หุบเขาคนโฉด ไม่ใช่ไอศครีม ไม่ต้องเข้ามาเลีย หรือเชียร์จนละเหี่ยใจ แต่ขอแค่ความจริงใจ ของคนกล้าคิด ไม่ติดอยู่ในกรอบ
90520 ลิ้นจี่2009



ไทย เกษตรกร ผลไม้ ลิ้นจี่ อัมพวา

ViolentValley

ห้องขว้างไข่ ใต้ตึกขวาง



ลิ้นจี่1 หว๊านหวานนะยะได้ยินข่าวเกี่ยวกับม๊อบชาวสวนลิ้นจี่ เห็นมีการเอาลิ้นจี่มาโยนทิ้งบนถนน บอกตามตรงว่าเป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยกับคนพวกนี้เลย สาเหตุคงเป็นเพราะผมไม่มีญาติพี่น้องที่ทำสวนผลไม้สักคนก็ว่าได้ ถ้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนนั้นลิ้นจี่ เป็นเหมือนของดี ราคาแพง ถ้ามีใครไปเที่ยวภาคเหนือช่วงหน้าลิ้นจี่ ผมก็ต้องฝากเขาซื้อ แต่บางทีก็ขับรถไปอัมพวาเลย ถ้าอยากทานมากๆ ต่อมาไม่ต้องรอ ไม่ต้องขับรถไกลอีกแล้ว เพราะตามห้างใหญ่ๆ หรือห้างขายส่ง อย่าง บิ๊กซี โลตัส แมคโคร ฯ เขาเอามาขายแค่กก.ละ 40 - 50 บาท ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเคยขายราคากก.ละ 150 ก็ยังเคยมี แต่วันนี้ ราคาหน้าสวน กก.ละไม่ถึง 20 บาท


เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2552 ชาวสวนลิ้นจี้ จาก จ.พะเยาก็เคยมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเรื่องราคาลิ้นจี่ตกต่ำ ในวันนั้นมีการฝากคืนบัตรประชาชนให้รัฐบาลกันด้วย โดยบอกว่า จะขอลาออกจากการเป็นคนไทย จะไม่ยอมเสียภาษี และอีกหลายๆเรื่อง เออ..แต่ยังขออากาศในประเทศไทยหายใจอยู่นะ ผมว่าเรื่องคืนบัตรประชาชนนี่ ออกจะเป็นรูปแบบที่ชักจะกระทำคล้ายๆกันหลายที่แล้ว พอให้ไปคนอื่นไปแล้ว ถ้าโดนตำรวจขอตรวจดู มันผิดกฏหมายไม่ใช่หรือ? ทำไมเราต้องแก้ปัญหาด้วยเรื่องที่ผิดกฏหมายกันด้วย


มาเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2552 นี้ ได้มีชาวสวนลิ้นจี่จาก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กลุ่มหนึ่ง พากันมาชุมนุม ร้องเรียนให้รัฐบาลช่วยเหลือ พวกเขาไม่ได้ไปยืนตะโกนประท้วง ที่หน้าสภาฯ หรือหน้าทำเนียบฯ เขาประท้วงกันอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ หลังจากที่พวกเขา เคยพามากันร้องเรียนไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2552 โดยคราวนั้น ได้มาพร้อมกับชาวสวนลิ้นจี่ ใน อ.แม่อาย และ อ.ไชยปราการ อีก 2 อำเภอ และก็ได้ยื่นคำร้องผ่านไปทาง รมต.เกษตรฯ ซึ่งช่วงนี้น่าเป็นห่วงเสนาฯในกระทรวงเกษตรฯ เพราะทิพย์อาสน์ก็ร้อนเป็นไฟ ขนาดระดับ รมต.ช่วยว่าการฯ ยังต้องออกมาแถลงข่าว บอกว่าผมจะทำงานต่อ ผมบกพร่องอะไร? ทำไมผมต้องออก? ฮึมๆๆ ขนาดเบื้องบนระดับบริหารยังไม่ค่อยจะลงตัว นั่งก็ไม่เป็นสุข แล้วรากหญ้าอย่างชาวเกษตรไทย มิแหลกลาญตามไปด้วยหรือ?


