ไม่กินเจได้ไหม?
เทศกาลถือศีลกินเจ
เมื่อถึงเดือนตุลา...หนุ่มบ้านนาหน้าเหงา....คอยคนรัก คอยคนรัก ทุกวัน....
อ้าว...ลมหนาวกำลังจะมา มาร้องเพลงกันเร้วววว......
มีคนชอบทักว่า ปีนี้กินเจหรือเปล่า?
ผมก็มักจะตอบไปว่า ไม่กินเจได้ไหมหละ? กินแล้วไม่อิ่ม เดี๋ยวก็หิว
คนถามก็คงจะงงว่า ถามมันดีๆ ทำไมมันถึงได้ตอบกวนคีโต้ได้แบบนี้ฟระ 555
ไม่เป็นไร แค่คำพูด ไม่ได้หมายความจะไม่กินซะหน่อย
มาที่ entry นี้ เรามาคุยเรื่อง การกินเจ ในมุมมองของคนไม่ชอบทานเจกันนะครับ
Celebrating the Vegetarian Festivalเมื่อย่างเข้าเดือน 9 ของจีน จะมีเทศกาลถือศีลกินเจ หรือ เก้าอ๊วงเจ
ซึ่งจะเป็นระยะเวลา 9 วัน เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ (ขอย้ำว่า ต้องดูปฏิทินจีน)
เนื่องจากใช้เวลา 9 วัน ภาษาฝรั่งใช้คำว่า Nine Emperor Gods Festival (เพราะจะมีการเชิญเทพมา 9 องค์)
บางคนใช้ภาษาสื่อสารกันตรงๆง่ายๆ คือ ประเพณีถือศีลกินผัก
ส่วนคนที่ชอบชักชวนให้ผู้อื่นเห็นดีด้วยกับการทานอาหารเจ มันจะพูดว่า "หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"
สำหรับคนที่มีศรัทธามาก ก็จะกล่าวคำตั้งจิตอธิษฐานปฏิญาณว่าจะรักษาศีลและงดเว้นกินเนื้อสัตว์อย่างเคร่งครัด
การกระทำนี้มุ่งไปสู่สภาวการณ์ชำระทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเป็นการทดสอบความอดกลั้นและการรักษาสัจจะ
ความคิดที่ว่า ทำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจบริสุทธิ์ คิดแบบนี้เข้าทีดีนัก
ดีกว่า พวกที่มีความคิดที่อยากจะไปสวรรค์ ไปอยู่ในวิมาร ไปอวตารเป็นเทพบุตรเทพธิดา
คิดแบบนั้นจะติดสุข จะถูกเขาหลอกให้หลับหูหลับตาจ่ายเงินซื้อบุญจนหมดตัว
แค่งดการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ทำง่ายๆ ต้องลองถึงจะรู้
ผมว่าจุดดีของคนจีนสมัยก่อนในเรื่องศาสนสถานก็คือ การสร้างศาลเจ้า และโรงเจ
พระไม่มี แต่ต้องมีโรงเจ มีพระพุทธรูป มีเทวรูป เริ่มต้นแบบนี้กันก่อน แต่ของไทยต้องมีพระสงฆ์ก่อนเสมอ
สำหรับประเทศจีน เมื่อพื้นที่มาก นักบวชมีน้อย มีศาลเจ้า ก็เอาไว้เป็นศูนย์รวมกิจกรรม วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ
และโรงเจ นี่แหละเป็นที่แจกทาน แจกอาหาร แจกเสื้อผ้า ให้คนยากจน นับเป็นศูนย์รวมของความเมตตาจริงๆ
ผมเชื่อกันว่า เจ เริ่มต้นมาจากกลุ่มคนจีนที่นับถือลัทธิเต๋ามาก่อน
เจ หรือ แจ ก็น่าจะมีความหมายเดียวกันคือ การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)
เจ ในวันนี้ เป็นความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อและศรัทธาใน เต๋า ขงจื้อ และพุทธ
ทั้งนี้เพราะชาวจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะในการนับถือ เต๋า ขงจื้อ และพุทธ ปะปนกลมกลืนกัน
เต๋า เชื่อเรื่องธรรมชาติ จักรวาล โดยมุ่งที่จะสื่อสารผ่านทางเทพเจ้าทั้งหลาย
ขงจื้อ เชื่อเรื่องความสุข ความอยู่รอด มาจากการรู้จักกตัญญู ต่อบรรพชน บรรพกษัตริย์ ต่อผู้มีพระคุณ
