|
แถกซ้อนแถก
กำลังมีเรื่องหนักใจอย่างใหญ่หลวงค่ะ เรื่องของเรื่องคือ หนูโดนแถก (tag นั่นแหละค่ะ เขียนแบบไทยๆ เลยออกมาหน้าตาพิกลอย่างนี้เอง ซึ่งไม่ได้หมายถึง กางครีบแถกเหงือก โดนกัดถลากๆ แต่อย่างใด)
ไม่ใช่แถกธรรมดา แต่เป็น แถกซ้อนแถก เสียด้วยซิคะ ครั้งแรกโดนแถกไปตั้งแต่สามชาติที่แล้ว โดยมามี้คนสวยสาวใหญ่ใจกล้า แต่ก็ไม่ได้อัพบล็อกจนแล้วจนรอด จนคุณแม่สาวใหญ่ ฯ แถกเบาๆ ก็แล้วอดรนทนไม่ไหว เลยต้องกระแทกให้อย่างแรงซ้อนๆ กันห้าที เผื่อจะรู้สึกรู้สาอะไรขึ้นมาบ้าง กระนั้นก็ดี ก็แกล้งทำเป็นมึนๆ ไม่รู้ไม่เห็นมาพักใหญ่ ๆ ก็ต้องเซถลาอีกที เพราะว่า โดนแถกโดยสาวโพ้นทะเล ซ้ำซ้อนเข้าอีกที
(รายนี้ มีการออกตัวด้วยว่า แถกดิฉันเป็นเฟเวอร์นะเนี่ย เพราะเห็นว่าดิฉันไม่อัพบล็อกมาชาติกว่าๆ แล้ว คิกๆ)
ทำไงดีละเนี่ย นี่ไม่ได้แก้ตัวแบบเอาน้ำขุ่นๆ เข้าถูเลยนะคะ แต่ที่ไม่ได้แถกต่อเนี่ย เป็นเพราะว่า... ไอ้เรื่องสาวไส้ตัวเองนี่ ทำเสียจนแทบไม่เหลือแล้ว หาเรื่องของตัวเองที่คนอื่นไม่รู้ (โดยที่ไม่ช็อค) นี่ ยากจริงๆ เอาเป็นว่า จะเปิดเผยเรื่องที่มีคนอาจจะรู้อยู่บ้างไม่กี่คน แล้วกันนะคะ
1. ก็กลัวนี่ เรื่องของเรื่องคือ เป็นคนที่กลัวหมอฟันมากค่ะ เพราะกลัวการฉีดยาชาที่เหงือก ตอนเด็กๆ ทำฟันทีไร แม่ต้องนั่งข้าง ๆ จับมือไว้ตลอด อาการนี้ ทำให้ไม่ค่อยไปหาหมอฟันโดยไม่จำเป็น จนกระทั่งปี 2004 เกิดอาการปวดฟันอย่างรุนแรง จำต้องไปหาหมอฟัน และเป็นการไปหาหมอฟันฝรั่งเป็นครั้งแรก แม้อายุจะเข้าเลขสามไปแล้ว แต่หมอฟันก็ยังทำให้เกิดอาการประสาทผวาอย่างแรงอยู่เหมือนเดิม จำได้ว่า พีเรียดหายไปเลยเดือนนั้น และเมื่อวันคล้ายวันประหารมาถึง ดิฉันต้องการกำลังใจอย่างยิ่งยวด ในเมื่อไม่มีคนไปคอยจับมือให้กำลังใจ ดิฉันจึงต้องไขว่คว้าหาออย่างอื่นไปคอยควบคุมประสาทตัวเองไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปด้วยความกลัว สรุปว่า วันนั้นดิฉันนอนให้หมอกระทำชำเราช่องปากแต่โดยดี เพราะมีเจ้าปมปงอยู่ในอ้อมแขน เป็นกำลังใจให้ดิฉันอย่างสงบนิ่ง ตามประสาตุ๊กตาหมีที่ดี ผลก็คือ คุณหมอฟรองซัวส์ จำดิฉันได้แม่นจนทุกวันนี้ เวลาโทรไปต้องบอกว่า จำหนูได้ไหมคะ ที่หิ้วตุ๊กตาหมีไปทำฟันกับหมอน่ะค่ะ (ปมปง คือตุ๊กตาหมีที่กอดนอนทุกคืนค่ะ)
