♥ Love is the beauty of the Soul ♥ –Saint Augustine-
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
2 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น จากความหลัง สู่ความฝัน



lozocat
lozocat

เช้าวันอาทิตย์ ฉันหลีกหนีความความจอแจจากชีวิตในกรุงเทพฯ ด้วยความบังเอิญ ฉันสะพายเป้บรรจุสัมพาระที่มักจะติดตัวไปไหนมาไหนด้วยประจำ กระโดดขึ้นรถของพี่สาว ซึ่งกำลังจะพาหลานๆไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กๆบอกว่า ‘จะไปพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น’

ในใจไม่คิดอะไรมากไปกว่า… ‘ก็ได้..ฉันก็ไปพิพิธภัณฑ์ ส่วนเด็กๆ ก็ไป ร้านของเล่น ก็แล้วกัน’ ด้วยความด้อยปัญญาของตัวเอง โดยไม่รู้ว่า สถานที่ที่กำลังจะไปคืออะไร

ด้วยระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ ขับรถมาถึงตัวเมืองอยุธยา พอถึงทางแยกโรงเรียนประตูชัย ถนนอู่ทอง ก็ใช้แผนที่ที่สุดแสนจะแม่นยำ คือการถามคนแถวนั้นซึ่งรู้จักกันดี ฉันก็มาถึงสถานที่เที่ยวที่ไม่ได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า



‘พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น’ ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เป็นแบบอย่างในมโนภาพของฉัน ตัวอาคารสองชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงโปร่ง ทาสีขาว บานหน้าต่างที่เจาะเรียงรายเต็มผนังทาสีฟ้า ทำให้อาคารทั้งหลังดูสวยโปร่งสะอาดตา มีที่จอดรถไว้บริการด้านหน้าอย่างพอเพียง บริเวณรอบอาคารด้านหน้าทางเข้า เหล่าตุ๊กตาสัตว์ปูนปั้นสีสันงดงามหลากชนิดถูกจัดเรียงรายประดับไว้ริมรั้ว ซึ่งโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กางใบแผ่กิ่งก้านป้องกันแสงแดดจ้ายามสายให้คลายความร้อนลงไปบ้าง

ฉันนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ลมอ่อนๆพัดมากระทบร่างกายอย่างแผ่วเบาเป็นระยะ บรรยากาศรอบข้างให้ความรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเอง ฉันนั่งมองสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านหน้าที่เรียกว่า ‘พิพิธภัณฑ์’ อย่างพินิจพิเคราะห์ ประตูทางเข้าเปิดกว้างเหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปชมความสวยงาม และสิ่งที่ถูกเก็บสะสมที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ด้านใน




ฉันเดินเข้าไปภายในอาคาร บรรยากาศไม่พลุกพล่านนัก นอกจากพนักงานต้อนรับท่าทางเป็นกันเองหนึ่งคน ยังมีนักท่องเที่ยวเดินชมสถานที่อยู่ภายในอีกประมาณ 3-4 คน ฉันชำระเงินค่าเข้าชม (พ่อของหลานๆเป็นคนจ่าย..ฉันทำตัวเป็นผู้อาศัยจริงๆ..) ราคาผู้ใหญ่ คนละ 50 บาท เด็ก 20 บาท หลังจากเซ็นต์ชื่อในสมุดเยี่ยมชมแล้ว ฉันก็เริ่มต้นค้นหาความแปลกใหม่ในพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นแห่งนี้

ภายในอาคารทาสีขาว พื้นที่ทุกตารางนิ้วดูใหม่สะอาดตา ตู้ไม้สีทึบบรรจุของโบราณไว้มากมายตั้งเรียงรายชิดผนังอาคารชั้นล่าง ทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้นดูแคบลงไปบ้าง แต่ก็ยังกว้างขวางพอให้เดินได้อย่างสะบาย สรรพสิ่งที่อยู่ด้านในล้วนเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าอยู่ในยุคของคนโบราณ ซึ่งในความรู้สึกของฉันน่าจะประมาณไม่เกินรุ่นปู่ย่า ตายาย หรือมากกว่านั้นอีกหนึ่งรุ่น และในแต่ละสิ่งคงแฝงไว้ด้วยเรื่องราวมากมายของคนรุ่นก่อน ซึ่งระยะเวลายิ่งทอดยาวเท่าไหร่ ความหมายของเรื่องราวเหล่านั้นก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

