bloggang.com mainmenu search
สวัสดีครับ พี่ๆน้องหลานๆทุกคน

หายไป ๒๐ กว่าวัน หลังจากที่ผมบอกขอปลีกวิเวกซัก ๗-๘ วัน เพราะกลับมาในช่วงบ้านเมืองวุ่นวายพอดี ทำให้ไม่รู้จะเขียนอะไรลงบล็อกดี คือมีเรื่องอยากเขียนเยอะครับ แต่คิดนานว่าควรจะเขียนดีหรือไม่ เรื่องที่อยากเขียนก็เช่น พูดถึงนิยายในประวัติศาสตร์เรื่อง 'รุกสยามในพระนามของพระเจ้า' ซึ่งว่าด้วยการรุกคืบของฝรั่งเศสที่หวังจะยึดอาณาจักรสยามในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติของประชาชนฝรั่งเศส ซึ่งว่าด้วยการหนีเสือปะจระเข้, หนังไทยเรื่อง ฟ้าใสใจชื่นบาน หนังตลกในประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งว่าด้วยเรื่องของอุดมการณ์ที่ดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ใช่ เป็นต้น

คิดแล้วคิดอีก(ก็ผมเป็นคนที่รักประเทศไทยของเราคนนึงนี่ครับ) คิดไปคิดมายังไม่เขียนดีกว่า เพราะตั้งใจว่าข้อเขียนของผมทุกเรื่องจะขอเขียนให้รื่นรมย์ คิดคูณว่างั้น(มากกว่าคิดบวกอีกนะ) ทีนี้เมื่อเราอยู่ในอารมณ์หดหู่กับบ้านเมือง ก็อย่าเขียนมันซะดีกว่า ถือคติว่า แม้เราจะเป็นคนดับกองไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ไม่ได้ ก็ขอเป็นคนหนึ่งที่ไม่เติมเชื้อไฟลงไป...ครับ

มาคราวนี้คิดออกแล้วครับว่าจะเขียนอะไรที่ให้ตรงกับแนวทางที่วางไว้ คือ... ผมไปปฏิบัติธรรมมาครับ

ที่บอกว่าปลีกวิเวกยังมีบางคนคิดว่าผมเล่นมุขหนีไปเที่ยว ไม่ใช่ครับ ปลีกวิเวกจริงๆ ผมได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งหนึ่ง แถวจังหวัดหนึ่งในภาคๆหนึ่้งของประเทศไทยมาครับ อ๋อ ละเอียดน้อยไปหรือครับ งั้นบอกเพิ่ม ไปมาที่จังหวัดจันทบุรีครับ

วัดนี้สถานที่เหมาะมากๆสำหรับปฏิบัติธรรมครับ อากาศขนาดว่าไปช่วงเดือนเมษานี่ตอนกลางวันยังอยู่ได้อย่างสบายๆ กลางคืนมีหนาวครับทำเป็นเล่นไป เข้าใจว่าเพราะเป็นป่าชายเขา และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเมืองจันทบุรีใกล้ทะเลด้วย ช่วงปฎิบัติธรรมในตอนเช้ามืดนี่อากาศเย็นขนาดที่ว่าต้องใช้ผ้าคลุมไหล่มาช่วยกันหนาวเลยครับ

ที่เก๋มากคือ สถานที่ปฏิบัติธรรมกับที่พักแบ่งโซนกันด้วยสะพานข้ามธารน้ำตกครับ


มองจากภาพ ด้านซ้ายจะเป็นโซนของวัด ด้านขวาจะเป็นป่า โซนสำหรับปักกลดเป็นที่พักครับ


สะพานนี้บางคนเห็นแล้วคงนึกถึงรพินทร์ ไพรวัลย์ กับศึกสางเขียว ไม่แปลกครับ เพราะผมก็คิดว่าโลเคชั่นนี้ น่าถ่ายหนังซีนนี้จริงๆ