2. ขี้อาย อันนี้ ใครๆ คงไม่รู้หรอกว่า ดิฉันเป็นคนขี้อายมากค่ะ บอกไป ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี เพราะตั้งแต่เล็กจนโต จะเห็นดิฉันทำกิจกรรมอะไรที่เรียกว่า อยู่ในสปอตไลต์ มาตลอด แต่จริงๆ เป็นคนขี้อายอย่างแรง เวลาอายจะไม่ชอบให้ใครรู้เลยค่ะ ต้องคนสนิทจริงๆ ถึงจับได้ว่า ดิฉันจะหลบๆ ทำหน้าม้าน ๆ แล้วหน้าก็จะร้อนฉ่าไปถึงลำคอเลยค่ะ แดงก่ำเลยละ แต่ด้วยความที่อายมากๆๆๆๆ มากกกกเสียจนไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราอายไงคะ ก็เลยต้องข่มใจแสดงออกอะไรต่อมิอะไรเพื่อปิดบังความอายนั่นเองค่ะ
ดังนั้น ในสายตาคนทั่วไป จะคิดว่าดิฉันหน้าหนาพอฟัดพอเหวี่ยงกับถนนพหลโยธิน ยังไงยังงั้นเลยค่ะ
3. หนูไม่ชอบเพลงชาติไทย บอกก่อนว่า ไม่เกี่ยวกับ ความรักชาติ นะคะ แต่แค่ไม่อยากได้ยินเพลงชาติไทยค่ะ ถ้าอยู่เมืองไทย แปดโมงเช้า หรือหกโมงเย็นนี่ จะไม่เปิดวิทยุหรือโทรทัศน์ใดๆ เนื่องจากเป็น Trauma ฝังใจมาตั้งแต่ยังเด็ก คือ ช่วงเวลาแปดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ หลังจากนั้นก็จะเป็นการสวดมนตร์ ครูใหญ่ให้โอวาท ประกาศ ฯลฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาราว 15-30 นาทีในชีวิตประจำวันที่ดิฉันเห็นว่า มันช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร ยิ่งช่วงตอนอยู่มัธยมปลาย โรงเรียนก็บ้าจี้ ให้นักเรียนไปยืนล้อมสระบัวใหญ่ของโรงเรียน ตากแดดหัวแดงแจ๋ เห็นนักเรียนขาดวิตามินดี หรืออย่างไร อย่างไรก็ตาม กิจกรรมยามเช้านี้ (เจอเข้าไป 14 ปีเต็มๆ) ก็ทำให้ดิฉันเกิดอาการขยาดที่จะได้ยินเพลงชาติไทยไปเลย ต่อให้เป็น พี่เบิร์ด ทั้งร้องทั้งเต้นแถมให้ ก็ไม่ฟังจ้า
4. กลัวละมุด เป็นโรคจิตอีกชนิดหนึ่งค่ะ คือ กลัวละมุด (ยิ่งกว่ากลัวผี) กลัวนะคะ ไม่ใช่ไม่ชอบ โปรดอย่าถามว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าจะไม่กิน ไม่ดม ไม่มอง ไม่เข้าใกล้ ไปตลาดเห็นกองละมุดจะเดินห่าง ๆๆๆๆ เลย นี่ โชคดีนะเนี่ย ทีได้มาอยู่ห่างไกลละมุดขนาดนี้ อิอิ
5. บ้าจี้อย่างแรง จริงๆ นั่งคิดหัวแทบแตก หาเรื่องแฉตัวเองที่ทำให้คนอ่าน อ่านแล้วไม่ช็อคตาตั้ง อิอิ เอาเป็นอันนี้แล้วกัน ความบ้าจี้แบบแอบแฝงของดิฉัน ที่ว่าแอบแฝงก็คือ ถ้าไม่มาจี้กันจริงๆ ก็คงไม่รู้หรอกว่า ดิฉันน่ะ บ้าจี้แค่ไหน ตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยรู้หรอกค่ะว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ เพราะว่ากับพ่อแม่พี่น้อง ก็เล่นกันอย่างสงบ ไม่เคยจั๊กจี๋กันอย่างเอาเป็นอาตาย สิ่งที่ส่ออาการอย่างเดียวคือเป็นคน jumpy มากๆ เวลาที่มีอะไร attack ก็จะสะดุ้ง อุทาน