2 วัน 1 คืน ดานัง มหานครแห่งเวียดนามกลาง
สถานที่ท่องเที่ยว : สะพานมังกร (Dragon Bridge) เมืองดานัง, Vietnam พิกัด GPS : 16° 3' 47.09" N 108° 13' 47.21" E
ถ้าพูดถึงเวียดนาม หลายคนอาจจะนึกถึงประวัติศาสตร์ด้านสงคราม ชุดประจำชาติที่สวยงามอย่างชุดอ๋าวหยาย เมืองที่มีรถมอเตอร์ไซค์เยอะๆ อาหารเวียดนามแสนอร่อย ในขณะที่บางคนอาจจะเคยอ่านกระทู้ด้านลบเกี่ยวกับประเทศนี้ใน pantip ทั้งเรื่องโดนโกง นิสัยของคนเวียดนาม และความปลอดภัยต่างๆ นอกจากนี้ บางคนก็อาจจะเคยได้ยินมาว่า เวียดนามไม่มีอะไร ในรีวิวซีรีส์ชุดนี้ ผมเลยจะพาทุกคนไปพบกับเวียดนามในแง่มุมใหม่ๆกันครับ
สำหรับทริปนี้ ผมไปมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 โดยผมได้เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในตัวเมืองดานัง ซึ่งอยู่ในภูมิภาคที่เรียกว่า เวียดนามกลาง (Central Vietnam) และเนื่องจากข้อมูลทั้งหมดที่ผมจะนำมาลงในบล็อกชุดนี้ เป็นการเดินทางในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมจะพยายามอัพเดทข้อมูลล่าสุดเท่าที่รู้ไว้ให้ แต่ก็อาจจะมีีหลุดๆอยู่บ้างๆ ดังนั้นใครที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ แล้วจะเอาไปวางแผนเที่ยว แนะนำอ่านเป็นแค่ไกด์ไลน์ก็พอนะครับ ส่วนข้อมูลโดยละเอียด เช่น พวกราคาค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ค่ารถ โรงแรมต่างๆ รวมไปถึงทัวร์ แนะนำให้เช็คเองอีกรอบหนึ่ง
รู้จักกับเมืองดานัง (Danang)
ดานัง (Danang) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเวียดนามกลาง ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ห่างจากกรุงฮานอย 800 กิโลเมตร และห่างจากนครโฮจิมินห์เกือบ 1 พันกิโลเมตร
ที่นี่เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 2 พันปี โดยได้รับการก่อตั้งในปี ค.ศ.192 โดย อาณาจักรจามปา (Champa Kingdom) ซึ่งเคยมีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่เวียดนามกลางและเวียดนามใต้ ทำให้บริเวณเมืองดานัง และพื้นที่ใกล้เคียงมีสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับอาณาจักรจามปาอยู่ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งโบราณคดีหมีเซิน (My son sanctuary), ภูเขาหินอ่อน (Mable Mountain), พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม (Cham sculpture museum) รวมทั้ง เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old town) ซึ่งในอดีตก็เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของอาณาจักรจามปา ต่อมาในศตวรรษที่ 11 อาณาจักรไดเวียต (Diviet Kingdom) ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวเวียดนาม จากเวียดนามตอนเหนือก็ค่อยๆแผ่อิทธิพลลงสู่ภูมิภาคเวียดนามตอนกลาง ทำให้อาณาจักรจามปาสูญเสียอิทธิพลในแถบนี้ และล่มสลายลงไปในเวลาต่อมา
เมื่อเวียดนามกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ดานังยังมีความสำคัญทั้งในทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง และเนื่องจากนอกตัวเมืองดานังเป็นภูเขาสูง ฝรั่งเศสจึงมีการสร้างสถานตากอากาศขึ้น เรียกว่า บานาฮิลล์ (Bana Hill) ซึ่งผมจะมารีวิวในบล็อกต่อๆไปนะครับ
หลังจากเวียดนามได้รับเอกราช และมีการแบ่งประเทศออกเป็น ประเทศเวียดนามเหนือ (North Vietnam) และ ประเทศเวียดนามใต้ (South Vietnam) เนื่องจากบริเวณเมืองดานังและโดยรอบอยู่ใกล้ชายแดน ที่นี่จึงเป็นสนามรบของเวียดนามทั้งสองฝ่าย ทำให้มีการประจำการของทหารชาติตะวันตกจำนวนมาก บริเวณชายหาดของเมืองดานังก็กลายสภาพเป็นสถานตากอากาศยอดนิยมของทหารอเมริกันระหว่างช่วงพักรบ จนเมื่อเวียดนามรวมชาติได้สำเร็จ ดานังก็ค่อยๆกลับมาเป็นเมืองเศรษฐกิจของภูมิภาคเวียดนามกลางอีกครั้ง
