All Blog
เมื่อความซวยมาเยือน 2
และแล้วสิ่งที่เราคิดไว้มันก็เกิดขึ้น แต่มันกลับเร็วกว่าที่คิด ลูกค้าคนนั้นจากตอนที่แล้วเขากลับคำเสียอย่างนั้น แทนที่จะทำตามที่บอกไว้ว่าการยกเลิกจ้างจะเป็นปีหน้า ซึ่งเป็นการบอลล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนกว่าๆที่เรายังพอมีเวลาเตรียมหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น อยู่ดีๆวันนี้เขากลับบอกเราว่าเขาได้จ้างพนักงานประจำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่าไม่มีการแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด

สิ่งที่เกิดขึ้นมันยิ่งชี้ชัดเจตนาของเขาเข้าไปใหญ่ ปากก็อ้างว่าเป็นเพื่อนกัน สุดท้ายพอเขารู้ว่าไม่มีหวังก็เลยใช้วิธีแบบนี้เลย เนื่องจากเราปฏิเสธข้อเสนอของเขาแล้วก็บอกว่าเราแน่ใจแล้วว่าจะแต่งงานกับแฟนคนที่คบอยู่โดยได้ไปดูฤกษ์มาเรียบร้อยแล้ว แต่ติดอยู่ที่ว่าปีหน้านี้เราแต่งไม่ได้เนื่องจากดวงเราชงในปีหน้า เขาก็เลยพูดประมาณว่า เอาละ งั้นผมคงไม่ยุ่งกับคุณแล้ว ตอนแรกเราก็คิดว่าเขาคงหมายความว่าเลิกคิดเลิกถามเราเรื่องจะคบกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าเขายกเลิกจ้างเราดื้อๆเลยทังๆที่ตอนแรกทำทีเป็นว่าบอกล่วงหน้าให้เตรียมตัว สักปีหน้าถึงจะเลิก แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเจอเหตุการณ์นี้อยู่ดี แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เสียความรู้สึกมากๆอยู่ดี เพราะเขากลับไม่ทำตามที่พูด

วันนี้พอรู้ข่าวเราก็เลยเซ็งเอามาก ว่าจะออกไปข้างนอกหาอะไรทำแก้เซ็งก็ไม่ค่อยจะมีแรง เครียดเลยนะนี่ ถ้าเขาไม่ได้คิดกับเราเกินเลย เรื่องมันคงไม่จบแบบนี้ จริงมะ



Create Date : 15 ตุลาคม 2550
Last Update : 15 ตุลาคม 2550 15:31:04 น.
Counter : 1806 Pageviews.

4 comment
เมื่อความซวยมาเยือน
เรามีเวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะเตรียมแผนการทำงานใหม่ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เมื่อวันก่อนเราเพิ่งได้รับข่าวร้ายมาว่าลูกค้าประจำรายใหญ่ของเราจะเลิกจ้างเราเมื่อสิ้นปีนี้เพราะเขาจะจ้างพนักงานประจำแทนการจ้างฟรีแลนซ์อย่างเรา ซึ่งนั่นจะทำให้เราขาดรายได้หลักไปเลยทีเดียว พอรู้ข่าวก็มึนๆอยู่พักหนึ่งแต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อมันเป็นความต้องการของลูกค้าแล้วมันก็เป็นความสะดวกของเขาซึ่งจริงๆเขาควรจะจ้างพนักงานประจำมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ

จริงๆแล้วถ้าเรายังต้องการรายได้จากลูกค้ารายนี้อยู่มันก็ยังพอมีทาง แต่เป็นทางที่ไม่ค่อยจะสวยงามสักเท่าไหร่ เรื่องของเรื่องก็คือจริงๆแล้วลูกค้ารายนี้เราติดต่อกันมาประมาณสามสี่ปีได้ แต่เป็นการติดต่อผ่านทางอินเตอร์เนทและโทรศัพท์ กว่าจะได้เจอตัวเป็นๆกันจริงๆก็คงเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นบ่อเกิดของปัญหาระหว่างเรากับเขาอยู่พอสมควร หลังจากที่เขาเจอตัวเป็นๆของเราผ่านมาประมาณเกือบปีได้ เขาถึงมาบอกว่าเขาชอบเรา

