เดินเล่น ถ่ายรูป รอบเกาะรัตนโกสินทร์
วัดพระแก้วตั้งแต่เรียนจบโรงเรียนสตรีแถววังหลัง ซึ่งก็เป็นระยะเวลานานโข ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้อีกเลย สมัยก่อนนู้นน..อาศัยว่าโรงเรียนอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเลิกเรียนก็รวมกลุ่มกับเพื่อน 3-4 คน ข้ามเรือมาเที่ยว 'วัดพระแก้ว' กัน อาจเป็นไปได้ว่า สมัยนั้น สถานที่ดึงดูดใจวัยรุ่น(อย่างเรา) ไม่ค่อยมีให้เลือกมากนัก ก็เลยไม่รู้จะไปไหน นอกจากวัด กับ เขาดิน..
การได้ไปเยือนวัดพระแก้วในวันนี้ วัตถุประสงค์หลัก ต้องการไปเดินเล่น และถ่ายรูปรอบๆเกาะรัตนโกสินทร์ คือจากวัดพระแก้ว วัดพระเชตุพน เรื่อยลงไปจนถึงภูเขาทอง ทางฝั่งถนนราชดำเนินโน่น ..นี่คือตามที่ได้วาดแผนเอาไว้ แต่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหน..อยู่ที่ความอึดของร่างกายด้วย
เริ่มต้น TRIP ที่วัดพระแก้ว ไปถึงที่หมายก็สายพอสมควร แต่ก็ดี แดดกำลังสวย (สวยแบบร้อนๆเลย) เดินเก็บภาพมุมโน้นที มุมนี้ที พอดีเป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นพอสมควร บ้างมาเที่ยวกันเอง บ้างมาเป็นกรุ๊ป มีไกด์คอยอธิบายเื่รื่องราวต่างๆ หลายชาติ หลายภาษามากเลย
| |
| |
นึกย้อนไปถึงสมัยยังละอ่อน ตอนนั้นขยันมาวัดพระแก้วหลังเลิกเรียน เนื่องจากมา 'ดักฝรั่ง' อุ๋ย..ฟังดูน่ากลัวนะ มาดักฝรั่งเพื่อฝึกภาษาอังกฤษน่ะ สมัยนั้น (ฟังเหมือนนานมาก..เิอ ก็นานจริงๆ) โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ และสื่อการสอนมีไม่มากมายหลากหลายเหมือนปัจจุบัน ภาษาอังกฤษสมัยนั้นก็ยังไม่ค่อยฮิตด้วย แต่เรารู้สึกสนุกที่ได้พูดคุยกับฝรั่งน่ะ มาในชุดนักเรียน ฝรั่งเห็นเราเป็นเด็ก ก็ไม่ตกใจ ส่วนมากจะยินดีที่จะคุยและสอนภาษาให้กับเด็กไทย (โข่งๆ) อย่างเราด้วย ก็สนุกดี
วัดพระแก้ว ในสมัยนั้น ซึ่งยังไม่ได้รับการบูรณะมากมายเท่าขณะนี้ ก็ว่าสวยแล้ว การได้เข้าไปวันนี้ทำให้ได้เห็นว่า วัดพระแก้วของเราสวยงามมาก เห็นชาวต่างชาติมาเที่ยวกัน บางคนมาพร้อมอุปกรณ์ถ่ายรูปอย่างครบครัน ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปในบริเวณวัด ทั้งพระปรางค์ พระอุโบสถต่างๆอย่างหลงใหล เห็นแล้วอดภูมิใจไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือสมบัติของบ้านฉันนะจ๊ะ..