ในคราวก่อนนั้นพวกชาวสวนได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนขึ้นมา มีมูลค่าระดับ 250 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว เรียกว่าเอาให้จบไปเลย และขอให้ช่วยเหลือเร่งด่วนอีกวิธี ด้วยการจ่ายเงินเป็นค่าชดเชยต้นทุนที่ราคาตก ในอัตรา กก.ละ 3 บาท เพราะถ้าขายราคาตลาดอย่างทุกวันนี้ ก็ขาดทุน ชาวกรุงชาวกินอย่างผม ก็ไม่รู้ว่าเขาขาดทุนกัน กก.ละกี่บาท เพราะไม่ทราบว่าเขาเอาอะไรมาคิดเรื่องต้นกันบ้าง ถ้าจะลองคำนวนเงินชดเชยนี้ เราก็ต้องไปหาตัวเลขผลผลิตมาให้ได้ก่อน ผมพอจะรู้ว่า จาก 3 อำเภอที่เขามาประท้วงนั้น เขามีผลิตผลถึง 2.7 หมื่นตันต่อปี หรือ 27 ล้านกก. เอา 3 คูณก็เข้าไป ก็จะได้เป็นเงินถึง 81 ล้านบาท ตกลงวันนี้ ไม่ทราบว่า กระทรวงฯ ได้ข้อมูลไปหรือยัง? แล้วขาดทุนมาก หรือจริงๆพออยู่ได้? ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้าผมไปยืนถามกลุ่มชาวสวน ที่เขาเดือดร้อนอยู่ตอนนี้ ว่า พี่ขาดทุนจริงๆ หรือว่ากำไรน้อยลง ผมอาจจะไม่ได้เดิน 2 ขากลับบ้าน และถ้ารัฐยอมจ่ายให้ตาม ข้อเรียกร้องทั้ง 2 ข้อนั้น มันจะเป็นเงินเท่าไหร่กัน? รัฐฯต้องไปกู้ใครอีกหรือเปล่า?


ที่บอกว่าไม่ได้รู้สึก “เป็นห่วงเป็นใย” ก็เพราะว่า วันนี้ได้รู้แล้วว่าต้นทุนราคาลิ้นจี่จากสวน แค่ กก.ละ 7-8 บาทเอง ราคาขายส่ง 20-25 บาท ราคาขายปลีก 40-50 บาท (มันต้องบวกค่าน้ำมันกันหน่อยนะจ๊ะ) แบบนี้ตามประสาคนโฉดๆอย่างผม ก็ต้องขอบอกว่า ต้องเตรียมล้างท้องไว้กินลิ้นจี่แล้วหละ เผื่อเขาเลิกปลูก หรือเลิกขายกัน จะได้กินทิ้งทวนปีนี้ไปเลย (สมัยนี้ใครเขาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นกันหละคุณพี่)







