bloggang.com mainmenu search




สวัสดีค่ะ



หลังจากรีวิวโรงแรมโยเดีย เฮอริเทจไปแล้วสองตอนดังนี้

ห้อง deluxe ของโรงแรมโยเดีย เฮอริเทจ(คลิกเพื่ออ่าน)

ดินเนอร์ที่ห้องอาหาร Amore' (คลิกเพื่ออ่าน)






วันนี้จะพาไปหม่ำอาหารเช้าและไปดูห้อง Suite กับ Junior Suite บ้างนะคะ







เช้าวันนั้นเราก็ตื่นแต่เช้ามืดเลยหละค่ะ เพื่อที่จะไปทำกิจกรรมอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การไปตักบาตรนั่นเอง ซึ่งที่โรงแรมนี้จะมีรถไปส่งให้ฟรีนะคะ ซึ่งไม่ควรไปเกิน 07.30 น.ค่ะ เพราะพอเจ็ดโมงครึ่งนี่ พระจะกลับวัดหมดแล้วนะคะ

นอกจากตักบาตรตอนเช้า ก็มีบริการส่ง-รับไปทำวัตรเย็นที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นท่า่นใดที่ชอบเรื่องการปฏิบัติธรรม ตักบาตรหละก็...พักที่นี่ได้ทำอะไรหลายอย่างอย่างที่ชอบแน่นอนค่ะ


ถ่ายวิวทิวทัศน์จากระเบียงห้องยามเช้ามาให้ค่ะ ทางซ้ายจะเห็นแม่น้ำน่านแบบเฉียงๆ นะคะ

ส่วนตรงกลางจะเห็นหลังคาบ้านคนหน่อยหนึ่งค่ะ

แต่ถ้าทางขวาก็จะมีความเขียวครึ้มปกคลุมบ้านคนหน่อย
























โดยทางโรงแรมได้นำรถคันนี้ไปส่งค่ะ ซึ่งสำหรับการเดินทางในบริเวณอำเภอเมือง ทางโรงแรมจะมีบริการรับ-ส่งฟรีนะคะ ไม่ว่าจะไปที่ไหนในเขตอำเภอเมืองก็ตามแต่ค่ะ (อันนี้หนึ่งในเจ้าของเป็นคนให้้ข้อมูลเองค่ะ) แต่ไม่แน่ใจว่า เวลาแขกเยอะๆ จะไหวหรือเปล่านะคะ เพราะรถมีบริการอยู่ 3 คันน่ะค่ะ (แต่ส่วนใหญ่คนมาพักที่นี่ น่าจะมีรถส่วนตัวกันมาน่ะค่ะ แหะๆ)

โดยพนักงานที่ไปส่งชื่อน้องปองค่ะ ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่า ตัววัดจะเปิดเวลา 06.00 น.ค่ะ โบสถ์จะเปิดตั้งแต่ 06.30 น. รวมทั้งยังแนะนำด้วยว่า ร้านก๋วยเตี๋ยว (ห้อยขา) ใกล้ๆ โรงแรมมีชื่อเสียงมี 2 ร้านคือ ร้านริมน่าน (ที่รายการทีวีมาถ่ายเยอะๆ) กับอีกร้านคือร้านป้ากฐิน ซึ่งขายมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2500 โน่น





















รถก็จะวิ่งลัดเลาะไปตรงบริเวณที่ขายของฝาก แล้วก็ออกประตูไปจอดตรงนี้ค่ะ มันจะเป็นเหมือนตลา่ดเช้า แล้วก็มีร้านขายของสำหรับตักบาตรเป็นชุดๆ ค่ะ ราคาก็ตกชุดละ 20 บาทค่ะ ถ้าเอาดอกบัว หรือดอกไม้ด้วยก็เพิ่มอีก 5 บาทนะคะ
























แล้วก็มีชาวบ้านเอาพืชผักมาขายด้วยค่ะ แต่ไม่ได้ถามราคานะคะว่าเป็นอย่างไร แหะๆ




















จากนั้นก็กลับมาที่ีที่พักค่ะ ซึ่งเราขอลงก่อนถึงโรงแรมหน่อยหนึ่ง เพื่อจะไปถ่ายรูปร้านริมน่านกับร้านป้ากฐินค่ะ