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
สวยมาก ขนาดว่าเป็นเวลาราวๆเที่ยง แดดร้อนเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อนักท่องเที่ยว ที่ยังเดินเอาหน้าสู้แดดถ่ายรูปกับพระที่นั่งเก็บไว้เป็นที่ระลึก เรียกว่างานนี้ ไม่มีคำว่า 'ฝ้า' เข้ามารบกวนจิตใจกันเลย กลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน
เราเดินหามุมไปมาอยู่ระยะหนึ่ง ก็ได้ภาพมุมเหมาะ ขณะกำลังกด shutter กล้องตัวเองอยู่ ก็หันไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อย อายุประมาณ 10 กว่าขวบ กำลังชูไม้ชูมือ ยิ้มซ้าย ยิ้มขวา ถ่ายรูปตััวเองด้วยโทรศัพท์มือถืออยู่ เลยอาสาถามน้องเค้าไป 'ใ้ห้พี่ช่วยไม๊คะ' เธอคงรู้สึกเขิน รีบบอกว่า 'ไม่เป็นไรค่ะ' แล้วเดินจากไปทันที
อ้าว..กลายเป็นสกัดจุดน้องเค้าซะงั้น นานๆจะได้เห็นเด็กสมัยนี้ชื่นชมกับความงามของสิ่งที่เรียกว่า 'วัด' กับ 'วัง' ซะที
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับการนวดแผนโบราณ ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย แต่สมัยเรายังเด็ก รู้จักวัดพระเชตุพนแห่งนี้ในนามของ 'ยักษ์วัดโพธิ์' ซึ่งยืนหันหน้าประจันกับ 'ยักษ์วัดแจ้ง' ก็คือวัดอรุณ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
จำได้ว่าเคยดูหนังด้วย ยักษ์ 2 วัดยกพวกตีกัน นัยว่าตีกันจนบริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลอง ต่อมาเลยเรียกบริเวณนั้นว่า 'ท่าเตียน' ฮ่า ฮ่า หนุกดี ตอนจบเป็นยังไงไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว ปัจจุบัน ยักษ์วัดโพธิ์ ก็ยังยืนตระหง่านเฝ้าประตูอยู่ที่เดิม ถึงแ้ม้จะผุกร่อนไปบ้าง
พระพุทธไสยาสน์ หรือ พระนอนวัดโพธิ์องค์ใหญ่มาก องค์พระก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทองทั้งองค์ ข้อมูลมีว่า 'พระบาทของ"พระพุทธไสยาสน์วัดโพธิ์"แต่ละข้าง กว้าง 1.5 เมตร ยาว 5 เมตรมีภาพมงคล 108 ประการ เป็นลวดลายประดับมุก ภาพมงคลแต่ละอย่างจะอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยภาพกงจักร ซึ่งอยู่ตรงกลางพระบาท ทั้งสองข้างมีภาพเหมือนกัน'
แต่เนื่องด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวที่เนืองแน่น ขณะนั้นทำให้ไม่มีโอกาสได้พินิจพิจารณารายละเอียดเท่าไหร่ เพียงแค่พยายามหามุมถ่ายรูปโดยไม่ติดนักท่องเที่ยวก็ยากอยู่แล้ว
บ่ายแก่ๆ ก็เคลื่อนพลกันไปถ่ายรูปที่วัดภูเขาทอง ต้องเดินขึ้นบันได 100 กว่าขั้นเพื่อที่จะไปให้ถึงยอดภูเขาทอง ก็ได้เห็นสัจจธรรม ณ บัดนั้น ว่า โอ้..ตัวเรานี้หนอ..ต้องค่อยๆย่อง เดินไปพักไปแล้ว..
ตรงทางขึ้น ก่อนถึงยอดพระเจดีย์ มีร้านกาแฟตั้งอยู่ด้วย น่ารัก น่านั่งดี แต่ด้วยความรู้เ่ท่าไม่ถึงการณ์ จึงตกลงกันว่าเดี๋ยวขากลับค่อยมานั้งจิบกาแฟกัน แต่ปราำกฎว่า เมื่อขึ้นไปแล้ว ลงมาทางเดิมไม่ได้ ต้องลงอีกทางหนึ่ง ก็เลยอดเลย.. เอ หรือร้านกาแฟร้านนั้น ตั้งไม่ถูกทำเลหว่า..
