บทที่ ๒๗
กิเลส(ภวตัณหา)กับโพธิปัญญาพระถังซัมจั๋งและศิษย์รอนแรมกันมาระหว่างทาง ถูกนายโจร ๒ คนคุมพรรคพวกเข้าปล้น เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีจนตาย พระถังก็โกรธเห้งเจียว่าโหดร้ายไร้ศีลธรรม เห้งเจียก็เถียงว่าขืนไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าอาจารย์ อาจารย์และศิษย์ให้นึกเคืองซึ่งกันและกัน
ครั้นตกกลางคืน พระถังและศิษย์ขอเข้าพักค้างที่บ้านบิดาของสมุนโจรที่เห้งเจียตีตาย บุตรชายเจ้าของบ้านสมุนโจรคิดแค้น จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าจับตัวเห้งเจีย จะฆ่าแก้แค้นให้นายเห้งเจียจึงตีจนตาย แล้วยังตัดคอให้พระถังได้ชม พระถังโกรธสุดขีด จึงร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจีย มงคลที่สวมหัวก็บีบจนเห้งเจียล้มกลิ้งไปมา พระถังเดือดดาลใส่เห้งเจียไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียน้อยใจ จึงร้องท้าทายกับพระถังว่าจะไม่ร่วมทางอีก ครั้นจะกลับไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องก็นึกละอายสมุนลิง จึงเหาะลิ่วไปสำนักน่ำไฮ้ของกวนอิมโพธิสัตว์ กวนอิมขอให้เห้งเจียอยู่ที่นั่น เพราะเล็งญาณรู้ว่า การไปไซทีนั้นปราศจากเห้งเจียนำทางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าพระถังให้โป้ยก่ายนำทางจะเข้าที่คับขัน และจะต้องมาตามเห้งเจียที่นี่อยู่ดี
ฝ่ายพระถังเมื่อไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป้ยก่ายจูงม้านำทางพอตะวันใกล้เที่ยงพระถังก็ให้โป้ยก่ายเหาะไปบิณฑบาต โป้ยก่ายก็เหาะหายไปนานจนพระถังหิวทุรนทุราย ซัวเจ๋งจึงรับอาสาไปหาน้ำมาให้พระถังรองท้อง พระถังจึงอยู่กับม้าขาวและหาบห่อจีวรตามลำพัง
ทันใดนั้น เห้งเจียก็ผลุนผลันเข้ามาเอาหม้อน้ำถวาย ฝ่ายพระถังยังไม่หายโกรธก็ร้องด่าและขับไล่เห้งเจียก็ดกรธจึงฉวยตะบองมาทุบตีพระถังจนล้มคว่ำสลบแน่นิ่ง เห้งเจียก็รวบหอบเอาข้าวของห่อจีวรหนีไปยัง
ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง ภูเขาฮ้วยก๊วยซัวฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งไปพบกันกลางทางก็รีบกลับมาหาพระถัง เห็นนอนนิ่งอยู่ก็เข้านวดเฟ้นแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา เมื่อพระถังเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งสองก็โกรธแค้นเห้งเจียนักที่ทรยศเนรคุณต่ออาจารย์ของตัว
พระถังซัมจั๋งไม่มีจีวรจะครองก็เศร้าใจ ขอร้องให้ซัวเจ๋งไปตามคืนมาให้ได้ ซัวเจ๋งก็คว้าตะบองเหาะลิ่วไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง พบเห้งเจียกำลังจัดขบวนไปไซทีใหม่ โดยเนรมิตพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวขึ้นด้วยฤทธิ์ ซัวเจ๋งก็โกรธสุดขีด คว้าตะบองเข้าไล่ทุบตีซัวเจ๋งตัวปลอมจนตาย ฝ่ายเห้งเจียก็เรียกให้ลูกสมุนเข้าจับตัวซัวเจ๋ง
ซัวเจ๋งเห็นเหลือกำลังก็ล่าถอย เหาะไปยังน่ำไฮ้เพื่อจะไปฟ้องพระกวนอิม เรื่องการทรยศเนรคุณของเห้งเจียและคิดกำเริบจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง
ครั้นถึงเขาน่ำไฮ้ ซัวเจ๋งก็พบเห้งเจียยืนอย่ข้างกวนอิมก็โกรธฉวยตะบองได้ก็ไล่ทุบ จนกวนอิมต้องร้องห้าม เมื่อซัวเจ๋งทราบความว่าเห้งเจียอยู่ที่เขาน่ำไฮ้กับกวนอิมตลอดมิได้ไปไหนเลย ก็ประหลาดใจ เล่าความที่ตนเองไปพบเห้งเจียที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องให้ทราบ เห้งเจียก็โกรธที่มีผู้บังอาจปลอมแปลงเป็นตนไปทำร้ายพระถัง จึงชวนซัวเจ๋งเหาะลิ่วไปสู่เขาฮ้วยก๊วยซัว
พอเห็นเห้งเจียอีกตนหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็โกรธ ชักตะบองออกจากรูหู กระโดดเข้าทุบตี ต่างสู้รบกันนัวเนีย จนซัวเจ๋งไม่รู้จะช่วยฝ่ายไหน เห้งเจียจึงรบล่อไปจนถึงพระพักตร์พระกวนอิม เพื่อให้ภาวนาคาถาให้มงคลบีบขมับ
ครั้นเมื่อกวนอิมภาวนาคาถาแล้วเห้งเจียทั้งสองต่างล้มกลิ้งไปมาด้วยกันทั้งค่ ร้องเรียกชื่อก็ขานรับเหมือนกัน จนแยกไม่ออกว่าตัวไหนจริงตัวไหนปลอม เมื่อไม่สำเร็จเห้งเจียก็รบล่อลงไปถึงนรก ให้ยมบาลเปิดบัญชีดูว่าใครบังอาจปลอมแปลงมา ก็ไม่สำร็จ
ฝ่าย
พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋อง(ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน)ได้ใช้ให้สิงห์ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า
(ชื่อทีเทีย)นั้นนอนกกลงกับดินแล้วก็ได้รู้ความลับเรื่องเห้งเจียทั้งสองสิ้น เมื่อทีเทียทำตามคำสั่งแล้วก็กราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ควรพูดออกมาในบัดนี้ เพราะจะเกิดจลาจลโกลาหล แล้วจะไม่มีความสุขเลย เพราะฤทธิ์ของเห้งเจียทั้งสองเสมอกัน ไม่มีใครแยกได้ เว้นแต่พระยูไล พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋องจึงแจ้งความลับนี้ให้แก่เห้งเจียทั้งสองทราบ
ฝ่ายเห้งเจียตัวจริงเมื่อได้ยินดังนั้นก็รบล่อไปไซที เสียงก้องอึกทึกทั้งฟ้าดิน พระยูไลจึงตรัสเรียกให้สาวกมาดูว่า
"เธอจงสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง คอยดูสองจิตรบกันให้ดี " แล้วทรงเล่าให้สาวกฟังถึงกำเนิดของลิง ๔ ประเภท เรียกว่า
มูลวานร ๔ คือ ๑. เจื๊อเก๊า มีฤทธิ์แปลงกายได้ทุกอย่าง รู้ฟ้า - ดิน ๒. เบ๊เก๊า รู้ฟ้าดินด้วย รู้เรื่องมนุษย์ และเป็นอมตะ ๓. อวนเก๊า มีฤทธิ์อาจลูบพระอาทิตย์พระจันทร์ได้ ๔. มิเก๊า (หกหู) รู้แจ้งสิ่งทั้งปวง มีหูที่ฟังเสียงได้ไกลนับพันโยชน์พระยูไลตรัสมูลวานร ๔ แล้วก็เอาบาตรขว้างไปครอบลิงลักฮี้เกาที่เหมือนกับเห้งเจียทุกประการไว้ได้ เห้งเจียกำลังโกรธ มิฟังเสียงห้ามของพระยูไล ก็เอาตะบองกระทุ้งลงในบาตร จนลิงหกหูถึงแก่ความตาย แล้วทูลลา เหาะมุ่งกลับไปหาพระถัง
ฝ่ายโป้ยก่ายเหาะไปที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง เอาคราดเก้าซี่สับพระถังปลอม โป้ยก่ายปลอมตายสิ้น แล้วหอบห่อจีวรของพระถังเหาะกลับมาสมทบกัน เห้งเจียกับพระถังคืนดีกันแล้วก็ออกเดินทางรอนแรมมุ่งทิศปราจีนต่อไป.............