ร้านริมน่านนี่ ถ้ามาจากทางวัด จะถึงก่อนโรงแรมนะคะ (เพราะงั้นถ้าใครอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศมาหาก๋วยเตี๋ยวทานก็เดินมาได้สบายมากเลยค่ะ)




















บรรดาเซเลบทั้งหลายที่เคยมาที่นี่ค่ะ





















สื่อที่เคยลง (ได้เชลล์ชวนชิมด้วยนะ)




















ถ้านั่งเรียงกันตรงนี้ ก็จะห้อยขาได้ค่ะ




















สื่ออื่นๆ ที่เคยมาถ่ายทำที่ร้านค่ะ ร้านี้เปิด 9.00-16.00 น.นะคะ




















จากนั้นก็เดินเลยโรงแรมไปหน่อย เพื่อไปเก็บภาพร้านก๋วยเตี๋ยวอีกร้านค่ะ นั่นก็คือร้านป้ากฐินนั่นเอง





















ร้านป้ากฐินจะเล็กกว่าริมน่านนะคะ ร้านจะเปิด 08.30-16.00 น.ค่ะ (โอ้...แม่เจ้า รูปนี้ต้องเซฟความละเอียดแค่ 4 ถึงจะโหลดขึ้นบล็อกได้ เอ่อ..ให้ความจำแต่ละภาพน้อยไปหรือเปล่าคะนี่)




















พอดีว่ากลับมาไว ก็เลยขอน้องเค้าไปเก็บภาพห้องพักแบบอื่นๆ มาให้ดูด้วยก่อนที่จะกินข้าวเช้านะคะ


โดยน้องที่พาไปเซอร์เวย์ชื่อน้องหญิงค่ะ โดยห้องทั้งสี่ห้องที่จะไปดูนี่ จะอยู่ที่ชั้น 1 ทั้งหมดนะคะ





















ห้องแรกที่ไปดูคือห้อง H 001 Sensation Suite ค่ะ ห้องนี้จะแต่งออกโทนขรึมหน่อย

เข้าไปปุ๊บ ทางขวาจะเป็นส่วนของ living room ค่ะ





















ซึ่งตรง living room นี่ก็จะมีประตูเข้าสู่ห้องน้ำด้วยค่ะ โดยด้านหน้าก็จะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้าค่ะ






















ส่วนทางซ้ายมือ จะเป็นทีวีจอ LCD ขนาดใหญ่ ถัดไปจะเป็นห้องนอนนะคะ



















ตัวเตียงนอนค่ะ จะเป็นเตียง double - king size นะคะ

หัวเตียงจะทำเป็นรูปดอกบัวนะคะ
























นอกจากนั้นก็จะมีประตูซึ่งจะอยู่ถัดจากตัวโซฟาอีกชุด ซึ่งสามารถเปิดสู่สระว่ายน้ำส่วนตัว (ใช้ร่วมกัน 4 ห้องชั้นล่าง) ค่ะ เป็น pool access น่ะนะคะ




























สระว่ายน้ำที่ใช้ร่วมกัน 4 ห้องนี่ ความยาวทั้งหมด 36 เมตรนะคะ ไม่ได้กว้างแต่เน้นยาวค่ะ





















ไปดูห้องน้ำกันบ้างค่ะ ตัว bathtub จะถูกยกสูงขึ้นจากพื้นนะคะ ขึ้นบันไดไป 3 ขั้น





















จากนั้นก็ไปดูห้องต่อไปค่ะห้อง H002 Heritage Suite ค่ะ ห้องนี้จะแต่งโทนสว่างนะคะ จะมีสีัสันกว่าค่ะ


คราวนี้จะกลับกัน ฝั่งซ้ายมือจะเป็น living room ค่ะ





















เตียงค่ะ หัวเตียงห้องนี้ำทำเป็นรูปใบบัว




















ห้องน้ำก็ไม่ต่างกันค่ะ bathtub ก็ถูกยกระดับสูงกว่าพื้นเช่นกัน เพียงแต่กลับด้านกับอีกห้องน่ะค่ะ





















นอกนั้นห้องนี้ก็เหมือนห้อง Sensation Suite นะคะ ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเพิ่มค่ะ ก็เลยไปที่ห้อง Junior Suite ต่อเลย ซึ่งห้อง Junior Suite จะมี 2 ห้องค่ะ โดยจะเป็นห้อง connecting กัน แล้วก็ห้องหนึ่งจะเป็นเตียง double ห้องหนึ่งจะเป็นเตียง twin นะคะ