แต่การสารภาพของเขามันค่อนข้างจะเหมือนกับคนที่อยู่ในสภาพที่ไม่มีที่ไป หรือคล้ายๆกับการสั่งเสียหรืออะไรสักอย่าง เพราะเขาคิดว่าเขามีปัญหาด้านสุขภาพและอาจจะอยู่ได่อีกไม่นานเท่าไหร่ ทั้งๆที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะจากสภาพเขาที่เราเจอก็เหมือนคนปกติ แข็งแรง สมบูรณ์ดีทุกประการ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะว่าเรามีแฟนอยู่แล้ว

เราจำได้ว่าเราบอกเขาไปแทบจะทันทีที่เขาสารภาพความรู้สึกของเขากับเรา หลังจากนั้นเขาก็เหมือนจะเข้าใจแล้วก็คุยเฉพาะเรื่องงานตามปกติ แต่พอว่างเมื่อไหร่ก็เป็นต้องวกเข้าเรื่องจะขอคบเราให้ได้ซะทุกครั้งไปโดยไม่สนว่ามีแฟนอยู่แล้วหรือไม่ บางทีเราก็ต้องเลิกคุย เลิกสนใจ ไปเลยเพราะไม่อยากอารมณ์เสียอีก แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกค้าเราก็ทำอะไรรุนแรงไม่ได้อยู่แล้ว

มาครั้งล่าสุดที่คุยเราก็คุยกันเรื่องงานและข้อเสนอของเขา ถ้าเราจะไม่ให้เขาเลิกจ้างมันก็พอมีวิธีแต่มันเป็นวิธีที่เราคงต้องทุ่มทุนสร้างอย่างมาก ถึงเขาไม่ได้พูดตรงๆแต่เราก็รู้ว่าเขาหวัง เหมือนเขาเอาผลประโยชน์ก้อนใหญ่ยักษ์มาล่อเราโดยอ้างว่าไม่ได้ต้องการอะไรแต่สุดท้ายแล้วคำพูดของเขามันก็บ่งบอกเจตนาที่ชัดเจน ซึ่งหลังจากคืนนั้นเรามาลองคิดดูถึงสิ่งที่เขาพูด เรารู้สึกว่าเขาดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ เขาในวันนี้ดูแตกต่างจากวันที่เรารู้จักเขาในช่วงแรกๆอย่างสิ้นเชิง จากคนที่พูดจาสุภาพและขี้เกรงใจมาก กลายเป็นคนมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดาแล้วก็พูดจาวกวนซ้ำซาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง ย้ำคิดย้ำทำและถามถึงสิ่งที่เขาต้องการอยู่นั่นแหละทั้งๆที่เราก็ตอบคำถามเดิมๆไปไม่รู้เกีร้อยรอบ

หลังจากที่คิดเบ็ดเสร็จเรียบร้อย เราก็ได้คำตอบว่าการอยู่ห่างจากคนๆนี้คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกับลูกค้าคนนี้เราก็อยู่ได้ ถึงต่อไปไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ได้ แม้ว่าช่วงแรกๆอาจจะลำบากมากขึ้นพอสมควรก็ตาม สิ่งที่เขาเสนอมามีมูลค่าสูงมากก็จริง ซึ่งหลายๆคนบนโลกนี้คงมีคนยอมรับมากกว่าปฏิเสธ แต่มันก็ดูเหมือนเป็นหลุมพรางหลุมใหญ่สำหรับเราเช่นกัน จริงๆแล้วเราตัดสินใจได้แทยจะทันทีว่าคงต้องปล่อยลูกค้ารายนี้ไปอย่างแน่นอน เนื่องจากการข้องเกี่ยวกับเขามากเกินไปจะทำให้เรามีปัญหาทั้งกับสุขภาพจิตของตัวเองและสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนอย่างแน่นอน

เอาเป็นว่าเราจะขออยู่แบบจนๆอย่างนี้ต่อไปก็แล้วกัน อย่างน้อยก็จะได้ไม่มีใครมาว่าเราได้ว่าโลภมากหวังอยากได้สมบัติคนอื่น ของฟรีไม่มีในโลก แม้แต่ญาติพี่น้องยังเข่นฆ่ากันเพื่อทรัพย์สมบัติเยอะแยะไป นับประสาอะไรกับคนอื่น สมบัติมูลค่าสูงขนาดนั้นถึงเขาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนก็ให้เขาเก็บไว้ให้กับคนอื่นที่เหมาะสมกว่าเราคงจะดีกว่า หากการแลกเปลี่ยนนั้นมันจะทำให้เราต้องเสียใจไปตลอดชีวิต...



Create Date : 12 ตุลาคม 2550
Last Update : 12 ตุลาคม 2550 20:33:53 น.
Counter : 515 Pageviews.

