bloggang.com mainmenu search
สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เดินทางกับเรือสำราญ Century Paragon ลำนี้แล้ว เพราะเรือได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่สำคัญ นั่นก็คือเขื่อนยักษ์ซานเสียต้าป้า ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สร้างกั้นขวางแม่น้ำแยงซีเกียงไว้ กิจกรรมสุดท้ายที่ทริปเรือสำราญจะจัดให้ก็คือพานักท่องเที่ยวที่โดยสารเรือมาทั้งหมด เข้าไปชมความยิ่งใหญ่อลังการภายในบริเวณเขื่อน จะตื่นตาตื่นใจอย่างไรเชิญติดตามไปด้วยกันครับ



เขื่อนซานเสียต้าป้า (长江三峡大坝) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เขื่อนสามหุบเขา หรือ เขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะของเขื่อนเป็นแบบเขื่อนคอนกรีตถ่วงน้ำหนัก (Concrete gravity dam) กั้นขวางแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณเมืองอี๋ชาง มณฑลหูเป่ย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างขึ้นเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและป้องกันน้ำท่วม ตัวเขื่อนมีความสูง 185 เมตร ความกว้างสันเขื่อน 115 เมตร ความยาวสันเขื่อน 2,335 เมตร ระบายน้ำล้นได้ 1.16 แสนล้านลูกบาศก์เมตร/วินาที มีพื้นที่รับน้ำกว่า 1 ล้านตารางเมตร ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1820 KW – 22500 KW/ชั่วโมง สามารถกระจายไฟฟ้าได้ถึง 9 มณฑล 2 เมือง

เขื่อนซานเสียต้าป้า เป็นเขื่อนแรกของจีนที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ชื่อเต็มในภาษาอังกฤษของโครงการก่อสร้างเขื่อนนี้ คือ “Three Gorges multipurpose water control project” มีประวัติการก่อสร้างยาวนาน ตั้งแต่สมัย ดร.ซุน ยัตเซ็น ในปี พ.ศ. 2462 และเริ่มศึกษาโครงการฯ เมื่อปี พ.ศ. 2473 สภาประชาชน ลงมติให้ก่อสร้างได้ในปี พ.ศ. 2535 ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี หลี่เผิง และดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2554

ความยิ่งใหญ่ของเขื่อนแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย ที่ต้องการจะได้เห็นเขื่อนยักษ์นี้ด้วยตาตนเองสักครั้งหนึ่ง

ภาพจาก NASA แสดงให้เห็นปริมาณน้ำในแม่น้ำแยงซีเกียง ก่อนและหลังจากการสร้างเขื่อน เนื่องจากเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำจำนวนไม่น้อยต้องย้ายถิ่นฐาน หมู่บ้านกว่า 100 แห่ง พื้นที่ดินที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนกว่า 1,350 แห่ง จำต้องจมอยู่ภายใต้แม่น้ำ สรุปแล้วมีประชากรที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้นประมาณ 1.3 ล้านคน




เมื่อคืนนี้เวลาประมาณ 23.00 น. เรือสำราญได้แล่นมาถึงบริเวณปากเขื่อนแล้ว และจะแล่นผ่านเขื่อนนี้ไป โดยใช้ประตูเรือสัญจรที่เรียกว่า Ship locks ทางเรือประกาศให้ผู้โดยสารทราบเพื่อให้ขึ้นไปบนดาดฟ้า และชมวิธีการลดระดับน้ำให้เรือผ่านไป



เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินเรือในแม่น้ำแยงซีเกียงได้ตลอดสาย จึงได้มีการก่อสร้างประตูเรือสัญจร หรือ Ship locks เพื่อให้สามารถเดินเรือผ่านเขื่อนไปได้ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางน้ำจากปีละ 10 ล้านตัน เป็น 50 ล้านตัน และลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลงได้ 30-37 % นอกจากนี้ยังทำให้การเดินเรือปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยก่อนมีเขื่อน กระแสน้ำในแม่น้ำแยงซีเกียงค่อนข้างไหลเชี่ยว เป็นอุปสรรคในการเดินเรืออย่างมาก