ก่อนอื่นก็พาไปดูห้องเตียง double ก่อน เป็นห้อง C003 - Saranrom ค่ะ























เนื้อที่ของห้อง Junior Suite จะเป็นครึ่งหนึ่งของห้อง Suite เลยนะคะ เพราะฉะนั้น ตัวห้องน้ำและตู้ก็จะอยู่ข้างๆ เลย แล้วถัดไปจากตู้ก็จะเป็นทางเดินลงสระว่ายน้ำค่ะ เป็น pool access เหมือนกันค่ะ


ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่า minisuite พื้นที่น้อยกว่า deluxe ยังไงชอบกลนะคะ

แต่คิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ (ลืมถามทางโรงแรมมาด้วยค่ะ แหะๆ)























เปิดประตูคอนเน็คติ้งไปที่อีกห้องนะคะกับ H 004 - Saranjai ค่ะ (แต่ไม่จำเป็นว่าต้องซื้อทั้งสองห้องนะคะ ห้องเดียวเค้าก็ขายค่ะ )




















ตัวเตียง twin นะคะ จะใหญ่กว่า twin มาตรฐานทั่วไปค่ะ






















ซึ่งห้องสราญใจนี่ ในส่วนของห้องน้ำ กับที่นั่งเล่นริมสระ ก่อนจะเป็นทางลงสระ ก็เหมือนกับห้องสราญรมย์แหละค่ะ เพียงแต่กลับด้านกันน่ะนะคะ




















เอาหละค่ะ ได้เวลาอาหารเช้ากันแล้วนิ

ไปที่ห้องอาหาร Amore' เหมือนเดิมค่ะ คราวนี้นั่งกินที่ชั้นล่างนะคะ

เห็นเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ถ้ามีแขกมาพักเยอะ คือตั้งแต่ 15 ห้องขึ้นไปจะจัดเป็นบุฟเฟท์ค่ะ

แต่เราว่า set ที่นี่ก็โอเคหละค่ะ ลองมาดูกันแล้วกันนะคะ เซ็ตอัพบนโต๊ะค่ะ

























ขอบอกว่าเนยกับแยมที่นี่ก็นำเข้านะคะ เนยเป็นยี่ห้อ Lurpak ของเดนมาร์ก และแยมเป็นของ Hero ของ Switzerland ค่ะ





















จากนั้นเซ็ตแรกก็มาเสิร์ฟค่ะ เนื่องจากอีตาคุณชายเธอไม่เลือกไว้ก่อน ทางนี้ก็เลยบริการครัวซองต์ให้เหมือนกับที่เราเลือกไว้ค่ะ (ที่จริงสามารถเลือกเป็นขนมปังปิ้ง เดนนิสหรืออื่นๆ ได้นะคะ) แต่ก็เข้าทางเขาแหละ เพราะเขาก็ชอบกินครัวซองต์เหมือนกันค่ะ มาพร้อมกับผลไม้เลย


ครัวซองต์อร่อยมาก กรอบนอก นุ่มใน เลิศค่ะ




















ต่อไปเป็นของอิฉันเพียงผู้เดียวค่ะ คอนเฟล็กพร้อมโยเกิร์ต





















ส่วนคุณชาย ก็ได้รับโจ๊กหมูและเครื่องปรุงค่ะ ชามใหญ่ยักษ์พอควรเลยค่ะ

เจ้าตัวบอกว่าอร่อยมาก โจ๊กข้น หมูหมักหอมหวล อร่อยค่ะ
























ต่อไปเป็นของเราบ้างค่ะ แพนเค้ก แป้งแน่นและนุ่มนวลมาก อร่อยอีกแล้วค่ะ อร่อยจริงๆ นะคะ เป็นการกินอาหารเช้าแบบเซ็ตที่มีความสุขมากๆ มื้อหนึ่งเลยแหละค่ะ























ต่อไปค่ะ ไข่กวน (มีขนมปังรองน้ำมันด้านล่างด้วย) เบคอน ไส้กรอกและแฮมค่ะ

ไส้กรอกอร่อยมากค่ะ มารู้ทีหลังว่า เป็นของนำเข้าจากเยอรมันนะคะ






แล้วก็ระหว่างกินๆ ข้าวกัน คุณสามีซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเราและหันหน้าออกหน้าโรงแรมก็กระซิบบอกว่า นี่ๆ เธอ พนักงานเค้าเอาไม้ขนไก่มาปัดรถเราด้วยแหละ แต่เราหยิบกล้องมาถ่ายรูปไม่ทันค่ะ ก็ยังคิดอยู่ว่า...เออ..บริการสุดยอดจริงๆ


