2 comment
เงิน 26 บาทจะซื้ออะไรในห้างได้บ้าง
เมื่อวานเราออกไปทำธุระที่ธนาคารแล้วเราก็แวะห้างแถวนั้นซึ่งเราเดินเป็นประจำ ห้างที่ว่ามีทั้งส่วนห้างแล้วก็ส่วนพลาซ่าซึ่งส่วนใหญ่เราจะเดินแต่ส่วนของพลาซ่าเท่านั้น เดินเล่นไปมา เราก็พบว่าซื้อของแล้วมันมีเศษเหรียญหนักกระเป๋าเลยอยากกำจัดเศษเหรียญนั้นซะ นับไปนับมาเป็นจำนวนเงิน 26 บาท โดยเป็นเหรีญห้าหนึ่งเหรียญ เหรียญสองบาทหนึ่งเหรียญ และนอกนั้นเป็นเหรียญบาททั้งหมด แล้วท่าทางเราคงจะว่างมากเลยลองเล่มเกมส์กับตัวเองดู เพราะอยากรู้ว่ามันจะมีค่ามากแค่ไหน โดยตั้งเงื่อนไขว่าเจ้าเงิน 26 บาทนี้จะใช้ซื้ออะไรในห้างนี้ได้บ้าง จริงๆแล้วถ้าไม่อยู่ในห้างมันน่าจะหาซื้อของได้ง่ายกว่านี้ ก็เลยตั้งกฎไว้ว่าห้ามเป็นของกิน เพราะของกินหาง่าย อีกอย่างเรากินไปก็อ้วนเปล่าๆ ช่วงนี้อ้วนแล้วด้วย เลยไม่ซื้อของกิน และจะต้องเป็นของที่เราได้ใช้อยู่แล้ว ไม่ใช้ซื้อมาเสียทิ้ง ไร้สาระเปล่าๆ

ระหว่างที่คิดดังนั้นเราก็เริ่มๆมองหาที่กำจัดเศษเหรียญนี้ทันที โดยที่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรได้บ้าง ตอนแรกเดินเข้าวัตสันเพราะมันมีซื้อชิ้นที่สองราคาบาทเดียว แต่สินค้าที่จัดรายการก็ราคาแพงเกินยี่สิบหกบาททั้งนั้น พวกของถูกๆเช่น ทิชชู่ กระดาษซับมัน อะไรพวกนี้เรามีหมดแล้วเพิ่งจะซื้อไป ก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรในนั้น หลังจากเดินวนอยู่ซักพักเราก็เห็นไอ้ที่คาดผมแบบที่มันเป็นอันใหญ่ๆแล้วเป็นเลื่อมสีเงิน สีทอง แบบที่เขากำลังฮิตกันตอนนี้ซึ่งเราก็อยากได้อยู่เหมือนกัน เลยเดินไปดูราคา ร้านแรกราคา 29 บาท สรุปว่าเกินงบเลยเดินต่อไป พอมาร้านที่สองเดินลึกเข้ามาด้านในไกลพอสมควร ถามราคา 39 บาท แพงกว่าอันเมื่อกี้อีกทั้งๆที่ทำเลแย่กว่านึกว่าราคาจะถูกกว่า

จนคิดว่าจะไม่ซื้อแล้ว แต่พอเดินเลยไปอีกทางตาดันไปมองเห็นร้านขายกิ๊บติดผมแล้วก็ที่คาดผม ทั้งร้านราคา 10 บาท เลยเดินเข้าไป และแล้วเราก็เจอไอ้ที่รัดผมแบบที่ต้องการเพียงแต่วัสดุนั้นแตกต่างกัน แต่ความระยิบระยับและความสวยงามเวลาที่ใส่แล้วเราว่าไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลย เลยซื้อมาได้หนึ่งชิ้น เหลือเงิน 16 บาท แล้วก็คิดต่อไปว่าเงินที่เหลือนี้จะซื้ออะไรได้อีก

เดินวนไปมาอยู่หลายรอบก็นึกขึ้นได้ว่าเราว่าจะซื้อหนังสืออ่าน และหนังสือที่เราชอบอ่านก็คือพวกขายหัวเราะนี่แหละ เล่มละ 15 บาท แต่บังเอิญว่าเล่มใหม่เราซื้อไปแล้ว ก็เลยคิดว่าจะซื้ออะไรดีน้า .... นึกไปนึกว่าก็คิดได้ว่าข้างบนห้างมันมีส่วนที่เป็นคลองถมอยู่นี่นา ตรงนั้นมีขายหนังสือมือสองอยู่ด้วยเลยขึ้นไปข้างบน และแล้วก็มาถึงเป้าหมาย เราเลือกหนังสือขายหัวเราะมือสองจำนวนสองเล่ม เล่มละเจ็ดบาท รวมเป็นสิบสี่บาท เหลือเงินอีกสองบาท

