หนังสือ..ปัดฝุ่น ความคิด จิตอารมณ์ บทที่ 7 - 10
มาอ่านกันต่อนะคะ

(งานเขียนชิ้นนี้ เป็นหนังสือแนวสุขภาพใจและพัฒนาตนเอง หากท่านใดสนใจติดต่อหลังไมค์หรือ เมลมาถามได้ค่ะ)


๗.


“เมื่ออิสรภาพเรียกร้อง”


เมื่อชีวิตคุณถูกกักขังด้วยภาระหน้าที่
เมื่อชีวิตคุณถูกเกาะกุมด้วยความความรัก
เมื่อชีวิตคุณถูกปิดกั้นทางความคิดความรู้สึก
เมื่อคุณอยากจะเรียกร้องความเป็นตัวเองขึ้นมา
เมื่ออิสรภาพของคุณถูกหน่วงเหนี่ยวด้วยสามัญสำนึก
เมื่อชีวิตคุณถูกล้อมกรอบด้วยคำว่า ความจำเป็นบางอย่าง
เมื่อชีวิตคุณถูกจำกัดขอบเขตด้วยความห่วงใยของใครสักคน


คุณอาจสงสัยและสับสนกับตัวเองว่า ทุกวันนี้ที่คุณทำได้และเป็นอยู่ คุณตัดสินใจผิดพลาดลงไปหรือไม่ เมื่อจิตใต้สำนึกส่งเสียงขึ้นมา ร่ำร้องให้คุณเริ่มมีความคิดเสียดายและโหยหายถึง อิสรภาพ (Freedom) ให้กลับมาอีกครั้ง


ฉันต้องการอิสรภาพ...ที่จะอ่าน เขียน ฟัง
ฉันต้องการอิสรภาพ...ในการตัดสินใจ
ฉันต้องการอิสรภาพ...ทางด้านความคิด
ฉันต้องการอิสรภาพ...ในด้านความเป็นอยู่
ฉันต้องการอิสรภาพ...ในการพูดการซักถาม
ฉันต้องการอิสรภาพ...เพื่อทำในอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ฉันต้องการอิสรภาพ...เพื่อที่จะได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส


แน่นอนว่า ความรู้สึกของคุณกำลังถกเถียงและขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้ ฉันจะไม่บอกหรอกว่าการที่คุณมีความรู้สึกโหยหาอิสรภาพนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด เพราะฉันเชื่อว่า คุณย่อมรู้ความคำตอบได้ดีมากกว่าใครทั้งหมด


ตั้งแต่เกิดจนโต มนุษย์ทุกคนมีขีดข้อจำกัดของตัวเองในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรัก การงาน การเงิน ความเมตตาช่วยเหลือ ความมีน้ำใจ ความโกรธ ความอดทนอดกลั้นและอื่นๆ เราทุกคนที่อยู่ในสังคมของคนหมู่มากย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องถูกตีกรอบบีบรัดให้จำกัดพื้นที่ของความเป็นตัวตน


เพราะตราบใดที่มนุษย์อยู่ร่วมกันมีสัมพันธภาพเกี่ยวข้องกัน จึงเป็นการยากที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถแสดงออกถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ การที่คนเราดำรงชีวิตอยู่ในทุกเสี้ยววินาที ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าต้องเผชิญกับสิ่งกดดันมากน้อยเพียงใด บางคนอาจได้รับมามาก บางคนอาจได้รับมาน้อย แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของบุคคลนั้นๆ


แต่เมื่อใดก็ตามที่เราทุกคนต้องเผชิญกับความอัดอั้นในสภาวะที่เกิดขึ้น ทุกคนย่อมหาทางออกให้แก่ตัวเองทั้งสิ้น เพียงแต่ทางออกของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันไป


ดูผิวเผินมนุษย์ถูกเรียกว่าเป็น สัตว์สังคม ตามคำกล่าวของ อริสโตเติล ด้วยเหตุเพราะว่า มนุษย์จำต้องอยู่ร่วมอาศัยพึ่งพากันตลอดเวลา แต่ในหลักของจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์แล้ว ทุกๆ คนปรารถนาที่จะมีขอบเขตความเป็นส่วนตัวด้วยการทั้งสิ้น


ซึ่งเมื่อมนุษย์คนใดก็ตามที่กลับเข้าไปยังโลกส่วนตัวของตนเองแล้ว เขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงความผ่อนคลาย ปลอดภัย นุ่มนวล อบอุ่น มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีภาวะจิตใจสงบเยือกเย็นลงได้ และในพื้นที่ส่วนตัวนี้จะถูกจำกัดสิทธิ์โดยห้ามให้บุคคลอื่นล่วงล้ำเข้ามาเด็ดขาด และบุคคลที่ถูกห้ามปรามก็ควรที่จะเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายด้วย เพราะหากถ้าคุณต่อต้านและรุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่น ในขณะที่เขาแขวนป้ายห้ามแล้ว เชื่อเถอะว่า คุณได้สร้างความเดือดดาลใจและความขุ่นเคืองใจให้แก่เขาอย่างแน่นอน


จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ ไม่ว่าคุณหรือเขาเหล่านั้นจะมีความคิดโหยหาอิสรภาพต่างๆ ขึ้นมา เพราะทุกวันทั้งคุณและเขาเหล่านั้นต่างก็เร่งรีบแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งทางธุรกิจ การเงิน ความรัก การศึกษา ฯลฯ และเมื่อวันหนึ่งที่ร่างกายและพลังงานของคุณเริ่มลดน้อยถอยลงไป คงถึงเวลาที่คุณควรจะได้พักผ่อน คุณสามารถปล่อยอิสรภาพในตัวคุณเองให้โบยบินออกมาสูดอากาศที่สดชื่น สัมผัสกับความเย็นของน้ำ ฟังเสียงลมที่โชยมาอย่างแผ่วเบา ขยับเท้าเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่หัวใจของคุณปรารถนา ที่ได้สัมผัสกับกลิ่นไอดินและแดดฝน เพียงแต่มีกฏบางข้อที่คุณต้องไม่ลืม...