ลิ้นจี่2 อร่อยลิ้นจี่ (Lychee) หรือบางที่ก็เขียน Litchi, Laichi หรือ Lichu เป็นพืชเขตกึ่งเมืองร้อน ชอบอากาศหนาว ส่วนมากหลายสายพันธุ์จะหนักไปทางอากาศเย็นๆ 15-20 องศา(ในช่วงออกดอก) ดินร่วนซุย (ผมเดาว่าดินแถวภูเขาน่าจะปลูกได้ดีที่สุด ตามตำราว่าต้องสูงจากระดับน้ำทะเลตั้ง 400 เมตร แต่มีพันธุ์อีค่อม พันธุ์สำเภาแก้ว ก็สามารถปลูกได้ในเขตภาคกลางของไทย) ลิ้นจี่มักนิยมปลูกใน จีน (แถบมณฑลเสฉวน ยูนาน และกวางเจา) อินเดีย มาดากาสการ์ เนปาล บังคลาเทศ ปากีสถาน ทางภาคเหนือของเวียดนามและทางภาคใต้ของไต้หวันก็ปลูกเยอะ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ และประเทศไทย นับว่าลิ้นจี่เป็นผลไม้เศรษกิจที่สำคัญตัวหนึ่งเหมือนกัน เสียดายที่ปัจจุมีปัญหาเรื่องราคาผลผลิต ลิ้นจี่เป็นผลไม้น่ารับประทาน มีความอร่อย มีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นก็หอม ทานแล้วจะติดใจ เนื้อของลิ้นจี่มีวิตามินซีมาก นอกจากนั้นก็ยังมี วิตามินบี1 วิตามินบี2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯ ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย แถมยังเชื่อว่าแก้อาการท้องเดินได้ด้วย ผมก็ว่ามันน่าจะมีอาการหนักกว่าเดิมนะ ถ้าทานตอนที่ท้องเสีย หรือท่านว่าอย่างไรกันครับ? แต่เขาว่าเป็นยาก็เชื่อเขาซะหน่อย สูตรตำรายาไทยสมัยโบราณเขาว่ากันว่า ให้เอาเนื้อลิ้นจี่ต้มกับเนื้อพุทรา(ต้องไปหาซื้อพุทราอีก) เหลือเป็นครีมข้นๆ ใช้กินกับน้ำเปล่า รักษาโรคท้องร่วงเรื้อรังได้ผลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายสูตร เช่น หน้าร้อนทานน้ำลิ้นจี๋แก้ร้อนในกระหายน้ำได้ เนื้อลิ้นจี่ตากแห้งเมื่อนำมาต้มกินเป็นประจำ สามารถรักโรคไส้เลื่อน(คือ อัณฑะบวม ไง) และยังช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้อีกด้วย เคยมีคนเอาผลไม้ที่คนชอบทานมาทำนายนิสัย จริงเท็จอย่างไร เรื่องหมอดูหมอเดา ผมไม่กล้ายืนยัน เขาทำนายไว้ว่า คนที่ชอบทานลิ้นจี่ จะเป็นคนไม่ชอบทำงานหนัก คือหนักไม่เอา แต่เบานั้นสู้นะ เพราะเป็นพวกชอบวางแผน เป็นนักบริหาร ชอบเป็นผู็จัดการ บังคับให้คนทำโน่นทำนี่ให้ตัวเอง บางคนก็หนักไปทางเจ้าเล่ห์ (ส่วนผมนั้น เจ้าเสน่ห์นะจะบอกให้) ถ้าคนๆนั้นไปทำงานด้านธุรกิจมืด ก็จะได้เป็นถึงระดับเจ้าพ่อ คอยสั่งการให้ลูกน้องออกไปกระทืบคน(ที่ชอบทำนายเรื่องนิสัยของเขา จากการทานผลไม้)ไง






