จั่วหัวเรื่องไว้อย่างนั้น เนื่องจากไปเที่ยวเชียงคานมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเล่าสู่กันฟังค่ะ..(ไม่ได้เกี่ยวกับ 'คาน' ที่ใครๆชอบเปรียบเปรยกันเลยสักนิดเดียว..แฮ่ะ แฮ่ะ..)การเตรียมตัว ขอบอกว่าล่วงหน้าเป็นเดือน เพราะต้องการเที่ยวแบบประหยัด และได้สัมผัสกับธรรมชาติให้มากที่สุด เรื่องของเรื่องคือ อยากเที่ยวแบบ 'Slow Travel' กับเขาบ้าง ลงทุนหาหนังสือมาอ่านเพื่อจะลอกเลียนรูปแบบการท่องเที่ยวแบบนี้เลย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เพราะลืมไปว่า เราไม่มีเวลามากมาย และร่างกายก็คงไม่อึดขนาดที่จะเที่ยวแบบเนิบช้าแบบนั้น..หนังสือแนะนำว่า การท่องเที่ยวแบบ 'Slow Travel' ให้ทำตัวเหมือนคนพื้นเพ ทุกอย่างต้องสมถะทั้งหมด ตั้งแต่การเดินทาง ต้องนั่งรถทัวร์ รถเมล์ รถโดยสารประจำทางที่เขาใช้กันประจำ จะได้สัมผัสกับอารมณ์และบรรยากาศที่แท้จริง เราก็เลือกเอาเฉพาะที่ทำได้ และที่ต้องทำน่ะ อย่างเช่นการเดินทาง ก็เนอะ..เวลาน้อย ขอไป-กลับเครื่องบิน ไปถึงที่แล้วค่อยเที่ยวแบบ slow slow แล้วกัน สุดท้ายแล้วก็เลือกแบบครึ่งๆ คือครึ่ง Fast ครึ่ง Slow ขาไปนั่งรถทัวร์ เหตุเพราะ Save budget ขากลับ กลับเครื่อง เหตุเพราะต้องกลับมาทำงานต่อ จะได้ไม่เหนื่อยไม่เพลียจากการเดินทาง ฮ่าฮ่า ดูช่างเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดซะนี่กระไร...หารู้ไม่ ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง..จะว่าไป การเดินทางไปเชียงคาน Mode ที่สะดวกที่สุด เห็นจะเป็นการเดินทางโดยรถทัวร์ (ไม่นับรวมกับการขับรถไปเองนะจ๊ะ) ต่อเดียวจากขนส่งหมอชิต ถึงตัวเมืองเชียงคานเลย และรถทัวร์เดี๋ยวนี้ก็นั่ง (นอน) สบาย ตื่นหนึ่งก็ถึงแล้ว..เพิ่งจะเรียนรู้ว่า เดี๋ยวนี้ VIP24 ที่นั่ง เขานั่งสบายกว่าเครื่องบินอีก เบาะก็กว้างขวาง เอนหลังก็ได้ตั้งเยอะ แถมยังมีที่รองเท้าให้ยืดแข้งยืดขาแก้เมื่อยได้อีก.. ตอนวางแผนการเดินทาง เลยพลาดท่า ขากลับ ดันไปจองเครื่องบิน เพราะคิดว่า ต้องกลับมาทำงานต่อ ไม่อยากเหนื่อย นั่งเครื่องบินดีกว่า จากอุดรมากรุงเทพฯ ชั่วโมงกว่าๆ เอง..หารู้ไม่ว่า กว่าจะมาขึ้นเครื่องบินได้ ต้องเดินทางเป็นวันเลย เริ่มจากต้องนั่ง บขส.(รถส้ม) จากเชียงคาน เข้าตัวเมืองเลย จากเลยต้องนั่งรถทัวร์มาอุดรอีกที จากท่ารถที่อุดร ต้องนั่งสามล้อมาที่สนามบินอีกต่อ รวมแล้ว วันนึงพอดีอ่ะ Oh..MG คิดดูเถอะ เสียค่า..(อะไรดีล่ะ)..ทั้งเวลา และ ราคาก็แพงกว่าเป็นเท่าตัว..แต่ก็..เริ่มเล่าเรื่อง..(จากรูป) เลยแล้วกัน