เมื่อคุณเรียกร้องหาอิสรภาพ คุณต้องเรียนรู้และรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้อง อิสรภาพไม่ได้หมายถึงการที่คุณต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่การละทิ้งละเลยในภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ครอบครัว ธุรกิจการงาน การเงินหรือมิตรภาพ


แต่! ความฉลาดในการใช้อิสรภาพ คือการที่คุณแบ่งพื้นที่ แบ่งเวลาที่มีอยู่ในโลกความเป็นจริงของคุณออกมา แล้วเดินเข้าไปหาโลกแห่งความเป็นส่วนตัว เข้าไปเก็บเกี่ยวตักตวงความสุข ความสนุกสนานและความสงบ เข้าไปอยู่กับจิตวิญญาณ ความต้องการและสัญชาตญาณที่แท้จริงของตัวเอง เมื่ออิสรภาพเรียกร้อง คุณสามารถหยิบออกมาใช้งานได้ เพียงแต่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนหรือสร้างปัญหาให้แก่ผู้อื่น เพราะคำว่า อิสรภาพ สามารถทำให้คุณเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ คุณต้องเรียนรู้วิธีใช้ให้เป็นอย่างถูกต้องและเหมาะสม


จงอย่าให้ อิสรภาพ มาทำให้คุณต้องกลายเป็น บุคคลที่ไร้ซึ่งเสรีภาพ ตลอดกาล


จงอย่าใช้ อิสรภาพ มาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังความชั่วร้ายและการกระทำสิ่งที่ผิดต่อหลักศีลธรรมและผิดต่อข้อกำหนดของกฏหมาย.


“จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น
เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า”

(๑ เปโตร ๒ : ๑๖)

**********



๘.



“ชีวิตที่มีความสุข
คือการยอมรับความเป็นจริง”



ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ก็คือ การยอมรับความเป็นจริง ทุกวันนี้มีอีกหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะจิตใจของตนเองเป็นผู้ชักนำเข้ามาทั้งสิ้น

บางคนทุกข์ใจเพราะคิดว่าในโลกนี้ไม่มีคนที่รักและหวังดีกับตนเอง บางคนทุกข์ใจเพราะอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น บางคนทุกข์ใจเพราะกลัวที่จะพยายามทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย บางคนทุกข์ใจเพราะยึดติดกับอดีตและปมด้อยของตนเอง บางคนทุกข์ใจที่คนที่ตนรักไม่เป็นอย่างที่ตัวเองปรารถนา และอีกหลายๆ ความทุกข์ใจที่เราทุกคนพยายามจะหามาเก็บและยึดถือมันเอาไว้

มนุษย์มักไม่ยอมรับธรรมชาติและความเป็นจริง มีคนอีกหลายคนที่พยายามต่อต้านในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนลืมตาออกมาดูโลก รู้จักคืบคลาน รู้จักก้าวเดิน วิ่งและกระโดด เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ มนุษย์รู้จักความรักและการครองคู่ และแล้ววันเวลาลุล่วงมาถึงวัยชราที่สภาพร่างกายทรุดโทรม เนื้อหนังมังสาเหี่ยวย่นและไร้เรี่ยวแรง ท้ายที่สุดก็ถึงวันที่หมดลมหายใจลง นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและความจริงที่ไม่มีมนุษย์คนไหนหลีกเลี่ยงได้พ้น


ดิฉันเคยได้รับฟังความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งดิฉันเคารพนับถือชายผู้นี้เหมือนกับเป็น พี่ชายแท้ๆ ของดิฉันทีเดียว ครั้งหนึ่งพี่ชายท่านนี้เคยบอกกับดิฉันถึงเหตุผลที่เขาไม่ยอมแต่งงานว่า


“เพราะรับความจริงไม่ได้ที่จะเห็นผู้หญิงที่เป็นภรรยามีสภาพร่างกายแก่ลงไปทุกวัน ทนเห็นผิวหนังที่เริ่มเหี่ยวย่น มีริ้วรอยและมีก้อนไขมันหลายกิโล อัดแน่นอยู่ภายใต้ผิวหนังบริเวณสะโพกหรือรอบเอว และที่สำคัญไม่ชอบการถูกตีกรอบของชีวิต การที่ต้องละทิ้งอิสรภาพของตนเองไปเพื่อผู้อื่น ถึงแม้ทุกวันนี้อยากจะมีบุตรก็ตาม และก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงที่เลือกมาแต่งงานด้วย ต้องไร้ความสุข ถ้าหากพี่ไม่พร้อมและไม่เต็มใจที่จะใช้คำว่า ครอบครัว”

หลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นทั้งหมดแล้ว ดิฉันจึงย้อนถามกลับไปว่า
“พี่จะแก่ลงบ้างไหม”

พี่ชายท่านนี้ ถึงกับอึ้งสักครู่ ก่อนที่ตอบกลับมาว่า

“พี่พยายามที่จะทำให้ตัวเองแก่ช้าที่สุด และยอมรับว่าตัวเองต้องแก่ลง” บทสนทนาจบลงตรงที่ดิฉันได้แต่ยิ้มรับให้กับคำตอบของพี่ชายท่านนี้


นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ กรณีของการไม่สามารถยอมรับการแปรสภาพของร่างกาย ที่จากเดิมมีความสวยสด เต่งตึงงดงามแต่เมื่อเวลาหมุนผ่านไปทุกวัน ร่างกายที่เคยแข็งแรง สดใสและสวยงามต้องเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ จึงมีบางคนที่ไม่กล้ายอมรับความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวาระในการใช้งานทั้งสิ้น


จึงทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นผู้ชื่นชมกับสิ่งสวยงาม ค่อนข้างทำใจยอมรับสภาพได้ยาก จึงเห็นได้ว่ามีบางคนที่ต้องพึ่งแพทย์ศัลยกรรม ส่วนหนึ่งอาจเพื่อหน้าที่ การงานและส่วนหนึ่งเพื่อยื้อเวลาแห่งความอ่อนวัยให้ยาวนานที่สุด และไม่มีคำว่า ผิด หรือ ถูก แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละบุคคลเป็นหลักสำคัญ
ซึ่งอย่าลืมว่า ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดหลีกหนีความเป็นจริงแห่งวิถีแห่งธรรมชาติไปได้ รวมทั้งตัวของดิฉันเองด้วยเช่นกัน.


