเราต้องการความเป็นส่วนตัวเราก็ต้องเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คนซึ่งเราก็มีสิทธ์ที่จะเลือก.. แต่ว่า....ความพอดีมันอยู่ตรงไหนล่ะ? คืนนี้ฉันหลับไปโดยที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
.
Create Date : 04 เมษายน 2555 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 13:39:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 698 Pageviews. |
|
|