TAGGED 3 : วัน เดือน ปี / วรรธนา วีรยวรรธน
เชื่อไหมว่า blog tag ทั้งหมดนี่ ความยาวรวมกันได้ 10 หน้า A4! ปกติผมไม่เคยเขียนไดอารี่ การเขียน blog tag ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงเรื่องต่างๆ นาๆ ในอดีต แล้วนำมาเรียงเป็นตัวอักษร แทนที่จะจบแค่วูบความคิดในสมอง หรือลมปากเล่าให้เพื่อนฟัง บอกตรงๆ ว่าผมสนุกมาก เหมือนเห็นชีวิตตัวเองเป็นบทหนังเลยแฮะ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านจนจบครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะสนุกเท่าที่ผมสนุกหรือเปล่า ไม่ได้ตั้งใจให้มันยาวขนาดนี้เลย สาบานได้ ขอบคุณ ฝ้าย กับ นุ่น ที่เอา blog tag มาให้เล่น ป.ล. ระหว่างเขียนๆ ให้หมด 10 เหตุการณ์อยู่นี่ ลองแว่บๆ ไปอ่านของคนอื่นบ้าง ปรากฏเพิ่งเข้าใจว่า ต่อให้โดนคน tag กี่คน ก็เล่าแค่ 5 ข้อนี่นา (นุ่นไปเอามาจากไหน เราต้องเล่า 10 ข้อวะ แกล้งกันป่าวเนี่ย ) ส่วน TAG ต่อไป ผมขอเอาออกไปนอก bloggang เพราะคนที่รู้จักที่นี่ถูกแปะหมดแล้ว กอล์ฟ แกะหลง กับ เอ็ด ณ ลอนดอน คือผู้โชคดีรายต่อไป Enjoy! 7. ฟูจิ ระหว่างรถไฟจากโอซาก้าไปโตเกียว คุณจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิแผ่ร่างกว้างขวางขนาบทะเลสาบเหมือนในโปสการ์ด มองไกลๆ ย่อมสวยดี แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เพื่อปีนไปให้ถึงยอด ห่า ดันมีแต่กรวดหินดินทราย! จริงๆ จะว่าเป็นความผิดของภูเขาไฟก็ใช่ที่ ไอ้โง่นี่ดันอุตริคิดเอาเองว่า การปีนภูเขาคือการเดินขึ้นทางชันที่มีป่าไม้เขียวขจีล้อมรอบ เผลอๆ มีกวางวิ่งน่ารักให้เห็นเป็นหย่อมๆ ...โดยไม่คำนึงถึงเลยว่า ไอ้ที่เพื่อนโพล่งชวนให้มันไปด้วยกันระหว่างอยู่โตเกียวนั่นคือ ภูเขาไฟ! การปีนภูเขาไฟฟูจิทำได้เฉพาะในฤดูร้อน เพราะฤดูหนาว หิมะจะแผ่ปกคลุมทั่วภูเขา ปีนไปมีหวังลื่นลงมาไส้แตกตาย อย่างไรก็ตาม การปีนมักเกิดขึ้นตอนกลางคืน ยิ่งสูงยิ่งหนาว แถมอากาศที่ใช้หายใจก็เบาบางไปทุกทีตามระยะทาง ถึงจะเป็นหน้าร้อน ก็ไม่ใช่ของกล้วยแน่ๆ ผมกับแก็งค์เริ่มปีนกันตอนสี่ทุ่ม ตอนแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างสนุกสนาน เราคุย/ ร้องเพลง/ ถ่ายรูปกันเสียงดังจอแจ ใครอยู่ข้างหน้าสองกิโลก็ยังต้องรู้ว่ามีกลุ่มคนไทยอยู่ตรงนี้ เพราะความเอะอะมะเทิ่งคือเอกลักษณ์ที่สังเกตได้ของเรา ทว่าความสนุกมันเริ่มเฉาลงเรื่อยๆ เพราะความโหดของเส้นทาง บ้างเริ่มหอบหายใจไม่ทัน บ้างเห็นทางชันขนาดต้องมีเชือกมาโยงให้ปีนเป็นบางช่วงถึงกับผงะ แสงไฟที่ส่องบอกระยะทางแต่ละสถานีพักที่ห่างกันเป็นโยชน์ก็รังแต่จะทำให้ผู้เดินทางรู้สึกหดหู่ อยากจะ rest in peace ไปตามๆ กัน เฮ้ย แต่มาขนาดนี้แล้วจะถอยได้ยังไง ผมกัดฟันก้าวไปถึงจุดชมพระอาทิตย์โดยมีเสียงเพลงเป็นเพื่อน รางวัลแห่งความพยายามนั้นคือการได้เห็นทะเลเมฆ และฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่งามที่สุดเท่าที่พบมาในชีวิต ผมรอคอยเพื่อนที่เหลือตามขึ้นมาทีละคนสองคนจนครบ ก่อนออกเดินทางไปถึงยอดปล่องภูเขาไฟจริงๆ เสียที ระหว่างทาง มีสิ่งแปลกประหลาดมากมายให้พบ นับตั้งแต่ เหล่าซอมบี้ที่นอนตายเกลื่อนริมทางเพราะทนความเหนื่อยไม่ไหว, กลุ่มคนแก่ที่เดินจ้ำเอาๆ ทั้งที่แต่ละคนอายุน่าเกิน 70, พ่อที่แบกลูกขึ้นบ่า แต่ยังเดินสบายบรื๋อ และฝรั่งคู่หนึ่งที่คนหนึ่งแบกจักรยาน ส่วนอีกคนแบกสเตอริโอ (เอาไปทำอะไรบนยอดฟะ!) นอกจาก ฝ้าย แล้ว โลกนี้ยังมีเรื่องพิสดารอยู่อีกมากจริงๆ เฮ่อออ นึกว่าการผจญภัยจะจบลงแล้วเมื่อถึงยอด หลังจากเหนื่อยอนาถกับการเดินน่องปูดตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยัน 7 โมงเช้า มาแล้ว อย่าลืมว่าเมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องลงให้ได้ ทางลงภูเขาไฟฟูจิหฤหรรษ์กว่าตอนขึ้นเสียอีก เพราะมันชันเสียจนจากเดินอยู่ดีๆ คุณจะกลายเป็นวิ่ง และในบางกรณีต้องใช้ตูดในการเบรกตัวเอง ก่อนจะบันจี้จัมป์ลงขอบภูเขาแบบไม่ใช้สตันท์และไม่มีสลิง ถึงตอนนี้ เราแทบไม่มีแรงจะพูดกันอยู่แล้ว เราเป็นคนไทยที่แฝงตัวในชาวญี่ปุ่นได้เนียนสุดตอนนั้นนี่เอง แต่แล้วข้อเสียของการไม่สื่อสารก็ปรากฏ เมื่อเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งดันพลัดหลงไประหว่างทางลงที่ทั้งชัน และวิสัยทัศน์แย่ด้วยหมอก ทุกคนที่ลงมาแล้ววิ่งวุ่นกันตามหาว่ามันหายไปไหน มือถือโทรไปกี่ทีก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ กว่าจะหาได้ว่ามันเลี้ยวผิดไปลงทางลงอีกจังหวัดหนึ่ง ก็เล่นเอาทุกคนเครียดไปตามๆ กัน มีสำนวนญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า คนโง่เท่านั้นที่ปีนภูเขาไฟฟูจิรอบสอง เอาล่ะ มันเหนื่อย มันหนาว มันแพง และมันอาจจะเครียด ถ้ามีคนหลงขึ้นมาอีก แต่พับผ่า ตอนนี้ผมอยากเป็นคนโง่ชะมัด 8. คำชม หนึ่งปีในญี่ปุ่นเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับผม ผมเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวให้มีความสุข เรียนรู้ที่จะก้าวข้ามความขี้ขลาดน่าบัดซบของตัวเองในหลายๆ ครั้ง และไม่นานก่อนจะกลับเมืองไทย ผมเรียนรู้เรื่องที่สำคัญมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก ผมจำไม่ได้ว่ารู้จัก ไห่เจิ้น เป็นเพื่อนลำดับที่เท่าไหร่ในหอพัก และจะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนักเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ไห่เจิ้น เป็นตัวแทนจากจีนที่เข้าร่วมโปรแกรมนานาชาติของมหาลัยเช่นเดียวกับพงษ์ (ไม่กลับมา) นั่นเอง บอกตามตรงว่า ขณะที่เขียนนี่ ผมเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรกว่า ทั้งสองคล้ายกันอีกอย่างตรงที่ ต่างก็มีส่วนเกี่ยวพันกับจักรยานทั้งคู่ในความทรงจำของผม