ปัจจุบัน ดานังได้ถูกแยกออกมาเป็นเขตปกครองพิเศษในประเภทเทศบาลนคร และเนื่องจากบริเวณรอบๆเมืองดานังมีแหล่งมรดกโลกอยู่ถึง 2 แห่ง ได้แก่ เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old town) และ แหล่งโบราณคดีหมีเซิน (My son sanctuary) ประกอบกับเมื่อปี 2017 ดานังได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC เมืองนี้จึงได้รับการโปรโมทออกสู่สายตาจากต่างชาติ ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งดานังและเมืองอื่นๆโดยรอบก็กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว
แผนเที่ยว
วันที่หนึ่ง - เดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินดานัง (VZ960)
- เดินทางเข้าเมืองดานัง/ เช็คอินเข้าที่พัก (Diamond sea hotel)
- บ่าย: เที่ยวชมหาด My khe
- เย็น: เดินเล่นริมสะพานมังกร (Dragon bridge)
วันที่สอง - เช่ารถพร้อมคนขับจาก Klook เที่ยวในตัวเมืองดานัง ได้แก่ เจ้าแม่กวนอิม (Lady Buddha) ที่แหลมเซินจา (Son tra peninsula), ภูเขาหินอ่อน (Mable mountain), โบสถ์ไก่สีชมพู (Danang cathedral), พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม (Cham sculpture museum)
- ช่วงบ่าย ให้คนขับไปส่งที่เมืองฮอยอัน
ที่พักที่เมืองดานัง
เราพักที่ Diamond Sea Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ใกล้กับหาดหมีเค (My khe beach) ในตัวเมืองดานัง ข้อดีของที่นี่คือ บรรยากาศที่พักดี พนักงานเป็นมิตร และบุฟเฟต์อาหารเช้าถือว่าดีเลย (ผมจองห้อง Deluxe แบบ Twin ผ่าน booking ได้ในราคาคืนละ 2,000 บาท หารต่อคนตกคนละ 1,000 บาท)
วันที่หนึ่ง
ทริปนี้ผมเริ่มต้นจากสนามบินดอนเมือง ไปถึงยัง ท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Danang International Airport) ตอน 9 โมงเศษ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าครับ (เวลาที่กรุงเทพกับดานังเท่ากัน) ถึงแล้วครับ ท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Danang International Airport) ที่นี่เป็นสนามบินที่เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเวียดนามกลาง โดยภาพรวม สนามบินนี้ถือว่าดูดีใช้ได้เลย ปัจจุบันมีไฟลท์ต่างประเทศมาลงค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะจากไทย จีน และเกาหลีใต้
การเดินทางจากสนามบินดานังเข้าเมือง
การเดินทางจากสนามบินไปยังเมืองฮอยอันมีหลายวิธี เช่น แท็กซี่สนามบิน, รถเช่า, Grab หรือ รถรับส่งของทางโรงแรม แต่สำหรับทริปนี้ ผมจองรถรับส่งเข้าเมืองผ่านทาง Klook ซึ่งเป็นแอปด้านการท่องเที่ยวชื่อดัง ที่มีบริการหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะจองรถ จองทัวร์ ไปจนถึงบัตรผ่านต่างๆ ผมลองใช้มา 2 ทริปแล้ว ประทับใจทั้งสองทริป และที่สำคัญ การจองบริการผ่านแอปนี้ สามารถสะสมเป็นแต้ม ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดได้ในครั้งต่อไปครับ
ทริปนี้ผมจองรถจากสนามบินเข้าเมืองดานังได้ในราคาประมาณ 360 บาท หารต่อคนก็เหลือแค่คนละ 180 บาทครับ
การเดินทางในเมืองดานัง
สถานที่ทั้งหมดที่จะนำมาในรีวิวตอนนี้ จริงๆ สามารถเดินทางได้ด้วย Grab ทั้งหมดครับ โดยเราสามารถใช้ app เดียวกับที่ใช้เรียก grab ในเมืองไทยได้เลย
การใช้ grab ในเวียดนามมีข้อดีมากมายทั้งราคาถูก, คนขับมารยาทดี, มีราคาชัดเจน ไม่ต้องเสี่ยงกับรถแท็กซี่ที่มีชื่อเสียงในทางแย่ๆในประเทศนี้ ชายหาดหมีเค (My Khe Beach)
เมืองดานังมีความโดดเด่นในเรื่องของชายหาดครับ ที่นี่มีชายหาดเป็นแนวยาวกว่า 30 กิโลเมตร หาดพวกนี้จะถูกเรียกรวมๆว่า China beach ซึ่งเป็นสถานที่ตากอากาศยอดนิยมของทหารสหรัฐที่มาประจำการในช่วงสงครามเวียดนาม
ในบรรดาหาดทั้งหมดของดานัง หาดที่มีความโดดเด่นและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ หาดหมีเค (My Khe beach) ซึ่งก็คือ หาดที่อยู่หน้าโรงแรมที่เราพักนั่นเอง