พุทธมหายาน เชื่อเรื่อง พระโพธิสัตว์ การสร้างและสะสมบารมีด้วยความเมตตา การช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนมาก
ผมเห็นว่าถ้ามองการกินเจ ในมุมที่ต้องการความบริสุทธิ์ ต้องการบำเพ็ญเพียร ต้องมองแบบพระโพธิสัตว์ นี่แหละดีมากๆ
การกินเจ เป็นหลักความคิดที่จะลดการยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของสัตว์ที่เรานำมาเป็นอาหาร
โดยเน้นให้เว้นจากการนำเอาชีวิตสัตว์มาบำรุงชีวิตตน
เว้นจากการนำเอาเลือดสัตว์มาเป็นเลือดตน
เว้นจากการนำเอาเนื้อสัตว์มาเป็นเนื้อตน
แต่อย่ามองข้ามการเอาเขา หนัง ขน เขี้ยว งา ฯ
ไม่ได้กิน แต่ไปเอาชิ้นส่วนของเขามาเป็นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ หรือเฟอร์นิเจอร์ ก็เบียดเบียนสัตว์เหมือนกัน
ถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อเรื่องกินเจ แล้วมีคนมาถามคุณว่า กินเจไปทำไม
ลองดูข้อมูลที่ผมไปดูดของเขามา แต่อ่านแล้วต้องคิดตามด้วย อย่าเอาแต่เชื่อตามอย่างเดียว
จุดประสงค์ของการทานเจ อาจแยกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. กินเพื่อสุขภาพ แนวชีวจิต เชื่อว่าร่างกายจะปรับตัวจนขับสารพิษออกมาได้ ระบบทางเดินอาหารจะดีขึ้น
2. กินเพื่อจิตใจ ด้วยจิตเมตตาต่อสัตว์ ย่อมไม่อยากพรากชีวิต เมื่อละเว้นเนื้อสัตว์ได้ จิตใจก็มีความสุข
3. กินเพื่อลดกรรม ตามกฎแห่งกรรม เรากินเขา เราก็จะถูกกินอีกที กินในคราวหลังนี้หมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ
เดี๋ยวนี้มีการกินเจที่เห็นบ่อยๆ นอกเหนือจากเวลาในช่วงเทศกาลกินเจ ก็ได้แก่
1. กินเจเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ แบ่งเป็นนึกอยากกินเอง กับพระหรือหมอดูสั่งมาให้ทำ พวกหลังนี้เหมือนโดนบังคับ
2. กินเจเพื่อแก้จิตตก บางครั้งคนเราก็เกิดอาการหดหู่ กังวลในเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ เลยหาทางออกด้วยการ
ทำอะไรก็ได้เพื่อให้จิตใจตนเองเกิดปิติ เกิดความรู้สึกว่า ยังมีความดีติดตัวอยู่ จะเอาความดีนี้ไปแก้วิกฤติของชีวิต
3. กินเจเพื่อเป็นการต่อรอง หรือเป็นการบน(=สัญญา)กับสิ่งศักดิ์ เช่น ถ้าได้เป็นนางงามจะกินเจตลอดชีวิต
4. กินเจเพื่อฝืนกฎธรรมชาติ ผมเห็นบ่อยๆ คนไม่เข้าเรียนหนังสือ เรียนได้เกือบตก แต่อยากเรียมหาวิทยาลัยของรัฐ
บางคนร่างกายอ่อนแอแต่อยากเป็นทหาร เลยไปบอกสิ่งศักดิ์ว่าถ้าทำให้เขาได้สิ่งที่เขาปรารถนา
ขอร้องว่า เขาจะยอมกินเจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ง่ายๆ ทั้งในแง่คุณสมบัติ หรือความคิดของเทพที่จะช่วยคนแบบนั้น
5. กินเจตามคนอื่น หรือกินเป็นเพื่อนคนอื่น อันนี้แหละที่ผมก็เป็นคนแบบนั้น
6. กินเจเพราะแถวบ้านมีแต่ร้านขายอาหารเจ และหน้าตาน่าทานทั้งนั้น แบบนี้ก็อิ่มท้องและอาจจะมีการแอบอิ่มใจ
ทานเจ แค่ปีละไม่กี่วัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยากลำบากอะไรจนเกินไป จริงหรือเปล่า?