ในกลุ่มของเหล่านั้น ฉันเคยเห็นบ้าง ไม่เคยเห็นบ้าง บางอย่างฉันเคยมีประสบการณ์ในการได้ใช้ หรือมีความคุ้นเคยอยู่ด้วยบ้าง ฉันเดินดูสิ่งของที่วางเรียงรายอยู่ในตู้ พร้อมกับความรู้สึกดีๆแต่หนหลัง เริ่มทะยอยเข้ามาในห้วงสำนึกเป็นระยะ




เริ่มจาก เถาปิ่นโตเคลือบเถาใหญ่ตั้งเรียงรายอวดรูปโฉมดอกไม้หลากสี ทำให้หวลนึกถึงวัยเด็กที่เดินหิ้วปิ่นตามผู้ใหญ่ไปวัด ไม่ใช่สิ..ต้องบอกว่า เดินตาม ‘ผู้ใหญ่หิ้วปิ่นโต’ ไปวัด เท้าก้าวตามไปพลาง ในใจก็คิดถึงอาหารที่อยู่ในปิ่นโตไปพลาง ข้าวสวยร้อนๆอยู่เถาล่าง เถาถัดขึ้นมาก็จะเป็นกับข้าวสารพัดอย่าง น้ำพริก ปลาทูตัว (โต๊) โต ต้มกะทิวุ้นเส้น แกงเขียวหวานเนื้อ และตบท้ายด้วยของหวาน อย่างเช่น กล้วยบวชชี ก็สิ่งที่อยู่ในปิ่นโตเหล่านั้นแหละ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัว ไปวัดได้โดยไม่พิรี้พิไร

สมัยเด็กๆ ช่วงโรงเรียนปิดเทอม ฉันมักจะไปหาพ่อใหญ่ แม่ใหญ่ (ตา กับ ยาย) ซึ่งอยู่ในชนบทที่จังหวัดอยุธยา และใช้เวลาอยู่ที่นั่นตลอดช่วงปิดเทอม ในวันพระคนที่นั่นนิยมไปทำบุญ ใส่บาตร และฟังเทศน์ที่วัด เด็กๆอย่างฉันก็จะตามไปด้วย เพราะแรงจูงใจจากอาหารที่เหลือติดปิ่นโต หลังจากใส่บาตรพระนั่นเอง เรียกว่า ผู้ใหญ่ก็อิ่มบุญอิ่มเทศน์ เด็กๆก็อิ่มท้องแบบอร่อยเป็นพิเศษ แถมเวลาผู้ใหญ่ฟังเทศน์ยังหลับสบายอีกด้วย

ปัจจุบันไม่เห็นปิ่นโตแบบนี้มีใช้ที่ไหนแล้ว ด้วยวิวัฒนาการทางด้านอุตสาหกรรมต่างๆ เดี๋ยวนี้กลายเป็นปิ่นโตอลูมิเนียมลายไทยสวยงาม หรือเป็นเนื้อสแตนเลสเงาวับ ราคาแสนแพงไปหมดแล้ว และบทบาทของปิ่นโตก็เปลี่ยนไปมากโข จากที่เคยใช้ใส่อาหารไปใส่บาตรที่วัด ปัจจุบันส่วนมากกลายเป็นภาชนะใส่อาหารแบบผูกขาด จากที่หนึ่ง (สถานที่ขาย) ไปยังอีกที่หนึ่ง (สถานที่ซื้อ) หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า ‘ผูกปิ่นโต’ สำหรับแม่บ้านสมัยใหม่ที่ไม่มีเวลาทำอาหารเอง หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ทำไม่เป็น แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นถุงพลาสติกไปหมดแล้วเหมือนกัน

ดูเหมือนว่า สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ และยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้ก็คือการเปลี่ยนแปลง เมื่อ 7 Eleven เข้ามายึดพื้นที่ทุกมุมเมือง นอกจากขนมจีบ ซาลาเปาแล้ว ก็ยังมีอาหารกึ่งสำเร็จรูป ประเภทฉีกถุงใส่ Microwave ก็อิ่มได้ อร่อยด้วย ถึงจะราคาแพงไปนิด แต่ก็ไม่ต้องอาศัยปิ่นโตอีกต่อไป หลายคนพูดว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี’ แต่ก็คงมีหลายครั้งที่การเปลี่ยนแปลง ทำร้ายจิตใจใครบางคน