รูป : เฮ้อ...เล่ายาวเหยียด เดี๋ยวเนื้อก็หายหมดหรอก
นาม : จริงด้วย ไซอิ๋วของอาจารย์ถูกกลบความหมายหมด เพราะเล่าแจกออกมากไป
โหงว :ไม่เล่าอย่างนี้มันจะเป็นนิทานปริศนาได้รึ ?
นาม : ตัดตอนว่าพระถังทะเลาะกับเห้งเจีย ขัดใจกัน พระถังไล่ไม่ให้ติดตาม กลับให้โป้ยก่ายจูงม้า
โหงว :พอศีลออกหน้านำทางจูงวิริยะ(ม้าขาว) ชีวิตก็ถูกกิเลสทุบเสียสลบเหมือด
รูป : ทั้งโป้ยก่ายและซัวเจ๋งทิ้งพระถังไว้ลำพังนี้ล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?
นาม : ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไปคนละทิศ ไม่ทำงานด้วยกัน ไม่ให้ปัญญาจูงวิริยะละก็ กิเลสชื่อว่า ภวตัณหาเป็นเล่นงานล่ะ
โหงว :พอโพธิปัญญาไม่อยู่ กิเลสก็ทุบโครมเข้า
รูป : กิเลสกับโพธิ ทำไมเหมือนกันยังกับพิมพ์เดียว ไม่มีใครแยกออก
นาม : เว้นแต่พระยูไล คือพุทธภาวะชี้ขาด เดี๋ยวคงรู้ ?
โหงว :กิเลสอยากเป็นโพธิสัตว์ อยากเป็นพระอรหันต์ จัดปลอมแปลงขบวนไปไซที แต่ขโมยจีวรครองของพระถังองค์จริงไป
นาม : คือ
ภวตัณหา จึงเหมือนโพธิปัญญายังกับแกะ
รูป : อยากเป็นพระอรหันต์มันเป็นกิเลสตรงไหนเล่าแก ?
นาม : ที่ตรงอยากเป็นนั่นแหละ พระอรหันต์นั้นท่านหมดอยากที่จะเป็นอะไร ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งไม่ได้เป็น ที่จริงต้องอยากพ้นทุกข์จึงจะถูก
รูป : ขืนให้ละความอยาก ในที่สุดก็เลยหมดอยากพ้นทุกข์ จึงสรุปเอาดื้อ ๆ ว่า มีกิเลสมีทุกข์นี่ดีแล้ว เรื่องอะไรจะไปเพิ่มความอยากให้ลำบากกิเลสเปล่า ๆ
นาม : นั่นแหละทีเทียจึงว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน ขืนพูดว่าไม่จริงจะยุ่งกันใหญ่ หมายความว่า ให้อยากเป็นผู้หมดกิเลสก่อนเถอะน่า
รูป : ดังนั้นเราอยากเป็นพระอรหันต์นั่นแหละ แล้วค่อย ๆ ให้พุทธภาวะตัดสิน ค่อย ๆ ละตัวอยากออกไปในที่สุด
โหงว :ใช่แล้ว อยากดับทุกข์ อยากหลุดพ้นไว้ก่อนจะปลอดภัย หากไม่อยากหลุดพ้นก็จะจมลึกเข้าอีกที
นาม : เป็นอันว่าโพธิกับกิเลสซึ่งเหมือนกันดิก รบกันโกลาหล แยกไม่ออกว่าไหนเป็นปัญญา ไหนเป็นกิเลส แต่ก็พอแลเห็นได้ด้วยการสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งว่า สองจิตรบกันอยู่
รูป : อ้อ จิตหนึ่งอยาก อีกจิตหนึ่งเพียรละความอยาก
โหงว :นี่คือโสหังและเนติ
นาม : อ้อ คือทั้งเป็นและไม่เป็น ทั้งอยากและไม่อยาก คืออยากที่จะละความอยาก
รูป : เห้งเจียทั้งสองปวดขมับด้วยกัน เมื่อมงคลบีบล่ะ ทำไมเป็นเช่นนั้น ?
