bloggang.com mainmenu search





สวัสดีค่ะทุกท่าน






หลังจากที่ได้เคยรีวิวทริปสิงคโปร์ที่ไปร่วมงาน Nokia Connection 09 ไปแล้วทั้งหมดสี่บล็อก ได้แก่

1. ทริปเปิดตัว การเดินทางสู่สิงคโปร์ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

2. งาน Nokia Connection 09 ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

3. Party@the Meseum ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

4. Ovi Adventure ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)




วันนี้จะมารีวิวที่พักของทริปนี้นะคะ ซึ่งก็คือ Swissotel the Stamford Singapore ค่ะ ซึ่งท่านใดที่ต้องการดูรีวิวเรื่องการบินไป-กลับโดยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ก็เรียนเชิญที่ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน) นะคะ













ตอนแรกทริปนี้แจ้งว่าจะพักที่ Mandarin Oriental ค่ะ แต่ไปๆ มาๆ ก็เปลี่ยนเป็นโรงแรมนี้แทน ท่านใดที่เคยไปที่แมนดารินฯ ก็ลองเปรียบเทียบกันดูแล้วกันนะคะ



นั่งรถจากสนามบินไป ประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ทำเลของรร.นี้ค่อนข้างดีเลย คืออยู่บนสถานี City Hall เลยแหละค่ะ แล้วก็ใกล้กับซุปเปอร์ และศูนย์อาหารด้วย (เพราะติดกับ Raffles City เลย หุๆ)





มาเริ่มต้นกันที่ล็อบบี้ของรร.ก่อนแล้วกันค่ะ



















ข้อเสียอย่างหนึ่งของที่นี่นะคะ คือ รอคิวนานมาก ทั้งตอนเช็คอินและเช็คเอาท์ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะระบบ หรือจำนวนเจ้าหน้าที่ไม่บาลานซ์กับจำนวนแขกที่พักกันแน่ แต่..รอนานไปค่ะ


ตอนที่เค้าส่งแบบสอบถามมาก็ประเมินกลับไปให้เค้าแหละค่ะ แล้วเค้าก็รับปากว่าจะนำไปแก้ไข





ตรงล็อบบี้จะมีนาฬิกาตัวนี้ด้วยค่ะ มีเวลาของสิงคโปร์ ของลอนดอน แล้วอีกสองด้านของที่ไหนก็ไม่ทราบได้ แหะๆ




















บริเวณล็อบบี้เล้าจน์เล็กๆ ค่ะ แต่ไม่เหมาะจะนั่งเท่าไหร่ คนพลุกพล่านสุดๆ

ถัดไปจากบันได้เลื่อนที่เห็นนั่น จะเป็นทางที่เดินไปสู่ Raffles City ได้นะคะ





















รออยู่พักใหญ่ๆ ก็ได้การ์ดเข้าห้องมาในซองแบบนี้ค่ะ ข้างในมีการ์ด 1 ใบ ระบุชื่อผู้เข้าพัก เบอร์ห้องสวยดีค่ะ 2772



มีวงด้วยว่า มีอาหารเช้า



















ที่นี่จะมีตึก 2 วิงค่ะ เป็นวิงที่สูงกว่า กับวิงปกติ เราอยู่วิงปกติค่ะ ในกรุ๊ปนี้มีห้องเดียวที่โดดไปอยู่อีกวิงหนึ่ง



วิงนี้จะมีถึงชั้น 38 ค่ะ
















แต่ก็แปลกที่อีกวิงก็มีชั้น 38 และ 1-4 เหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าเขาแบ่งเลขห้องยังไง ว่าเลขไหนอยู่ฝั่งไหนค่ะ





















ออกมาจากลิฟท์ ก็เจอประมาณนี้ค่ะ พรมสะอาดสะอ้านดี (เมื่อดูด้วยตาเปล่าอะนะ)





















ทางเดินไปห้องพัก (แบบเบลอๆ แหะๆ)




















วิธีการเข้าห้อง เอาการ์ดเสียบ เจอไฟเขียว ปัดคันชักลง ก็เข้าไปได้ค่ะ























ไปดูในห้องกันบ้างดีกว่า เตียงแบบ twin ค่ะ แต่เป็น twin ที่ไม่เล็กนะคะ กลิ้งได้พอควรเลย





















โต๊ะทำงานค่ะ























ทีวีและโต๊ะเครื่องแป้ง (เรื่องทีวีนี่ รร.มีหลุดด้วยแหละ เอาไว้เดี๋ยวจะบอกนะคะว่าหลุดเรื่องอะไร)




















วิวจากระเบียงค่ะ เห็นสิงคโปร์ฟลายเออร์ด้วย เดี๋ยวกลางคืนจะสวยกว่านี้






















โต๊ะระหว่างเตียงค่ะ

มีโทรศํพท์ กระดาษสำหรับ short note ซึ่งมีปากกาของ Swissotel
(เอากลับได้ เป็นแบบหมึกมีกลิ่นหอมด้วยค่ะ เขียนดีด้วย)