วันหนึ่ง ผมมีนัดออกไปข้างนอก แต่ดันมาพบว่าจักรยานที่จอดไว้หน้าหอเกิดเสียซะนี่ ไอ้ซ่อมเองก็ไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว ยิ่งล่กๆ เพราะความรีบ ยิ่งไปกันใหญ่ เอเดรียน เพื่อนชาวฝรั่งเศสเดินมาเห็น ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เรื่องแล้วก็แค่ Well, good luck. ผมเองก็เลิกคิดที่จะยืมจมูกคนอื่นหายใจไปแล้ว เขาจะช่วยหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม Hey, whats wrong? สำเนียงอังกฤษแปร่งๆ ของไห่เจิ้นดังขึ้นมาจากข้างหลังผมครู่ถัดมา ผมกำลังจะตัดใจเดินไปแทนอยู่แล้ว แต่ไห่เจิ้นก้มลงช่วยซ่อมจักรยานให้อย่างเต็มใจ ทั้งๆ ที่เหมือนกับเอเดรียนนั่นแหละ เขาไม่ต้องทำก็ได้ ผมยับยั้งตัวเองจากการคาดหวังเรื่องนี้อยู่แล้ว วันนั้น จักรยานผมกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ทั้งยังขี่ได้เพลินกว่าเก่าด้วยซ้ำ น้ำใจคือน้ำยาหล่อลื่นชั้นเยี่ยมจริงๆ ผมไม่ลืมที่จะตอบแทนไห่เจิ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น ความซาบซึ้งจากการได้รับความช่วยเหลือยามเคราะห์ร้าย มันคงใหญ่ไม่เบา ผมพูดขอบคุณเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเจอ และช่วยเหลือทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ก่อนเราจะแยกย้ายกลับประเทศไม่นาน ผมไปเที่ยวกับกลุ่มชาวจีนเพื่อนไห่เจิ้น เรากินเหล้าและนั่งคุยสัพเพเหระกันจนถึงเช้า ก่อนนั่งรถไฟกลับหอด้วยกัน ในรถไฟนั่นเอง ไห่เจิ้นบอกกับผมว่า Youre a good man โดยสันดานแล้ว ผมไม่ชอบเห็นคนอื่นมีความทุกข์ และมักดีใจเมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุขโดยปริยาย ถึงงั้นก็เถอะ ผมไม่เคยดิ้นรนที่จะเป็นคนดี เมื่อมีคนมาพูดต่อหน้าว่า แกเป็นคนดีนะ จึงเป็นเรื่องเกินความคาดหมายและน่าตื้นตันเป็นบ้า ยิ่งเป็น ไห่เจิ้น ซึ่งมีธรรมชาติคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น กระทั่งเคยด่าฝรั่งร่วมหอเพราะนิสัยหมาๆ ของมันมาแล้วต่อหน้า ผมยิ่งเชื่อสนิทใจ ถึงทุกวันนี้ เวลารู้จักใครใหม่ๆ ประโยคที่ผมมักพูดได้ไม่อายปากอยู่เรื่อยๆ ก็คือ ผมเป็นคนดีนะ ด้วยนอกจากจะภูมิใจในคำชมที่จะจำไปจนวันตายนี่แล้ว ผมว่าผมยังเป็นคนเดิมที่ไห่เจิ้นรู้จักอยู่นะ9. 3 ปี ก้าวแรกของชีวิตการทำงานผมค่อนข้างแย่ แต่ที่จริง มันก็เป็นประสบการณ์ทรงค่าที่บอกให้รู้ว่า ผมได้ทดลองแล้วว่างานตามสายที่เรียนมานั้น ไม่ตรงใจเสียเท่าไหร่ แต่ก้าวที่สองนี่สิ มาโดยไม่ได้คาดหมายอย่างแรง! วันดีคืนดีหลังจากลาออกจากบริษัทแรก พี่ที่รู้จักคนหนึ่งก็ชวนผมไปเขียนคอลัมน์ในหนังสือภาพยนตร์กำหนดเปิดหัวใหม่ เพราะเห็นผมดูหนังมากใช้ได้ ไอ้ผมไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ตกลงกับตัวเองไว้แล้วว่า ถ้าอยากทำอะไรจะเลิกคิด แล้วทำเลย เพราะทันทีที่เริ่มคิดเมื่อไหร่ ความกลัวจะเข้าครอบงำอยู่ร่ำไป คำตอบเลยเป็น ทำครับ การทำงานของเส้นสมองเท่ากับศูนย์ ปรากฏว่าคอลัมน์ที่ผมเขียนไปถูกใจพี่เจ้าของหนังสือ และด้วยจังหวะบางประการ ผมจับพลัดจับผลูได้ไปนั่งเป็น บ.