ยิ่งมาอยู่กันในยุคที่มีร้านขายอาหารถุง อาหารตามสั่ง มากกันแบบนี้ คงหาทานได้สะดวก
แค่มองธงเหลือง ตัวหนังสือจีนตรงกลาง และมีเงินในกระเป๋า ก็ทานเจได้แล้ว
ถ้าเริ่มหัดทานเจ ก็น่าจะไปโรงเจดูสักครั้ง
ไปทำอะไรหรือ? ก็ไปทานอาหารเจแบบไม่เสียเงิน (ของฟรี) หรือไม่ก็ไปซื้ออาหารเจจากแม่ค้าหน้าหวาน
หากว่ามีเวลาเหลือเฟือ ก็เข้าไปไหว้พระ ไหว้เจ้า ในวัดจีนหรือโรงเจ จิตใจจะได้สงบ
หรือไม่ก็ออกมาเดินดูสาวๆสายเดี่ยวนุ่งกางเกงขาสั้นเดินซื้ออาหารเจ ทำแบบผมนี่แหละ ดี ดี ดี
การงดเว้นจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในบางมื้อหรือบางวัน หรือช่วงสัปดาห์หนึ่ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
คนทำมาหากิน ตัวเป็นเกลียว เหนียวไปด้วยเหงื่อไคลจากการใช้แรงงาน อาจจะทานเจได้ไม่ครบ 9 วัน
ถ้าไม่สะดวก ก็น่าจะหา วันที่สบายๆ ชิล ชิล หาช่วงวันอื่นๆทานอาหารเจ ร้านขายอาหารเจจตลอดปีก็มีหลายร้านเหมือนกัน
ถ้าจะทำทานเอง ก็แค่ไม่ใส่กระเทียม ไม่ใส่เนื้อสัตว์ ก็เป็นอาหารเจได้แล้ว อย่าซีเรียสให้มากนักเลย
ผมว่า น่าจะเดินสายกลาง ไม่สะดวกก็ไม่ต้องกิน สะดวกก็กิน คิดมากแก่เร็วนะครับ
เดี๋ยวนี้มีหลายคนที่ทานเจในวันพิเศษ เช่น วันเกิดของตนเอง หรือวันเกิดของบุคคลอันเป็นที่เคารพรัก ฯ
บางคนจัดงานแต่งงานแบบเลี้ยงอาหารเจก็มี ผมเคยเจอมาแล้ว แต่เขาก็แบ่งเป็น 2 ส่วน
พวกที่ทานเจจริงๆก็จะเป็นญาติสนิทและแขกที่บอกล่วงหน้าว่าจะมาร่วมนั่งทานเจ ส่วนแขกอื่นๆก็ทานอาหารปกติ
เคยได้ยินคนพูดว่า น่าจะทานเจในวันเช็งเม้ง แต่เห็นว่า แค่พูด เพราะหนึ่งปีไปไหว้กันครั้งเดียว
จะยอมให้บรรพชนกินแต่ผักและผลไม้เท่านั้นหรือ บ้านอื่นเขาก็เอาเป็ดไก่มาไหว้ด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าทานเจเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องได้บุญ ทำไมมีคนคัดค้าน???
ว่า ไม่กินเจได้ไหม???
ตำนานที่ 1
กล่าวกันว่า การกินเจเริ่มขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักรบ "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งเป็นทหารชาวบ้านของจีนที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างกล้าหาญ ฝ่ายแมนจูมีปืนไฟของชาวตะวันตกที่ฝ่ายจีนไม่มี นักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้จะประกอบพิธีกรรมนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน และท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของจีน เชื่อกันว่าจะสามารถป้องกันปืนไฟได้ แต่ก็ไม่ประสบผล ครั้นจีนพ่ายแพ้แมนจู ชายชาวจีนถูกบังคับให้ไว้ผมอย่างชาวแมนจู ซึ่งสร้างความคับแค้นให้แก่ชาวจีนอย่างมาก ชาวจีนจึงรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงเหล่านี้ด้วยสำนักในบุญคุณ[2]
ตำนานที่ 2
เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว
ตำนานที่ 3
ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ เก้าอ๊อง)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ตำนานที่ 4
กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์เป๊ง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง
ตำนานที่ 5
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)
ตำนานที่ 6
ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น