The Wedding: 2 ปีแห่งชีวิตคู่
เดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้นนับเวลาได้ 2 ปีแล้วที่เราต่างฝ่ายต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากคนที่อยากจะทำอะไรก็ทำ วันนี้เราต้องมาร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง และร่วมกันตัดสินใจ ครบรอบแต่งงานปีที่ 2 แตกต่างจากเมื่อตอนครบรอบแต่งงานปีแรกที่ช่างกระดี๊กระด๊าระริกระรี้ ไม่เหมือนปีก่อนที่เราฉลองวันครบรอบแต่งงานแบบเต็มที่ การฉลองฯ นอกจากทำให้เราได้ย้อนระลึกถึงวันแต่งงานแล้ว ยังได้ทำให้เราคิดถึง 1 ปีที่ผ่านมาว่า เราทั้งคู่ทำคะแนนได้ดีสักแค่ไหน แต่ปีนี้วันสำคัญของเราผ่านพ้นไปอย่างเงียบๆ ยังกะอยู่ด้วยกันมา 10 ปีก็ไม่ปาน
สำหรับฉันแล้ว ปีแรกเป็นปีแห่งการทดสอบ ความอดทนที่ต่างฝ่ายต้องงัดกันขึ้นมาใช้ ฉันใช้คำว่า อดทน ฟังแล้วบางคนบอกว่าแรง บางคนรู้สึกว่า คำว่าอดทนไม่น่าฟัง ไม่น่านำมาใช้กับความรัก มันเหมือนคนที่ปราศจากความรัก แต่ดันต้องมา ทน อยู่ แต่ฉันเห็นว่ามันถูกต้องแล้วที่จะใช้คำว่าอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยุคนี้ที่คนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และเรียกร้องความมีตัวตนในสังคมอย่างไม่เกี่ยงวรรณะ อายุ และเพศ แน่นอนเราต้องอดทนที่จะไม่แยกเขี้ยวใส่ และง้างขากรรไกรกัดกัน เพื่อความสงบสุขของชีวิตคู่ และความสบายใจที่จะอยู่ด้วยกันต่อไปอีกยาวๆ
ระยะเวลาที่คบหากันก่อนแต่งงานนั้นใช่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ที่บอกเราได้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนวายปราณ หรือตราบชั่วฟ้าดินสลาย เห็นตัวอย่างได้เยอะแยะในแวดวงดารานักแสดง หลายคู่รักกันมาเป็น 10 ปีจนมีทายาทน้อยๆ แล้ว สุดท้ายบอกแฟนคลับว่า เราไปด้วยกันไม่ได้ ทำไมความรู้สึกช้านัก ความเห็นส่วนตัว ตอนที่คบหากันอยู่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน คงเทียบชั้นได้แค่อนุบาล ถึงจะรู้สึกว่าฉันรู้จักเขาดีพอ จนเข้าขั้นรู้ใจ เข้าใจถึงความคิด และคาดเดาพฤติกรรมของเขาได้ แต่ก็เหมือนคำโบราณที่กล่าวว่าจิตใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง วันนี้ กับพรุ่งนี้คนๆ หนึ่งอาจคิด หรือทำต่างออกไปจากที่เคยๆ ทำ
ช่วงที่ยังเป็นคู่รักคงไม่ต่างจากการโหมโรง เรียนรู้ทฤษฎี หากเขียนคำตอบผิด เกิดทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เป็นไร ต่างคนแยกย้าย หายหัวกลับบ้านใครบ้านมัน ไปนั่งตั้งสติ พอสติมา ปัญญาเกิด ก็คิดได้ กลับมาตาหวานใส่กันใหม่ ชีวิตแต่งงานปีแรกเหมือนภาคสนามที่ต้องลงมือปฏิบัติ บางครั้งทำผิด จะหนีไปซุกหัวอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ แต่ครั้นมานั่งมองหน้ากัน อารมณ์โกรธอาจจะพุ่งพรวด ไม่มีเวลาให้สติมาประทับองค์ที่สมอง ไม่อยากใช้ความคิดไปในทางสมานฉันท์ เห็นหน้าแล้วเกลียดขี้หน้า ฉุนเฉียวขึ้นมาในบัดดล คู่ไหนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ไม่ถึงปีก็มีข่าวร้างลากัน (หรืออีกทียิ่งทะเลาะยิ่งลูกดก) รอบๆ ตัวฉันมีให้เห็นอยู่หลายคู่ ก็มันเป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้ใช้คำว่า อดทน ได้ยังไง