อะไรไปตามเรื่อง จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ชอบแกล้งค่ะ เพราะแค่จับข้อเท้าเราแรงๆ ก็ทำให้เราตกใจ อุทานอะไรออกมาได้ยาว ๆ หลังจากนั้น แฟนเก่าตัวแสบของดิฉัยก็ค้นพบกลไกใหม่ในการป้อนข้อมูลให้ดิฉันอุทานอะไรแปลกๆ คือ จี้เอวแล้วก็พูดประโยคที่ต้องการ เท่านั้นเอง ดิฉันก็จะพูดตาม ทำบ่อยๆ เข้า มันก็จะกลายเป็นคำอุทานติดปากดิฉันไปโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างนี้แหละ เลยไม่อยากบอกให้ใครๆ รู้ว่าตัวเองบ้าจี้ เดี๋ยวใส่ข้อมูลให้เราอุทานบ้า ๆ อีก แย่เลย ทุกวันนี้ คำอุทานที่ยังติดปาก คือ แม่ลูกร่วง ท่านผู้ชม ก็มันติดมาตั้งแต่สมัยอ่านข่าวนี่คะ อิอิ
เฮ้อ เหนื่อย อ่านจบแล้ว คงเลิกแปลกใจนะคะ ว่าทำไมใครๆ เรียกหนู ยายเฟื่อง อิอิ
แล้วไงอีกเนี่ย สาวไส้เสร็จก็แถกต่อได้เลยใช่ไหมคะ ขอประกาศรายชื่อผู้โชคดี (เท่าที่นึกออก) และคิดว่า อาจจะยังไม่โดนแถก ดังนี้ค่ะ 1. แม่แมว Cybercat 2. ซูเปอร์มัม พธูไทย 3. พ่อหมี แดดดี้แบร์ 4. น้องปิ๊ก ][SeaGirl][
Create Date : 26 มกราคม 2550 | | |
Last Update : 26 มกราคม 2550 20:25:01 น. |
Counter : 814 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เบื่อมนุษย์
จั่วหัวเอ็มไว้ว่า เบื่อมนุษย์มานานหลายสัปดาห์ จนเพื่อนๆ ร้อนตัวกันไปตามๆ กัน วันนี้ เลยจะมาบ่นให้ฟัง ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมดิฉันถึงเซ็งมนุษย์อย่างแรง ถึงขั้นว่าถ้าทำได้จะหนีไปอยู่ดาวพลูโต เพราะได้ข่าวว่า นักดาราศาสตร์ตัดขาดมันออกจากบัญชีชื่อดาวนพเคราะห์ของระบบสุริยจักรวาลไปแล้ว จะได้ไม่ต้องร่วมสังคญาติกับบรรดาพวกมนุษย์ปากเหม็นที่แวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังนึกเสียดายมนุษย์ปากหอมหลายๆ คนที่ยังดีๆ ต่อกัน ที่มีจำนวนมากกว่าพวกปากเหม็นอย่างว่า มากนัก จริงๆ ก็นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่มีคนรักเท่าผืนเสื่อจันทรบูร ส่วนคนชังนั้น (เราคิดว่า) มีเพียงเท่าผืนหนังคางคก เท่านั้น
ในชีวิตจะเลี่ยงคนอยู่ไม่กี่ประเภท คนน่าเบื่อ กับ คนน่ารังเกียจ แต่ช่วงนี้ คงดวงตก ราหูไม่ได้เข้าแทรก แต่คงอมดิฉันเข้าไปทั้งเนื้อทั้งตัว สงสัยจะจำสับสนกับดวงจันทร์ เห็นกลมๆ ผ่องๆ คล้ายคลึงกัน เลยทำให้ดิฉันหลีกเลี่ยงคนน่าเบื่อ+น่ารังเกียจ ทู อิน วัน นี่ ไม่พ้น
แว่วๆ มาจากพรายกระซิบ ว่าเจ้าหล่อนเอาดิฉันไปบ่นว่าลับหลังกับธารกำนัล