มุมนี้คือทางที่จะข้ามไปที่พักครับ


แล้วนี่คือกลดในยุคไฮเทคครับ


ก็เต๊นท์นั่นแหละครับ ใช้เป็นที่พักทั้งอุบาสก(ฆราวาสฝ่ายชาย) และพระ
โดยส่วนของอุบาสิกาไม่ให้ข้ามมาพักที่โซนป่านี้ คือให้พักในศาลาซึ่งอยู่ในโซนวัด


หนึ่งเต๊นท์ต่อหนึ่งคน/รูปครับ ซึ่งสะดวกดีกว่ากลดครับ ในแง่ที่ว่าถ้าไม่ต้องเดินธุดงค์ซึ่งกลดจะดีกว่าเพราะเบา เคลื่อนย้ายง่าย แต่นี่เป็นการพักอยู่กับที่เป็นระยะเวลาหลายวัน(เต็มที่ตามหลักสูตรคือ ๑๕ วัน แต่ผมไป ๗ วัน) ซึ่ง เต๊นท์จะเหมาะกว่า เช่น มีพื้นที่กว้างขวางพอสำหรับนอนพักและเก็บสัมภาระต่างๆ, เวลาฝนตกเต๊นท์จะช่วยกันฝนได้ ซึ่งถ้าเป็นกลดก็สบายไป คือนอนตากฝนสบายไป

นี่ครับภายในเต๊นท์ที่พักของผม




พูด(เขียน)มาถึงตรงนี้ อาจมีบางคนเริ่มตั้งตัวว่าเดี่ยวคงได้อ่านธรรมะอะไรบ้างล่ะ ถ้าคิดแบบนั้นก็ต้องขออภัยครับ ผมไม่ได้กะเขียนเรื่องธรรมะน่ะครับ เพราะคิดว่าโดยบุคลิกแล้วยังไม่น่าจะพูดเรื่องธรรมะ คือพูดตามทฤษฎีน่ะไม่มีปัญหา แต่ผมว่าแบบนั้นเป็นการพูดที่ไม่ค่อยได้อะไร การพูดธรรมะน่าจะออกมาจากผลของการปฏิบัติมากกว่า (ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลอะไรที่พอจะมาพูดให้ฟังได้นัก)

คือผมแค่กะจะเล่าไปเรื่อยๆน่ะครับ

การกางเต๊นท์ในโซนที่พักนี้ ก็คล้ายๆกับการกางเต๊นท์ในป่านั่นแหละครับ ย้ำว่า ป่าจริงๆเลยนะครับ ชนิดที่เรียกว่าพอกลางคืนเมื่อไหร่ ให้เดินข้ามมาคนเดียวนี่ขอคิดดูก่อนเลย เพราะบรรยากาศของป่าข่มมาก วังเวงมาก เรียกว่าถ้ากางเต๊นท์อยู่คนเดียวในนี้คงได้มีขนลุกขนพองกันบ้างแน่ๆ

พอดีว่าการไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ อุบาสกกับพระก็มีจำนวนน่าจะซักเกือบ ๖๐ คน/รูป ก็กระจายกันไปห่างกันมั่ง ถี่มั่ง ตามแต่ความสะดวก และความลอยของปอดด้วยมั๊งครับ

ถามว่ากลัวสิงสาราสัตว์มั๊ย ก็ไม่เชิงนะครับ คือไม่ถึงกับกลัวแต่ก็ต้องระวัง อย่างที่ผมเกรงที่สุดก็คืองู แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่พอจะพิสูจน์ได้ คืออย่างถ้าเราไปแบบนักท่องเที่ยว หรือไปกับพราน เราก็อาจมีอาวุธไว้ป้องกันตัว แต่ในกรณีของผู้ปฏิบัติธรรม อาวุธที่ทรงพลังมากคือ 'ศีล' ครับ อุบาสกศีล ๘ พระท่านก็ศีล ๒๒๗ อยู่แล้ว ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว(คือผมปฏิบัติธรรมลักษณะทำนองนี้หลายครั้งอยู่) ว่าถ้าเรามีศีลที่ดี พวกสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้จะไม่มากวนเราเลยครับ อย่างเก่งก็เลื้อยเลียบๆไป แต่อย่างที่ไปปฏิบัติธรรมที่นี่มาสองครั้ง ผมก็ไม่เห็นงูเลยซักหน อันนี้พอจะยืนยันได้ครับ อาวุธคือศีลนี่จะเป็นเครื่องคุ้มครองภัยได้จริง อ้อ แล้วน่าจะประกอบกับการแผ่เมตตาด้วยนะครับ