'พระปรางค์วัดอรุณ' และ 'โลหะปราสาท' ยามค่ำคืนหลังจากวนไปวนมาเืพื่้อเก็บรูปรอบๆเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สายจนบ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาไปเก็บภาพ 'พระปรางค์วัดอรุณ' ยามค่ำคืนกันแล้ว ลงทุนเดินหาร้านอาหารริมแ่ม่น้ำฝั่งตรงข้ามวัดอรุณพอดี เพื่อให้ได้มุมที่สวยที่สุด ก็ได้ภาพสวยสมใจ (คนถ่าย)จริงๆ
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็รีบกุลีกุจอกลับไปที่เดิมที่จากมาเมื่อสักครู่ เพื่อเก็บภาพ 'โลหะปราสาท' ยามค่ำคืนอีกครั้ง อืมม..วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ทั้งวัน เพื่อจะได้ภาพสวยๆ และก็ได้ดังใจหวัง
ขณะกำลังเก็บอุปกรณ์เตรียมตัวกลับ เห็นฝรั่งสองคน แบกเป้ใบใหญ่ ก้มๆเงยๆ ดูแผนที่ ชี้โบ๊ชี้เบ๊กันอยู่ในความมืด ก็รู้โดยสัญชาตญาณว่า ต้องเป็นนักท่องเที่ยวกำลังงงอยู่กับการหาทางไปที่พัก ก็เลยแสดงความมีน้ำใจของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยื่นมือเข้าไปใ้ห้ความช่วยเหลือ พยายามขุดเอาความสามารถทางภาษาที่สั่งสมมาแต่เยาว์วัย..เอ่ยปากถามออกไปอย่างมั่นใจสุดๆ
Me : May I help you? Them : Yes, do you know Mahachai?
'มหาชัย' โห..สมุทรสาครเลยนะนั่น!
Me : It's quite far away from here..about 2 hours drive.
ฝรั่งฟังแล้วทำหน้างงๆ เอ๊ะ หรือภาษาอังกฤษเราฟังแล้วฝรั่งไม่เข้าใจหว่า เราก็พูดชัดถ้อยชัดคำดีแล้วนี่นะ แล้วเขางงอะไรกัน(วะ)
จนเพื่อนที่ไปด้วยกัน ร้อง อ๋อ..ขึ้นมา จึงถึงบางอ้อ
Her : Mahachai road? Them : Yeah..yeah..
โธ่เอ๊ย มิน่าฝรั่งถึงทำท่างงๆ ก็ถนนมหาชัยน่ะ แค่เดินตรงไปเรื่อยๆอีก 15 นาทีก็ถึง เราก็เนอะ..คิดไปได้ ฝรั่งที่ไหนจะไปเที่ยวมหาชัย(สมุทรสาคร) ตอนกลางคืนอย่างนี้เล่า.. เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ เกือบหวังดีเกินขนาด พาขึ้นรถไปด้วย ส่งลงสถานีรถปรับอากาศสายใต้ แล้วให้ต่อรถทัวร์ไปเองอีก 45 นาที หวังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดค่ารถให้ อิอิ..
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า..อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจเจ้าของถิ่น ยามไปต่างบ้านต่างเมือง ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี เผลอๆ อาจถูกส่งไปอีกจังหวัดนึงเลยก็ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หัดพกและ่อ่านแผนที่ให้เป็นไว้เป็นดี่ที่สุด..นะจะบอกให้
ในที่สุด วันอาทิตย์ก็หมดลงอีกหนึ่งวัน ได้เดินเล่น ถ่ายรูป รอบเกาะรัตนโกสินทร์ อย่างที่ตั้งใจไว้ เป็นการท่องเที่ยวที่ไม่ไกล ไม่เปลืองงบประมาณ แต่ก็มีความสุข นับเป็นวันอาทิตย์ที่มีคุณค่าวันหนึ่งจริงๆ..
|