ฉันเป็นคนใจร้อน และพูดมาก ยิ่งตอนเป็นวัยรุ่นยิ่งใจร้อน ขี้งอนขี้น้อยใจ และเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ส่วนสามี...คนทั่วไปมองว่าเป็นคนพูดน้อย แลดูใจเย็น มองเผินๆ ใครๆ ก็ว่าฉันใจร้ายกับสามี ในความเป็นจริง สามีเป็นคนพูดน้อย มีทิฐิ ขี้งอน และใจร้อน พวกร้อนกับร้อนไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ หากแต่ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ความร้อนในอารมณ์เริ่มไต่ระดับหา 0 องศา มีบ้างที่ทะลุปรอท ไม่ได้ใช้กลยุทธ์อารมณ์โกรธอย่างที่เคยทำตอนที่ยังมีสถานภาพโสด ความเงียบกลายเป็นสิ่งที่ปรารถนา เพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และคลื่นลมสงบลง
ก่อนแต่งงานนั้นฉันเตรียมตัว และเตรียมใจพอสมควรว่านับตั้งแต่นาทีที่ย่างเท้าก้าวเข้าบ้านเขาในฐานะภรรยา ฉันต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครแต่งงานแล้วจะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเดิมๆ อย่างน้อยๆ ต้องมีอะไรสักอย่างที่ติดตามมาพร้อมกับสถานะใหม่ทางสังคม แน่นอนเราได้พูดคุยกันในเรื่องสำคัญบางเรื่อง เป็นข้อตกลงทำความเข้าใจในเรื่องของครอบครัวของแต่ละฝ่าย เป็นการเรียงลำดับความสำคัญของชีวิต และว่าเราอยู่ในลำดับไหน จะได้ เจียม ตัวไว้ อย่าได้ริไปท้าขอขึ้นหิ้งเป็นลำดับความสำคัญที่ 1 ร่ายยาวไปถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรายังต้องปฏิบัติต่อไปอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนสถานะไปในทางใด สิ่งใดที่ต่างฝ่ายแตะต้องไม่ได้ หากไม่ชอบใจก็จงหลีกเลี่ยงเสีย ทั้งหมดนี้ฉันเป็นคนแถลงให้เขาฟังเสียมากกว่า ข้างฝ่ายคุณสามีเป็นคนพูดน้อย ฉันจึงต้องสังเกต และเรียนรู้เอาเอง
แน่นอนมีการคาดเดา Feedback ผิดไปบ้าง เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกัน ฉันเลือกที่จะนิ่งเฉย สะกดอารมณ์ด้วยความอดทน แปลกใจที่ตัวเองไม่โวย ตีโพยตีพายว่า เลิกแล้วค่ะ หนูไม่เอาแล้วค่ะ 2 ปีแรกของชีวิตคู่ ฉันมีเรื่อง Surprise ตัวเองบ่อยๆ เลี่ยงข้อพิพาทที่เป็นชนวนชวนตีกันแทนที่จะเลือกการเผชิญหน้าแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่แคร์ว่าจะเสียอะไรบ้าง ต้องหาบทสรุปว่าเรื่องนี้ใครคือคนถูกใครคือคนผิด กาลกลับกลายเป็นว่าเมื่อมีเรื่องคราใด เรานิ่งเฉย กักเก็บอารมณ์เหมือนเอาความโมโหใส่ตุ่มไม่สนว่าใครคือผู้ชนะ และใครคือผู้แพ้