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่เป็นประเด็นหลักที่ผมจะมาเล่าในครั้งนี้ครับ คือเรื่องลี้ลับ

ถามว่าสถานที่แบบนี้มีสิ่งลี้ลับมั๊ย ตอบได้เลยครับว่ามีแน่ๆ ทั้งจากความรู้สึกและจากประสบการณ์ของคนอื่นๆที่เขาเจอกัน โดยเฉพาะในเรื่องของนางไม้ ภุมมเทวาต่างๆ (สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในสัมมาทิฐิพื้นฐานในพระพุทธศาสนาเลยนะครับ คือ ความที่ต้องรู้ว่าสัตว์ที่เกิดแบบโอปปาติกะนั้นมีจริง)

ก็มีทั้งประเภทมาแต่กลิ่น หรือมาให้เห็นกันแบบจะจะ แต่สำหรับสถานที่ปฏิบัติธรรมแบบนี้ ผู้ที่มาก็มักจะไม่ใช่ผีเร่ร่อนนะครับ จะเป็นนางไม้ หรือเทวดาประเภทที่อยู่ในภพที่ซ้อนกันกับภพมนุษย์นี้ซะเป็นส่วนใหญ่ คือพูดรวมๆว่าเป็นเทวดามา ไม่มาทักทายก็มาเตือนๆในกรณีที่บางคนศีลไม่ค่อยสมบูรณ์หรือขี้เกียจปฏิบัติธรรม

หากถามว่าผมเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ก็คงต้องถามกลับว่าแล้วทำไมคนถามไม่เชื่อล่ะ โดยเฉพาะถ้านับถือศาสนาพุทธ เพราะเรื่องนี้มีมากมายในพระไตรปิฎก แถมเป็นความเชื่อพื้นฐานที่ชาวพุทธต้องมีด้วย เพียงแต่ผมคิดว่านักวิชาการศาสนาบางท่านในปัจจุบันตีความว่าเรื่องนี้ไม่มี เห็นว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจเท่านั้น ซึ่งไม่ถูกครับอันนี้ผมขอแย้งทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ (หากสนใจรายละเอียด ไว้ผมจะชี้ให้ดูในภายหลังครับ)

แต่ก็ต้องดูเป็นกรณีๆไปนะครับ เราเห็นอะไรแล้วจะตีความว่าเป็นสิ่งลี้ลับไปซะหมดก็คงไม่ใช่

เอาเป็นว่ายกตัวอย่างผมเองเลยแล้วกันครับ อันนี้ประสบการณ์ตรง ผู้อ่านคนไหนขวัญอ่อนต้องพิจารณาให้มากเลยนะครับว่าควรจะอ่านต่อดีหรือไม่

เรื่องมีอยู่ว่า...

สังเกตจากภาพที่ ๓ สิครับ ที่ผมกางเต๊นท์อยู่จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นนึง รู้สึกจะเป็นต้นตะเคียนรึไงนี่แหละครับ อันที่จริงจุดนี้อยู่ใกล้สะพานด้วยซึ่งน่าจะสะดวกกับการเดินข้ามไปข้ามมา แต่ปรากฏว่ามีแต่คนไปหาที่กางเต๊นท์ที่อื่นครับ ตอนที่หาที่กางเต๊นท์นั้น ผมข้ามไปในตอนที่หลายๆคนจับจองที่แล้ว ก็นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่มีใครจองตำแหน่งนี้ แต่ก็ไม่คิดอะไร เห็นว่าสะดวกดีอย่างว่าก็กางเต๊นท์ซะตรงนี้

ตอนก่อนนอนผมก็แผ่เมตตา โดยนึกแผ่เมตตาให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ที่ต้นตะเคียนนี้ด้วย(ถ้ามี) ทุกคืนครับ ก็หลับสบายมาจนถึงคืนที่ห้า

พอเช้าวันที่หกนี่สิครับ มีอุบาสกคนนึงเดินมาถามผมว่า เป็นไงนอนตรงนี้หลับสบายดีมั๊ย?!

