ได้ยินข่าวเกี่ยวกับม๊อบชาวสวนลิ้นจี่ เห็นมีการเอาลิ้นจี่มาโยนทิ้งบนถนน บอกตามตรงว่าเป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยกับคนพวกนี้เลย สาเหตุคงเป็นเพราะผมไม่มีญาติพี่น้องที่ทำสวนผลไม้สักคนก็ว่าได้ ถ้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนนั้นลิ้นจี่ เป็นเหมือนของดี ราคาแพง ถ้ามีใครไปเที่ยวภาคเหนือช่วงหน้าลิ้นจี่ ผมก็ต้องฝากเขาซื้อ แต่บางทีก็ขับรถไปอัมพวาเลย ถ้าอยากทานมากๆ ต่อมาไม่ต้องรอ ไม่ต้องขับรถไกลอีกแล้ว เพราะตามห้างใหญ่ๆ หรือห้างขายส่ง อย่าง บิ๊กซี โลตัส แมคโคร ฯ เขาเอามาขายแค่กก.ละ 40 - 50 บาท ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเคยขายราคากก.ละ 150 ก็ยังเคยมี แต่วันนี้ ราคาหน้าสวน กก.ละไม่ถึง 20 บาท
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2552 ชาวสวนลิ้นจี้ จาก จ.พะเยาก็เคยมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเรื่องราคาลิ้นจี่ตกต่ำ ในวันนั้นมีการฝากคืนบัตรประชาชนให้รัฐบาลกันด้วย โดยบอกว่า จะขอลาออกจากการเป็นคนไทย จะไม่ยอมเสียภาษี และอีกหลายๆเรื่อง เออ..แต่ยังขออากาศในประเทศไทยหายใจอยู่นะ ผมว่าเรื่องคืนบัตรประชาชนนี่ ออกจะเป็นรูปแบบที่ชักจะกระทำคล้ายๆกันหลายที่แล้ว พอให้ไปคนอื่นไปแล้ว ถ้าโดนตำรวจขอตรวจดู มันผิดกฏหมายไม่ใช่หรือ? ทำไมเราต้องแก้ปัญหาด้วยเรื่องที่ผิดกฏหมายกันด้วย
มาเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2552 นี้ ได้มีชาวสวนลิ้นจี่จาก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กลุ่มหนึ่ง พากันมาชุมนุม ร้องเรียนให้รัฐบาลช่วยเหลือ พวกเขาไม่ได้ไปยืนตะโกนประท้วง ที่หน้าสภาฯ หรือหน้าทำเนียบฯ เขาประท้วงกันอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ หลังจากที่พวกเขา เคยพามากันร้องเรียนไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2552 โดยคราวนั้น ได้มาพร้อมกับชาวสวนลิ้นจี่ ใน อ.แม่อาย และ อ.ไชยปราการ อีก 2 อำเภอ และก็ได้ยื่นคำร้องผ่านไปทาง รมต.เกษตรฯ ซึ่งช่วงนี้น่าเป็นห่วงเสนาฯในกระทรวงเกษตรฯ เพราะทิพย์อาสน์ก็ร้อนเป็นไฟ ขนาดระดับ รมต.ช่วยว่าการฯ ยังต้องออกมาแถลงข่าว บอกว่าผมจะทำงานต่อ ผมบกพร่องอะไร? ทำไมผมต้องออก? ฮึมๆๆ ขนาดเบื้องบนระดับบริหารยังไม่ค่อยจะลงตัว นั่งก็ไม่เป็นสุข แล้วรากหญ้าอย่างชาวเกษตรไทย มิแหลกลาญตามไปด้วยหรือ?
ในคราวก่อนนั้นพวกชาวสวนได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนขึ้นมา มีมูลค่าระดับ 250 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว เรียกว่าเอาให้จบไปเลย และขอให้ช่วยเหลือเร่งด่วนอีกวิธี ด้วยการจ่ายเงินเป็นค่าชดเชยต้นทุนที่ราคาตก ในอัตรา กก.ละ 3 บาท เพราะถ้าขายราคาตลาดอย่างทุกวันนี้ ก็ขาดทุน ชาวกรุงชาวกินอย่างผม ก็ไม่รู้ว่าเขาขาดทุนกัน กก.ละกี่บาท เพราะไม่ทราบว่าเขาเอาอะไรมาคิดเรื่องต้นกันบ้าง ถ้าจะลองคำนวนเงินชดเชยนี้ เราก็ต้องไปหาตัวเลขผลผลิตมาให้ได้ก่อน ผมพอจะรู้ว่า จาก 3 อำเภอที่เขามาประท้วงนั้น เขามีผลิตผลถึง 2.7 หมื่นตันต่อปี หรือ 27 ล้านกก. เอา 3 คูณก็เข้าไป ก็จะได้เป็นเงินถึง 81 ล้านบาท ตกลงวันนี้ ไม่ทราบว่า กระทรวงฯ ได้ข้อมูลไปหรือยัง? แล้วขาดทุนมาก หรือจริงๆพออยู่ได้? ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้าผมไปยืนถามกลุ่มชาวสวน ที่เขาเดือดร้อนอยู่ตอนนี้ ว่า พี่ขาดทุนจริงๆ หรือว่ากำไรน้อยลง ผมอาจจะไม่ได้เดิน 2 ขากลับบ้าน และถ้ารัฐยอมจ่ายให้ตาม ข้อเรียกร้องทั้ง 2 ข้อนั้น มันจะเป็นเงินเท่าไหร่กัน? รัฐฯต้องไปกู้ใครอีกหรือเปล่า?
ที่บอกว่าไม่ได้รู้สึก เป็นห่วงเป็นใย ก็เพราะว่า วันนี้ได้รู้แล้วว่าต้นทุนราคาลิ้นจี่จากสวน แค่ กก.ละ 7-8 บาทเอง ราคาขายส่ง 20-25 บาท ราคาขายปลีก 40-50 บาท (มันต้องบวกค่าน้ำมันกันหน่อยนะจ๊ะ) แบบนี้ตามประสาคนโฉดๆอย่างผม ก็ต้องขอบอกว่า ต้องเตรียมล้างท้องไว้กินลิ้นจี่แล้วหละ เผื่อเขาเลิกปลูก หรือเลิกขายกัน จะได้กินทิ้งทวนปีนี้ไปเลย (สมัยนี้ใครเขาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นกันหละคุณพี่)