ไม่ใช่มีเพียงแต่สภาพร่างกายที่มนุษย์ไม่กล้ายอมรับ เมื่อถึงกาลเวลาแห่งความเสื่อมโทรมมาถึง แต่ยังรวมไปถึงการปฏิเสธความจริงในทุกแง่มุมของชีวิตคุณ


มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...ตัวของคุณมีข้อด้อย ข้อเสีย ข้อน่ารังเกียจต่างๆที่ควรแก้ไข...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนมีปมด้อย ไม่สมบูรณ์แบบ...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณร้องเพลงไม่ไพเราะ และไม่มีใครอยากฟังเสียงของคุณ...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตัวเองลง...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณเป็นคนเหลวไหล โลเล ไร้สัจจะ ไร้น้ำใจและชอบเอาเปรียบ...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนที่สังคมและบุคคลอื่นพากันรังเกียจ...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณไม่เคยจริงใจกับใครเลย หวังเพียงประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า มิตรภาพ...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด และทำให้ผู้อื่นขยะแขยงที่จะเข้าใกล้...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่หาเช้ากินค่ำ หรือเป็นเพียงพนักงานกินเงินเดือน...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยอับโชคและไร้วาสนา...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณนั้นช่างอ่อนแอ ขี้แย เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล เจ้าอารมณ์และช่างหวาดระแวงไปทุกอย่าง...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนที่น่าเบื่อมากที่สุด...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณไม่ใช่คนรอบรู้ ไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนมีพรสวรรค์หรือมีความสามารถเช่นเดียวกับคนอื่นๆ...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนไร้ค่า ขาดศักยภาพ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าสนใจ ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ไร้เสน่ห์และดูโง่ในสายตาของผู้อื่น...ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้

มีบ้างที่คุณไม่ยอมรับว่า...คุณอ้วนขึ้น สีผิวไม่สม่ำเสมอ รูปร่างไม่สมส่วน ใบหน้ามีริ้วรอย เส้นผมไม่อ่อนนุ่ม ปากไม่อวบอิ่ม มีกลิ่นปากและกลิ่นตัว...คุณคิดว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุด... ถ้าหากคุณยอมรับความจริงข้อนี้
และยังมีอีกมากมายที่คุณไม่อยากจะยอมรับ...


แต่...ความจริงก็คือความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดมาโดย วิถีแห่งธรรมชาติ (The way is nature) ถึงแม้ในบางครั้งเราอาจดูเป็นคนที่เหลวไหล ไม่ได้เรื่องได้ราว หรือไม่เฉลียวฉลาด หรือไม่มีความสวยงามเทียบเท่านางงามจากหลายเวทีก็ตาม แต่นั่นก็คือความจริงที่สุด ที่เราเป็นอยู่และมีอยู่
ขอเพียงแต่เรารู้ เรามองเห็นส่วนบกพร่องของตนเอง แล้วยอมรับมันซะ...เมื่อใจของเรายอมรับความจริงได้...เราจะเข้าใจแก่นแท้ของวิถีแห่งธรรมชาติและจิตวิญญาณของตน เราจะได้เรียนรู้ว่า ทุกสิ่งรอบตัวของเราสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดนิ่งสักวัน ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ยืนยาว ไม่ว่าจะเป็น รูปร่างหน้าตา ท่าทางบุคลิก การกระทำ อุปนิสัยใจคอ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมีและอื่นๆ อีกมากมาย


แม้กระทั่ง เข็มของนาฬิกา ซึ่งจะไม่ตีบอกเวลาเก้าโมงเช้าถึงสองครั้งในหนึ่งวัน และเข็มนาฬิกาจะไม่มีวันหยุดเดินไปจนกว่าลานจะขาดหรือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพลงไป


ดิฉันเองก็เคยเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงในบางสิ่งบางอย่าง เพราะบางทีดิฉันเคยคิดว่าถ้าหากยอมรับออกไปอาจกลายเป็นคนที่ไม่ฉลาด หรือกลายเป็นคนที่อ่อนแอ หรือบางทีดิฉันอาจจะกลายเป็นคนที่ไม่เอาไหน ไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิต ดิฉันยอมรับว่า ตัวเองนั้นหาเหตุผลอย่างมากมายเพื่อที่จะมารองรับ หรือหากจะเรียกให้ถูก ก็คือ ดิฉันกำลังหาข้ออ้างให้แก่ตัวเองและดิฉันอยู่กับความต่อต้านภายในจิตใจ ซึ่งสามัญสำนึกส่วนหนึ่งตะโกนบอกว่า...ควรจะยอมรับความจริงว่าเป็นคนเช่นไร ไม่ดีอย่างไร มีข้อบกพร่องตรงไหน



แต่เปล่าเลย...ดิฉันพยายามที่จะปฏิเสธ สิ่งที่ผู้อื่นพร่ำบอก พยายามที่จะยัดเยียดให้คนอื่นเป็นคนไม่ดีแทน พยายามที่จะเขย่งเท้าของตัวเองให้สูงขึ้นจากเดิมที่ยืนอยู่ เพราะดิฉันไม่ค่อยพอใจนักกับความสูงของตัวเอง ไม่พอใจที่ตนเองมักไม่ค่อยมีโอกาสดีๆ เหมือนกับคนอื่นๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว เท้าของดิฉันเริ่มที่จะชาทีละนิด ทีละน้อย ดิฉันตระหนักถึงความเมื่อยล้าและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ยิ่งดิฉันพยายามต่อต้านมากเท่าใด ดิฉันก็ยิ่งอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น อีกทั้งคนที่เคยหวังดี คนที่เคยอยู่รอบกายของดิฉัน ก็เริ่มห่างเหินไป



นั่น! ทำให้ดิฉันกลับมาหวนคิดว่า...สาเหตุเป็นเพราะอะไรกันแน่? ดิฉันตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ สุดท้ายคำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ ดิฉันไม่เคยเปิดใจยอมรับข้อเสียของตัวเอง ไม่เคยเปิดตามองคนอื่น ดิฉันเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง หวังเพียงให้คนอื่นที่เปรียบเหมือนดาวเคราะห์หมุนรอบตัวของดิฉันอยู่ฝ่ายเดียว

ซึ่งแน่ล่ะว่า ดาวเคราะห์เหล่านั้นก็มีวันที่เหนื่อยล้ากับการต้องหมุนรอบวงโคจรของดาวดวงใหญ่ที่ไม่เคยจะส่งลำแสงแห่งความสว่างมายังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆบ้างเลย


ดังนั้น เมื่อรู้คำตอบแล้ว ดิฉันรีบกระแทกประตูบานใหญ่ที่เคยปิดตายอยู่ในหัวสมอง ในหัวใจและในสามัญสำนึกของนิสัยเบื้องลึกสุดให้พังทลายลง แล้วยืนตะโกนออกไปว่า