อิ่มหนำสำราญเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเก็บข้าวของ อาบน้ำและเช็คเอาท์ค่ะ โดยก่อนไปก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณศิริมงคล บุญกล่ำ หนึ่งในสี่พี่น้องผู้ก่อตั้งโรงแรมนี้ ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลหลายๆ อย่างที่อยากมาแบ่งปันให้ได้อ่านกันนะคะ



















โรงแรมนี้สร้างขึ้นมาด้วยความที่พี่น้องทั้งหมดเป็นนักเดินทางกันทั้งหมดน่ะค่ะ ซึ่งโรงแรมนี้ก็เปิดตัว soft opening เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 แต่เปิดเต็มตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นี่เองค่ะ ก็เพิ่งเปิดมาได้เต็มตัวจริงๆ ก็ราว 1 ปี 8 เดือนเท่านั้นเองนะคะ ซึ่งการสร้างโรงแรมนี้ก็ด้วยความที่เห็นว่า โรงแรมในพิษณุโลกจะมีแต่โรงแรมใหญ่ๆ ก็เลยคิดสร้างโรงแรมนี้มา โดยเน้นไปที่คุณภาพทุกอย่าง

นอกจากอาหารที่ได้สาธยายมา 2 บล็อกแล้วว่า วัตถุดิบส่วนมากก็นำเข้าแล้ว ในส่วนของจานชามต่างๆ ก็ใช้โรแยลพอร์ซเลนทั้งหมดนะคะ ตัวช้อน ส้อม มีดก็ใช้ของดีแบบโรงแรมระดับห้าดาวบางที่เลยแหละค่ะ





ส่วนในชื่อของโรงแรมนั้น ได้ไอเดียมาจากพี่สาวที่เป็นนักโบราณคดีค่ะ โดยที่คนต่างชาติสมัยก่อนจะเรียกคนอยุธยาว่า โยเดีย ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงไปเป็นเชลยที่พม่า ก็มีชุมชนของคนอยุธยาที่ไปอยู่ที่นั่น ซึ่งก็เรียกว่า หมู่บ้านโยเดีย และด้วยความที่จ.พิษณุโลก มีความเกี่ยวพันกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้นำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อโรงแรมค่ะ


สำหรับเรื่องกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรม นอกจากการตักบาตรตอนเช้า และทำวัตรเย็นแล้ว ถ้ากรณีที่มีคนมาพักเยอะ หรือมีกรุ๊ป (ที่ีนี่มีห้องประชุมที่จุได้ 20-30 คนค่ะ) ทางที่พักก็จะนิมนต์พระมาให้ตักบาตรที่หน้าโรงแรมกันเลยนะคะ

หรืออย่างเรื่องของการสร้างโรงแรม ที่นอกจากรายละเอียดการตกแต่ง เช่นเรื่องของโคมไฟลายดอกพิกุลแล้ว ในส่วนของตัวอาคาร คุณศิริมงคลก็บอกว่า ถึงแม้จะสร้าง 4 ชั้น แต่ก็สร้างไม่ให้เกินความสูงของพระปรางค์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารด้วยค่ะ

นอกจากนั้นคุณศิริมงคลยังให้ข้อมูลอีกว่า กลางปีหน้าจะมีการก่อสร้างสะพานเหล็ก ซึ่งให้รถรางเที่ยวชมเมืองวิ่งข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีโครงกาจะสร้างอุทยานประวัติศาสตร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ติดต่อเนื่องกับศาลหลักเมืองไปด้วยค่ะ

ซึ่งสะพานนี้จะให้เฉพาะรถรางและคนข้ามเท่านั้นนะคะ จะไม่อนุญาตให้รถชนิดอื่นข้ามค่ะ เพราะงั้นก็ยิ่งส่งเสริมทัศนียภาพให้กับโรงแรมนี้ด้วยนะคะนี่



