เอาแล้วคำถามนี้ จากที่ฟังรายการเดอะช็อคบ่อยๆ ผมรู้เลยว่าประโยคต่อไปจะเป็นยังไง ซึ่งก็ตามนั้น คือผมก็บอกไปว่าสบายครับหลับสนิททุกคืน มีอะไรหรือครับ

ก็เป็นไปตามคาด แกก็บอกต่อมาว่า ที่ตรงนี้ปีที่แล้วแกมานอนได้ช่วงนึงแล้วก็ต้องเปลี่ยนที่ เพราะเล่นมายืนจังก้าค้ำเต๊นท์ไว้เลย แล้วแกก็มองไปที่ต้นตะเคียนนั้น!!!

ผมก็บอก อ๋อ ผมแผ่เมตตาทุกคืนครับ ไม่มีปัญหา

แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มระแวงนะครับ กลับมาที่เต๊นท์คราวไหนก็รู้สึกเสียวๆอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่คนส่วนใหญ่อยู่ที่ฝั่งวัด

แล้วไคลแม็กซ์ก็เริ่มขึ้น ในช่วงเย็นของวันที่หกนี่เองครับ...

ตอนนั้นเป็นช่วงพักตอนเย็น ผมก็เดินข้ามสะพานมาที่เต๊นท์เพื่อจะมาเตรียมตัวไปอาบน้ำ (อาบในธารน้ำตกนั่นแหละครับ สบายดีจริงๆ ) บรรยากาศตอนนั้นก็วังเวงได้ที่เพราะคนเริ่มกระจัดกระจายกันไปอาบน้ำมั่ง นอนพักมั่ง ผมเองก็รู้สึกระแวงเล็กน้อย หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่านั้น

ช่วงที่ผมเปิดเต๊นท์แล้วกำลังจะมุดตัวลงไป (ดูภาพที่ ๔ ประกอบ) หางตาผมก็เห็นทางด้านขวาเหมือนเงาขาวๆ ก้าวตามผมมาเข้าเต๊นท์ไปด้วย ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปในเต๊นท์อย่างรวดเร็ว!!!

ตกใจสิครับตอนนั้น นั่งตั้งสติแวบนึงแล้วเริ่มสำรวจไปรอบๆ แล้วผมก็พบกับที่มาของเงาขาวๆนั้นจนได้!!!

|
|
|
|
|
V

ปุ้ดโถ ผ้าคลุมไหล่สีขาวของผมมันลู่ลงไปถึงหัวเข่าด้านขวา เวลามุดเข้าเต๊นท์มันก็เลยแกว่งตามขามานี่เอง...



เหนือความคาดหมายครับที่มีสมาชิกสนใจสถานที่ปฏิบัติธรรมนี้มากอยู่ งั้นผมขอลงภาพเพิ่มเติมครับ



วัดเขาบรรจบ อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี


ใกล้กับป้ายชื่อวัด จะเป็นศาลาที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวของอุบาสิกาครับ
เห็นสะดวกสบายไม่ได้อยู่ในป่าแบบนี้ แต่เท่าที่ฟังคือ แรงไม่เบาเลยครับ


บริเวณทางไปศาลาปฏิบัติธรรม ในบางมุม


บนศาลาปฏิบัติธรรมครับ


โรงทานอาหาร แม่ครัวทำอาหารอร่อยดีครับ


อีีกมุมนึงของสะพานแขวน
ทางเดินไปฝั่งที่เป็นป่าโซนที่พักของพระและอุบาสกครับ


ลำธารน้ำตก บางมุมมองของบริเวณที่ใกล้กับสะพานแขวนครับ


ลำธารน้ำตก อีกมุมมองนึงจากสะพานแขวนลงไปครับ
น้ำเย็นอาบเพลินใจ


ต้นไม้ขนาดจัมโบ้ภายในบริเวณวัดครับ
Create Date :20 เมษายน 2552 Last Update :22 เมษายน 2552 12:14:22 น. Counter : Pageviews. Comments :19