bloggang.com mainmenu search
สวัสดีครับ หลังจากคืนแรกในเรือสำราญผ่านไปโดยไม่รู้สึกเลยว่ากำลังนอนอยู่บนเรือ เพราะเครื่องยนต์เรือเดินเงียบมาก ตื่นเช้ามามองเห็นทิวทัศน์ที่ระเบียงกำลังผ่านไป ทำให้ทราบว่าเรือกำลังแล่นไปอย่างเงียบ ๆ กลางลำน้ำแยงซีเกียง วันนี้ผมจะเล่าถึงกิจกรรมในวันที่สองที่อยู่บนเรือสำราญเซ็นจูรี พารากอน ต่อจากครั้งที่แล้วครับ



เมื่อเปิดประตูระเบียงออกมาชมวิวก็มองเห็นริมฝั่งเป็นภูเขาสูงใหญ่น่าตื่นตา นาน ๆ จึงจะผ่านตึกรามบ้านช่อง มีเรือบรรทุกและเรือสำราญแล่นสวนมาเป็นระยะ มองเห็นต้นสนสีเขียว ก้อนเมฆสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม น้ำในท้องน้ำเรียบสนิท ธรรมชาติช่างสวยงาม เห็นแล้วรู้สึกมีความสุขจริง ๆ
















มาทบทวนความรู้เกี่ยวกับแม่น้ำแยงซีเกียงกันสักนิดก่อนนะครับ แม่น้ำแยงซีเกียง บางทีก็เรียกสั้น ๆ ว่าแม่น้ำแยงซี หรือแม่น้ำฉาง เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากแม่น้ำไนล์ในทวีปแอฟริกาและแม่น้ำแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้ แม่น้ำแยงซียาว 6,300 กิโลเมตร ต้นน้ำอยู่ที่มณฑลชิงไห่และทิเบต ในทิศตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไหลมาทางทิศตะวันออก ลงสู่ทะเลจีนตะวันออกที่เมืองเซียงไฮ้ (หมายเลข 3) แต่เรือสำราญของเราจะแล่นจากเมืองฉงชิ่ง (หมายเลข 1) ไปสิ้นสุดที่เมืองอี๋ชาง (หมายเลข 2) เป็นระยะทางประมาณ 650 กิโลเมตร เท่านั้น หลังจากนั้นจะนั่งรถไฟความเร็วสูงกลับมาที่เมืองฉงชิ่ง เพื่อขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยในวันสุดท้าย




หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนขนาดยักษ์ในแม่น้ำแยงซีเกียงที่เมืองอี๋ชาง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำที่อยู่บริเวณเหนือเขื่อน (ก็คือตั้งแต่เมืองฉงชิ่งจนถึงเมืองอี๋ชาง) สูงขึ้นมาก คือสูงถึง 17.5 เมตร หมู่บ้านและสิ่งก่อสร้างจำนวนมากจมอยู่ใต้น้ำ รัฐบาลจีนได้เข้ามาช่วยเหลือย้ายหมู่บ้าน ชุมชน และปรับปรุงสิ่งก่อสร้างให้คงอยู่ดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากเขื่อนจะผลิตกระแสไฟฟ้าและจัดการปริมาณน้ำของประเทศได้แล้ว ยังให้ความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินเรือมากขึ้นเพราะลำน้ำมีความกว้างและความลึกมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

เช้าวันนี้เรือจะแล่นผ่านเมืองเฟิงตู (Fengdu) ที่ตั้งอยู่ในอำเภอหวั้นเซี่ยน ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งเป็นเมืองจำลองแห่งยมโลกที่สร้างตามความเชื่อ ผสมผสานกันระหว่างลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธในสมัยราชวงศ์หมิง มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 400 ปี ภายในจะมีสิ่งก่อสร้างซึ่งแสดงถึงบาปบุญคุณโทษต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ และหลังอาหารกลางวัน ผู้โดยสารจะได้ขึ้นจากเรือไปชมเจดีย์สำคัญของเมืองนี้ คือเจดีย์สือเป่าไจ้ (Shi Bao Zhai) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัดสือเป่าไจ้ อยู่บริเวณหมายเลข 2 ในแผนที่ด้านล่างครับ




เรือแล่นมาถึงบริเวณที่ตั้งของวัดสือเป่าไจ้แล้ว วัดสือเป่าไจ้ตั้งอยู่บนหน้าผาทางทิศเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง สันนิษฐานว่าวัดสร้างขึ้นในช่วงปลายสมัยราชวงศ์หมิงโดยเป็นวัดพุทธที่มีลักษณะผสมของลัทธิเต๋า เดิมทีวัดสือเป่าไจ้ตั้งอยู่ติดกับหน้าผาโล่ง ๆ ซึ่งสามารถล่องเรือเข้าไปใกล้ ๆ ได้ แต่ผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนทำให้ระดับน้ำบริเวณรอบ ๆ สูงขึ้นจนเกือบจะไปทำลายโครงสร้างทั้งหมดของวัด ทางการจีนจึงได้สร้างเขื่อนเล็ก ๆ ล้อมรอบวัดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้วัดได้รับความเสียหาย ปัจจุบันตัววัดตั้งอยู่ในวงล้อมของเขื่อนขนาดเล็กโดยมีทางเข้าวัดเป็นสะพานเชื่อมมาจากอีกด้านหนึ่ง ทำให้ดูเหมือนเป็นเกาะกลางแม่น้ำ


(ภาพจากอินเทอร์เน็ต)


ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำลดลงจนมองเห็นเขื่อนที่ล้อมรอบวัดสูงขึ้น และเห็นเนินดินอีกด้านหนึ่ง ทำให้มองไม่เป็นเกาะเหมือนแต่ก่อน








เราจะขึ้นไปชมความสวยงามของเจดีย์และวัดนี้กัน เรือจะเข้าไปจอดที่ท่าเรือซึ่งมีเรือสำราญลำอื่นจอดส่งนักท่องเที่ยวอยู่ก่อนแล้ว 1 ลำ






ก่อนลงจากเรือทุกคนจะได้รับ Boarding Pass ระบุหมายเลขห้องพัก คล้องคอไปคนละ 1 อัน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการกลับมาลงเรือนั่นเอง และทางเรือจะจัดพนักงานให้แต่ละคณะ ๆ ละ 1 คน ถือธงแดงเป็นไกด์นำทาง ไกด์ของเรือพูดได้แต่ภาษาจีน แต่โชคดีที่คณะของผมมีไกด์ชาวจีนที่พูดภาษาไทยได้เดินทางไปด้วย จึงทำให้ได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่นี้ค่อนข้างดี




ทางเดินขึ้นไปยังฝั่ง ทำเป็นโป๊ะลอยน้ำปูด้วยแผ่นเหล็ก ระยะทางประมาณ 30 เมตร วันนี้แสงแดดจัด และอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงต้องสวมหมวกหรือไม่ก็ต้องกางร่ม




ขึ้นมาถึงบนฝั่งแล้วก็เดินไปตามถนนคอนกรีต มีลักษณะเป็นทางลาดขึ้นเขา ข้างทางมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์จากชุมชน ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องเชื้อเชิญให้หยุดชม (เป็นภาษาจีน) อยู่ตลอดทาง






เมื่อหันมองกลับไปดูทิวทัศน์ที่ท่าเรือ จะเห็นเรือสำราญลำอื่น ๆ เข้ามาจอดหลายลำแล้ว




เดินขึ้นทางลาดมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงประตูบอกทางเข้าไปยังวัดอยู่ทางซ้ายมือแล้ว




ผ่านประตูเข้ามาเดินตรงไปตามถนนลักษณะลาดลงเนินเขาอีกประมาณ 100 เมตร






มาถึงประตูที่สองซึ่งถือว่าจะเข้าสู่บริเวณวัดแล้ว




มีป้ายแสดงประวัติความเป็นมาของวัดตั้งแสดงไว้สองข้างทางเดิน




แล้วก็ต้องเดินข้ามสะพานยาวประมาณ 50 เมตรที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพื่อเข้าไปยังตัววัดบนเนินเขาอีกที




สะพานนี้เป็นสะพานแขวน ตอนกลางของสะพานใช้ลวดสลิงขึงไว้แล้วใช้ไม้ปูทับเพื่อทำเป็นพื้นอีกที เวลาเดินจะสั่นยวบยาบไปมาจากน้ำหนักตัวของเรา จนต้องมีป้ายเตือนว่าอย่าเต้นร็อค (No Rocking)






ข้ามสะพานมาแล้วจะพบป้ายชื่อติดตั้งไว้ เพื่อแสดงว่าเป็นเจดีย์ทางประวัติศาสตร์ที่รัฐคุ้มครองดูแล




เดินต่อไปตามระเบียงทางเดินด้านซ้ายมืออีกประมาณ 200 เมตร




มีบริเวณให้หยุดพักและถ่ายรูปทิวทัศน์ในแม่น้ำเป็นระยะ ๆ




สักครู่เดียวก็มองเห็นเจดีย์สือเป่าไจ้อยู่ทางด้านขวามือแล้ว




เจดีย์สือเป่าไจ้ ตั้งอยู่ติดขนาบเขาหวี้อิ้น สร้างขึ้นในยุคราชวงศ์หมิง โครงสร้างลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายเจดีย์ ทำจากไม้และเชื่อมต่อกันโดยไม่ได้ใช้ตะปูเลย มี 12 ชั้น สูงประมาณ 56 เมตร ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ถูกจัดอันดับไว้ว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของประเทศจีน ภายในมีรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ และสร้างบันไดไม้ขึ้นไปยังชั้นบนแต่ละชั้น เชื่อกันว่าถ้าจะขึ้นไปบนวัดโดยปีนบันไดภายในเจดีย์ให้ครบ 9 ชั้นจะได้บุญมาก




ดังนั้นเพื่อให้ได้บุญมาก เราก็จะปีนบันไดขึ้นไปกันนะครับ (บันไดคอนกรีตที่เห็นนี้ยังไม่นับนะ)




