10 ข่าวเด่นเศรษฐกิจในรอบปี2556 ขอเริ่มกันที่เรื่องแรกคือเหตุการณ์ น้ำท่วมภาคอีสาน :หลังฝันร้ายของคนไทยในปี 2554 อันเกิดจากมหาอุทกภัย  เหตุการณ์น้ำท่วม 28 จังหวัด ในภาคอีสาน ก็นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยอย่างมาก มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบนับล้านคน มูลค่าความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท และมีผู้เสียชีวิตกว่า 34 ราย ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการน้ำของประเทศไทย

ทุจริตจำนำข้าว:โครงการอันเนื่องมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการกระจายรายได้ลงสู่รากหญ้า และยกระดับราคาข้าวไทย แต่ที่สุดแล้วกลับพบมีการทุจริต การสวมสิทธิ์การจำนำข้าว กันอย่างโจ๋งครึ่ม ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวพันจำนวนมาก การสอบสวนก็ยังไม่จบ แต่รัฐบาลก็ยังประกาศเดินหน้าจำนำข้าวรอบใหม่ ทั้งที่ยังค้างจ่ายเงินให้กับเกษตรกร และเงินของธ.ก.ส.ก็เหลือเพียงแค่ 12,000 ล้านบาทหรือจ่ายค่าจำนำข้าวได้ถึงสิ้นเดือนธันวาคมนี้เท่านั้น

ม็อบยางพารา:ถึงจะมีผู้บอกว่าม็อบนี้เป็นม็อบทางการเมือง แต่ความเดือดร้อนเรื่องราคายางตกต่ำก็เป็นของจริง แม้ว่ารัฐบาลตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยการช่วยเหลือปัจจัยค่าผลิต 2,150 บาท ต่อไร่ แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเนื่องจากปัจจุบันมีผลผลิตยางออกมาจนล้นตลาด ซ้ำยังต้องแข่งขันกับต่างชาติ การที่รัฐบาลมีความคิดจะผุด “รับเบอร์ ซิตี้” ขึ้นมาก็น่าจะตอบโจทย์ได้ระดับหนึ่ง นอกเหนือจากมาตรการระยะสั้นที่ให้ กระทรวง ทบวงกรมต่างๆ เพิ่มการใช้ยาง แต่ก็คงต้องรอรัฐบาลหน้ามาสานต่อเสียแล้ว

โครงการ 2.2 ล้านล้านบาท:แม้ว่า พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานจะผ่าน สภาฯวาระ 3 ไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังติดอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะตีความอย่างไร เพราะหาก พ.ร.บ. 2.2 ล้านล้านไม่ผ่าน ปีหน้าประเทศไทยจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหนักหนาทีเดียว เพราะเท่ากับว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะไม่เกิด และไม่สามารถเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ในขณะที่การส่งออกก็ตกลงอย่างมากในปีนี้ไม่ถึง 1% ไม่อาจที่จะหวังพึ่งพาได้อย่างที่ผ่านมา

โครงการบริหารจัดการน้ำ3.5 แสนล้านบาท:มีชะตากรรมไม่ต่างจาก พ.ร.บ. 2.2 ล้านล้าน แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการลงพื้นที่ทำประชาพิจารณ์ไปแล้ว แต่เสียงตอบรับหลังๆ ก็ไม่ดีดังคาด ในขณะที่ไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ เอกชนผู้เข้าร่วมรายใหญ่ อย่าง เค วอเตอร์ ก็เริ่มแสดงความไม่สบายในความไม่ชัดเจนของรัฐบาลและการเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวว่า เค วอเตอร์อาจจะพิจารณาส่งทีมงานจากเกาหลีกลับไปก่อนเพื่อรอความชัดเจนอีกครั้ง

ดีลประวัติศาสตร์ซีพีออลล์ทุ่มซื้อแม็คโคร:บริษัท ซีพี ออลล์ เจ้าของร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ซื้อกิจการ บริษัท สยามแม็คโคร ห้างค้าส่งรายใหญ่และรายเดียวในเมืองไทย ด้วยมูลค่า 188,880 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งแหล่งเงินทุนมาเงินสดของบริษัท 10% และอีก 1.7 แสนล้านบาท มาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน นำโดยธนาคารไทยพาณิชย์ ซีพี ออลล์จะใช้ สยามแม็คโคร มาเป็นทัพหน้าในการกระจายสินค้าสู่ตลาด AEC ขยายเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทุกประเทศ ในอาเซียน หรือเออีซี รวมทั้งจีน  เพื่อขยายฐานผู้บริโภคที่มีมากกว่า 600 ล้านคน ถือเป็นการรวมสุดยอด 2 บริษัทเข้าด้วยกัน และจะทำให้ ซีพี ออลล์ ทิ้งห่างคู่แข่งขันอันดับ 2  เพราะจะเติบโตขึ้นถึง 50% ถือเป็นดีลที่น่าเรียนรู้ และน่าจับตาการก้าวเดินว่าธุรกิจสัญชาติไทยรายนี้จะเติบโตไปอีกมากน้อยเพียงไร