Ship locks ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2547 มีอยู่ 2 ชุดคือล่องตามน้ำและทวนน้ำ แต่ละชุดประกอบด้วยช่องเก็บกักน้ำและประตูเปิดปิดระดับน้ำ 5 ระดับ หรือ 5 ช่อง เพื่อปรับระดับน้ำให้เรือผ่าน ขนาดของ Ship lock แต่ละชุดมีความยาว 280 เมตร กว้าง 35 เมตร และลึก 5 เมตร เรือแต่ละลำจะใช้เวลาเดินทางผ่าน Ship lock ทั้ง 5 ช่อง ประมาณ 4 ชั่วโมง และผ่านได้ครั้งละหลายลำ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม








เนื่องจากการเดินเรือผ่าน Ship lock ใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงมีการก่อสร้างประตูเรือสัญจรอีกแบบหนึ่งสำหรับเรือที่มีขนาดระวางขับน้ำไม่เกิน 3,000 ตัน เรียกว่า Ship lift ใช้ยกเรือครั้งละหนึ่งลำ ขึ้นหรือลงให้เท่ากับระดับน้ำแต่ละข้างของตัวเขื่อน โดยใช้เวลาเพียง 45 นาที สร้างเสร็จในปี พ.ศ 2556




มองผ่านหน้าต่างห้องอาหารเห็นวิวฝั่งตรงข้าม เราจะขึ้นฝั่งบริเวณนี้เพื่อไปชมเขื่อน




ทิวทัศน์ของแม่น้ำเช้าวันนี้ ขณะเดินไปขึ้นฝั่ง อากาศดี มองเห็นหมอกปกคลุมทิวเขาด้านหน้าลิบ ๆ




ขึ้นมาบนฝั่ง มีไกด์ของเรือนำพวกเราไปเป็นกลุ่ม ๆ ต้องเดินผ่านแผงขายสินค้าที่อยู่ด้านหน้า




เพื่อไปขึ้นรถบัสเข้าไปยังบริเวณเขื่อน กลุ่มละคัน




ไปถึงปากทางเข้าเขื่อน ทุกคนต้องลงจากรถบัสเพื่อเดินผ่านด่านตรวจอาวุธและวัตถุที่เป็นอันตรายก่อน






แล้วขึ้นรถบัสคันเดิมเดินทางต่อ สังเกตเห็นท้องฟ้าโปร่ง มีแสงแดดจ้า อากาศน่าจะร้อน




รถบัสผ่านเข้าไปในบริเวณจุดชมวิวแรก บนถนนที่สร้างข้าม Ship locks ทำให้มองเห็นเรือที่กำลังรอผ่านประตูเรือสัญจร




นักท่องเที่ยวในเรือขึ้นมาชมขบวนการนี้กันที่บริเวณหัวเรือแน่นไปหมด


(ภาพนี้จากอินเทอร์เน็ต)

มาถึงอาคารที่จัดทำหุ่นจำลองของเขื่อน




เข้าไปภายในมีหุ่นจำลองเขื่อนขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ ไกด์จีนที่พูดไทยได้ของเรา ก็จะอธิบายลักษณะของเขื่อนให้ฟัง






ภาพของเขื่อนเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ด้านบนของภาพคือบริเวณแม่น้ำที่อยู่เหนือเขื่อน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)




ดูแผนที่จากกูเกิลเอิร์ธ จุดหมายเลข 1 คือ Ship locks จุดหมายเลข 2 คือ Ship lift จุดหมายเลข 3 คือบริเวณสันเขื่อนซึ่งมีความยาวถึง 2.09 กิโลเมตร และจุดชมวิวที่จัดให้สำหรับนักท่องเที่ยวคือบริเวณจุดหมายเลข 4 , 5 และ 6 ตามลำดับครับ




มาถึงจุดชมวิวแรกอยู่บนเนินเขาต้องขึ้นบันไดเลื่อนไป 4 ช่วง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที








ขึ้นมาถึงด้านบนเนินเขาแล้ว เป็นบริเวณค่อนข้างกว้าง ที่ลานตรงกลางมีงานปติมากรรมและน้ำพุอยู่โดยรอบ




มองไปทางด้านขวามือ พบสิ่งก่อสร้างคล้ายป้อมปราการ จุดชมวิวอยู่บนยอดป้อมนี้เอง




มองเห็นนักท่องเที่ยวอยู่ข้างบนจำนวนหนึ่ง เราจะขึ้นไปชมวิวที่ข้างบนป้อมนี้กัน




ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว มีป้ายบอกว่าเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเขื่อนนี้