นาม : กิเลสก็บวชได้เท่า ๆ กับปัญญานั่นแหละ หรือว่าไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกิเลสก็มีคือว่าง อันธพาลนั่นเอง สิ่งทั้งปวงไม่เทียง สิ่งทั้งปวงไม่ใช่เรา จะไปถือมั่นอะไรได้ อยากทำอะไรก็ทำตามชอบ ไม่มีตัวตนเสียอย่าง
รูป : ทีนี้มูลวานร ๔ ?
นาม : คือ
ปฏิสัมภิทา ๔ คือ :
๑ .
ธรรมปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในข้อธรรม คือลิงเจื๊อเก๊า รู้แปลงกายได้ทุกอย่าง ธรรมะหมวดไหนรู้หมด พลิกพลิ้วสโมธานได้สิ้น
๒.
อรรถปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในอรรถะ คือเนื้อหาสาระของธรรมะ อุปมาด้วยลิงเบ๊เก๊า รู้ฟ้าดิน เป็นอมตะ
๓.
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในปฏิภาณ ดุจลิงอวนเก๊า ที่อาจใช้ปฏิภาณลูบเดือนลูบตะวันเล่นได้
๔.
นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในนิรุกติ - ศัพท์และภาษาบรรดามีของมนุษย์ ดุจลิงหกหูมิเก๊าที่มีหูฟังเสียงภาษามนุษย์ได้ทุกชนิด
รูป : เฮ่ย ปฏิสัมภิทา ๔ เขาเป็นเรื่องสูงเรื่องดีเอามาเปรียบกับลิงไปได้
นาม : ก็ทีโพธิเปรียบกับลิง ศีลเปรียบกับหมู สมาธิเปรียบกับเงือกยังได้นี่นา
โหงว :ปฏิสัมภิทา ๔ อยู่ในประเภทปัญญา
รูป : จึงอุปมาว่าเป็นลิงเหมือนเห้งเจีย
นาม : ตัวสุดท้าย นิรุกติ แตกฉานภาษา คิดกำเริบจะเป็นพระอรหันต์ ด้วยการเรียนรู้ภาษาบาลีสันสกฤตเอาทีเดียว
รูป : เห้งเจียเลยกระทุ้งเสียขมองทะลุ
โหงว :ที่จริงพระยูไลขอไว้ คือไม่ต้องถึงกับฆ่าการเรียนรู้ภาษา(บาลี - สันสกฤต)ดอก ครอบไว้ด้วยบาตรพระนั่นแหละอยู่หมัดดีกว่า
แตกฉานก็เรื่องของแตกฉาน แต่ก็ยังเป็นพระผู้เลี้ยงชีพอยู่ด้วย"บาตร"อย่างพระ ไม่ใช่เอาความแตกฉานมาหากิน
นาม : ทำไมรู้ธรรมะด้วยบาลี จึงแยกไม่ออกจากโพธิ ฮึ?