แล้วก็ระบบไฟรวมนะคะ




















ระบบไฟรวม มีคู่มือการตั้งนาฬิกา และการตั้งปลุกไว้ด้วย ทีวีและเพลงก็มีรวมไว้ให้ตรงนี้ค่ะ (แต่เราพยายามเปิดเพลงไม่สำเร็จค่ะ เหอๆ)




















มารื้อค้นที่ลิ้นชักใต้ทีวี อ๊ะ..มีปลั๊กอะแดปเตอร์ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องขอ ดีค่ะ






















หันไปดูที่โซนใกล้ๆ กับห้องน้ำค่ะ

มีมินิบาร์อยู่ (ข้างล่างนั่นคือตู้เย็นนะคะ) เดี๋ยวพาไปเจาะค่ะ



ชั้นบนก็มีแก้วไวน์ แก้วชา-กาแฟ ชา-กาแฟฟรี (มีทั้งชาดำ ชาเขียวค่ะ)

ชั้นล่างเป็นกาน้ำร้อน โถน้ำแข็ง และน้ำแร่(เสียตังค์)
















ของในตู้เย็นค่ะ ที่ขาดไม่ได้ก็นะ Perrier อะค่ะ





















ไปสำรวจห้องน้ำกันค่ะ ประตูห้องน้ำเป็นกระจกบานยาวด้วยค่ะ เอาไว้สำรวจตัวเองครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้องพัก




















bath tub ค่ะ มีกระจกกั้นแทนผ้าม่าน ถ้าไม่พับ กางออก ความยาวกระจกจะเลยครึ่งอ่างไปหน่อยหนึ่งค่ะ




















สุขภัณฑ์ค่ะ ที่กดน้ำก็เจ้าปุ่มกลมๆ นั่นน่ะนะคะ

ขอบอกว่า..ต้องใช้แรงกดพอสมควร เล่นเอาหญิงสาวบอบบางอย่างเรา (เหรอ?) เหนื่อยเลย



ข้างๆ โถสุขภัณฑ์จะมีโทรศัพท์ ทิชชู่ และเครื่องชั่งน้ำหนักนะคะ










ที่นี่เรื่องความใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าใช้ได้ค่ะ

ตรงใกล้ๆ โทรศัพท์ก็มีปุ่มสำหรับกดบอกให้คนที่มาเรียกเราอยู่หน้าประตู ให้รอด้วย เจ๋งดี




















บริเวณอ่างล้างหน้าและกระจกในห้องน้ำค่ะ


















โถแก้วใส่สำลีและเกลือแกง เย้ย! เกลือสำหรับโรยลงน้ำเวลาจะแช่อ่างค่ะ




















ของใช้นะคะ กล่องด้านซ้ายเป็นชุดโกนหนวด

กล่องยาวๆ สองกล่องเป็นชุดแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ส่วนแบนๆ ที่นอนอยู่นั่น หวีค่ะ



นอกจากนั้นก็จะมีแชมพู ครีมนวดผม ครีมทาผิว สบู่ก้อนกลมๆ สบู่เหลว ชุดเย็บ คัตเติ้ลบัด ที่ตะไบเล็บ หมวกอาบน้ำ ถุงสำหรับใส่ผ้าอนามัยค่ะ (จะละเอียดไปมั้ย?)

















Shower ค่ะ ที่ตรงใส่สบู่ก็มีสบู่อีกก้อนให้ด้วยค่ะ




















ก๊อกน้ำในห้องน้ำนะคะ ตัวบนจะเป็นตัวเลือกว่าจะเอา shower หรือจะปล่อยน้ำลงอ่างค่ะ

ส่วนตัวล่างเป็นตัวปรับระดับความอุ่น-เย็นของน้ำค่ะ


















มาดูของในตู้เสื้อผ้ากันบ้างดีกว่า



ก็จะมีที่รองรีดและรองเท้าแตะ (เอากลับได้ค่ะ) และในตะกร้าด้านล่างก็มีที่ขัดรองเท้าค่ะ รวมทั้งกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เป็น sponge สำหรับขัดรองเท้าเช่นกันนะคะ

















ร่ม ช้อนสำหรับช่วยใส่รองเท้า และที่อยู่ในถุงกำมะหยี่นั่นคือไดร์เป่าผมค่ะ
















เตารีดค่ะ ที่โน่นใช้ปลั๊กแบบนี้นะคะ



ถุงกระดาษนี่เอากลับได้เช่นกันค่ะ




















ที่โต๊ะทำงาน มีสายสำหรับต่ออินเตอร์เน็ตนะคะ แต่เราไม่ได้ใช้บริการเลย แหะๆ





















สำรวจห้องพักได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้เวลานัดแล้วอะค่ะ คือไปหาอะไรทานกัน วันแรกนี่ยังไม่เป็นทางการมากค่ะ พี่ทางโนเกียก็พาไปเดินที่ชั้นอาหาร (ชั้นใต้ดิน) ของ Raffles City ค่ะ