มองลงไปยังลานน้ำพุด้านล่าง มองเห็นตัวเขื่อนทอดยาวกั้นขวางแม่น้ำแยงซีเกียงอยู่ไกลออกไป




มองไปอีกด้านหนึ่งมองเห็นประตูเรือสัญจร Ship locks ทั้ง 2 ชุด




เมื่อทอดสายตาไปทางด้านขวามือ เห็นระดับน้ำในแต่ละช่องได้อย่างชัดเจน น้ำลดระดับลงจนถึงท้องน้ำด้านหลังเขื่อน ณ จุดนี้เรือสามารถแล่นต่อไปได้จนถึงเมืองเซียงไฮ้




ออกจากจุดชมวิวแรก เดินผ่านอาคารที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับเขื่อน แต่คณะของเราไม่ได้แวะเข้าไปครับ




เดินลงเนินเขาเพื่อไปชมวิว ณ จุดที่สอง




ถึงแล้วครับ เป็นสถานที่อยู่ใกล้ที่ทำการของประตูเรือสัญจร Ship locks นั่นเอง








มองเห็นดาดฟ้าเรือที่อยู่ใน Ship locks ทั้งสองด้าน (ขาขึ้นและขาล่อง)




เดินทางไปยังจุดชมวิวที่สามโดยนั่งรถกอล์ฟไป




นั่งรถกอล์ฟไปประมาณ 5 นาที ก็มาถึงทางเข้าจุดชมวิวที่สาม




เข้ามาภายในเป็นจุดที่อยู่ใกล้สันเขื่อนที่สุด และช่องที่อยู่ด้านซ้ายของเขื่อนก็คือประตูเรือสัญจรแบบ Ship lift นั่นเอง




มองเห็นตัวเขื่อนยาวไปสุดสายตา




คงนึกไม่ออกว่าเขื่อนมีขนาดใหญ่เพียงไร จนกว่าจะเปรียบเทียบกับเรือที่จอดอยู่บริเวณหน้าเขื่อน ตามภาพนี้ เรือใหญ่ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับตัวเขื่อน




เราจะเดินไปยังจุดชมวิวโดยเดินไปตามทางลาดที่อยู่ขวามือ






เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวข้างหน้า




ขึ้นมาบนจุดชมวิวแล้ว มองตรงไปด้านหน้าเห็นบริเวณเข้าออกของเรือ บริเวณประตูเรือสัญจรแบบ Ship locks




และทิวทัศน์ในแม่น้ำ เห็นบ้านเรือนฝั่งตรงข้ามไกลลิบ ๆ เสาที่เห็นเป็นแนวให้เรือแล่นตรงไปทางด้านซ้ายเพื่อเข้า Ship lift นั่นเอง




และภาพทิวทัศน์ของบริเวณหน้าเขื่อน ในแบบพาโนรามา ที่ผมตั้งใจถ่ายมาฝากท่านผู้ชมโดยเฉพาะ (คลิกที่ภาพจะขยายใหญ่ขึ้น)




เมื่อเสร็จกิจกรรมชมเขื่อน เรานั่งรถบัสคันเดิมกลับไปลงเรือ เรือแล่นต่อไปอีกครู่หนึ่งก็ส่งผู้โดยสารทั้งหมดขึ้นจากเรือที่เมืองอี๋ชาง เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ตอนบ่ายเดินทางไปสถานีรถไฟ เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงกลับไปยังเมืองฉงชิ่ง ใช้เวลาเดินทางช่วงนี้ประมาณ 5 ชั่วโมง




มาถึงเมืองฉงชิ่งเวลาประมาณ 21.00 น. บ้านเมืองยังสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ประดับตามอาคาร สะพาน และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ดูสวยงามมาก




และคืนนี้เราจะพักกันที่โรงแรม Le Meridien Chongqing Nan'an Hotel ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมือง



จบกิจกรรมในวันที่สี่แต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ครั้งต่อไปซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ครับ.
Create Date :22 สิงหาคม 2559 Last Update :22 สิงหาคม 2559 22:30:10 น. Counter : 6374 Pageviews. Comments :13