รูป : รู้แตกฉานบาลี อธิบายธรรมะได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์อีกรู้หรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่หาเข้าใจจริงไม่
นาม : แยกแยะรากศัพท์บาลี ทะลุปรุแล้วปรุอีก แต่กิเลสหาปรุตามไปด้วยไม่
รูป : เผลอ ๆ กิเลสรู้นิรุกติคืออหังการกลับท่วมเสียปรี่เลย
นาม : รู้บาลีสันสกฤต คล่องแคล่วในการแยกแยะธรรมะแล้วจะเผลอคิดว่าเข้าถึงพระธรรม เพราะฟุ้งซ่านในภาษา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนต้มตัวเองได้สำเร็จ ว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก หาใช่แตกฉานไม่โหงว :พุทธะ พุทธบุคคล พุทธภาวะเท่านั้นจะตัดสินได้ว่า ไหนเก๊ ไหนจริง
รูป : เหมือนพาลัรบกับสุครีพ พระรามแยกไม่ออก อาจารย์ก็ฉลาดใช่เล่น แปลงมาเป็นสองเห้งเจีย
นาม : พอปัญญาแท้ฆ่าลิงรู้ภาษาบาลีสันสกฤตชนิดนี้แล้ว โป้ยก่าย - ศีลก็เอาคราดสับขันติเก๊ ศีลเก๊เสียยับ
รูป : ลิงอีกสามไม่ต้องฆ่าซีน่า เพราะไม่มีปัญหาเหมือนนิรุกติ
โหงว :เชี่ยวนิรุกติ์ฉุกใจคิด..............สันสกฤต - บาลีฉาน
แจงศัพท์แจกแตกซ่าน...........ดังผาลลอย ไม่ไถดิน
นาม : (หัวเราะ) ง่ายนักหนาไถนาธรรม.............เรียนเช้าค่ำจำหมดสิ้น
รูป : (หัวเราะ) ไถไป ไถไป ไม่จดดิน................
โหงว : คงได้ข้าวดอกเจ้าเอย
รูป : อยากฟังต่อ................
(จบบทที่ ๒๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...) ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๔๑ - ๑๔๙ )
หวังใจว่าจะยังคงมีคนตามอ่านอยู่นะคะ
โดย: แม่ไก่ 24 สิงหาคม 2551 14:49:08 น.
ผมเป็นคนหนึ่งนะครับที่ตามอ่านอยู่
วันนี้ผมมาจองที่อ่านเป็นคนแรกเลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไซอิ๋ว หรือเป็นเรื่องหนังสืออะไร
ผมก็ชอบอ่านครับ ที่บลอคนี้เหมือนเป็นห้องสมุดเล็กๆ เลยครับผม
โดย: ธรรม (ห่วงใย ) 24 สิงหาคม 2551 15:51:42 น.
วันนี้แวะมาค่ำๆครับ
เพราะเพิ่งปิ๊กบ้านมาครับ
วันนี้โปรแกรมนั๊กขนาด
เล่นเอาหมิงหมิงเพลีย
หลับปุ๋ยทั้งวันเลยครับ 5555
โดย: กะก๋า ฮา 3 สายสะพาย (กะว่าก๋า ) 24 สิงหาคม 2551 22:12:09 น.
โดย: แพนด้ามหาภัย 24 สิงหาคม 2551 22:40:59 น.
ขออภัยที่แวะมาช้าไปหน่อยนะคะ
มาทักทายกันแล้วค่ะ
สำหรับเรื่องข้างหลังภาพน่าดูจริงๆ ค่ะ
ไปโม้ไว้ที่บ้านคุณศรีสุรางค์แล้ว คุณแม่ไก่อย่าลืมไปอ่านนะคะ
โดย: หอมกร 25 สิงหาคม 2551 8:06:22 น.
อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้คนบ้านนอกอย่างน้องถึงกะแพ้ความอบอ้าวผื่นผุดขึ้นคันสงสารตัวเองจริ๊งจริง
เมืองโน้นบ้านโน้นเป็นเหมือนกันมั้ยน๊อ...
ดูแลสุขภาพค่า
โดย: โมกสีเงิน 25 สิงหาคม 2551 12:36:38 น.