“ฉันมีข้อเสียหลายอย่างนะ ถึงแม้อาจไม่ใช่ข้อเสียขนาดใหญ่ แต่ฉันก็ควรต้องปรับปรุงและแก้ไขมันซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก่อนที่ฉันจะสูญเสียบุคคลสำคัญ หรือสิ่งสำคัญในชีวิต”


ดิฉันเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง รู้จักกล่าวโทษตัวเองมากกว่ากล่าวโทษผู้อื่น รู้จักชื่นชมยินดี ในผู้อื่นมากขึ้น ขอบคุณบุคคลรอบข้างและสิ่งต่างๆ รอบกายมากขึ้น เมื่อดิฉันได้เรียนรู้ว่าตัวเองเป็นเช่นไร มีข้อบกพร่อง ผิดพลาด หรือข้อดีอย่างไร ดิฉันก็สามารถหาทางออกให้กับการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะดิฉันรู้จักที่จะยอมรับธรรมชาติของตัวเองและยอมรับธรรมชาติของคนอื่น รู้จักที่จะนำมาปรับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและยืดหยุ่นได้ เพราะดิฉันยังคงเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ในทุกๆ วัน ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยโลกใบนี้ควบคู่ไปกับเพื่อนมนุษย์อีกมากมาย



ทุกวันนี้ พู่กันชีวิตและถาดสีแห่งจิตใจ ของตัวดิฉันไม่เคยถูกวางลงเลย เพราะว่าดิฉันรู้จักที่จะเลือกเฉดสีต่างๆ ขึ้นมาระบายภาพรวมของการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างมีความสุขตามใจปรารถนา ด้วยสีสันแห่งการรู้จักตนเอง ยอมรับตนเอง เรียนรู้ที่จะรักและยอมรับผู้อื่นให้ได้มากที่สุด
เพราะว่าดิฉันเรียนจบหลักสูตร ศิลปะแห่งธรรมชาติและความจริง มา และนั่นที่ทำให้ดิฉันได้ใบปริญญาเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ ซึ่งมันสำคัญมาก เพราะใบปริญญานี้เขียนไว้ว่า


“ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ก็คือ การยอมรับความเป็นจริง”


ดิฉันมั่นใจว่าทุกๆ คนสามารถเรียนจบหลักสูตรนี้ได้ และอาจทำคะแนนได้ดีกว่าดิฉัน จนสามารถคว้าเกียรตินิยมมาครอบครอง...ขอเพียงคุณเริ่มลงมือซะตั้งแต่วันนี้


ทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
แค่เพียงเปิดใจยอมรับความจริง
เรียนรู้ ปรับปรุงและแก้ไข ในจุดอ่อน จุดเสียของตนเอง
เชื่อเถอะว่า ผลตอบแทนนั้น
ช่างหอมหวานและคุ้มค่าเหลือเกิน.

**********


๙.



“ปราศจากความรัก
ก็ปราศจากชีวิต”


“ความรักนั้น อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง”


( ๑โครินธ์ ๑๓ : ๔ - ๗)


ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ ที่หัวใจจะปราศจากซึ่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นการรักตนเอง รักเพื่อนมนุษย์ รักในสัตว์ร่วมโลก รักในสิ่งของวัตถุ แม้กระทั่งรักในสิ่งที่เป็นเพียงนามธรรมหรือภาพมายา เราทุกคนอยู่กับความรักแทบทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเดือนและทุกปี



บนพื้นโลกที่ขรุขระใบนี้ได้แบ่งแยกความรักออกเป็นหลายแขนง ไม่ใช่มีใครมาแบ่งให้ แต่เป็นตัวตนของเราเองต่างหากที่สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมา ซึ่งการแบ่งแยกที่เราทุกคนเรียนรู้มาพร้อมๆ กัน ก็มีทั้ง ความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรและความรักของบุตรที่มีต่อบุพการีของตน ความรักฉันท์มิตร ความรักแบบหนุ่มสาว แบบสามีภรรยา ความรักที่ครูบาอาจารย์มีต่อศิษย์ ความรักต่อสัตว์เลี้ยง ความรักในสิ่งของสะสม ความรักในชื่อเสียง เงินทอง อำนาจบารมี ความรักต่อกิจการงานหรือสิ่งที่ตนกระทำ ความรักในประเทศชาติ ความรักต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอื่นๆ อีกมากมาย


แน่นอนว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีลมหายใจ ยังได้ยินเสียงไก่ขันในเวลาเช้า ยังได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในทิศทางเดิม ได้ยิ้มและหัวเราะออกมาเมื่อฟังเรื่องขำขัน และร้องไห้อย่างทุรนทุรายยามเจ็บปวด ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยง และปฏิเสธว่าตนไม่รู้จัก ความรัก (Love) ไม่มีสักคน


คำว่า รัก (Love) หมายถึง ความเสน่หา ความชอบ ความรู้สึกอย่างผูกพันด้วยความชื่นชมยินดี ความรักเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่อยู่ภายในหัวใจของมนุษย์ เมื่อเกิดความรักขึ้นมามนุษย์ทุกคนย่อมมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป บางคนกลายเป็นคนขยัน บางคนกลายเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นมากขึ้น บางคนฝึกฝนทำอาหารเพื่อต้องการเห็นสีหน้าแววตาและคำเอ่ยชมจากปากของคนรักเมื่อได้ลิ้มชิมรสชาดของอาหารแล้ว


บางคนเคยเป็นคนอ่อนแอ และไม่เคยมุ่งมั่นจริงจังเพื่ออะไรเลย มิหนำซ้ำยังเคยถูกปรามาสว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่วันหนึ่งคนผู้นั้นกลับกล้าลุกขึ้นมาประกาศต่อโลกว่าสามารถทำทุกอย่างและเป็นคนใหม่ได้ทันที เพื่อ คนที่ตนรัก

ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีความรัก รู้จักคำว่า รัก กันทุกคน แต่ก็ยังมีบางคนที่ใช้ความรักไปในทางที่ผิด ใช้ความรักที่งดงามเพียงเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ตามใจลูกโดยไม่คำถึงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดและจะส่งผลต่อลูกในภายภาคหน้า การยอมตามใจคนรัก ยอมทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย และไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นหรือสิ่งอื่น หรือแม้แต่บางคนยินยอมที่จะละเลยความรักที่ดีซึ่งมีอยู่แล้ว เพียงเพื่อไล่ล่าไขว่คว้าหาบางสิ่ง โดยที่ตนนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่ รักแท้จริงหรือไม่


“อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักที่มีต่อกัน”


(โรม ๑๓ : ๘ )


ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่จะดำรงให้สรรพสิ่งบนโลกใบนี้มีความหมายและทรงคุณค่ายิ่งนัก ความรักเป็นสิ่งสร้างสรรค์ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นความหวัง เป็นโอกาสและเป็นความปรารถดี เป็นความสุขและความทุกข์ ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นน้ำทิพย์จากแดนสวรรค์ที่จะมอบความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำให้กับชีวิตและเป็นดั่งเปลวเพลิงอันร้อนระอุที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้กลายเป็นจุณได้ในพริบตา


และหากคนที่คุณรักนั้น เป็นชายหนุ่มหรือเป็นสามี คุณต้องพยายามเข้าใจในธรรมชาติของผู้ชาย ว่าโดยพื้นฐานของเพศชายแล้ว ชอบการเป็นผู้นำ เป็นจ่าฝูง เป็นนักสู้ ชอบที่จะท้าทายทดลอง กล้าเผชิญหน้า ชอบบริหารเสน่ห์ มักช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า รู้จักที่จะปกป้องหวงแหนอาณาเขตหรือสิ่งที่เป็นของตนเอง มักแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไม่มีความละเอียดอ่อนถี่ถ้วนมากนัก บางครั้งก็ละเลยที่จะใส่ใจทางด้านความรู้สึก ซึ่งผู้ชายส่วนมากนั้น ไม่ชอบการถูกบงการหรือถูกบังคับข่มขู่ หยิ่งในศักดิ์ศรี ง้องอนไม่เก่งและบางคนอ่อนด้อยด้านความอ่อนหวาน


สำหรับในเพศหญิงแล้ว ส่วนใหญ่เมื่อผู้หญิงหลายคนมีความรักขึ้นมา ก็มักจะเริ่มเรียกร้องให้ฝ่ายชายเป็นในสิ่งที่ตนต้องการและปรารถนา ต้องการความอาใจใส่ดูแล ต้องการคำพูดหวานๆ หรือความห่วงหาอาทรและกำลังใจจากชายที่ตนรัก ต้องการความปลอดภัยทางจิตใจและมักจะมีความคาดหวังสูงต่อชายหนุ่มที่ตนรัก ซึ่งผู้ชายบางคนยินดียินยอมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและแก้ไขในนิสัยบางอย่างเพื่อหญิงสาว แต่ก็มีอีกหลายคนที่ปกป้องความเป็นตัวตน และบางคนต่อต้านรวมไปถึงการไม่ยินยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆทั้งสิ้น


ในบางครั้งหรือบางคน อาจละเลยไปว่าความรักที่ตนมีอยู่นั้น จำเป็นที่จะต้องขีดเส้นตีกรอบเอาไว้ให้คนรักหรือบุคคลที่ตนใช้ความรู้สึกว่า หวังดีและปรารถนาดี ด้วยนั้น อยู่ภายใต้ความพึงพอใจ ด้วยการบังคับจิตใจให้เป็นไปตามแบบที่ตนต้องการทั้งหมด โดยการยัดเยียดความคิดหรือสิ่งที่ตนชอบหรือความต้องการของตนเองเพื่อให้ผู้อื่นกระทำตามข้อบังคับทุกประการ ซึ่งนั่นไม่ได้เรียกว่า ความรัก แต่เป็นกฏข้อบังคับและเป็นการรักที่มีเงื่อนไขในแบบฉบับของคุณเองต่างหาก


เพราะถ้าเมื่อใด ที่มีการบังคับฝืนใจกันเกิดขึ้น เพื่อคุณจะได้รู้สึกปลอดภัยทางความรู้สึก นั่นคุณกำลังทำลายความรักดีๆ ให้พังทลายลง เชื่อเถอะว่าความรักที่จะทรงอานุภาพและสามารถเป็นตัวชี้นำทางให้เกิดความสุขในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ การกระทำเพื่อให้บุคคลใดคนหนึ่งสบายใจ ปลอดภัยทางความรู้สึก เพื่อคลายความกังวล หรือเพื่อสามารถบังคับชีวิตใครหรือจิตใจใคร ด้วยการสั่งให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาเหมือนพวงมาลัยรถยนต์ได้แต่ประสิทธิภาพของความรักจะก่อเกิดเพื่อสร้างเสริมพลังแรงขับเคลื่อนของชีวิตมนุษย์ ได้เป็นอย่างดีและส่งผลมากที่สุด นั่นมาจาก ความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน


เพราะถ้าคุณกระทำลักษณะเช่นนั้น จะบ่งบอกได้ว่า คุณต้องการมีสิทธิ์ มีอำนาจในการปกครองดูแลคนที่คุณรักเพียงผู้เดียว คุณรู้สึกสบายใจ เป็นสุข และรู้สึกหมดกังวลหรือปลอดภัยในจิตใจ เมื่อเห็นว่ากรอบที่คุณล้อมเอาไว้จะสามารถปกป้องคนที่คุณรักได้จากสิ่งกระตุ้นจากภายนอกที่จะล่วงล้ำเข้ามาสร้างความรำคาญใจให้แก่คุณ และคุณก็ไม่ปรารถนาให้บุคคลที่คุณรักก้าวข้ามกรอบเหล็กอันนี้ออกไปได้

หากคุณจะถามขึ้นมาว่า คุณผิดไหม?


ซึ่งแน่นอน...คุณไม่อยากที่จะรับรู้ คำว่า ผิด ทั้งๆ ที่ในก้นบึ้งจิตใจของคุณเอง คุณก็ตระหนักได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากให้ดิฉันตอบ...ดิฉันอยากจะบอกว่า ดิฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณและอีกหลายๆ คนในโลกที่กระทำแบบนี้อยู่
หรืออาจเป็นความรู้สึกที่คุณคาดหวัง หรือคุณอยากจะทำบางสิ่ง เพียงแต่คุณอาจไม่มีโอกาสได้ทำด้วยตัวเอง จึงต้องการให้คนที่คุณรัก กระทำในสิ่งนั้นแทนตัวคุณ รวมไปถึงการที่คุณอยากปกป้องตัวเองและคนรัก ด้วยการตีกรอบทางความรู้สึกให้แก่เขาหรือเธอผู้นั้น อีกทั้ง คุณหาเหตุผลมารองรับว่าคุณ หวังดีและปรารถนาดีต่อคนที่คุณรักทุกอย่าง ใช่...คุณรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ คุณอาจละเลย คำว่า ความจริงของความรัก ไปบ้าง