ฉันเดินชื่นชมสิ่งของในตู้ไปเรื่อยๆ สายตาไล่เรื่อยไปจนได้พบสิ่งหนึ่งที่ถูกแขวนไว้บนผนังตู้ ‘ลูกคิด’ เก่าคร่ำอันใหญ มีร่องรอยว่าได้ถูกใช้งานจริงๆมาอย่างโชกโชน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เจ้าเครื่องคิดเลขระบบ 3 นิ้ว (ก็นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และ นิ้วกลางไง) อันนี้ คงทำเงินมากมายมหาศาลให้กับเจ้าของมาแล้วเป็นแน่

หรือไม่ก็.. คงมีใครหัดดีดลูกคิด ให้เป็นตัว ‘มังกรคาบแก้ว’ อย่างที่ฉันเคยเพียรพยายามอยู่นานโข จำได้ว่ากว่าจะดีดได้คล่อง และแม่นยำไม่หลงลืมว่าบวกกันถึงตัวเลขเท่าไหร่แล้ว และเป็น ‘มังกรคาบแก้ว’ได้เต็มตัว ก็เล่นเอาลูกคิดของพ่อใหญ่ เก่าลงไปทันตาเห็นเหมือนกัน ก็กว่าจะจำได้ว่า ข้างล่างนับหนึ่ง ข้างบนนับห้า แถวขวาหลักหน่วย แถวซ้ายหลักสิบ แถมถ้าขึ้นเต็มหลักแล้วยังต้องมีทดอีก เล่นเอาสมองซีกซ้ายทำงานหนักกว่าปกติหลายเท่า

แต่ก็เช่นเดียวกัน ด้วยอิทธิพลของวิทยาการสมัยใหม่ทำให้เจ้าลูกคิดอัจฉริยะเหล่านี้ ลดบทบาทลงไปและหายสาปสูญไปแล้ว ด้วยการเข้ามาแทนที่ของเครื่องคิดเลขระบบดิจิตอล และหากขาดเครื่องคิดเลขนี้ขึ้นมาวันใด ฉันจะบวกเลขในใจเหมือนสมัยเคยเรียนตอนเด็กๆ ‘วิชาเลขคณิตคิดในใจ’ ไม่เป็นเลย เท่ากับว่า ตอนนี้สมองซีกซ้ายไม่ค่อยได้ทำงานแล้ว.. หายสาบสูญไปกับลูกคิดเหมือนกัน




ฉันเพลิดเพลินอยู่กับความหลัง ซึ่งฉันมักจะนำติดตัวไปด้วยเสมอ ดูเหมือนว่า ความหลัง กับ ความฝัน มักจะเดินสวนทางกัน ความฝันจะเดินอยู่ข้างหน้าเรา หลายคน..ออกเดินตามฝัน แต่จะมีสักกี่คนกันเล่าที่จะได้ความฝันนั้นมา ในขณะที่ความหลัง มักเดินตามเราไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หลายคนพยายามหนีความหลัง แต่ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความเป็นตัวตนที่แท้จริงไปได้

ฉันเดินมองสิ่งของเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่ในตู้ไม้แบบโบราณอย่างเพลิดเพลิน ส่วนมากจะเป็นเครื่องใช้โบราณที่ฉันเคยอยู่ร่วมสมัยด้วย วิทยุโบราณเหล่านี้ก็เหมือนกัน ฉันเคยเห็นพ่อใหญ่ตั้งไว้ข้างหมอน เอาไว้นอนฟังข่าวเสียงอู้อี้อู้อี้ตอนกลางคืน แต่เห็นอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกวิทยุทรานซิสเตอร์สัญญาณเสียงชัดกว่า เครื่องเล็กกว่า หิ้วไปไหนมาไหนได้สะดวกเข้ามาแทนที่