ช่าย ช่าย ช่าย ช้านรู้ ช้านรู้ ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ แหมมมม นินทากาเลเหมือนเทแกลบ ไม่เจ็บแสบเหมือนเอา ...ไปขูดหิน ใคร้จะไม่เคยโดนนินทาว่าร้ายเป็นไม่มี แม้องค์พระปฏิมายังราคิน ไอ้เรามันก็คนเดินดินดีๆ นี่เอง ไอ้เรื่องนินทานั่นช่างมันเถอะ ใครไม่โดนนินทานี่สิ แปลก ชีวิตคงแห้งแล้งเหมือนทะเลทรายไร้โอเอซิส แต่เผอิ๊ญญเหตุเกิดคราวนี้ มันเหมือนเป็นการดิสเครดิตกันมากกว่า ซึ่งก่อรอยมลทินให้บังเกิดในจิตใจอันผ่องแผ้วของดิฉัน
ฟังทีแรกแล้วก็......เจ็บใจว่ะ ธ่อ มนุษย์ปุถุชนนะคะ
พอได้คิดสักพักก็ไม่โกรธแล้ว แต่ผลของมันทำให้เความรู้สึกของเราที่มีต่อคนๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
คือ หมดความนับถือ (อย่างที่คนอื่นๆ เขาก็เป็นมาก่อนเหมือนกัน) ตอนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไม
ทีแรกก็เคยนึกสงสาร ว่าไม่มีใครรักเธอสักคน แต่ก่อนเคยเห็นใจ เคยสงสารเวลาที่เจ้าหล่อนโดนคนอื่นนินทาว่าร้าย พอรู้จักมากๆ เข้าก็ตระหนักว่า ที่โดนอย่างนี้น่ะ เป็นเพราะเํธอก็ไม่รักใครสักคนเหมือนกัน แม้แต่คนใกล้ชิด ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจก็โดนเอามาสาวไส้ให้คนอื่นกินเหมือนกัน โดนกัดเรียบไม่เหลือ (นี่ถ้าเราเป็นคนปากบอนเน่าเหม็นประเภทเดียวกัน รับรองบ้านหล่อนแตกไปแล้ว) ด้วยความที่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์นั่นเอง เวลาใครทำถูกใจก็ดีไป แต่ทำไม่ถูกใจขึ้นมานี่ หล่อนไม่นึกถึงความดีของคนๆนั้นที่เคยทำมาเลย ลืมหมดสิ้น แม้แต่ความจงรักภักดี
ถ้าคนเรามีวิจารณญาณก็ต้องเข้าใจว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีข้อดี ก็ต้องมีข้อบกพร่อง เอ หรือเธอจะคิดว่าเธอดีพร้อมวิเศษไปหมดแต่ผู้เดียว เพราะเท่าที่รู้จักมา ก็ไม่เคยเห็นใครดีในสายตาสักคน เวลาที่เขาทำไม่ถูกใจขึ้นมา ที่เคยทำดีไว้ ไม่เคยนึกถึง --เลวหมด และพร้อมที่มองคนอื่นในแง่ลบเสมอ ..บราโว ไม่สงสัยเล้ยทำไมถึงหาความสุขไม่ได้ในชีวิต
ที่สำคัญคือ ไอ้ปากเหม็นๆ เนี่ย ช่างฟ้องดีนัก ฟ้องทุกคน ต้องการหาพวก ให้เห็นอกเห็นใจตัวเองไว้ก่อน คนนั้นก็ไม่ดีกับตัว คนนี้ก็เลวกับตัว คนนี้ไม่ได้ดังใจ คนนี้ก็ทำร้าย ถ้าคนฟังไม่บ้าจี้นักก็ต้องฉุกคิดขึ้นมาบ้างแหละว่า ทำไม๊ ทำไม ใครๆ ถึงได้ใจร้ายกับเํธอทุกคน