นั่นเพราะ....มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตใจ มีสติปัญญา มีความคิดอ่านได้ด้วยตัวเองกันทุกคน เราไม่สามารถจะไปคาดหวัง หรือมุ่งหวังให้ใครคนใดคนหนึ่งมากระทำบางสิ่งชดเชยให้กับชีวิตของเราได้ทั้งหมด เพราะมนุษย์ต่างมีวิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดก็แตกต่างกันไป นี่คือข้อความจริงที่คุณอาจทำหล่นไป


ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่การมุ่งหวังให้คนที่ตนรักนั้นอยู่ภายใต้โอวาทหรืออาณัติ หรือแม้แต่กรอบสี่เหลี่ยมที่ตีเส้นขีดจำกัดอาณาเขตเอาไว้ และความรักก็ไม่ใช่โซ่ตรวนเส้นใหญ่เท่าแขนที่ผูกล่ามเท้าหรือคล้องคอและไม่ใช่การที่เราจะเข้าไปควบคุม บังคับ ขู่เข็ญหรือให้คนที่เรารักนั้นเป็นในสิ่งที่เราต้องการ โดยที่เขาหรือเธอผู้นั้นไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่กระทำอยู่


แต่...ความรักที่ดี คือ การให้อิสระทางความคิด ให้อิสระในการดำเนินชีวิตแก่บุคคลที่เรารัก โดยมีตัวของเราเป็นที่ปรึกษาที่ดี คอยดูแลประคับประคองอยู่ห่างๆ ด้วยการหมั่นเติมกำลังใจ ความห่วงใย และความปรารถนาดีให้กันอย่างสม่ำเสมอ ในเวลาที่บุคคลที่เรารักนั้น เกิดภาวะวิกฤติท้อแท้หรือสิ้นหวังต่อการดำเนินชีวิต และไม่ลืมที่จะเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเขาหรือเธอผู้นั้น และการที่มีอิสระเสรีภาพทั้งความคิดและการกระทำนั้น ต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ ความซื่อสัตย์และความไว้วางใจ ร่วมด้วย ซึ่งผู้ที่มีความรักทุกคนสมควรที่ต้องยึดถือสิ่งนี้เอาไว้เช่นกัน จึงจะทำให้ผู้ที่ส่งความรักไปและผู้ที่ได้รับความรักได้ซึมซาบความสุขของคำว่า รัก ได้อย่างแท้จริง



“จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน
จงอวยพรให้แก่ผู้ที่แช่งด่า
และภาวนาอธิษฐานให้ผู้ที่กล่าวร้ายใส่ความท่าน”

(ลูกา ๖ : ๒๗ - ๒๘)


สำหรับในบางคน การวิ่งตามหาความรักนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันสามารถกระทำได้ คนบางคนอาจพบรักแท้ ในขณะที่บางคนไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรู้ซึ้งถึงความรักและความจริงใจที่ส่งกลับมาของอีกฝ่าย มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นผู้ตามหาและผู้ที่ถูกค้นพบ หรือเป็นผู้เลือกกับผู้ที่ถูกเลือกได้พร้อมๆ กัน
เพียงแต่...ในทุกครั้งเราทุกคนต้องระลึกถึงสิ่งหนึ่งไว้เสมอว่า


หากคุณเป็นผู้ค้นหาหรือกำลังไล่ตามรักแท้แล้วละก็...ต้องรู้จักการกำหนดขอบเขต รู้จักการวางตัวให้เหมาะสมโดยเฉพาะผู้เป็นสุภาพสตรี ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์และความต้องการเบื้องลึกในจิตใจของคุณให้มั่น ถึงแม้ในสังคมทุกวันนี้จะเปิดกว้างขึ้นมากก็ตาม และสิทธิเสรีภาพต่างๆ อาจมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น


แต่...ในเชิงวัฒนธรรมความดีงามของไทยแล้ว ผู้ชายแทบทุกคนปรารถนาที่จะสวมกอดผู้หญิงที่ตนรัก ที่ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นกุลสตรีไทยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และสำหรับคุณผู้ชายทั้งหลาย เมื่อคุณเข้าสู่สนามแห่งความรักแล้ว คุณก็ควรตระหนักถึงความเปิดเผย ความจริงใจไม่เสแสร้งแกล้งทำ และควรให้เกียรติต่อหญิงสาวที่คุณรักด้วย ซึ่งนั่น...จะยิ่งทำให้ความรักของคนทั้งคู่มีคุณค่าขึ้นอย่างมาก


เพราะฉะนั้น...ถ้าเมื่อใดที่คนเรากำลังตามหาความรักแท้กันอยู่ ก็ไม่ควรที่จะละเลยเหตุผลในข้อนี้ และถ้าในกรณีที่คุณต้องกลายมาเป็นผู้ที่ถูกเลือกหรือผู้ที่ถูกความรักหาเจอล่ะ...คุณคิดว่าควรทำอย่างไร?


คำตอบนั้นไม่ยากเลย...คุณก็เป็นตัวของตัวเอง แสดงออกอย่างจริงใจ เพราะถ้าหากว่าคุณต้องการให้ใครคนหนึ่งรักคุณ สิ่งสำคัญก็คือ เขาหรือเธอ ต้องได้รู้จักความจริงของคุณ รวมทั้งการแสดงออกด้วยใจบริสุทธิ์ที่มาจากตัวคุณอีกด้วย อาจจะมีบางคนในช่วงระยะเวลาแรกๆ ของความรักนั้น ที่ทำให้ต้องสวมบทบาทอีกภาพลักษณ์หนึ่งที่ตรงกันข้ามกับตนเอง เพื่อหวังเพียงให้อีกฝ่ายประทับใจ ซึ่งวิธีนี้อาจใช้ได้ในระยะเริ่มแรกเท่านั้น

แต่เมื่อคนเราสนิทสนมหรือเข้ามาผูกพันกันมากขึ้น ความเป็นตัวตนที่แท้จริงจะค่อยๆ แย้มพรายออกทีละนิดทีละน้อย