ฉันเองเวลาไปหาพ่อใหญ่ที่บ้านอยุธยาตอนปิดเทอม ก็เคยติดทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กๆนั้นงอมแงม ฟังละครวิทยุ ดังมากๆขณะนั้นที่จำได้ คือคณะเสนีย์ บุษปะเกศ และ วิเชียร นิลลิกานนท์ ฟังไปก็จินตนาการไป นักพากย์ละครเหล่านั้นเก่งมาก สามารถทำให้ฉันน้ำตาซึมไปกับนางเอกที่แสนอาภัพได้โดยไม่ต้องเห็นภาพ และที่แน่ไปกว่านั้น ทำเสียงพระเอกได้หล่อมากก..จนสาวๆหลายคนแอบหลงใหล น่าเสียดาย ปัจจุนี้ คณะพากย์ละครวิทยุเหล่านั้นได้สูญหายไปพร้อมกับวิทยุทรานซิสเตอร์หมดแล้ว



ฉันเดินไล่เลียงไปเรื่อยๆ ของเล่นหลากหลายวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเต็มตู้ ขบวนหุ่นยนต์สังกะสี ที่ครั้งหนึ่งฉันเคยขอสตางค์พ่อใหญ่ซื้อถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ใส่หลัง เพื่อให้หุ่นยนต์เหล่านี้เคลื่อนไหว เดินไปพร้อมกับเสียงเฟืองหมุนดังซ่าๆ เดินได้ไม่เท่าไหร่เจ้าหุ่นยนต์เหล่านี้ก็หมดแรง เพราะพลังงานในถ่านหมดลง ดังนั้นฉันจึงว่า มันเหมาะแล้วล่ะ ที่จะนำมาตั้งโชว์ไว้ให้เชยชม เพราะรวมๆแล้ว ค่าถ่านแพงกว่าค่าหุ่นยนต์อีก

ฉันรู้สึกชื่นชมและขอบคุณท่าน รศ.เกริก ยุ้นพรรณ ที่ได้เดินตามความฝัน และฝันที่ท่านปั้นแต่ง ได้สรรค์สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้มาเยือน โดยมีความหลังเป็นจุดเริ่มต้น ด้วยการนำ ‘พิพิธภัณฑ์’ กับ ‘ของเล่น’ มารวมไว้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างแนบเนียน

ก็คำว่า ‘พิพิธภัณฑ์’ น่ะ ได้ยินแล้วฉันไม่เคยนึกถึงอะไรที่ใกล้ตัวขนาดนี้ และไม่ว่าจะไปเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งไหน ฉันไม่เคยมีความรู้สึกอบอุ่นใจเช่นนี้ ถ้าจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ก็คงเป็นประวัติศาสตร์แห่งชีวิตของฉันหรือใครบางคนได้เช่นกัน



ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความหลัง ก็ยังมีประกายแห่งความฝันปรากฎอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ที่ถูกแบ่งกั้นไว้เพียงระยะห่างของชั้นล่างกับชั้นบน ฉันเดินไล่เรียงไปตามระยะ เสมือนว่ากำลังเดินผ่านแต่ละช่วงเวลา จากความหลังในอดีต สู่ความเป็นชีวิตที่คุ้นเคยในปัจจุบัน

ภาพวาดลายการ์ตูนสีสดใสบนฝาผนัง เป็นอีกมนต์ขลังหนึ่งที่สร้างแววแห่งความสนุกสนานร่าเริงให้ปรากฎไว้ในสถานที่นี้ ประหนึ่งให้กำลังใจกับผู้มาเยือน



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รูปแบบในการปลูกสร้างเป็นแบบสมัยใหม่ ตัวอาคารสูงโปร่ง สีน้ำตาลเข้มของพื้นและราวบันได ช่วยขับให้สีขาวของผนังด้านในดูสวยงามโดดเด่น ชั้นบน พื้นที่ใช้สอยถูกออกแบบให้อยู่บริเวณรอบๆนอก สำหรับพื้นตรงกลางปล่อยโล่งสูงขึ้นไปเป็นหลังคา เหล็กดัดเส้นตรงแบบเรียบง่ายที่ถูกนำมากั้นเป็นราวบันได และราวระเบียงช่วยเสริมส่งให้ภายในอาคารดูสง่างาม หลังคาจั่วยกระดับสองชั้น มีช่องอากาศตลอดแนวยาวใต้ฐานจั่วหลังคา ทำให้ภายในดูโปร่งโล่งสบาย