ก. ของหนังสือเล่มนี้ ชีวิตนี่ก็ตลกดี ผมสนุกกับการอ่านหนังสือ รองๆ จากการฟังเพลงและดูหนัง แต่ไม่ยักคิดเลยสักนิดว่าจะต้องมาทำงานสายนี้ แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน อย่าหลงเชื่อชื่อตำแหน่งใหญ่โต บรรณาธิการของนิตยสารเล่มนี้ มีทีมงานภายใต้สังกัดที่ไหนกัน ผมช็อกเป็นระลอกที่สอง หลังจากกล้ำกลืนไปก่อนหน้าแล้วว่าเงินเดือนมันแทบไม่ถึงครึ่งของที่เก่า นี่เรายังต้องมาทำแทบคนเดียวเพราะที่เหลือเป็นฟรีแลนซ์หมดเลยอีกหรือ พี่เจ้าของหนังสือบอก ต้อม หานักเขียนคนอื่นๆ มาช่วยเขียนส่งได้เลยนะ แต่พี่ครับ ผมมาจากสายล่ามแปลภาษา จะไปรู้จักนักเขียนสักคนได้ไงฟะ! ปรากฏการณ์ sink or swim เริ่มขึ้นนับจากตอนนั้น ผมเรียนรู้การทำหนังสือไปพร้อมๆ กับทำหนังสือจริงๆ จะว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีก็ใช่ แต่ใครจะมานั่งซาบซึ้งอยู่ได้ ในเมื่อคุณต้องปั่นคอลัมน์หามรุ่งหามค่ำยันตี 4 แทบทุกวันเพื่อให้เสร็จทันกำหนด แถมเพื่อนในออฟฟิศก็เพิ่งพบหน้าค่าตา จะถามอะไรทีก็ลำบากใจเอาเรื่อง ทางออกของผมคือก้มหน้าก้มตาทำไปจนกว่าจะเสร็จ ดีไม่ดี เล่มนี้เรียบร้อยเมื่อไหร่ กูออก! แปลกดีที่ความคิดแบบนั้นกลายเป็นธุลีไปทันทีที่ผมได้เห็นผลงานชิ้นแรกของตัวเองอยู่ในมือ ความภูมิใจแบบนี้ไม่เคยมีระหว่างทำงานที่เก่า และความภูมิใจแบบเดียวกันนี่เอง ทำให้ผมอยู่กับที่นี่ได้ยืดยาวเกือบ 3 ปี ทั้งที่ทนทรมานอยู่กับที่เก่าได้แค่ 9 เดือน ผมไม่เคยเลิกตื่นเต้นที่จะจับและพลิกอ่านหนังสือที่ตัวเองทำทุกต้นเดือน ทั้งความสนุกกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมเจอช่วงทำงานที่นี่ ยิ่งทำให้การบอกลางานนี้เป็นเรื่องยาก...แต่เอาเข้าจริงแล้ว ก็ไม่มีปาร์ตี้ไหนเฮฮาไปได้ตลอดกาลหรอก คนเราต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้ยึดติดไว้เสมอ ผมจำตัวเองตอนสังสรรค์ปีใหม่ที่ผ่านมาของบริษัทได้ ระหว่างเต้นเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนเมายาดอง ผมมองไปยังห้องที่เคยนั่งทำงานแล้วมั่นใจว่า ผมจะคิดถึงที่นี่แน่ๆ แค่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันจริง10. คุณ ผมคงโกหกตัวเองถ้าจะบอกว่า ไม่มีเรื่องของ คุณ เป็นเหตุการณ์ที่ผมลืมไม่ลง ไม่นานมานี้ ผมไปดู Final Score ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไรกับหนังมากนัก แต่ซาวนด์แทรกตอนจบทำผมเกือบร้องไห้ เพราะมันเหมือนผมจังเลยแฮะ วัน เดือน หรือปีหว่า กว่าเรื่องทุกอย่างนี่จะจบจริงๆ
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2550 21:48:11 น.