ไปๆ มาๆ ก็ไปทานที่ร้านนี้ค่ะ teahouse the asian kitchen อาหารอร่อยค่ะ ทุกคนชมเลย ถ้ามีโอกาสก็ลองไปทานนะคะ

โดยเฉพาะผัดต๊งเหมี่ยว ผัดผักธรรมดาๆ แต่ดันอร่อยซะงั้น หมูเปรี้ยวหวานก็อร่อย กุ้งพันเบคอนน้ำสลัดก็เลิศ โอ้..อร่อยหลายอย่างค่ะ(แต่ไม่ได้ถ่ายอาหารมา เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะค่ะ ทานร่วมกันเป็นมื้อแรกด้วยง่ะ แหะๆ)























ที่สำคัญ เดินออกมาจากร้านแล้วเลี้ยวซ้าย (หันหลังให้ร้านอาหารนะคะ) เดินไปนิดหนึ่งก็ไปเจอร้านนี้เลยค่ะ

Ya Kun Kaga Toast มีชื่อด้านขนมปังปิ้งค่ะ
















ได้กินตอนอุ่นๆ อร่อยมากๆ ค่ะ พี่เค้าเลือกไส้เนย-สังขยาให้ อร่อยค่ะ อ๊างงงง






















อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็แยกย้ายกันค่ะ ส่วนใหญ่เลือกไปพักผ่อนกัน เพราะวันรุ่งขึ้นมีงานที่ต้องเข้าร่วมแต่เช้าน่ะ


เอาวิวตอนกลางคืนมาให้ดูนะคะ สวยอ้ะ ชอบจัง (รูปที่ถ่ายมีทั้งเลือกโหมดกลางคืนที่ความไวชัตเตอร์สูงๆ กับถ่ายปกติๆ นะคะ อันไหนที่เป็นความไวชัตเตอร์สูงๆ นี่ จะสว่างจ้าๆ กว่าปกติ เวอร์ๆ น่ะค่ะ)


ถ้ามองตรงๆ ก็เห็นสิงคโปร์ฟลายเออร์อยู่ไกลๆ แต่ถ้ามองไปทางขวาก็จะเห็นตึกหนามทุเรียนหรือตึก Esplanade
























ส่วนนี่ถ้าจำไม่ผิดเป็นอนุเสาวรีย์ War Memorial นะคะ





















สระว่ายน้ำของโรงแรม






















ห้องนอนตอนกลางคืนค่ะ ไฟในห้องตอนกลางคืนก็สวยซอฟท์ๆ อีกแบบนะคะ






















นี่แหละค่ะ ข้อผิดพลาดของรร.อะค่ะ

เนื่องจากกรุ๊ปที่ไปมีชาย 5 หญิง 3 เราเลยกลายเป็นผู้ชายไปซะงั้น เสียใจ (ตัวข้อความ Welcome ปรากฏเมื่อเราเปิดทีวีค่ะ)




















น้ำดื่มฟรีค่ะ ให้วันละ 2 ขวด วันแรกแม่บ้านมาเคาะให้ตอนกลางคืนค่ะ

แต่อีกวันเอามาไว้ตอนที่มาจัดเตรียมห้องให้น่ะนะคะ





















ที่นี่ ทุกเช้าเขาจะเอาหนังสือพิมพ์มาห้อยไว้ให้ที่หน้าห้องนะคะ


















ลองค้นแฟ้มบนโต๊ะทำงานค่ะ ภายในก็มีกระดาษเขียนจดหมาย ซองจดหมาย และโปสการ์ด(โปสการ์ดฝากเคาน์เตอร์รร.ส่งได้นะคะ เสียค่าสแตมป์ 1.10 เหรียญสิงคโปร์ค่ะ ก็ประมาณยี่สิบกว่าบาท เกือบๆ สามสิบบาท)


















จากรูปข้างบนจะเห็นว่า หลังโปสการ์ดมีอะไรแลบๆ ออกมานะคะ

เป็นความน่ารักอีกอย่างของที่นี่ค่ะ มันคือเข็มขัดข้อมือ (หรือเปล่า?) สำหรับนักจ๊อกกิ้งค่ะ

มีบอกรูทในการวิ่งเสร็จสรรพ ว่าวิ่งตามเส้นสีไหน ได้ระยะทางเท่าไหร่

















สำหรับอาหารเช้า เนื่องจากคิดว่าถ้าทำรีวิวรวบในบล็อกนี้ น่าจะยาวเกินกว่าที่ทางบล็อกแกงค์กำหนดแน่ๆ


เพราะงั้นขอยกยอดตัดตอนเรื่องอาหารเช้าไปไว้ในบล็อกหน้าแทนนะคะ แหะๆ















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาบล็อกเรานะคะ

397821/4239/371











Create Date :07 กันยายน 2552 Last Update :8 กันยายน 2552 8:19:13 น. Counter : Pageviews. Comments :32