ตอนนี้นเราก็ว่าจะกลับบ้านแล้วเดินจนเมื่อยเลยคิดว่าเงินสองบาทเนี่ยจะเอาไปให้ขอทานในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ถาหากเจอขอทานก็จะให้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นขอทานที่ไม่นั่งเฉยๆ ต้องเป็นขอทานที่พยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแลกเงิน จริงๆแล้วตอนเด็กๆ ประมาณสามสี่ขวบ เวลาเราเดินออกไปข้างนอกกับแม่ แล้วเจอขอทานเรามักขอเงินแม่ไปให้กับขอทานทุกคนที่เราเห็น โดยที่แม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับชอบที่เราเป็นเด็กใจดีเสียอีก เห็นกี่คนๆก็ให้หมดเลยคนละบาท แต่หลังจากที่เราโตขึ้น รู้ข่าวแก๊งค์ขอทานมากขึ้น หรือขอทานบางคนมือเท้าดีๆแต่ขอทานจนรวยกว่าพวกเราๆเสียอีกแต่ก็ยังยึดอาชีพขอทานเพราะรายได้ดี แถมหลังๆมีพวกมาขอเชิงกรรโชกทรัพย์อีกด้วย ประมาณว่าชอบบอกว่าเพิ่งออกมาจากคุกให้เอาตังค์ให้มันด้วย ประมาณนี้ ตั้งแต่นั้นเราก็เปลี่ยนไป เราไม่เคยให้เงินขอทานอีกเลย เราจะให้เฉพาะคนที่พยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแลกเงิน ไม่ใช่นั่งขอเฉยๆ ไม่ว่าจะแก่ เด็ก พิการขนาดไหนก็ตาม เพราะเราถือว่าคนพิการหลายคนเขายังสู้ชีวิตไม่มาขอทานอยู่แบบนี้ได้เลย คนที่สมควรจะได้เงินคือคนที่พยายามเพื่อที่จะหาเงินไม่ใช่มานั่งเฉยๆ ยิ่งถ้าเล่นเป็นดนตรีวงเราก็ให้ไปเลยยี่สิบบาททุกครั้ง

แต่น่าเสียดาย ระหว่างทางกลับบ้านเราเห็นขอทานแค่คนเดียว เป็นลุงแก่ๆที่นั่งเฉยๆ เราก็เลยเดินผ่านไป สรุปว่าเราเลยเหลือเงินกลับบ้านสองบาท แต่ใครจะไปคิดว่าแค่ไอ้เศษเหรียญในกระเป๋าที่หลายๆคนจะมองไม่เห็นคุณค่าของมัน เรากลับได้ของที่เป็นประโยชน์กับเราแถมยังกำจัดเศษเหรียญไปได้อีกด้วย ถ้าไม่คิดว่าเงินไม่กี่บาทจะซื้ออะไรได้บ้าง เราคงไม่ดั้นด้นเดินหาของถูกๆให้อยู่ในงบ เจออะไรก็คงซื้ออันนั้นไปแล้ว เกมส์นี้ทำให้เรานอกจากจะกำจัดเศษเหรียญที่หนักกระเป๋าแล้วยังซื้อของได้ในราคาประหยัดอีกด้วย แถมหนังสือนี่อ่านจบแล้วเอาไปขายร้านเขาได้อีก คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม นี่ต้องเป็นคนงกเท่านั้นนะถึงจะคิดได้ ฮ่าๆๆ ว่าแล้วก็ถ่ายรูปของที่ซื้อมาไว้เป็นหลักฐาน ไม่รู้คราวหน้าจะคิดเกมส์อะไรมาเล่นกับตัวเองได้อีก เป็นเอามากแฮะคนเรา




Create Date : 01 กันยายน 2550
Last Update : 1 กันยายน 2550 13:03:27 น.
Counter : 695 Pageviews.