ทางการกำหนดให้การขึ้นบันไดในเจดีย์เป็นทางขึ้นวัด และเป็นทางวันเวย์คือต้องปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขา จะลงบันไดย้อนกลับลงมาไม่ได้เพราะบันไดค่อนข้างแคบและชัน ส่วนทางลงจะอยู่อีกทางหนึ่ง จึงต้องประมาณตนเองก่อนว่าจะปีนขึ้นหรือไม่ แต่ผมตัดสินใจปีนขึ้นมาแล้ว เนื่องจากบันไดชันและไม่มีขั้นปิด และมีคนเดินขึ้นไปพร้อมกันจำนวนมาก จึงดูไม่เหมาะสมถ้าจะถือกล้องถ่ายตามขึ้นไปในช่วงนี้ ขอนำภาพจากเว็บไซต์ https://www.flickr.com/photos/45909111@N00/albums/72157669443082196/page1 มาให้ชมแทนก็แล้วกัน ขอขอบคุณเจ้าของภาพด้วยครับ




และนี่เป็นวิวที่มองลอดหน้าต่างเจดีย์ออกมาในแต่ละชั้น มองเห็นเรือในแม่น้ำและอาคารบ้านเรือนในชุมชนที่อยู่ใกล้วัดนี้ได้อย่างชัดเจน








ยังมีรูปปั้นแสดงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง อยู่ที่ชั้นห้า




เย้ !!! (เสียงสูง) ในที่สุดเราก็ปีนบันไดเจดีย์ขึ้นมาได้ 9 ชั้น จนถึงชั้นที่ 10 แล้ว นี่เป็นวิวที่มองเห็นบริเวณจุดชมวิวครับ




เจดีย์ยังมีอีกสองชั้นแต่เราจะออกจากชั้นนี้เพื่อเดินเข้าไปยังวัดแล้ว (จะเห็นมีนักท่องเที่ยวบางคนขึ้นไปถึงชั้นที่ 12 คงต้องการได้บุญมากที่สุด)




อาคารของวัดสร้างลักษณะเดียวกับศาลเจ้าในบ้านเรา อยู่ตรงหน้าแล้ว มีหลายอาคารสร้างติดต่อกันลึกเข้าไปด้านในและเดินถึงกันได้




เข้าไปก็จะพบกับแท่นบูชาของเทพเจ้าและสาวก








เดินผ่านเข้าไปถึงอีกห้องหนึ่งพบแท่นบูชาของท่านเง็กเซียนฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง








อีกห้องหนึ่งเป็นแท่นบูชาของพระมเหสีของเง็กเซียนฮ่องเต้




สะพานคอนกรีตเล็ก ๆ นี้ถ้าเดินข้ามเชื่อกันว่าจะมีโชคลาภและสุขภาพแข็งแรง




และรูปปั้นนักบวชอยู่ในห้องสุดท้าย ไกด์บอกแล้วแต่จำไม่ได้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ครับ มีคนโยนเหรียญลงไปทำบุญด้วย




เดินผ่านมาจนครบทุกอาคารแล้ว ออกมาทางด้านหลังจะมีจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นตัวเมืองและสะพานที่ข้ามมา ได้กว้างไกลมาก ๆ



แล้วก็เดินลงไปยังด้านล่าง ทางลงเป็นบันไดคอนกรีต ดูแข็งแรงแน่นหนาและปลอดภัยดี เดินลงไปก็ชมวิวไปด้วย




เดินลงมาจนถึงศาลาพักร้อนหลังนี้ สองข้างทางมีแผงจำหน่ายของที่ระลึกและภาพวาดสไตล์ภู่กันจีน






ข้ามสะพานเพื่อเดินกลับไปยังเรือสำราญ ตามทางเดิมเหมือนขามา พบเรือสำราญจอดขนานอยู่อีก รวมทั้งหมดแล้ว 5 ลำ








เดินลงเรือลำอื่นที่จอดเทียบกันอยู่ ผ่านเข้าไปยังเรือของเรา พนักงานเก็บป้ายคล้องคอคืน และมีบริการน้ำชาร้อนให้ดื่มแก้กระหายน้ำเนื่องจากเสียเหงื่อมากนั่นเอง ช่างรู้ใจจริง ๆ




กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย และอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ รับประทานอาหารเย็นในเรือที่ภัตตาคารชั้น 2 พอถึงเวลาประมาณ 20.30 น. ก็มีประกาศเชิญทุกคนขึ้นไปยังห้องประชุมที่ชั้น 5 เพื่อพบกับการต้อนรับจากกัปตันและกะลาสีเรือ และการแสดงของพนักงานบนเรือ บนเวทีที่จัดแสงสีเสียงอย่างงดงามตระการตา









จบกิจกรรมบนเรือสำราญในวันที่สองแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ครั้งต่อไปครับ.
Create Date :05 สิงหาคม 2559 Last Update :5 สิงหาคม 2559 9:54:27 น. Counter : 4531 Pageviews. Comments :14