มาสรุปเรื่องโรงแรมนี้กันนะคะ




ข้อดี



เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างได้มาตรฐานค่อนข้างดีมากในส่วนของข้าวของเครื่องใช้และการบริการค่ะ (คุณสามีชมเปาะเลยว่า เทรนพนักงานได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานห้องอาหาร) คือ วัสดุในการก่อสร้างก็ของดี ของในการให้บริการลูกค้าก็ใช้ของดี บริการดี เอาใจใส่ กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (หรือยาม) ก็พูดจาสุภาพ และให้ความช่วยเหลือดีมากค่ะ

แต่ตรงนี้คงต้องป.ล.หน่อยว่า เจ้าหน้าที่ที่โรงแรมรู้ว่าเราไปในฐานะคนเซอร์เวย์ของโครงการ Thailand Boutiqe Awards นะคะ เพราะฉะนั้นอาจจะมีการบอกให้ดูแลเป็นพิเศษ อีกทั้งตอนไป แขกก็ไม่เยอะด้วย ไม่รู้ว่าเวลาแขกไปกันเต็มๆ เยอะๆ จริงๆ จะยังรักษามาตรฐานตรงนี้ได้หรือเปล่าค่ะ


ทำเลค่อนข้างดีนะคะ อยู่ริมแม่น้ำ และมีร้านก๋วยเตี๋ยวที่ขึ้นชื่อสองร้านอยู่ใกล้ๆ กันด้วย นอกจากนั้นก็ยังใกล้วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก ทำให้เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากเลยค่ะ

และด้วยความที่เป็นโรงแรมที่อยู่บริเวณเมือง นอกจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารแล้ว ก็ยังมีสถานที่เที่ยวคือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี ด้วย ทำให้ค่อนข้างใกล้แหล่งสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ แถมยังสามารถเดินทางไปพิพิธภัณฑ์หรือที่อื่นในเมืองได้ฟรีหมด เพราะโรงแรมมีรถบริการรับ-ส่งด้วยค่ะ

ในส่วนของการเดินทาง หากเดินทางไปเอง ไม่ว่าจะรถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน ถ้าลงสถานีในเมือง ก็รับส่งฟรีอีกเช่นกัน เรียกว่า บริการ + อำนวยความสะดวกสุดๆ เลยแหละค่ะ

คือ..เรียกว่า ถ้าเปรียบเทียบเรื่องของความเป็นโรงแรมในเมืองแล้วนี่ เราว่าเป็นโรงแรมในเมืองที่น่าจะดีที่สุดของพิษณุโลกแล้วหละค่ะ


อ้อๆ ที่เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่นะคะ นั่นก็คือ ไม่ว่าจะในห้อง หรือบริเวณในอาคารของโรงแรม จะมีกลิ่นๆ หนึ่งที่หอมอ่อนๆ กรุ่นตลอดเลยค่ะ ซึ่งขอบอกว่ามันเป็นการสร้างบรรยากาศที่ชวนจดจำมากๆ เลยค่ะ






ข้อด้อย


ราคาห้องไม่มีในเวปไซต์ค่ะ ทำให้เราประเมินไม่ถูกว่าความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหนอะนะคะ แต่มีเรื่องราคาแพ็คเก็จล่องแก่ง ที่คิดคนละ 2500 บาท รวมที่พัก อาหารเช้า และอาหารตอนไปล่องแก่งแล้ว ซึ่งคิดแล้ว มันต้องพักคู่ ค่าห้องก็น่าจะอยู่ราวๆ ห้องละ 3000 บาท ซึ่งสูงอยู่ค่ะ แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจหรือกลุ่มลูกค้า High End อย่างความตั้งใจของโรงแรมแล้ว เราก็ว่า สิ่งที่ได้รับคุ้มค่าอยู่นะคะ

แต่ตรง website นี่น่าจะทำราคานะคะ เพราะคนพักจะได้ประเมินถูกว่าไหวไม่ไหวอย่างไรด้วย แต่เท่าที่เช็คเว็บอโกด้า วันเสาร์ที่ 9 ต.ค. 53 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 2730 บาท net แล้วนะคะ แต่เช็คที่เว็บ booking.com อยู่ที่ 2550 บาท แต่ถ้าเข้าช่วงไฮแล้วไม่รู้ว่าได้ราคานี้หรือเปล่าค่ะ