1 comment
เที่ยวพัทยาวันแม่
หยุดวันแม่ปีนี้เราซื้อของขวัญให้แม่แล้วก็ฝากให้พี่สาวเอาไปให้แม่ ส่วนเราแอบหนีไปเที่ยวกะแม่คนอื่น (เฉพาะปีนี้ปีเดียวแหละน่า) ทริปพัทยาคราวนี้ก็สนุกดีค่ะ ไปกันทั้งหมดแปดคนคือเราไปกับแฟนและครอบครัวเขา ได้ดูทะเล สูอากาศบริสุทธิ์ แล้วยังได้ดูการแสดงที่อลังการพลาซ่าอีกด้วย

วันเสาร์ออกกันไปตอนเที่ยงกว่าๆ กว่าจะไปถึงก็บ่ายสามกว่าแล้ว รีบเข้าโรงแรมแล้วแวะทานอาหารทะเลที่ร้านใกล้ๆ อิ่มมากๆกับมื้อนั้น แล้วก็เดินริมทะเลแล้วนั่งเตียงผ้าใบสักพักไปเดินชอปปิ้งที่เอาท์เลทจนค่ำก็แยกย้ายเข้าที่พักเนื่องจากแต่ละคนเพลียจากการเดินทางฝ่ารถติดมากๆแถมแดดแรงอีกต่างหาก

โรงแรมอยู่ติดชายทะเล เป็นวิวหันหน้าเข้าทะเลด้วย ห้องเราอยู่ที่ชั้นสิบ มีระเบียงข้างหน้าให้นั่งเล่นได้ ลมทะเลพัดแรงอากาศดีสุดๆ เชาวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้ามารับลมทะเลก่อนเลย

นี่เป็นรูปวิวจากระเบียงห้อง





อันนี้แอบถ่ายตัวเองตอนพึ่งตื่นมาอาบน้ำล้างหน้า ตอนยังไม่แต่งหน้าเลย





พอรับลมทะเลจนอิ่นก็เดินลงไปทานอาหารเช้าของโรงแรม กินกันอิ่มหนำก็พากันขึ้นห้องดูทีวี จนสายๆแต่ละคนก็ออกไปว่ายน้ำที่สระของโรงแรม แต่เนื่องจากเราว่ายน้ำไม่เป็ฯและไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำไป งานนี้เลยได้แต่นั่งตากแดดหน้าดำอยู่ข้างสระว่ายน้ำ น่าเศร้าใจ T_T

จนบ่ายก็ออกไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารทะเลอีกแห่งที่คราวนี้อยู่ไกลจากโรงแรมพอสมควร ทานกันจนจุกอีกแล้วด้วยความตะกละอย่างสม่ำเสมอของเรา เสร็จแล้วก็กลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปดูโชว์ที่อลังการพลาซ่า เป็นโชว์ที่ออกแนวคล้ายๆภูเก็ตแฟนตาซี ที่เน้นความอลังการของฉาก แสง สี การแสดงแบบไทยๆผสมการเต้นแบบสมัยใหม่ เล่าเรื่องราวของประวัติชนชาติไทยจนถึงปัจจุบัน มีจุดพลุ เล่นระเบิดเอฟเฟ็ค แสงสีต่างๆ ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ไฮไลท์จะเป็นช่วงฉากการทำยุทธหัตถีในยุคกรุงศรีฯที่เอาช้างจริงๆมาสู้กัน ช้างก็แสนรู้มากๆ สามารถยืนสองขาค้างไว้ได้ตั้งนานทั้งๆที่ตัวโตขนาดนั้น เก่งสุดๆ พอดูจบออกมาเขาจะมีให้ถ่ายรูปกบตัวละคร แต่เราไม่ถ่ายด้วยความงก เพราะถ่ายรูปละสี่สิบบาทก็จะมีแต่ชาวต่างชาติที่มาถ่าย เราก็เลยแอบถ่ายเขามาด้วย



จริงๆแล้วก่อนทางที่จะเข้าไปในหอแสดงเขาจะมีส่วนด้านหน้าที่จัดเป็นบรรยากาศงานวัดแบบไทยๆ มีซุ้มขนมและเกมส์ให้เล่น รวมถึงช้างแสนรู้ให้ถ่ายรูปคู่ด้วย ซึ่งก็อีกเช่นเคยรูปละสี่สิบบาท เราก็แอบถ่ายชาวต่างชาติมาอีกเหมือนเดิม ช้างน่ารักมากๆ



