บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หารือคลังตั้งวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 10,000 ล้าน ระยะเวลา 3 ปี ช่วยเกษตรกรที่เดือดร้อนจากภัยพิบัติ...

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 56 นายวัลลภ เตชะไพบูลย์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า ขณะนี้ บสย.อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับโครงการช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนจากปัญหาภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ปัญหาดินถล่ม เป็นต้น โดยทาง บสย.จะเสนอขอตั้งวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557-2559 เพื่อเตรียมเอาไว้หากเกิดกรณีภัยพิบัติ บสย.จะได้สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนได้ในทันที

ทั้งนี้ จากเดิมจะเป็นการขอวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเป็นรายกรณีๆ กล่าวคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น จึงจะมีการเสนอขอวงเงินค้ำประกันเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเพื่ออนุมัติวงเงินนาน 2-3 เดือน ซึ่งเห็นว่าไม่ทันต่อสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยที่รัฐบาลจะออกค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อให้ 1.75% ตลอดระยะเวลา 3 ปี

“บสย.กำลังหารือกับทางกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอขอตั้งวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม ดินถล่ม และอื่นๆ วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย.จะเข้าไปดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อน และอยู่ในพื้นที่ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ หมายความว่า ใครก็ตามที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตประกาศภัยพิบัติ จะสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ โดยคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป” นายวัลลภ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บสย.ดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินแหล่งทุนในปีนี้เป็นปีที่ 22 โดยมีวงเงินค้ำประกันทั้งหมด 306,000 ล้านบาท มียอดค้ำประกันคงเหลือ อยู่ที่ 220,000 ล้านบาท โดยสามารถช่วยทำให้เอสเอ็มอีไปแล้วแสนกว่าราย และปัจจุบันเหลือผู้ประกอบการที่ยังใช้บริการค้ำประกันสินเชื่ออยู่ประมาณ 77,000 ราย เท่ากับว่า บสย.สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีความแข็งแกร่ง ไปแล้ว 30,000 ราย ทั้งนี้ บสย.ตั้งเป้าหมายภายในปี 2560 บสย.จะมียอดค้ำประกันสินเชื่อสะสม รวมอยู่ที่ 600,000 ล้านบาท

“เราตั้งเป้าว่าภายในปี 2560 จะมียอดค้ำประกันสินเชื่อรวมอยู่ที่ 600,000 ล้านบาท จากยอดค้ำสะสมปัจจุบันที่ 300,000 กว่าล้านบาท โดยเราจะเน้นในการดำเนินการตามโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) และแยกเป็นรายกลุ่มผู้ประกอบการให้หลากหลายขึ้น เช่น การค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการสินค้าโอทอป หรือกลุ่มผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว เช่น พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย เป็นต้น” นายวัลลภ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินการช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บสย.มีกำไรแล้ว 250 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2556 บสย.จะมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 300 ล้านบาท และมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ อยู่ที่ 3,600 ล้านบาท ยอดค้ำประกันสินเชื่ออยู่ที่ 84,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2557 บสย.จะค้ำประกันสินเชื่อให้ได้ 100,000 ล้านบาท

“ในปีนี้ทาง บสย.สามารถล้างผลขาดทุนสะสมได้หมดแล้ว ซึ่งหากย้อนกลับไปดูผลประกอบการของ บสย. ในช่วง 5 ปีก่อนหน้า จะเห็นว่ามีแต่ผลขาดทุน โดยเคยขาดทุนสะสมสูงสุดอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงนั้นเราทำโครงการที่เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อโดยตรง ทำให้ต้องแบกรับความเสี่ยงมาก แต่ปัจจุบันเริ่มดำเนินโครงการ PGS ทำให้ บสย. สามารถตอบโจทย์ของตลาดทั้งสถาบันการเงิน และผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี” นายวัลลภ กล่าว.