นี่ ก็เคยป็นเหยื่อดมปากเน่า ฟังเขาด่าคนอื่นมาก่อน ตั้งแต่ครั้งแรกก็ฉุกใจคิดเหมือนกันว่า ทำไมคนรอบข้างเํธอเลวไปหมด ทำใจไว้บ้างเหมือนกันว่า วันหนึ่งคงถึงคิวตัวเองบ้างจนได้ ไม่นึกโกรธอะไรหรอก แม้ว่าเธอเลือกกลุ่มคนฟังได้ชนิดที่เป็นการชกใต้เข็มขัดไปหน่อย แต่ก็ช่างเถอะ คนอย่างเราไม่คิดแก้แค้น ขุ่นข้องหมองใจบ้าง แต่ไอ้เรื่องตอบแทนความชั่วด้วยความชั่วด้วยกันนี่ทำไม่เป็น
เพราะเชื่ออย่างหนึ่งว่า วัวใครย่อมเข้าคอกคนนั้นไปเองแหละ ตอนนี้ เชื่อแล้วว่า กรรมมันติดจรวดจริงๆ นะ เพราะเจ้าหล่อนมีพฤติการณ์แบบนี้นี่เอง คนเขาถึงได้รังเกียจเธอไปทั้งเมือง ทั้งเมืองนอกเมืองไทย เธอถูกเกลียดแบบอินเตอร์อะ เกิดมาเพิ่งเคยเจอเหมือนกัน นับเนื่องเป็นของแปลกได้ แต่ตอนนี้ ไม่แปลกใจแล้วละ ก็ไอ้พฤติกรรมน่ารังเกียจของหล่อนนี่แหละ เอาปากเหม็นๆ ไปพูดกับชาวบ้าน โธ่เอ๋ย เวลาที่พูดเนี่ยนะ คนเขาจะไม่สนใจกับไอ้สิ่งที่หล่อนกินเข้าไปหรอก สิ่งที่เขารับรู้ในเวลานั้น คือ กลิ่นเหม็นๆ ที่หล่อนพ่นออกจากปาก เขาอาจจะจำทนฟังไม่เบือนหน้าหนีเพราะมารยาทสังคม แต่กลิ่นเหม็นๆ ที่หล่อนพ่นไว้นั่นแหละ เขาจะเอาไปนินทาได้สนุกปากกว่าเดิมอีก
แล้วกลิ่นมันก็ย้อนกับมาหาตัวเธอเองภายหลัง เพราะเที่ยวด่าคนนี้ให้คนนั้นฟัง ด่าคนนั้นให้คนนี้ฟัง มันก็เป็นเรื่องธรรมดามนุษย์อะนะ มารยาทสังคม (และผลประโยชน์ ในบางกรณี)ทำให้จำต้องทนฟังปากเหม็นๆ ของกันและกันต่อไป แต่เจ้าหล่อนคนนี้ อาการปากเน่าของเธอสำส่อนมาก พ่นไม่เลือกที่ ประจวบกับความที่เธอหมกมุ่นกับตัวเองจนเกินเหตุ ไร้น้ำใจอันแท้จริง (น้ำใจ เํธอสแปร์ไว้ให้เฉพาะคนที่จะบันดาลอำนาจวาสนา หรือผลประโยชน์ให้เท่านั้นจ้ะ) ทำให้กลิ่นเํธอแรงไร้เทียมทานกว่าใครๆ ในยุทธภพ
อย่างโบราณเขาเรียกว่า วัวเน่าๆ ก็เข้าคอกหล่อนไปจริงๆ เพราะหลังๆ นี่ เพื่อนฝูงในแวดวงของเธอนั้น จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาโจมตีอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ กรณีนี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่วังวนของการนินทาว่าร้ายเ แต่ป็นเรื่องของกงเกวียนกำเกวียนมากกว่า แน่น๊อน พอถึงเวลาก็ต้องมาคร่ำครวญหาพวกกับใครๆ ตามเคย แต่ขอโทษ คราวนี้ หล่อนไม่ได้คะแนนสงสารจากฉันว่ะ รู้เช่นเห็นชาติแล้ว เพราะเห็นใจหล่อนแล้ว ใจเน่าๆ ที่ส่งความเน่าออกมาทางปากนั่นแหละ และถ้าหล่อนยังไม่สำนึก และดำรงพฤติกรรมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ชั่วชีวิต ก็โชคดีเหอะนะ
จะได้เอ็นจอยชีวิตเน่าๆ ของหล่อนต่อไปตลอดชั่วนิจนิรันดร
Enjoy being Rotten in hell, Baby!!