ลิ้นจี่ โอวเฮี๊ยะในประเทศไทย ลิ้นจี่ที่ออกมาจำหน่ายค้าขายกัน ที่ทานแล้วบอกว่าอร่อยๆ นอกจากมีขายกันทางภาคเหนือ (เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา) แล้ว ก็ยังมีปลูกกันมากอีกแห่งที่ เช่น สมุทรสงคราม (อ.อัมพวา และ อ.บางคนที) ว่ากันว่าทางเหนือนั้น น่าจะเป็นแหล่งปลูกลิ้นจี่เป็นแห่งแรก โดยเชื่อว่าได้พันธุ์มาจากทางใต้ของไต้หวัน เพราะสมัยเมื่อจีนฮ่อ(อดีตทหารก๊กมินตั๋ง) ได้เข้ามาตั้งค่ายพักอาศัยอยู่ทางชายแดนภาคเหนือของไทย ได้มีการนำพันธุ์ผลไม้หลายอย่างมาปลูกในไทย เช่น ลิ้นจี่ ท้อ และสาลี่ หน่วยงานที่ต้องให้เครดิตความดีในเรื่องนี้ก็คือ โครงการหลวง เพราะมีนโยบายสนับสนุนการปลูกลิ้นจี่ ให้ความรู้เรื่องการเกษตร เรื่องดิน เรื่องปุ๋ย เรื่องการป้องกันศัตรูพืช การบริหารจัดหาแหล่งน้ำ ตลอดจนช่วยหาตลาด หรือแม้แต่กระทั้งจัดสร้างโรงงานผลไม้กระป๋อง ใครเคยได้ยินชื่อ "ดอยคำ" กันบ้าง? ลิ้นจี่แต่ละต้น มีอายุเฉลี่ยได้ถึง 30 ปี ให้ผลเป็นน้ำหนักเฉลี่ย 200 กก. หรือ 60-90 ผล ต่อปี (อย่าลืมว่าต่อต้นด้วยนะครับ) ถ้าคิดต่อไร่ก็ประมาณ 600-700 กก.ช่วงที่เก็บเกี่ยวคือเดือนเมษายน-พฤษภาคม แต่จะมีบางพันธุ์ที่ออกดอกช้า เลยสามารถหาทานได้ในเดือนมิถุนายน - พฤษภาคม

ฮงอวยสวนประดลเดช กัลยาณมิตร เชียงใหม่,
สวนประภัสสร ภู่ปรางทอง เชียงใหม่,
สวนวิโรจน์ พงษ์ทวี เชียงใหม่,
สวนสุพจน์ ศรีสันตกุล น่าน,
สวนสุ่ม คำมี พะเยา,
ไร่คุณบรรเจิด คุ้นวงศ์ เข้าค้อ เพขรบูรณ์, ....ฯ
มีข้อมูลแค่นี้แหละ ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของลูกสาวของเจ้าของสวนเสียด้วย (555)

แถมท้ายด้วยตำนานลิ้นจี่สักหนึ่งพันธุ์ เพื่อเป็นเกียรติแก่คนเมืองสมุทรสงคราม ลิ้นจี่เมืองนี้มีดังๆก็อยู่ 2 พันธุ์ คือ อีค่อม กับ สำเภาแก้ว ผมจะเล่าเรื่อง พันธุ์ค่อม ให้ทราบเท่านั้น เริ่มต้นเมื่อประมาณ 155 ปีมาแล้ว เพราะต้นแรกตามตำนานได้ปลูกไว้เมื่อ พ.ศ. 2397 โดยคุณปู่ทวด "ติ มีแก้วกุญชร" ชาวบ้านสวน อาศัยอยู่ที่ อ.อัมพวา สมุทรสงคราม ท่านได้นำลิ้นจี่มาปลูกที่บ้านของคุณยาย "เฉย บุษบก" ซึ่งมีบ้านมีสวนอยู่แถวๆ บ้านแควอ้อม ตั้งแต่คุณยายเฉย ยังเป็นเด็กเล็กๆ ท่านก็ได้เห็นลิ้นจี่ต้นนี้มาตั้งแต่เป็นเด็ก คุณแม่ของคุณยายเฉยได้เล่าให้คุณยายฟังว่า ญาติที่ชื่อ ติ ได้เดินทางไปทำงานที่ยานาวา บางกอก(กรุงเทพมหาคร) ในปี 2397 ขากลับ ก็ได้หิ้วเอาต้นลิ้นจี่นี้กลับมาลองปลูกที่บ้าน โดยบอกพี่ๆน้องๆที่บ้านว่า ได้ชิมมาแล้ว เป็นผลไม้อร่อยมาก ซึ่งตอนนั้นอาจจะมีลิ้นจี่ในสวนอื่นๆของสมุทรสงครามก็ได้ แต่ไม่มีใครรู้จักกัน ปัจจุบันนี้ชาวบ้านต่างก็ยกย่องให้เป็นลิ้นจี่ต้นแรก และมีอายุนานที่สุด (นานขนาด 155 ปี จริงๆน่าจะแค่ 30-50 ปีก็ตายแล้วนะ) พอช่วงแรกๆที่ลิ้นจี่ต้นนี้ออกผล(ในปีที่ 5) คุณปู่ืทวดติ และชาวสวน ชาวบ้าน ต่างก็แตกตื่นกันมาดูเพราะว่าลูกดกมาก รสชาดตอนแรกๆยังมีฝาดๆอยู่ แต่คนก็แห่กันมาดูมากมาย คุณปู่ทวดติ ท่านก็ใจดี เพราะท่านก็รู้จักผู้คนมากมาย ท่านเลยเพาะพันธุ์แจกคนที่มาเยี่ยมไปเรื่อยๆ จนทำให้มีการแพร่กระจายสายพันธุ์ลิ้นจี่นี้ ออกไปตามสวนต่างๆทั้งในละแวกนั้น และอำเภออื่นๆ