แฮ็กข้อมูลบัตร ATM:ช่วงเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาเกิดโจรขโมยข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม (สกิมเมอร์) แถวถนนวิทยุ มีผู้เสียหายเกือบ100 ราย แม้ตำรวจจะจับโจรได้สำเร็จในเวลาไม่กี่วัน แต่ธนาคารพาณิชย์ไทยต้องตื่นตัว และหาวิธีการป้องกันการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากกว่านี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก และความเสียหายครั้งต่อไปอาจมากกว่าหลักล้านบาท โจรนายนี้ชื่อนายอังเดร เวเรเทลนิคอฟ เป็นชาวชาวรัสเซีย ร่วมมือกับตำรวจนอกแถวบางคน ลักลอบติดแถบสกิมเมอร์ตามตู้เอทีเอ็ม แถวถนนวิทยุ มีผู้เสียหายบางรายสูญเงินไปหมดทั้งบัญชี งานนี้มีหลฃักฐานของกลางเป็นเงินสด 4.4 ล้านบาท รวมถึงบัตรปลอมทั้งทั้งเอทีเอ็มและเครดิตอีก 328 ใบ แต่การออกมาแนะนำวิธีสังเกตุเครื่องสกิมเมอร์ของแบงก์ชาติ หรือการตรวจสอบตู้เอทีเอ็มทุกสัปดาห์ ยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น อีกทั้งบัตรกดเงินจากตู้เอทีเอ็มที่ติดตั้งเครื่องสกิม เมอร์ ต่อให้มาเปลี่ยนรหัสบัตรทีหลัง ก็ป้องกันการโอนเงินได้ ต้องแจ้งอายัดบัตรเท่านั้น สิ่งสำคัญจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี่ให้เท่าทันอาชญกร

ค่าแรง300บาทถูกใจคนไทยจริงหรือ: นโยบายค่าแรง 300 บาท ที่มีผล ตั้งแต่ปีใหม่วันที่ 1 ม.ค. 2556 อาจดูดีในสายตามนุษย์เงินเดือน แต่ในความเป็นจริงไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้มากนัก เพราะราคาสินค้าในท้องตลาดขึ้นราคาไปนอนรอล่วงหน้า เรียกว่าแพงทั้งแผ่นดิน สิ่งที่ตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้คือ กิจการทั้งรายเล็กรายใหญ่หลายๆแห่งต้องปิดตัวลง ด้วยแบกรับต้นทุนไม่ไหว เช่น บริษัทสหฟาร์ม  จำกัด ไม่สามารถจ่ายค่าแรงแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ และเกษตรกรผู้ส่งข้าวโพดได้ รวมถึงพนักงานกว่า 30,000 คน หรือบริษัท เอ็คโค จำกัด ผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์ดัง ECCO ก็หมดหน้าตักไม่สามารถจ่ายค่าแรงคนงานกว่า 1,000 คนได้ จึงต้องเลิกกิจการ และยังคงส่งผลต่อไปอีก หากภาครัฐไม่สามารถควบคุมต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาค่าแรงที่สูงขึ้น แม้จะมีความพยายามช่วยเหลือภาคเอกชนผ่านมาตรการภาษี หรือวิธีการอื่นๆ ก็ไม่ตอบโจทย์ของปัญหานี้ได้ถูกต้องนัก เพราะเกาไม่ถูกที่คัน ลองหันมาดูค่าครองชีพและค่าขนส่งดีกว่านะ

ประมูลทีวีดิจิตอลมูลค่ามหาศาล:เป็นข่าวที่ฮือฮามาเกือบ 2 ปี ภายหลัง กสทช.หน่วยงานที่ดูแลการกระจ่ายเสียงทั้งวิทยุและโทรทัศน์ ประกาศแจกคูปองเฉลี่ยใบละ 690 บาท แก่ 22 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อเป็นส่วนลดซื้อกล่องรับสัญญาณ (set to box) และจอทีวีระบบดิจิตอล สร้างความชื่นมื่นกันถ้วนหน้าประชาชนชาวไทยงานนี้ลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท อีกทั้งการประมูลโทรทัศน์ระบบดิจิตอลก็ทำให้ภาคธุรกิจสื่อสารตื่นตัว เข้าร่วมประมูลและคุณสมบัติเข้ารอบ 29 บริษัท แค่ใบอนุญาติก็คงหลายหมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว ยังไม่ร่วมถึงการดึงตัวคนมีฝีมือมาร่วมงาน ไหนจะการลงทุนหลังจากประมูลใบอนุญาติทำธุรกิจอีกมหาศาล รวมๆแล้วเริ่มต้นก็มากกว่า 1 แสนล้านบาทไปแล้ว ก่อนที่อุตสาหกรรมทีวีไทยไทยจะก้าวจากระบบอะนาล็อกสู่ระบบดิจิตอล

โกงภาษี 4,000 ล้านบาท: เป็นคดีความที่น่าตกใจเพราะเป็นการร่วมมือกัน คอรัปชั่น โกงภาษี โดยมีเอกชนและเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรร่วมขบวนการถึง 18 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ ซี 9 จำนวน 4 ราย และต่ำกว่าระดับซี 9  อีก 14 รายร่วมมือโกงภาษีจำนวน 4,298,564,817 บาท  ถือเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง แม้การจับกุมผู้กระทำผิดจะเป็นการล้อมคอกก็ตาม ต่อไปรัฐคนต้องมีวิธีการป้องกันได้ดีกว่านี้ ยิ่งกรณีเกลือเป็นหนอนร่วมมือกับคนนอกยิ่งต้องรัดกุมเป็นพิเศษ ถึงจะมีการโกงแบบนี้ขึ้นทุกปี แก้กฏระเบียบจนกระดาษขาดไปหลายร้อยรีมก็ยังไม่หมด คงต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคน และการที่ทุกคนในทุกแวดวงต้องช่วยเป้นหูเป้นตากันในเรื่องนี้

MThai news