ซึ่งแน่นอนล่ะว่า...สามารถสร้างความสับสนปนความตระหนกตกใจให้อีกฝ่ายได้ทีเดียว และบางรายอาจรุนแรงเกิดการถกเถียงจนถึงขั้นเลิกรากันไปก็มี
เห็นไหมว่า...ถ้าหากคุณคิดจะมีความรักแท้ คุณไม่จำเป็นต้องจบออกมาจากโรงเรียนการละครการแสดงใดๆ ทั้งสิ้น จงใช้ความรู้สึกและคำพูดจริงใจ ที่จะก่อเกิดความสร้างสรรค์มากกว่าสิ่งปั้นเสริมเติมแต่งขึ้นมาด้วยอุบาย และสุดท้ายกลายมาเป็นมีดที่เชือดเฉือนความรู้สึกที่ดีต่อกันให้ขาดวิ่นลง ในวันที่ความจริงปรากฏขึ้นมา

อย่าเลือกที่จะขุดหลุมพรางขนาดใหญ่ ให้กับความรัก เพราะกับดักที่อยู่ภายในหลุมอันมืดมิดนั้น คุณไม่มีวันรู้หรอกว่า ด้านล่างอาจจะเต็มไปด้วยหอกอาบยาพิษหรือเหล็กแหลมที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกดีๆ ให้ตัวคุณกับคนที่คุณรัก ต้องเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจลึกๆ จนบาดแผลต่างๆ ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้นทีละเล็กละน้อย จนในที่สุดยากเกินกว่าที่จะเยียวยารักษาแผลในหัวใจของทั้งตัวคุณและบุคคลที่คุณรักได้


“เราทุกคนต่างมีความรู้ ความรู้นั้นทำให้ลำพอง
แต่ ความรักเสริมสร้างขึ้น”

(๑โครินธ์ ๘ : ๑)



ฉะนั้น...ความรักที่คุณได้สร้างขึ้นมา ระหว่างคุณกับคนที่คุณรักนั้น ต้องรู้จักที่จะเรียนรู้ถึงวิธีใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องศึกษาเข้าใจถึงรายละเอียด ตระหนักถึงประโยชน์และโทษ ที่มีอยู่ในตัวของความรัก
หากคุณตระหนักและเข้าถึงความรักที่คุณโอบกอดเอาไว้ได้อย่างถ่องแท้ เข้าใจและยอมรับในวิธีที่จะรักได้อย่างชาญฉลาดแล้วละก็ รับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่วิเศษ และคุณยังจะได้ดื่มด่ำกับรสชาดแห่งความรื่นรมย์ยินดีปรีดา ซึ่งนั่นจะทำให้หัวใจของคุณพองโตเท่ากับลูกบอลลูนขนาดใหญ่ทีเดียว

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่คุณบกพร่องขาดการศึกษา การเรียนรู้วิธีใช้ความรักอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องแล้วละก็ คุณจะได้ลิ้มชิมรสชาดของความเจ็บปวด สูญเสีย ผิดหวังและทุกข์ทรมานในจิตใจอย่างแสนสาหัสทีเดียว.



“ไม่มีความรักใดดีพร้อมไปทั้งหมด

ตราบใดมนุษย์ยังไม่ใช่สิ่งสร้างที่สมบูรณ์ที่สุด

ขอเพียงเราเรียนรู้ และนำข้อดีของ ความรัก

มาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลที่สุด

เพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามและล้ำค่า

หากมนุษย์ ปราศจากความรัก

ก็เท่ากับ ปราศจากลมหายใจแห่งชีวิต”


**********



๑๐.


“ความคิดที่ดี คือ การเปิดใจสู่ชีวิตใหม่”




คุณอาจเคยผ่านตากับประโยคที่ว่า ความคิดในเชิงบวกและการมีทัศนคติที่ดี มาบ้าง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่คุณได้อ่านได้เห็นหรือได้ยิน ล้วนมาจากการวิเคราะห์ของเหล่านักจิตวิทยา แล้วนำมาถ่ายทอดลงเป็นตัวอักษร ซึ่งยอมรับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของคนเราในปัจจุบัน เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณใช้เซลล์สมองคิดถึงเรื่องราวอันมีสาระ ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกดีดี จิตใจก็ย่อมผ่องใสเบิกบาน


แต่ถ้าคุณคิดถึงแต่สิ่งเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความอิจฉาริษยาต่อผู้อื่น ความแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อเอาชนะ ความโกรธเกลียดเคียดแค้น อารมณ์จะหดหู่ จิตใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว หลงทางอยู่ในวังวนของเงามืดของการมีอคติต่อผู้อื่นและเหยียบย่ำคุณค่าของตนเองให้ลดน้อยถอยลง



ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้ดวงตาของคุณกว้างขึ้น เพื่อที่จะได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้หัวใจของคุณแข็งแรงขึ้น กล้าแกร่งและอาจหาญมากขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้คุณได้ไขว่คว้าโอกาสดีดี เข้าสู่ชีวิตของคุณได้มากขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้คุณเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนรอบข้าง

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้คุณแก่ช้าลงและแลดูอ่อนกว่าวัย

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้ความรักของคุณมีเปอร์เซ็นต์ของความสุขมากกว่าความทุกข์

ทัศนคติที่ดี ช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น

มีทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้การศึกษา เล่าเรียนและหัวสมองของคุณแจ่มใส ปลอดโปร่งดีขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยให้คุณสุขภาพกายและจิตใจแข็งแรงขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยให้คุณเป็นคนกล้า มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นและมีความสุขุมรอบคอบ

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้คุณยิ้มแย้ม หัวเราะได้บ่อยครั้งขึ้นและร้องไห้น้อยลง

ทัศนคติที่ดี ช่วยทำให้ชีวิตของคุณเป็นหนี้น้อยลง รู้จักประหยัดมัธยัสถ์มากขึ้น

ทัศนคติที่ดี ช่วยให้ลดอคติที่มีต่อผู้อื่น กลายเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์

ทัศนคติที่ดี ช่วยให้ไม่กลายเป็นคนคิดมาก ฟุ้งซ่าน วิตกจริต เก็บกดหรือซึมเศร้า
และ ฯลฯ


ฉะนั้น...จึงเห็นได้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์ทุกคนกล้าเปิดหัวใจตนเองออกมาสู่มุมมองความคิดใหม่ๆ ก่อเกิดประโยชน์ให้กับตนเองอย่างมาก และไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้นที่จะได้รับสิ่งดีๆ ที่เข้ามาสู่ชีวิตแต่ยังส่งผลถึงบุคคลรอบข้างรวมทั้งครอบครัวของตน อีกด้วย.



“ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้น แหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน


เพราะว่าจากภายในคือ จากใจมนุษย์ เป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน ความประพฤติผิดทางเพศ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง ความอิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”


(มาระโก ๗ : ๑๕ - ๒๓)


**********


อ่านมาถึงบทที่ 10 แล้วมาพักฟังเพลงกันนะจ๊ะ






Create Date : 23 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 12 มีนาคม 2555 11:56:12 น.
Counter : 1093 Pageviews.

16 comment
หนังสือ..ปัดฝุ่น ความคิด จิตอารมณ์ บทที่ 1 - 6
//www.uppicweb.com/show.php?id=6f2a33fe0c43121fbcc0d4f31f249afc







ภาพปกหน้าและปกหลังของหนังสือ...ชื่อ...ปัดฝุ่น ความคิด จิต อารมณ์


เรานำเนื้อหามาให้อ่านกัน...สนใจเชิญติดต่อได้ที่ หลังไมค์ หรือที่เมลนี้

rrdptl@gmail.com (ขอบคุณที่ติดตามอ่านและร่วมสนับสนุนกันค่ะ)











***************************************************

จากใจผู้เขียน



ดิฉันเล็งเห็นว่า ในทุกวันนี้ มนุษย์ล้วนมีปัญหาอุปสรรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ถึงแม้มนุษย์จะมีความมั่นใจในตัวเองมากเพียงใดก็ตาม แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหลายอารมณ์ และบางครั้งก็เกิดความสับสนในชีวิตได้ และมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ที่ทั้งความคิด จิตใจและอารมณ์ของตนเองนั้น เหมือนถูกเกาะด้วยฝุ่นผงอันมัวหมอง จนอาจเดินหลงทางถลำลึกเข้าสู่ก้นบึ้งแห่งอำนาจฝ่ายมืด และมองไม่เห็นแสงสว่างที่อยู่ปลายทางของอุโมงค์

ซึ่งนั่นเอง ถึงเวลาแล้วที่บุคคลผู้นั้นต้อง...ปัดฝุ่น คราบสกปรกต่างๆ ที่เกาะกุมพันเกี่ยวในความคิด จิตใจและอารมณ์ให้หลุดออกไป และเพื่อรับเอาสิ่งใหม่อันดีงามเข้าสู่ชีวิต

ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ดิฉันได้นำประสบการณ์จริง มาหล่อหลอมและถ่ายทอดออกมา ผสมผสานกับคำเทศนาจากการรับฟังในโบสถ์ และหลักคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาใช้ประกอบร่วมกัน

ดิฉันอาจไม่ใช่นักเขียนหนังสือที่เก่งกาจนัก แต่ ดิฉันเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย เพราะถ้อยคำจากบางประโยคนั้น บางทีก็สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนบางคนให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ




**************************************************


สารบัญ



• ความเหงาและความเศร้าเป็นดั่งแมลงตัวร้าย 1
• ความโกรธคือยาพิษ ที่เผาไหม้ชีวิตให้สั้นลง
แต่การให้อภัยคือน้ำทิพย์ที่ชโลมชีวิตให้ยืนยาว 4
• ความผิดพลาดและความล้มเหลว คือแรงผลักดัน
ให้ชีวิตรู้จักความเข้มแข็ง 9
• ความหวัง + ความพยายาม + โชค = ความสำเร็จ 15
• เข็มทิศ แห่งความเชื่อและศรัทธา 20
• ระดับที่เท่ากัน 26
• เมื่ออิสรภาพเรียกร้อง 31
• ชีวิตที่มีความสุข คือการยอมรับความเป็นจริง 35
• ปราศจากความรัก ก็ปราศจากชีวิต 44
• ความคิดที่ดีคือ การเปิดใจสู่ชีวิตใหม่ 55
• อายุ ไม่ใช่อุปสรรค 58
• เวลาที่หายไป 63
• จงมีเมตตา อย่าตัดสินคนอื่น 68
• การกล่าวร้าย ซุบซิบนินทาคือ น้ำกรดที่สาดใส่ผู้อื่น
ด้วยความตั้งใจ 73
• ขอบคุณและขอโทษให้มากขึ้น 77
• การเป็นผู้ให้ 84


*************************************************


ถ้อยคำแนะนำสำคัญ



ไม่ว่าในอดีต ในปัจจุบันและในอนาคต “หนังสือ” ยังคงเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันอยู่ ซึ่งคุณค่าของหนังสือแต่ละชนิด ก็มีคุณค่าในตัวอยู่แล้ว และหนังสือคือสิ่งสะท้อนแนวความคิดของผู้เขียน

โดยสิ่งที่ผู้เขียนควรตระหนักเป็นพิเศษ ก็คือความรับผิดชอบต่อความคิด ความรู้สึกของผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านควรได้รับประโยชน์ด้วยการมีความคิดที่ดี ๆ ได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ และควรได้รับความจรรโลงใจ มีความสุขจากการอ่านหนังสือนั้นๆ

ในโอกาสนี้ ขอแนะนำหนังสือ “ปัดฝุ่น ความคิด จิต อารมณ์” เล่มนี้ กับท่านผู้ที่มีใจรักในการอ่าน เพื่อเป็นสิ่งสะท้อนการดำเนินชีวิตของเราในสังคมปัจจุบัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ของผู้เขียน และมีการนำคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาประกอบร่วมด้วย

ดังนั้น ผมจึงมีความมั่นใจในหนังสือ “ปัดฝุ่น ความคิด จิต อารมณ์” เล่มนี้ เพราะผู้เขียนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ นำเสนอด้วยความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ท่านจะได้รับจากหนังสือ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้างไม่มากก็น้อย


ขออวยพรแก่ผู้อ่านทุกท่าน


บาทหลวง สมควร หมายแม้น

อธิการโบสถ์อัครเทวดามีคาแอล ดอนกระเบื้อง อ. บ้านโป่ง จ. ราชบุรี


*************************************************





Create Date : 23 มีนาคม 2553
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:06:08 น.
Counter : 2553 Pageviews.

18 comment

radakorn
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ

เจ้าของบล็อคนี้ชอบอ่านหนังสือทุกแนว จึงทำให้เขียนหนังสือและอีบุ๊กได้หลายแนวไปด้วย
งานเขียนในเวบนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ห้ามคัดลอกดัดแปลง เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นอาจมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

เพื่อนๆ สามารถเข้าชมใน Facebook ได้ค่ะ