กิจกรรมแรกที่นักท่องเที่ยว (เกือบ) ทุกรายต้องมีส่วนร่วม หากไม่ได้ใส่บาตร ก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกล่ะนอกจากจะเป็นวัฒนธรรมอันสวยงามของชาวเชียงคาน ที่ชนพื้นบ้านเขาทำกันทุกเช้าแล้ว ผู้ไปเยือนอย่างเราๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขอซึมซับกับวัฒนธรรมบ้างหลังจาก นอนมาตื่นหนึ่งบนรถทัวร์ มาตื่นเอาตอนประมาณ ตี 5 กว่าๆ เพราะถึงที่หมาย เรียกรถ 3 ล้อมาส่งที่ที่พักประมาณ 15 นาที เป็นช่วงเวลาที่พระออกบิณฑบาตรพอดีเลย แต่ด้วยไปถึงวันแรก ไม่รู้ว่า เขามีชุดตักบาตรสำเร็จรูปขายด้วย เพิ่งมารู้อีกวันหนึ่ง เมื่อเห็นหลายๆบ้านมีวางขายอยู่ ราคาชุดละ 40-50 บาท.. วันแรกก็เลยไม่ได้ร่วมใส่บาตรด้วย คิดแต่ว่า 'อยู่อีกตั้งหลายวัน ค่อยใส่วันอื่นก็ได้' ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียวสรุปว่า..วันต่อๆมา ก็ไม่มีโอกาสได้ใส่บาตร เพราะตื่นไม่ทันพระสักวันเลย!!
บ้านนี้ทำไว้โชว์ เจ้าของเป็นไกด์ ทำไปด้วยใจรัก เปิดบ้านรับผู้มาเยือนทุกเสาร์อาทิตย์ ไม่เก็บค่าดูด้วย ตัวเจ้าของบ้านก็อยู่คอย 'ต้อนฮับ ฮับสู้' ผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น น่ารักจริงๆ..
บ้านพักของที่นี่ ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดริมแม่น้ำโขง ตัวบ้านเปิดโล่งทะลุถึงกัน ทำให้ได้ชื่นชมบรรยากาศริมน้ำโขงได้ทั้งยามเช้า และยามเย็น
ถนน ศรีเชียงคาน และร้านดัง 'สุเนตตรา' ที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปพร้อมกับ 'จักรยาน' จักรยาน ดูจะเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเชียงคานไปเสียแล้ว ใครมาเที่ยว highlight ก็จะอยู่ที่เช่าจักรยานขี่เที่ยวรอบเมือง (จริงๆแล้วรอบถนนมากกว่า) ใครไม่ทำ เหมือนมาไม่ถึง ยังไงไม่รู้
เป็นสัญญลักษณ์อันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองเชียงคาน ที่ทำให้บ้านเมืองนี้ยังดูมีเสน่ห์
เอ..ดูเหมือนสัญญลักษณ์จะเยอะนะเนี่ย..แต่ก็เป็นสัญญลักษณ์ของหลายๆเมืองที่พยายามจะโปรโมทความเป็น 'สถานที่โบราณ' เอาไว้
ต้องตื่นแต่เช้า ประมาณตี 5 เพื่อนั่งรถขึ้นภู ไปดูทะเลหมอก ในฐานะที่ไม่มีรถส่วนตัวไป ก็เลยต้องเช่ารถโดยสารขึ้นไป รวมๆกันประมาณ ุ6 คน ค่ารถคนละ 50 บาท ไปเจอ 'ลุงนัน' คนขับรถใจดี ราคานี้เหมารวมไปเที่ยวที่ือื่นด้วย มีไปวัดใหญ่ แก่งคุดคู้ แถมลุงยังพาไปกินอาหารพื้นเมืองร้านขึ้นชื่ออีก..