Create Date : 14 ตุลาคม 2549 | | |
Last Update : 14 ตุลาคม 2549 22:17:22 น. |
Counter : 699 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Deleted Scene ของ Sex & The City ที่คุณไม่มีโอกาสได้ดู ตอนที่ 1
เมื่อ Sam Jones ปะทะ Charlotte Yorke นอกจอ
หากคุณเป็นแฟนซีรีส์เรื่องนี้ คงไม่ต้องอธิบายความแตกต่างของบุคลิกของซาแมนธา โจนส์ และชาร์ล็อตต์ ยอร์ค ให้ฟังซ้ำ แต่เผื่อว่าคุณไม่ใช่มิตรรักแฟนรายการ ก็จะเกริ่นให้ฟังคร่าวๆ ว่า ตัวละคร ซาแมนธา หรือแซม โจนส์นั้น เธอมีทัศนคติแสนอิสระกับเรื่องเซ็กซ์ (ตามบทแล้ว เธอถูก กล่าวถึงว่า เป็นผู้หญิงที่ "มีเซ็กซ์เหมือนผู้ชาย" แซม เอ็นจอยการมีเซ็กส์ และไม่เคยคิดปิดบังอ้ำอึ้งกับเรื่องใคร่ๆ ของเธอ) ส่ วนสาวชาร์ล็อตต์นั้น ราวกับหลุดมาจากยุควิคตอเรียน หัวโรแมนติก สรรหาชายหนุ่มสมบูรณ์แบบเพื่อมาเป็นสามีในอนาคตตั้งแต่อายุ 15 จนปาเข้าไป 34 ก็ยังไม่เจอ เนื่องจากแพทเทิร์นชายหนุ่มในฝันที่เธอวางไว้นั้น ประกอบไปด้วยคุณสมบัติเลิศเลอนานาประการ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่เธอจะหาสามีมาทำยายากขนาดนั้น (กว่าจะเจอก็ผ่านไปเกือบๆ 3 ซีซั่น แล้วก็เตียงแตกในซีซั่นต่อๆมา) ทัศนคติที่ต่างกันอย่างสุดขั้วของสองสาว ทำให้เจ้าหล่อนทั้งสองดำรงตนเป็น "Frienemies" อยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย การยอมรับในความเป็นตัวของตัวเองของทั้งสองฝ่ายทำให้มิตรภาพคงอยู่ได้ (แม้ว่าจะเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอนๆ อยู่บ้างก็ตามที)
เอาละ เกริ่นมาก็หลายบรรทัดแล้ว ก็จะเริ่มนินทากันเสียที เรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในซีรีส์ดังกล่าวแต่ประการใด (จั่วหัวเรื่องไว้อำคนอ่านเล่นๆยังงั้นเอง) แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่จะนำมานินทาต่อไปนี้เป็นเวอร์ชั่นฝรั่งเศส ของสองสาว จีเซล และ ซองดรีน
ตลอดเวลาที่คบกันมาอย่างราบรื่นนั้น จีเซลและซองดรีน ไม่เคยมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาแผ้วพานในสาระบบของความเป็นเพื่อน จนกระทั่งวันหนึ่ง มาร์คก็ก้าวเข้ามาในวงจรของเพื่อนสาวคู่ซี้
มาร์ค ไม่ใช่เทพบุตรสุดวิเศษจุติลงมาจากสวรรค์ชั้นไหนเลย ความพิเศษของเขาอยู่ที่ว่าบังเอิญว่า เป็นชายหนุ่มคนแรกที่ผ่านเข้ามาในวงจรชีวิตของซองดรีน ในรอบเกือบ ทศวรรษต่างหาก จีเซลได้ยินชื่อมาร์คจากปากของซอง ดรีน และจับจากหางเสียงตื่นเต้นเร้าใจของเพื่อนสาวว่า หล่อนติดเนื้อพึงใจมาร์คตั้งแต่เมื่อแรกที่มีโอกาสได้รู้จักกัน มาร์คเป็นหนุ่มอเมริกันที่ใฝ่ฝันอยากมาใช้ชีวิตอยู่ในปารีส พูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างงูๆ ปลาๆ บังเอิญมาได้รู้จักกับซองดรีนโดยบังเอิญผ่านญาติของเขา อีกสองสัปดาห์ต่อมา จีเซลก็ได้ข่าวจากเพื่อนสาวว่า มาร์คชวนหล่อนออกมาพบกัน สถานที่ไม่ได้มีความหมายสำหรับหนุ่มสาว เพราะทั้งคู่ได้สนทนาปราศรัยกันอย่างออกรส จนกระทั่งเวลาล่วงไปค่อนคืน และคืนนั้น