ลิ้นจี่ อีค่อมลิ้นจี่ต้นนี้ออกลูกดกมาก ดกจนกิ่งโน้มโค้งเหมือนคันเบ็ด หรือคนหลังค่อม ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ ก็เลยเรียกชื่อว่า ค่อม แต่ที่ต้องมีคำว่า อี นำหน้าเพราะมีลูกดก เหมือนผู้หญิง จากวันนั้นก็กลายมาเป็น พันธุ์อีค่อม ลิ้นจี่ดังแห่งบ้านแควอ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในปี พ.ศ. 2530 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เคยเสด็จทอดพระเนตรต้นลิ้นจี่ต้นแรก ที่สวนของคุณยายเฉยมาแล้ว สร้างความปลาบปลื้ม ให้กับลูกหลายคนสมุทรสงครามจนสุดที่จะบรรยาย




ลิ้นจี่ กุ้ยบี้สายพันธุ์ลิ้นจี่ ที่ผมเคยทานมา ก็ได้แก่ พันธุ์(อี)ค่อม(ปลูกที่อัมพวา) พันธุ์สำเภาแก้ว(ปลูกที่บางคนที) พันธุ์ฮงฮวย พันธุ์โอวเฮียะ พันธุ์จักรพรรดิ ส่วนที่ยังไม่เคยเห็นหรืออาจจะลิ้มรสไปแล้วแต่ไม่มีความรู้ก็คือ พันธุ์เขียวหวาน พันธุ์สาแหรกทอง พันธุ์ช่อระกำ พันธุ์พันธุ์ทิพย์ พันธุ์แห้ว พันธุ์กะโหลกใบยาว พันธุ์กะโหลกในเตา พันธุ์กระโถนท้องพระโรง พันธุ์กระโถนใบไหม้ พันธุ์กิมเจง พันธุ์กุ้ยบี้ พันธุ์กิมจี๊ พันธุ์บริวสเตอร์(ชื่อฝรั่งซะด้วย) พันธุ์ป้าชิด พันธุ์จูบิจี้(ไม่รู้ว่าภาษาอะไร ???) และพันธุ์ค่อมลำเจียก ถ้าถามว่า แกไปกินมาได้หลายพันธุ์ขนาดนี้ แกรวยมากหรือไง? ก็ขอตอบว่า ไปหาซื้อที่ตลาด อตก หรืออีกที่ก็ บิ๊กซี(สาขาไหน จำไม่ได้) วันนี้ได้เลย ไม่แพงหรอก แต่ไม่รู้ว่าจะเจอพันธุ์ไหนนะ การที่ประเทศไทยมีการทดลองปลูกหลายพันธุ์ ก็เพราะปัญหา เรื่องอุณหภูมิขณะลิ้นจี่ออกดอก และศัตรูพืช ตามแต่ละท้องถิ่น ถ้าดูพันธุ์ลิ้นจี่ที่เขาเอามากองขายไม่เป็น ก็อาจจะเจอพันธุ์ที่เกรดต่ำ แต่ขายเหมือนพันธุ์ที่โด่งดัง ระดับAA+ ก็ได้ เกษตรกรหน้าใหม่ ควรจะปลูกพันธุ์ที่มีเปลือกหนา เพราะทนต่อแมลง และไม่มีลักษณะฉ่ำน้ำ (ผมเรียกว่าแฉะแบะ) ซึ่งตอนนี้มีราคาแพง ขายได้กำไรดี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่เป็นข่าวในวันนี้ อย่างพันธุ์กุ้ยบี้ ราคาดีมาก ประเทศจีนเคยขอสั่งจองซื้อแบบล่วงหน้าในราคา กก.ละ 150 บาท มาแล้ว ตอนนั้นปลูกแล้วส่งออกหมด มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้ ต้องบ้าขนาดขับรถไปบุกสวนเขาด้วย ถึงจะได้ทาน แต่วันนี้ไม่แน่ ที่ตลาด อตก อาจจะมีให้ลิ้มลอง