ส่วนตอนขากลับออกมามันก็มืดแล้วแต่ยังอยากถ่ายเจ้าตัวตุ๊กตาผมแกละที่ชอบถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวแต่ถ้าถ่ายแล้วไม่ให้ตังค์ก็จะทำเป็นร้องไห้ ส่วนใหญ่เขาจะให้กันคนละยี่สิบ เราก็อีกเช่นเคยแอบถ่ายแต่ไม่ถ่ายด้วย ฮ่าๆๆ



จากนั้นก็ไปทานมื้อค่ำที่ร้านเย็นตาโฟแห่งหนึ่งแล้วจึงเข้าที่พักเพื่อไปนั่งดูละครพร้อมตั้งวงทานผลไม้ร่วมกันแล้วจึงแยกกันกลับห้องด้วยอาการหมดแรงแต่พุงอืดชะมัด

รุ่งขึ้นตื่นเช้ามาหลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ไปเดินเล่นริมทะเลเสร็จแล้วก็ขึ้นที่พักเก็บข้าวของแล้วนั่งดูทีวีกันอีกสักพักก็ออกเดินทางกลับ ก่อนกลับแวะทานข้าวเที่ยงที่โรบินสันเสร็จแล้วก็มุ่งไปที่ตลาดหนองมนเพื่อซื้อของฝาก แดดร้อนเปรี้ยงๆแต่นักชอปทั้งหลายก็ยังสู้ตาย กว่าจะถึงบ้านก็ห้าโมงเย็น ได้เวลาอาหารเย็นที่บ้านพอดี ทานข้าวเสร็จดูทีวี นั่งเล่น นอนเล่น แล้วก็หลับยาวด้วยความเพลีย ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่ไปแล้วคุ้มค่ะ



Create Date : 14 สิงหาคม 2550
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 10:45:02 น.
Counter : 732 Pageviews.

5 comment
สี่ปีผ่านไปพึ่งรู้ว่าลืมเอาตังค์คืน...เป็นไปได้อย่างไรกับคนงกๆอย่างเรา
ว่าแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าคนงกๆอย่างเราจะลืมเรื่องเงินๆทองๆไปได้ อยู่ดีๆวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เฮ้ยย เมื่อสี่ปีที่แล้วลืมเอาเงินมัดจำจากโฮมสเตย์คืน คิดแล้วก็น่าเจ็บใจ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่เราเพิ่งไปเรียนที่ออสเตรเลียใหม่ๆ

ตอนนั้นเราให้ทางมหาวิทยาลัยหาโฮมสเตย์ให้ ซึ่งก็คือที่อยู่พร้อมครอบครัวฝรั่งเพื่อที่เขาจะได้แนะนำได้ว่าเราควรจะใช้วิตอยู่ที่นั่นยังไงบ้าง แถมทำกับข้าว ทำงานบ้านให้ด้วย ซึ่งเพื่อนเราส่วนใหญ่อยู่โฮมสเตย์แค่เดือนเดียวก็ออกไปหาบ้านอยู่กันเองแล้วเพราะถูกกว่า และส่วนใหญ่จะได้โฮมสเตย์ไม่ดี ให้กินแต่อาหารถูกๆทั้งๆที่เก็บเงินไปแพง ส่วนเราโชคดีที่บ้านนั้นเลี้ยงอย่างดิบดีจนอ้วนขึ้นถึงห้ากิโลในเวลาไม่กี่เดือน

ก็เลยทำให้พ่อเราบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกเงินมัดจำนั่นนะ เขาบริการดีก็ถือว่าให้เขาไป เราก็คิดในใจ หึๆ บริการดีจริงๆนั่นแหละ ดีจนเราลืมเอาเงินมัดจำจำนวนสองหมื่นบาทคืนตอนออกจากบ้านเลย เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะไม้หมีบริการแด แหม บริการดีนี่แหละ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น

ครอบครัวนั้นจริงๆแล้วเป็นผู้ชายแก่เป็นฝรั่งเยอรมันที่อพยพมาอยู่ออสเตรเลียเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนนั้นตาแก่นั่นอายุเจ็ดสิบ ส่วนฝ่ายหญิงเด็กกว่าสามียี่สิบห้าปีเป็นคนฟิลิปปินส์ที่ทำอาหารเก่งมากทั้งอาหารเอเชียและอาหารฝรั่ง

เขาบอกว่าเขารับเด็กมาอยู่แต่มีแต่เด็กเรียนคอร์สภาษาเลยอยู่กับเขาไม่นาน เขาอยากได้เด็กที่อยู่นานๆมากกว่า เผอิญมีเรานี่แหละที่เรียนโทแล้วไปอยู่กับเขา แล้วเขาก็ชอบรับแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้น เพราะเขาไม่ชอบเด็กผู้ชาย สกปรก ไม่มีระเบียบ

ตอนแรกๆเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็คิดว่าเด็กเรียนภาษาก็คงอยู่ไม่นานอยู่แล้ว ถ้าเขาบริการเราดีก็คงอยู่จนเรียนจบ ตอนแรกเขาก็บริการเราดีทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน มีพาออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยบางครั้ง บางทีก็ออกไปชอปปิ้งกัน ตอนแรกผู้หญิงฟิลิปปินส์นั่นก็ดูใจดี คุยเก่ง แนะนำเราดีทุกอย่าง ตอนนั้นทุกอย่างมันเหมือนจะดูดีไปหมดจนประมาณสี่เดือนผ่านไป

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงฟิลิปปินส์กลับไปประเทศเขาเพื่อร่วมงานแต่งงานของหลานชายเขาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ และแล้วเราก็ต้องอยู่บ้านเดียวกับไอ้แก่นั่นสองคน โดยที่มีเด็กเรียนภาษาอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย แต่ไม่เคยอยู่บ้านเลย เนื่องจากเราเรียนช่วงเย็นถึงค่ำ ช่วงกลางวันเราก็จะอยู่บ้าน อ่านหนังสือ เตรียมรายงานไปเรื่อยของเรา เราไม่ค่อยชอบออกไปไหนเพราะงานเยอะ อ่านหนังสือไม่ค่อยทันด้วย และด้วยนิสัยเราด้วยที่ไม่ค่อยเที่ยวนักเลยอยู่บ้านซะเยอะ

จริงๆไอ้แก่นั่นก็ชอบแสดงตัวว่าเป็นคนดี มีศีลธรรมตลอดเวลา บอกว่าการทักทายกันแบบฝรั่งมีหอมแก้ม จูบแก้มกันเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ว่าธรรมดาของสังคมที่นั่นจริง แต่ระยะหลังๆมันชักจะแปลกๆ โดยเฉพาะช่วงนั้นที่เมียมันไม่อยู่ เราก็ออกไปซื้อกับข้าวกับโฮมสเตย์เป็นประจำ พอไอ้แก่นั่นชวนไปเราก็ไปปกติ แต่อยู่ดีๆมันก็ชอบมาโอบ คือโอบไหล่นี่เป็นปกติเพราะต่อหน้าเมียมันก็ทำแบบนั้น กับเด็กคนอื่นมันก็ทำ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่วันนั้นมันชักเอาใหญ่คราวนี้มาโอบเอวเลย เราก็ตกใจรีบถอยออกมา คิดดูดิว่าถ้าคนอื่นเห็นเขาจะคิดว่ายังไง

แต่เราก็ยังไม่คิดอะไรมากจนวันสุดท้ายก่อนที่เมียมันจะกลับ มันก็ชวนเรากินเหล้าที่มันทำเอง บ้านนั้นจะทำเหล้ารัมกินเองอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆเราก็เคยกินบ้างแต่ไม่มากเพราะกลัวเสียภาพพจน์เด็กไทย เดี๋ยวจะหาว่ามาเรียนหรือมาเมากันแน่ และตาแก่นี่จะชอบผสมเหล้าเข้มมากคือเหล้าเกือบครึ่งแก้วผสมน้ำเปล่า และใส่น้ำแข็ง ตอนกินครั้งแรกนี่เกือบจะพ่นปื้ดออกมาด้วยความขม แต่กินไปกินมาก็อร่อยดี ปกติเราจะกินแค่แก้วเดียว แต่วันนั้นมันคะยั้นคะยอให้เรากินถึงสามแก้ว คงคิดว่าจะมอมเรา แต่เราเป็นประเภทไม่เคยกินเหล้าจนเมาอยู่แล้ว

แล้วสักพักมันก็เริ่มเข้ามาโอบ จะมาจูบปากเราทั้งๆที่ปกติก็แค่จูบหน้าผาก ซึ่งเราก็หันหนีเลยเฉียดไปโดนแก้ม แล้วก็โอบเอวจะให้เราลงไปนั่งกับมัน เท่านั้นแหละเราเลยบอกว่าต้องรีบไปทำรายงานแล้วเดินหนีเลย ตอนนั้นตกใจแล้วก็คิดอะไรไม่ออก เพราะอึ้งมาก ไม่เคยคิดว่ามันจะคิดแบบนี้กับเรามาก่อน เราเลยรีบออกจากบ้านไปหาเพื่อนแล้ววันนั้นก็ค้างบ้านเพื่อนแต่ก็ไม่ได้นอน เพราะเพื่อนมีเตียงเดียวซึ่งมันก็นอนกับแฟนมันอยู่แล้ว นอนไม่ได้ เราก็เลยลุกมานั่งเปิดเนททั้งคืน เพราะต่อให้นอนได้คืนนั้นก็คงนอนไม่หลับ

