bloggang.com mainmenu search
สวัสดีครับ วันนี้ผมเดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีแล้ว นั่นก็คือมหานครเบอร์ลินและเพื่อให้สมกับเมืองใหญ่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ทัวร์จึงจัดให้ชมเมืองนี้เต็มวัน เชิญติดตามไปด้วยกันครับ



เบอร์ลิน(Berlin) มีอายุกว่า 800 ปี นับว่าเป็นเมืองค่อนข้างใหม่ในทวีปยุโรป ได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมันในยุคสมัยพระเจ้าเฟรดริกที่ 1 ในปี ค.ศ.1701 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1945 เบอร์ลินเคยถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน (โซเวียต อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส) และเกิดความขัดแย้งของรัสเซียและอเมริกาขึ้น ทำให้เกิดการสร้างกำแพงเบอร์ลิน (Berlin wall) ขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคม 1961 เป็นการแบ่งแยกเบอร์ลินออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกอย่างชัดเจน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 ได้มีการทำลายกำแพงเบอร์ลิน และกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง



เบอร์ลินมีประชากรมากกว่าสามล้านคน ถือว่าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการสำคัญ ๆ มีประวัติศาสตร์สำคัญในช่วงยุคนาซีมากมาย เบอร์ลินได้รับความเสียหายในช่วงสงครามค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการซ่อมแซมของเก่า หรือสร้างของใหม่มาทดแทน รวมทั้งตัวเมืองด้วย จึงให้ความรู้สึกว่าเป็นเมืองใหม่ที่ทันสมัย อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ของเบอร์ลินยังมีเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย ตลอดทั้งปี (เช่นคณะของเรา)




เดินทางเข้ามาถึงเขตเมืองเบอร์ลินเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว




คณะของเราจะพักที่โรงแรมนี้ (Estrel Berlin) จำนวน 2 คืน




เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดในทริปนี้ มีห้องอาหารขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างสวยงาม จุคนได้มากถึง 500 คน




หลังอาหารเช้าเราเดินทางเข้าไปชมตัวเมืองเบอร์ลิน ขณะข้ามแม่น้ำสปรี (Spree) พบงานศิลปะกลางน้ำชิ้นนี้ มีชื่อว่า Molecular Man Berlin, โดย Jonathan Borofsky




รถโค้ชมาจอดอยู่ด้านหน้าอาคารแสดงสินค้าขนาดใหญ่ชื่อ O2 World มีรูปปั้นตุ๊กตาหมีน่ารักอยู่ด้านหน้าด้วย (ชื่อ Berlin มาจากคำว่า “Bear-lin” หรือเมืองหมี เพราะฉะนั้นจึงเห็นตุ๊กตาหมีหลาย ๆ แบบ ได้ทั่วทั้งเมือง)




บริเวณนี้เรียกว่า East Side Gallerry เป็นอนุสรณ์สถานนานาชาติเพื่ออิสรภาพ




ทำเป็นกำแพงความยาว 1.3 กิโลเมตร ตามแนวแม่น้ำสปรี ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้ง




มีศิลปินจากทั่วโลกมาเขียนภาพเพื่อระลึกถึงสงครามอันโหดร้าย และอิสรภาพที่ทุกคนใฝ่หา








นักท่องเที่ยวนิยมที่จะมาเขียนความรู้สึก(และชื่อ)ลงไปบนกำแพงนี้ด้วย จึงกลายเป็นงานศิลปะผสมผสาน












สะพานสวยงามนี้ทอดข้ามแม่น้ำสปรี อยู่ใกล้ ๆ กับอีสไซต์แกลเลอรี ชื่อ OBERBAUMBRÜCKE
ซึ่งแต่ก่อนสะพานนี้อยู่ในเขตเบอร์ลินตะวันออก






เดินทางกันต่อ ไปถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์กำแพงเบอร์ลิน ที่นี่จะจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกำแพงเบอร์ลิน มีภาพประกอบเหตุการณ์ในช่วงต่าง ๆ และ ชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลินที่เก็บรวบรวมไว้ แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมข้างใน