ชั้นสอง ตู้กระจกโปร่งใสหลายสิบตู้วางเรียงรายอยู่เต็มรอบผนังอาคาร ตุ๊กตา และ ของเล่นมากมายถูกจัดวางเรียงรายไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แล้วแต่ชนิดของต้นกำเนิด มีทั้งของเล่นแบบโบราณ และของเล่นสมัยปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศตั้งเรียงรายอวดโฉมอยู่



เหล่าบรรดายอดมนุษย์ยืนเรียงรายประหนึ่งว่า กำลังยืนพิทักษ์รักษาโลกของเด็ก ณ สถานที่แห่งนี้ให้ยืนยง บรรดา‘ฮีโร่’ เหล่านี้ ยังครองใจเด็กอยู่เสมอในโลกแห่งจินตนาการ ไม่ว่าจะเคยสร้างสรรความสุขและรอยยิ้มให้เด็กๆไว้มากเพียงใด วันหนี่งข้างหน้าบรรดาฮีโร่เหล่านี้ คงหนีไม่พ้นการเป็น ‘ตำนาน’

นอกจากความกล้าหาญ เสียสละ และยึดมั่นในคุณธรรมแล้ว ฉันพยายามนึกว่า มีอะไรอีกบ้างหรือไม่ ที่ยอดมนุษย์ ต้องการสื่อผ่านความคิดไปยังเด็กๆ ต่อเมื่อเวลาผ่านเลย ฉันเรียนรู้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘ยอดมนุษย์” เราก็สามารถเป็นฮีโร่ได้ในแบบฉบับของเราเอง

ฉันเริ่มตระหนักและเห็นจริงในสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายท่านเคยสอน ให้กล้าลงมือทำในสิ่งที่ต้องการ ขอเพียงมั่นใจว่า สิ่งนั้นไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง เพราะเมื่อเวลาผ่านเลยหากมองย้อนกลับ

เราจะรู้สึกเสียดายในสิ่งที่เราต้องการจะทำ แต่ไม่ได้ทำ มากกว่าจะรู้สึกเสียดายในสิ่งที่เราไม่อยากทำแต่ได้ทำไปแล้ว




สำหรับฉันพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นแห่งนี้เปรียบเสมือน Time Machine ที่พาฉันข้ามผ่านกาลเวลาแต่ละช่วงไปยังอดีต และเมื่อฉันเดินกลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันเห็นเด็กๆนั่งเล่นของเล่นที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้เป็นมุมเล็กๆ ความคิดก็กลับมาอยู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เด็กๆกำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่พวกเขาจับต้องได้ในพิพิธภัณฑ์ ทำให้ฉันนึกถึงบางฉากในหนังเรื่อง ‘Night at the Museum’ ..ก็มีที่ไหน เขาให้ผู้เข้าชมสัมผัสกับวัตถุที่เก็บรวบรวมไว้ใน ‘พิพิธภัณฑ์’ ได้ใกล้ชิดขนาดนั้นเล่า.. นอกจากในหนัง เพียงแต่ว่าเด็กๆกำลังนั่งเล่นกับของเล่นอยู่อย่างเป็นมิตรเท่านั้นเอง…


lozocatlozocat




Create Date : 02 มิถุนายน 2552
Last Update : 11 กันยายน 2553 10:38:18 น. 2 comments
Counter : 1799 Pageviews.

 
ไปมาแล้วเหมือนกันค่ะ น่ารักมากๆ เลยนะคะ
ชอบทุกมุมของพิพิธภัณฑ์เลยด้วยค่ะ



โดย: oanotai วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:10:26:20 น.  

 


เห็นแล้วคิดถึงวัยเด็ก
ที่ของเหล่านี้เราเคยได้ใช้ได้เล่น
แ่ต่น่าเสียดายที่ย้ายบ้านบ่อย จนไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย

สมัยก่อนชีวิตเรียบง่ายแต่มีความสุข(แท้) จริงๆ นะคะ
ไม่ต้องเร่งรีบหรือแข่งขันกันมากมายเหมือนทุกวันนี้
ว่าแล้วก็คิดถึงร้านอาแป๊ะ ที่ขายกาแฟโบราณหน้าปากซอยจัง


โดย: ตะวันเจ้าขา วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:13:22:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กระต่ายธาตุไม้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add กระต่ายธาตุไม้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.