การปล่อยให้ปัญหาการปลูกลิ้นจี่เป็นอย่างนี้อีกต่อไป บ้านเมืองจะวุ่นวายเดือดร้อน เกษตรกรที่ได้ลงทุนปลูกลิ้นจี่ไปแล้ว ไม่มีทางหาอย่างอื่นมาปลูกทดแทนกันใน 2-3 ปีนี้ได้ทันหรอก สิ่งที่อยากจะเสนอความคิดไว้ ก็คือ โรงงานผลไม้กระป๋อง ไม่ว่าจะสร้างขนาดใหญ่หนึ่งแห่ง หรือขนาดกลางหลายๆแห่ง ก็ตามแต่จะเห็นสมควร แต่ผมเชื่อว่า สามารถส่งไปขายแข่งกับจีนได้ เว้นแต่ว่าจะไม่อยากให้จีนโกรธ หรือขัดผลประโยชน์ของใครบางคน ถ้าสวนลิ้นจี่ถึงคราวล่มสลาย อุตสาหกรรมอีกหนึ่งอย่าง จะพลอยกระทบไปด้วย นั่นก็คือผึ้งเลี้ยง ซึ่งหมายถึงน้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ จะไม่มีขายกัน และการขาดตลาดของน้ำผึ้งนี้ ก็จะกระทบกับธุรกิจอาหารเสริม ยารักษาโรค(โดยเฉพาะยาไทยแผนโบราณ) และเครื่องสำอาง เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ใหญ่โตอะไรเลย พับผ่า!



ขอบคุณที่อ่าน



Create Date : 20 พฤษภาคม 2552
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 19:39:53 น. 1 comments
Counter : 1680 Pageviews.

 


โดย: ดราก้อนวี วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:50:26 น.  

zoomzero
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ของทุกอย่างในโลกมี 2 ด้าน ถ้าเริ่มต้นก็คิดแต่ว่า สิ่งนั้นมีแต่ด้านดีด้านเดียว หรือเลวสุดขีด ต่อให้ศึกษาสิ่งนั้นไปอีกพันๆปี ก็ไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าเปิดใจมองให้เห็นทั้งสองด้าน และหาความพอดีกับการอยู่กับสิ่งนั้นได้
...
ความสุขย่อมมาคู่กับความทุกข์ เพราะสุขเป็นของไม่เที่ยง เมื่อติดสุข แล้วไม่มีสุขมาให้ชื่นใจ จิตก็จะเป็นทุกข์ ความสงบจึงเป็นของที่เราท่านควรปฏิบัติ
...
การตั้งตัวเป็นจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด จึงไม่หวังให้ผู้ใดมีสุข ไม่อยากให้คนยึดติดกับสุข หากแต่อยากให้พ้นทุกข์ และได้พบกับธรรมมะของจริง ดั่งคำว่า "ไม่มีมาร อรหันต์ไม่เกิด" 555
...
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add zoomzero's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.