อีกอย่างคือ การเข้าระบบอินเตอร์เน็ต (ในห้องพัก) มีัปัญหานะคะ ต้องให้ช่างมาแก้ไขให้ค่ะ ซึ่งช่างแจ้งว่า ตัวแล็ปท็อปของเรา เหมือนไม่รองรับกับระบบของเขาอะไรซักอย่างเนี่ยอะค่ะ (แต่ตอนไปใช้ที่เดอะเลจเจนด์ หรืออีกวันที่ไปใช้ที่ธาราบุรีสุโขทัย ก็ไม่มีปัญหาอะไรอย่างนี้นะคะ ยังงงอยู่ แหะๆ )



ตัวแผนที่ในเว็บไซต์ ทำแคบไปค่ะ เหมาะสำหรับคนที่เคยไปพิษณุโลกแล้วค่ะ ซึ่งได้แจ้งทางโรงแรมให้ปรับปรุงตรงนี้ไปแล้ว ถ้าคนไม่เคยไป จะไปลำบากเหมือนกันนะคะ (คืออาจต้องแวะถามทางกันหน่อยหละนะ)

แล้วก็บริเวณโดยรอบของโรงแรม จะแวดล้อมไปด้วยบ้านของคนท้องถิ่นค่ะ ซึ่งทำให้ทัศนียภาพอาจจะไม่เหมือนรีสอร์ทหรือที่พักทั่วๆ ไปนัก คือไม่ได้สวยงามน่าชมไปทั้งหมดค่ะ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้ายอะไรนะคะ



ตัวสระว่ายน้ำรวม เล็กไปหน่อยค่ะ รวมทั้งไม่มี facility อื่นๆ ที่เป็นของโรงแรมเองด้วย (อย่างถ้าจะนวด ก็ต้องเรียกมา หรือสปา ฟิตเนสไม่มี) แต่ก็ด้วยความที่เป็นโรงแรมเล็กๆ น่ะแหละนะคะ ก็พอเข้าใจได้อยู่

แล้วก็อ่างอาบน้ำในห้องน้ำ ที่จริงมันก็พอดีสำหรับคนตัวเล็กๆ อย่างเรานะคะ แต่สำหรับคุณสามี ลงไปแล้วเค้าบอกว่ามันแคบไปน่ะ ยิ่งลงไปสองคน (แอร๊ยส์) ยิ่งเบียดเสียดเกินไปค่ะ แต่ก็ไม่ซีเรียสเช่นกัน อิอิ

แล้วก็ตอนกลางคืน ยุงจะค่อนข้างชุมนะคะ (เวลาที่ออกมานอกห้องพักหรือโซนแอร์ทั้งหลายน่ะค่ะ) เพราะงั้นหนังสือนี่นั่งอ่านที่ห้องสมุด Between the Lines ไม่ได้แน่ๆ ค่ะ ต้องเอาไปอ่านที่ห้อง (แต่อย่าลืมเอามาคืนหละคะ) อย่างเดียวเลยแหละค่ะ (แต่เราไป 3 โรงแรมที่เข้ารอบนี่ เจอเรื่องยุงทุกโรงแรมเลยค่ะ )








สรุปแล้วไม่ว่าโรงแรมนี้จะได้รางวัล (ที่ตัวโรงแรมส่งเข้าประกวดด้านสถาปัตยกรรมน่ะนะคะ) หรือไม่ แต่เป็นโรงแรมที่สร้างความประทับใจให้กับเราได้ค่อนข้างมากจริงๆ ค่ะ ถ้ามีโอกาส จะไปพักอีกแน่นอน



















ก็หวังว่ารีวิวนี้คงจะพอเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่่กำลังหาห้องพักที่พิษณุโลกอยู่นะคะ

ตอนหน้าจะพาไปพักที่พักที่สุโขทัยกันบ้างค่ะ

















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาบล็อกเราค่ะ

737155/5984/501




เจ้าของบล็อกจะไม่อยู่ยาววววววเลยนะคะ เจอกันอีกทีวันจันทร์หน้าเลยค่ะ เพราะฉะนั้นอาจจะกลับไปหาบล็อกเพื่อนๆ บางคนช้าหน่อยนะคะ (คนที่มาเม้นท์ตั้งแต่ค่ำวันนี้เป็นต้นไปน่ะค่ะ) กราบขออภัยเพื่อนทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ แหะๆ
Create Date :13 ตุลาคม 2553 Last Update :13 ตุลาคม 2553 9:16:57 น. Counter : Pageviews. Comments :48