อาหารจานโปรด ก็ลองมาทุกอย่างที่เป็นอาหารแนะนำ แต่ที่โปรดที่สุด ก็เป็นจานนี้แหละ
ข้ามไปฝั่งลาว เสียค่าใช้จ่ายนิดหน่อย ทั้ง 2 ฝั่ง ต้องเตรียมรูปกับบัตรประชาชนไปด้วย เพื่อทำเอกสารขอผ่านข้ามแดน ไปถึงฝั่งโน้น ก็จะมีรถ 3 ล้อรับจ้างรอบริการนำเที่ยวอยู่ เหมาไปประมาณ 50 บาท สารถีพาเที่ยววัด แถบๆชายแดนนั่นแหละ
ในขณะที่วิวัฒนาการเ้ข้ามาครอบงำวิถีชีวิตคนเราในหลายๆประเทศทั่วโลก ความเชื่อในเรื่องของโชคลางก็ยังคงอยู่คู่กับทั่วโลกเช่นกันเซียมซีที่ลาว เป็นกระดาษม้วนๆ เขียนด้วยลือมือหวัดๆแกมบรรจง (หรือเปล่า) พออ่านๆเดาๆได้บ้าง เพราะภาษาคล้ายๆกัน
ข้ามกลับมาฝั่งไทย สถานที่ศักดิ์สิทธิประจำเชียงคาน ที่บรรจุอยู่ใน 1 ที่หมายที่หลายๆคนต้องไปเยือนเพื่อความเป็นสิริมงคล
'เชียงคาน' บ้านเมืองสวยงาม ยังคงอนุรักษ์ความเป็นแบบเก่าโบราณไว้ได้อย่างดี ผู้คนน่ารัก ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร เราใช้เวลาอยู่ที่เมืองน่ารักขนาดเล็กๆแห่งนี้ 4 วันหากถามว่า ได้อะไรจากที่นี่ คำตอบคือ ความประทับใจ หากต้องการมาพักผ่อน ก็จะได้พักผ่อนจริงๆ เพราะบ้านเมืองเงียบเหงา กลางคืนมีเพียงถนนศรีเชียงคาน ที่เปิดรับนักท่องเที่ยว มีสินค้าหลากหลายวางขายริมถนน แต่ก็เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ และเปิดถึงประมาณ 2 ทุ่มเท่านั้น ทุกบ้านก็จะปิดบ้านปิดไฟเงียบหมดแล้ว ไม่มีผับ บาร์ หรือร้านสุรายาเมาที่เปิดกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืนให้เห็น ฉะนั้น ใครที่ชอบชีวิตกลางคืน คงไม่เหมาะกับที่นี่หรือใครที่ต้องการมาเที่ยวแล้วต้องการสิ่งที่ท้าท้าย ต้องการความหวือหวาแปลกใหม่ คงจะหาไม่ค่อยได้จากที่นี่นัก เพราะที่นี่เงียบสงบจริงๆแต่ที่ทำให้แตกต่างจากความเป็นจริงก็คือ ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเชียงคาน โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์และวันหยุดเทศกาล มีปริมาณมากจริงๆ มากขนาดเดินเบียดกันบนถนน สภาพเหมือนเดินอยู่สำเพ็ง พาหุรัดยังไงไม่รู้ และภาพที่เห็นเป็น Stereotype เลย คือ ทุกคน สะพายกล้อง (ตัวโตๆ) เดินถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม ของถนน ของบ้านเรือน ของทุกอย่างที่รวมกันเป็นเชียงคานส่วนนี้ทำให้เสียมนต์ขลังไปมากโขอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ในเมื่อสถานที่นี้กลายเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปสนใจ และอยากได้ชื่อว่า ได้มาเยือนเชียงคาน บ้าง ก็คงต้องยอมรับกับสภาพแบบนี้ไปขึ้นอยู่กับเหล่านักท่องเที่ยว ว่าจะเห็นคุณค่าของความเป็นเมืองเก่าสมควรอนุรักษ์ไปได้นานแค่ไหน เพราะที่เห็นเริ่มมีเหล่านักลงทุน รื้อบ้านเรือนที่ทำด้วยไม้แบบเก่า มาสร้างเป็นอาคารแบบใหม่ทีใช้อิฐใช้ปูนกันบ้างแล้ว..และก็ขึ้นอยู่กับ ชาวเชียงคาน เท่านั้น ที่จะยังคงอนุรักษ์ความเป็นเชียงคานแบบดั้งเดิม และรักษาวิถีชีวิตอันสมถะ ที่แสนมีเสน่ห์แบบนี้ได้นานแค่ไหน ในเมื่อต้องแลกกับรายได้และสภาพเศรษฐกิจ ที่มากับนักท่องเที่ยวเหล่านี้..ถึงวันนั้น เชียงคาน อาจจะไม่ใช่ เชียงคานอย่างที่เป็นในปัจจุบันก็ได้..
แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไป
อยากไปก่อนที่อะไรๆจะเปลี่ยนเชียงคานไป
ภาพสวยมากๆเลยค่ะ