หาดนี้ถือว่ามาเดินเล่นหรือเล่นน้ำได้ชิลล์ๆครับ แต่ส่วนตัว ผมว่าชายหาดที่เมืองไทยสวยกว่าเยอะ เพราะทรายที่นี่ค่อนข้างดำ และน้ำไม่ค่อยใสเท่าไหร่ แต่ข้อดีของหาดที่นี่คือ แทบไม่มีขยะเลย ที่นี่เราจะได้เห็นกิจกรรมต่างๆทั้งจากนักท่องเที่ยว และชาวประมงท้องถิ่น
เรือตะกร้า (Basket boat)
ถ้าใครที่มาเที่ยวในโซนเวียดนามกลาง รวมทั้งเมืองดานัง จะเห็นเรือรูปร่างแบบนี้กันอย่างแพร่หลาย เรือพวกนี้ใช้ได้จริงครับ ชาวประมงจะใช้เรือพวกนี้ในการจับปลา รวมทั้งใช้ในการบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย แต่เรือที่ใช้บริการนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองฮอยอันซะมากกกว่า
หลายๆคนคงสงสัยว่า เรือพวกนี้มีที่มายังไง คำตอบคือ ต้องย้อนกลับไปในช่วงที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในช่วงนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสมีนโยบายในการเก็บภาษีเรือจากชาวประมงในอัตราที่สูงมาก จนพวกเค้าไม่สามารถจ่ายได้ ชาวประมงแถวนั้นจึงประดิษฐ์เรือพวกนี้ขึ้นมา เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษี เพราะเรือตะกร้าจะถูกตีความว่าไม่ใช่เรือ จึงไม่ต้องเสียภาษี นั่นเอง
จากชายหาดหมีเค เราก็เรียก grab ไปยังจุดต่อไปนั่นก็คือ จุดชมวิวสะพานมังกร ครับ
สะพานมังกร (Dragon bridge)
สะพานมังกรเป็นสะพานข้าม แม่น้ำหาน (Han River) เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จไปเมื่อปี 2013 นี่เอง แต่ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองดานังในเวลาอันรวดเร็ว ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่สะพานแห่งนี้หลายล้านคน จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในตัวเมืองดานัง
ช่วงเวลาที่แนะนำมาเยี่ยมชมสะพานแห่งนี้เป็นตอนเย็นครับ เพราะเราจะได้เห็นสะพานมังกรตั้งแต่ช่วงกลางวันไปจนถึงช่วงที่เปิดไฟในยามค่ำคืน และที่สำคัญ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เวลา 21.00 น. ที่นี่จะมีการแสดงที่ชื่อว่า Fire-breath of Dragon ให้เราได้ชมกันด้วย
Fatfish Restaurant & Lounge Bar
ใครที่มาเดินเล่นที่สะพานมังกรเสร็จแล้ว ผมแนะนำให้มาทานอาหารเย็นต่อที่นี่ ร้านจะอยู่ใกล้ๆกับสะพานมังกร ตรงข้ามกับรูปปั้นมังกรพ้นน้ำ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารเวียดนาม Fusion สไตล์หรูหรา แต่ราคาไม่แรง ร้านบรรยากาศดีมาก และที่สำคัญ Cocktail ตัว signature ของที่นี่อร่อยมากครับ ต้องมาชิมให้ได้เลย
หลังจบมื้อเย็น เราก็เรียก grab กลับไปที่โรงแรม การเดินทางในวันที่สองก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ
วันที่สอง
สำหรับวันนี้ เรายังอยู่กันที่เมืองดานัง โดยผมตัดสินใจเช่ารถพร้อมคนขับจาก Klook เที่ยวตามจุดต่างๆของเมืองดานัง ก่อนจะให้คนขับไปส่งเราที่เมืองเก่าฮอยอันในช่วงบ่าย โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่เราแวะชมในวันนี้มีดังต่อไปนี้ครับ
เจ้าแม่กวนอิมยักษ์ที่แหลมเซินจา (Son Tra Peninsula)
ถือเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองดานัง ตั้งอยู่ใน วัดหลินอึ้ง (Linh Ung Temple) ซึ่งจริงๆแล้ว วัดหลินอึ้งในเวียดนามหลายที่ (อารมณ์คล้ายๆวัดมหาธาตุของบ้านเราที่มีชื่อวัดนี้อยู่ในหลายๆจังหวัด) แต่วัดที่ผมกำลังกล่าวถึงในที่นี้คือ วัดหลินอึ้งที่แหลมเซินจา (Son tra peninsula) ครับ
ไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงถึง 67 เมตร นับเป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงที่สุดในประเทศเวียดนาม และใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก
ชาวดานังให้ความนับถือเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าท่านเป็นผู้ปกป้องเมืองดานังให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ถูกสร้างเสร็จในปี 2010 เมืองดานังก็ไม่เคยเจอกับพายุไต้ฝุ่นที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงอีกเลย (ยกเว้นเมื่อปี 2022 ดานังเจอพายุไต้ฝุ่นโนรูเข้าไป เสียหายหนักเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อนปี 2010)
เจ้าแม่กวนอิมหันหน้าเข้าสู่ทะเล เราสามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวเมืองดานังได้จากที่นี่ด้วยครับ
โบสถ์ไก่ (Danang Catedral)
เป็นโบสถ์สีชมพู สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic ในปี 1923 คนดานังนิยมเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่า โบสถ์ไก่ เพราะมีกังหันลมรูปไก่ติดอยู่ด้านบนสุด
พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม (Cham sculpture museum)
อย่างที่ผมเคยอธิบายไปในรีวิวตอนที่ 1 ว่า ในอดีตเมืองดานังและบริเวณรอบๆถือเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรจามปา (Champa Kingdom) เราจึงพบโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรนี้ในบริเวณเมืองดานัง และพื้นที่โดยรอบเป็นจำนวนมาก
พิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสและเปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี 1919 เพื่อรวบรวมและใช้ในการจัดแสดงโบราณวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรจามปา ไม่ว่าจะเป็น ศิวลึงค์, ฐานโยนี, พระพุทธรูป, เทวรูป, ศิลาจารึก และ รูปแกะสลักต่างๆ รวมแล้วกว่า 400 ชิ้น ใครเป็นคอประวัติศาสตร์บอกเลยว่า ห้ามพลาดที่นี่ครับ
ค่าเข้าชม: 40,000 ดอง
ภูเขาหินอ่อน (Mable mounatian)
เป็นภูเขาอยู่ระหว่างเมืองดานังกับเมืองฮอยอัน ประกอบไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ 5 ลูก ตั้งชื่อตามธาตุทั้งห้า ได้แก่ ถวีเซิน (น้ำ), หม็อกเซิน (ไม้), ฮวาเซิน (ไฟ), กิมเซิน (โลหะ) และ โถเซิน (ดิน) แต่ภูเขาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ ภูเขาถวีเซิน ซึ่งมีทั้งโถงถ้ำ, วัดพุทธ และวัดฮินดู
ไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่ ถ้ำเหวียนคง (Huyen Khong Cave) ซึ่งเป็นถ้ำที่มีช่องแสงธรรมชาติอยู่ด้านบน และเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพเจ้าที่เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวจามและชาวเวียดนาม
ในอดีตภูเขาที่นี่ทั้งลูกเป็นหินอ่อน ชาวบ้านแถวนี้จึงมีอาชีพในการแกะสลักหินอ่อนขาย แต่ปัจจุบันหินอ่อนหมดแล้วครับ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหินอ่อนที่ขายอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่ทำมาจากหินอ่อนที่นำมาจากส่วนอื่นของประเทศเวียดนาม
ค่าเข้าชม: เฉพาะค่าเข้า 40,000 ดอง แต่ถ้าใครไม่อยากเดินขึ้น สามารถขึ้นลิฟต์ได้ในราคา 15,000 ดอง
หลังจากที่เราเท่ี่ยวชมภูเขาหินอ่อนแล้ว เราก็ให้รถไปส่งที่เมืองเก่าฮอยอัน ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง ทริปดานังสั้นๆ 2 วัน 1 คืนก็จบเพียงเท่านี้ครับ
ในตอนถัดไป ผมจะมารีวิวเมืองเก่าที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกอย่าง เมืองฮอยอัน (Hoi An Old town) รวมทั้งมรดกโลกอีกแห่งที่คนไทยหลายคนมักจะมองข้ามไปนั่นก็คือ แหล่งโบราณคดีหมีเซิน (My Son Sanctuary) ฝากติดตามกันต่อ และถ้าใครเห็นว่า รีวิวนี้มีประโยชน์ รบกวนช่วยคอมเม้นบอกด้านล่าง ผมจะได้มีกำลังใจในการทำรีวิวต่อด้วยครับ
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง
Create Date : 13 พฤษภาคม 2563 |
Last Update : 1 ธันวาคม 2566 22:50:26 น. |
|
9 comments
|
Counter : 14417 Pageviews. |
|
|