ซองดรีนต้องค้างที่บ้านของมาร์ค เพราะไม่มีรถไฟกลับบ้าน ซองดรีนสารภาพว่า หล่อนออกจะหวั่นไหวอยู่มากกับเสน่ห์ของหนุ่มอเมริกันคนนี้ แม้ว่าจะนอนกันคนละเตียงก็จริง แต่หล่อนก็เห็นในความมืดสลัวรางว่า มาร์คนอนเปลือยกายล่อนจ้อน ส่วนหล่อนก็ใจเต้นตุ๋มต้อม และเกือบจะลุกขึ้นไปปล้ำนายมาร์คเสียเองเป็นหลายรอบ คืนนั้น ซองดรีนต้องสวดมนตร์หลายจบกว่าจะไล่ผีสางตัวไหนไม่รู้ที่คอยจะสิงสู่ใจชักจูงหล่อนไปในทิศทางเตียงนอนของมาร์ค อย่างไรก็ตาม สรุปว่าคืนนั้นหนุ่มมาร์ค ปลอดภัยจากปากเหยี่ยวสาวไม่ประสาอย่างซองดรีนได้อย่างตลอดรอดคืน
จีเซล รับฟังเรื่องระทึกอกระทึกใจของซองดรีนอย่างสนใจ เพราะตั้งแต่รู้จักคบหากันมา ซองดรีนไม่เคยมีเรื่องตื่นเต้นพรรค์นี้มาปรึกษาจีเซลเสียอีกที่เป็นคนที่มักจะมีไอ้หนุ่มคนนั้นคนนี้เข้ามาให้ความสนใจ แต่เจ้าหล่อนมีคู่รักอยู่เป็นตัวเป็นตนแล้ว บรรดาหนุ่มๆที่หลงเข้ามาติดพันก็กลายเป็นเรื่องสนุกขบขันไปวันๆ ของสาวเจ้า จีเซล เป็นสาวมีประสบการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหญิงชายมากกว่าซองดรีน ดังนั้น หล่อนจึงรู้สึกดีใจที่เพื่อนสาวโสดสนิทวัยสามสิบกว่ามีเรื่องระทึกใจเกี่ยวกับเพศตรงข้ามกับเขาบ้าง (เสียที) และตั้งตนเป็นที่ปรึกษาไม่ได้รับเชิญไปโดยปริยาย เมื่อจับได้ว่าเพื่อนสาวตกหลุมหนุ่มอเมริกันเข้าไปเต็มเปา แม้ว่าเจ้าหล่อนจะปากแข็งปฏิเสธคอเป็นเอ็นก็เถอะ แต่ไม่ว่าซองดรีนจะเปิดปากมาด้วยประโยคใดก็ตามที ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องอื่นไปได้นอกจากเรื่องของมาร์ค จีเซลเลยนึกอยากเห็นหน้าหมอนี่ขึ้นมาเต็มทีเหมือนกัน
จนฤกษ์งามยามดีวันหนึ่ง ซองดรีนก็ตกลงยอมเปิดตัวชายหนุ่มที่ตัวเองคลั่งไคล้ ทั้งสามออกไปกินข้าวด้วยกันคืนหนึ่ง มาร์คเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ ผมทองหยักสลวย หน้าตาติดจะเคร่งขรึมและช่างคิด แต่เขาก็มีอารมณ์ขันส่วนตัว ความเป็นมิตรและความเป็นกันเองให้กับคนรอบข้างอย่างไม่ทำให้จีเซลต้องลำบากใจในการเป็นบุคคลที่สามในที่นั้น และวันนั้นเอง จีเซลก็ได้เห็นเพื่อนสาวในแบบที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ซองดรีนมีปฏิกิริยาตื่นเต้นอย่างไรพิกล พูดด้วยเสียงแหลมหง็องแหง็งผิดปกติ รวมทั้งหน้าตาท่าทางที่เต็มไปด้วยจริตจะก้าน หัวเราะคิกคักเหมือนเอียงอายอยู่ตลอดเวลา อย่างที่จีเซลเห็นแล้วออกจะงงๆ ท่าทางเพื่อนฉันจะเป็นเอามาก หรือไม่ก็เสพยาม้าเกินขนาด
จีเซลคิด
แต่สิ่งที่จีเซลติดจะงุนงงอยู่มากคือ ซองดรีนมักจะสรรหาหัวข้อสนทนาขึ้นมาชวนทะเลาะกับมาร์คอยู่เรื่อยๆ ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันด้วยทัศนะที่แตกต่าง ตลอดเวลา จีเซลได้แต่ทำตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ หรือว่านี่คือกลยุทธ์มัดใจชายแนวใหม่
(ยังมีต่อ)
Create Date : 08 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2548 6:20:38 น. |
Counter : 558 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|