ในใจคิดแต่ว่าเราจะไปหาที่ซุกหัวนอนได้ที่ไหนวะที่ใกล้มหาลัยเหมือนที่นี่ แล้วก็ราคาไม่แพง ที่สำคัญต้องหาให้ได้เร็วที่สุด การหาบ้านที่นั่นมันไม่ได้ยากมากแต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะหาบ้านที่ถูกใจในเวลาจำกัดแบบนี้ เพราะเราคิดว่าเราคงอยู่ที่นั่นไม่ได้แล้วแน่ๆ พอดีวันรุ่งขึ้นเมียมันก็กลับมาแล้วเราก็เลยกลับบ้าน ใจคิดว่าคงไม่พูดอะไรหรอก ออกไปเงียบๆคงดีกว่า เพราะพูดอะไรไปคงไม่มีใครเชื่อ ที่สำคัญช่วงนั้นเรางานเยอะมากไม่มีเวลาไปเอาเรื่องกับใคร

พอเมียมันกลับมาเท่านั้นแหละ ก็สังเกตท่าทางแปลกๆของเราได้ที่ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมคุยกับสามีแก่ๆของมันเหมือนเก่า มันก็เลยเป็นเรื่องเมื่อไอ้แก่นั่นเริ่มพูดเรื่องนี้ก่อนเป็นคนแรก หลังจากนั้นเมียมันก็เลยมาถามจะเอาเรื่องกับเราพร้อมหาว่าเราไปอ่อยผัวแก่เจ็ดสิบ โอยยย อยากจะบ้าตาย ตอนนั้นเจ็บใจมากที่จ่ายเงินก็แพงแล้วยังโดนลวนลามเสร็จแล้วยังโดนมันด่าอีก

แต่ด้วยความที่ยังหาบ้านไม่ได้เลยต้องทนอยู่ต่อไปอีกประมาณเกือบอาทิตย์ได้ แต่ก็อยู่อย่างกดดันเพราะฝ่ายผู้หญิงก็แดกดันเราตลอดเวลา พอเราหาบ้านได้ก็เลยรีบออกมาเลยโดยที่ยังอุตส่าห์จ่ายเงินในสัปดาห์นั้นไว้โดยที่ไม่บอกล่วงหน้า ทิ้งไว้แค่โน้ตแถมจ่ายเงินเกินไปอีกห้าเหรียญเพราะไม่มีแบงก์ย่อย แต่ดันลืมไปว่าเรายังมีเงินมัดจำอยู่อีกตั้งหนึ่งเดือนหรือประมาณสองหมื่นบาท นี่เราลืมไปได้ยังไงเนี่ย

หลังจากนั้นเราก็ได้ข่าวว่าบ้านนั้นเขาเลิกเป็นโฮมสเตย์ไปเลย พร้อมขายบ้านนั้นทิ้งไปอยู่ที่อื่นอีกด้วย ส่วนเราก็ลืมเรื่องเงินมัดจำไปเสียสนิท แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมสี่ปีผ่านมาอยู่ดีๆไอ้เรื่องค่ามัดจำมันดันเด้งปึ๊งขึ้นมาให้เราเจ็บใจเล่นซะงั้น ถ้าเขาบริการเราดีจริงอย่างที่พ่อเราว่าก็คงไม่คิดอะไรมากหรอก หรือถ้าเราลืมไปเลยซะก็คงเฉยๆ แต่นี่อยู่ดีๆดันนึกขึ้นมาได้ เนี่ยละน้าคนเราอยู่ดีๆก็หาเรื่องไม่สบายใจซะงั้น



Create Date : 07 สิงหาคม 2550
Last Update : 7 สิงหาคม 2550 12:50:43 น.
Counter : 681 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  

แอนนะยะ
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



เบื่อกับการมีชีวิตตามกระแสสังคม ต่อนี้ไปฉันจะมีชีวิตอย่างที่ฉันต้องการจะเป็นเท่านั้น แค่มีความสุขกับตัวเองและคนที่บ้านก็เพียงพอ