29 comments
Counter : 670 Pageviews.
โดย: ฝ้าย IP: 124.121.39.42 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:54:44 น.
โดย: คุณม้าฮาผ่าจักรวาล IP: 125.25.198.177 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:13:54 น.
โดย: grappa วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:22:38 น.
โดย: Levine วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:25:25 น.
โดย: grappa วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:28:20 น.
โดย: รวีส่องแสง IP: 58.64.46.190 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:11:14 น.
โดย: แกะหลง IP: 203.146.63.187 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:54:52 น.
โดย: ขาม IP: 58.9.146.65 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:20:45 น.
โดย: Levine IP: 203.113.26.202 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:10:33 น.
โดย: ขาม IP: 58.9.138.162 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:07:47 น.
โดย: สวย-ดับ-จิต IP: 125.25.145.115 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:2:41:58 น.
โดย: grappa IP: 58.9.194.139 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:18:51 น.
โดย: Au Revoir Siame IP: 85.230.108.9 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:4:26:41 น.
โดย: รวีส่องแสง IP: 125.24.45.106 วันที่: 12 มีนาคม 2550 เวลา:23:00:21 น.
โดย: บ่าง IP: 58.10.149.247 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:0:06:32 น.
โดย: grappa IP: 58.9.192.183 วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:19:38:05 น.
โดย: Levine วันที่: 22 มีนาคม 2550 เวลา:1:17:50 น.
Levine
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ] ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ทำแบบสอบถามอันแรก เขาบอกเป็น smooth talker ทำอีกอัน เขาบอกเป็น high achiever แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นแค่ คนมองโลกในแง่ร้าย ที่พยายามเหลือหลาย ให้มองโลกในแง่ดี
Tonight I Have to Leave It / Shout Out Louds
ก็แกล้งน่ะสิพี่ รู้งี้บอกให้เขียน 5 ยกกำลัง 2 ซะก็ดี แต่ยังไงก็เอ็นจอยใช่ไหมล่ะ
อ่านเรื่องปีนเขาแล้วนึกถึงตอนเดินทางไกลสมัยเรียนเนตรนารี ปกติชอบเดินนะ แต่ขึ้นเขานี่เหนื่อยพับเผื่อยเลยอ่ะ ครั้งล่าสุดที่ไปจตุจักรก็จะเป็นลม มันร้อนง่าาาา
คำชมประทับจิตนึกไม่ออกอ่ะพี่ ไม่ค่อยมีใครชม หรือทุกอย่างที่เป็นเรามันน่าชื่นชมไปหมดก็ไม่รู้ เลยไม่มีใครออกปาก
สุดท้าย...
เปลี่ยน คุณ เป็น คุณม้าฯ ดีก่า หนุึกกว่าเยอะ อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ เรียนจบเมื่อไหร่้ดูสิบโทนะ