ป้ายกำแพงเบอร์ลิน (Berliner Mauer) ที่อยู่บนพื้นทางเดิน บริเวณที่เรียกว่า Checkpoint Charlie




บริเวณนี้แหละที่เรียกว่า Checkpoint Charlie มีประวัติคือในช่วงสงครามเย็น อเมริกาและโชเวียตเข้ามาปกครองเยอรมัน และแบ่งเยอรมันออกเป็นสองส่วน ตรงนี้เป็นประตูจุดผ่านของเยอรมันตะวันออกและตะวันตกเฉพาะชาวต่างชาติ (เพราะประชาชนแต่ละฝั่งของเบอร์ลินจะข้ามไปมาหากันไม่ได้เลย) จะมีการตรวจเช็คพาสปอร์ตโดยคุณชาลี จึงเรียกว่า เช็คพอยท์ชาลี มีอาคารพิพิธภัณฑ์อยู่ข้างหน้า ชื่อว่า Haus am Checkpoint Charlie แสดงประวัติศาสตร์นาซีและความพยายามหลบหนีจากเยอรมันตะวันออกของชาวเยอรมัน ด้านนี้จะเห็นเป็นรูปทหารอเมริกันประจำการอยู่ที่บังเกอร์ข้างหน้า เดินผ่านเข้าไปจะเป็นฝั่งเยอรมันตะวันตก




พอมาถ่ายภาพด้านนี้จะเป็นรูปทหารเยอรมัน แสดงว่าเดินผ่านเข้าไปจะเป็นฝั่งเยอรมันตะวันออก




เห็นป้ายชัดเจนว่าเป็นจุดตรวจของกองทัพบกอเมริกัน (US Army Checkpoint)




บริเวณที่อยู่หลังจุดตรวจของกองทัพอเมริกัน ปัจจุบันเป็นย่านธุรกิจการค้า




ออกเดินทางต่อ มาถึงบริเวณนี้เรียกว่า “ฮโลคอส เดงมาล” หรือ “อนุสรณ์แด่ชาวยิวผู้ล่วงลับ” (Holocaust Denkmal) โดยใช้พื้นที่ใน “เส้นทางแห่งความตาย” ที่ว่างระหว่างกำแพงที่ปลิดชีพผู้คิดหนี สร้างเป็นสวนแท่งปูนขึ้น




เลยมาอีกนิดเดียวก็ถึง ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor/Brandenburg Gate)ประตูเมืองเก่านี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน ได้รับการก่อสร้างระหว่าง ค.ศ.1788-91 ตามศิลปะแบบโรมัน โดยฝีมือ C.G.Langhans ตั้งอยู่ที่ Pariser Platz และถนน Unter den Linden สถานที่แห่งนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสุข และมีความสำคัญโดยเป็นจุดแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็นสองส่วนคือตะวันออกและตะวันตก






ข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง เข้ามาในบริเวณจัตุรัส ทำให้ได้ภาพประตูชัดเจนขึ้น มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก








ด้านบนมีรูปปั้นชื่อ Quadriga สูง 5 เมตร เป็นราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria) ควบขับรถเทียมม้า 4 ตัว มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเบอร์ลิน ในมือถืออิสริยาภรณ์กางเขนเหล็กกับพวงมาลัยใบมะกอกและนกอินทรี ซึ่งเป็นสัตว์ที่แสดงอำนาจในยุคปรัสเซียร์






เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 ชาวเยอรมันเรือนแสนเดินทางมาฉลองชัยชนะและต้อนรับเหล่านักเตะและทีมงานชุดพิชิตแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 หน้าประตูแบรนเดนบวร์ก ตั้งแต่เช้ามืด แม้มีรายงานว่าทีมแชมป์ออกเดินทางจากนครริโอ เดอ จาเนโร ในบราซิล ล่าช้ากว่ากำหนดเดิม กระทั่งเครื่องบินของลุฟท์ฮันซ่าลำที่บรรทุกนักเตะและตกแต่งชื่อเครื่องใหม่ว่า Fanhansa กลับมาถึงเยอรมนีในเวลา 08.30 น. แฟนบอลก็ชุมนุมเต็มพื้นที่แล้ว (ภาพ-ข่าวจากข่าวสดออนไลน์)




อาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณโดยรอบจัตุรัสนี้ส่วนใหญ่เป็นสถานทูต โรงแรม และร้านค้า




ปลูกทิวลิปเป็นไม้ประดับไว้สามสี คือสีขาว สีชมพู และสีดำ






มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์อยู่บริเวณนี้ด้วย




มีรถบริการนักท่องเที่ยวนั่งชมทิวทัศน์ ทั้งรถม้าและรถสามล้อเครื่อง ดูน่ารักดี






อาคารรัฐสภาเยอรมัน (Bundestag) ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูบรานเดนบวร์ก เป็นอีกหนึ่งอาคารที่มีความโดดเด่นมาก โดยเฉพาะโดมแก้วขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอาคารรัฐสภาแห่งนี้ ออกแบบก่อสร้างโดย Wallot ระหว่างปี ค.ศ. 1884 - 1894 ใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาของประเทศเยอรมนี เรียกว่า Sitz des Deutschen Bundestages ถือเป็นอาคารที่สำคัญที่สุดของประเทศเยอรมันเลยก็ว่าได้








เราเดินทางชมเมืองกันต่อมาถึงบริเวณที่เรียกว่า อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ (Alexanderplatz) เป็นจตุรัสเปิดขนาดใหญ่และศูนย์กลางขนส่งมวลชนในเบอร์ลินชั้นใน ชาวเบอร์ลินมักนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า อเล็กซ์ (Alex)










มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างในบริเวณนี้ ได้แก่ โบสถ์เซนต์แมรี่ (Marienkirche)






อาคารที่ว่าการเมือง หรือที่เรียกกันว่า ศาลากลางแดง (Red City Hall) ของกรุงเบอร์ลิน เป็นอีกหนึ่งอาคารที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอิฐแดง สร้างขึ้นระหว่าง ปี ค.ศ.1861 - 1869




บริเวณด้านหน้าของที่ว่าการเมืองมีน้ำพุเนปจูน (Neptunbrunnen) ซึ่งเป็นน้ำพุที่ประดับด้วยฉากจากตำนานเทพปกรณัม










หอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ม (Fernsehturm) มีความสูงประมาณ 368 เมตร ถือว่าเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป สร้างในปี ค.ศ. 1969 นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเขตมิทเทอ (Mitte) สามารถมองเห็นหอนี้ได้จากเกือบทุกเขตศูนย์กลางของเมือง เราสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์มุมสูงของเมืองบนหอนี้ ที่ระดับความสูง 204 เมตรได้






ออกจากจุดนี้เดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ในบริเวณที่เรียกว่า Museumsinsel หรือ Museum Island ซึ่งแปลตรงตัว น่าจะเรียกว่าเกาะพิพิธภัณฑ์ จริง ๆ แล้วก็คือกลุ่มอาคารที่เป็นพิพิธภัณฑ์หลาย ๆ อย่างที่สร้างอยู่ในบริเวณเดียวกัน คณะของเรามีรายการเข้าชม 1 พิพิธภัณฑ์ คือพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอน (Pergamon Museum) เข้ามาถึงจะพบอาคารสวยงามหลังนี้อยู่ทางด้านขวามือของทางเดิน




มีงานประติมากรรมสวยงามที่หน้าอาคาร




มาถึงประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์แล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่มจะมีทางด่วนไม่ต้องไปต่อคิวกับคนอื่น ทำให้ประหยัดเวลาได้มาก




พิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนเป็น 1 ใน 10 พิพิธภัณฑ์ชั้นเยี่ยมของโลก ที่มีการเก็บรวบรวมงานศิลปวัตถุโบราณล้ำค่าของโลก ภายในมีการจัดแบ่งออกเป็นโซน โซนนี้คือ เพอร์กามอน อัลตาร์ (Pergamon Altar) วิหารแท่นบูชาเทพเจ้าซุส ขนาดยักษ์ ในยุคศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ที่ถูกค้นพบที่เมืองเพอร์กามอน ประเทศตุรกี ซึ่งในการขุดค้นพบวิหารแห่งนี้ มีนักโบราณคดีชาวเยอรมันร่วมอยู่ด้วย จึงได้นำชิ้นส่วนบางชิ้นกลับมาเพื่อบูรณะและปะติดปะต่อเสมือนดั่งประกอบจิ๊กซอร์ และเขาใช้เวลาถึง 20 ปี ในการจัดทำให้วิหารแห่งนี้มีขนาดเท่าของจริง








นอกจากนี้ยังมีคอลเลคชั่นสมัยโบราณที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกจำนวนมาก อาทิเช่น ประตูอิชตาร์แห่งบาบิลอน (Ishtar Gate)






ประตูตลาดเมืองมีเลตัส (Market Gate of Miletus) ตรงนี้เหมือนเอฟฟิซุสที่ประเทศตุรกี แต่อยู่ในร่ม




ภาพที่สมบูรณ์จากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์




เปรียบเทียบกับเอฟฟิซุส ประเทศตุรกี ต้นฉบับซึ่งอยู่กลางแจ้ง (ผมไปชมมาเมื่อ 2 ปีก่อน)




ศิลปะงานโมเสกที่สวยงามในห้องอื่น ๆ






ออกมาจากพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนแล้ว อาคารที่อยู่ด้านหน้าคือ หอศิลป์แห่งชาติเก่า (Old National Gallery)




มีงานประติมากรรมที่สวยงาม ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคาร






ในบริเวณที่อยู่ใกล้กันยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งกรุงเบอร์ลิน (Berlin Cathedral) มหาวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเบอร์ลิน โดยมหาวิหารถูกสร้างในระหว่างปี 1894-1905 ในรูปแบบสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองส์ มหาวิหารนี้เป็นที่ทำพิธีการเจิมน้ำมนต์ เข้าพิธีอภิเษกสมรส และใช้เป็นสถานที่ฝังศพของสมาชิกในราชวงศ์ ซึ่งบริเวณชั้นใต้ดินของมหาวิหารแห่งนี้ มีหลุมฝังศพของราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์นอีกด้วย






มหาวิหารแห่งนี้เคยถูกระเบิดลงทำลายจนย่อยยับในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังบูรณะขึ้นมาใหม่ดูสวยงามเหมือนเดิม แถมยังทำให้ดูเก่าเหมือนอยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีอีกด้วย






เดินทางไปอีกสถานที่หนึ่ง คืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ (Siegessaeule) สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคปรัสเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการต่อต้านพวกเดนมาร์ก ในปี 1864 , ออสเตรีย ในปี 1866 และฝรั่งเศส ในปี 1870-1871




เป็นเสาสูงประมาณ 69 เมตร มีบันได 285 ขั้น สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ ออกแบบก่อสร้างโดย J.H.Strack ระหว่าง ค.ศ.1865-1873 แต่ชาวเบอร์ลินมักจะเรียกสถานที่นี้ว่า Golde Else หรือ Victoria แห่งเบอร์ลิน




ปิดท้ายด้วยภาพบนยอดเสา เป็นรูปปั้นของวิคตอเรีย (Victoria) เทพีแห่งชัยชนะ ถือพวงมาลัยจากใบมะกอก (สัญลักษณ์ของชัยชนะ) กับทวน รูปปั้นนี้หนัก 35 ตัน สูง 8 เมตร




บริเวณนี้ทั้งหมดเรียกว่า Grosser Stern แปลว่าดาวดวงใหญ่ เพราะมีถนนห้าสายใหญ่มาบรรจบกันที่อนุสาวรีย์นี้ ถ้ามองจากข้างบนลงมาจึงดูคล้ายรัศมีของดาวที่เป็นแฉก (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)



ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ.
Create Date :23 มิถุนายน 2557 Last Update :16 กรกฎาคม 2557 12:29:51 น. Counter : 8582 Pageviews. Comments :16