เราต่างเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าจะไม่ปล่อยให้เรื่องทะเลาะเบาะแว้งยาวนานเกิน 1 วัน ที่สำคัญต่างฝ่ายต้องไม่เอาเรื่องทะเลาะเหล่านี้ไปพูดให้ครอบครัวเพื่อนฝูงของตัวเองฟังให้เรื่องมัน บาน ไปกันใหญ่โต เพราะเมื่อเสริมด้วยแรงเม้าธ์ มันยั่วอารมณ์พุ่งปรี๊ดให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องอภิมหาใหญ่โตได้ไม่ยาก อ้อ เดี๋ยวนี้ฉันมีคาถาส่วนตัว เวลาที่ทิฐิสูงจนไม่อยากจะง้อ ก็ให้นึกภาพยามเราแก่เฒ่า นึกถึงสังขารว่าเหล่านี้หนอคงอยู่ไม่ทนทานเกินร้อยปี จะโกรธกันไปใย อีกไม่นานก็ตาย(ห่า)กันเรียบร้อย ถึงตอนนั้นอยากจะโอบกอดสอดเอวก็ไม่มี แค่นี้เอง อุณหภูมิลดลงทันใจ
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สาวโสดฟังแล้วอย่าเพิ่งกลัวจนหด เตรียมตัวไว้ดีกว่า เพราะแต่งงานเมื่อใดก็คงต้องเจอกับคำว่า เปลี่ยนแปลง แน่ ก็ถ้าไม่อยากเปลี่ยนแปลง แล้วจะแต่งหาสามีทำไมกันเล่า เพราะที่แน่ๆ คุณต้องเปลี่ยนจากบริสุทธิ์ เป็นไม่บริสุทธิ์ทันที การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องขู่ การแต่งงานไม่ใช่ภาพฝันที่เจ้าหญิงได้อยู่คู่กับเจ้าชายใช้ชีวิตสบายสุโขในปราสาทราชวังอย่างการ์ตูน Walt Disney สวยสุดๆ เป็นเจ้าหญิงก็แค่วันแต่งวันเดียว ที่เหลือเป็นคนใช้ หรือไม่ก็นางแม่มด เพราะต้องเก็บกวาดเช็ดถู ดูแลบ้านช่องห้องหับ กับบ่นสามีที่ถอดกางเกงในเป็นเลข 8 ทิ้งขยะไว้ใต้เตียง หมกถุงเท้าใส่แล้วไว้ใต้โต๊ะ ฯลฯ ไอ้ที่เขียนเนี่ยไม่ได้เวอร์ ฉันเคยเจอคนที่คิดแบบนี้มาแล้ว มีสาวน้อยนางหนึ่งอยากมีสามี ไม่ได้คิดว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร คิดแต่ว่าอยากแต่ง เพราะอยากใส่ชุดแต่งงาน!!!
บางสิ่งบางอย่างเราจำเป็นเหลือเกินที่ต้องปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสถานภาพใหม่ แต่บางสิ่งบางอย่างฉันเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกอีกตัวมันกลายเป็นโครโมโซมในร่างกายไปเสียแล้ว นอกจากความใจร้อนที่เริ่มลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ ก็มีอุปนิสัย หรือความชอบที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นว่าก่อนแต่งงานนั้น ฉันมักจะหมดเงินไปกับการช้อปปิ้งข้าวของเครื่องใช้เสริมความสวยความงาม ได้ออกข้างนอกทีไร เป็นต้องบริจาคเงินตามร้านรวงต่างๆ ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง กลัวตู้เสื้อผ้าที่บ้านจะโล่ง เสื้อบางชุดตั้งแต่ซื้อมายังไม่เคยใส่ด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้หากมีเวลาว่าง ฉันมักจะไปเดินดูของแต่งบ้าน จากที่เคยเดินห้าง ทุกวันนี้เดินเจเจ Index Living Mall ,Homework, Home Pro ฯลฯ
เวลาเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อก่อนขาดไม่ได้ต้องสอยเครื่องสำอาง น้ำหอม แต่เดี๋ยวนี้ซื้อแต่งานฝีมือ ของแต่งบ้านของประเทศนั้นๆ ล่าสุดนี้สามีให้ของขวัญครบรอบแต่งงานโดยพาไปเที่ยวฝรั่งเศส และเยอรมันทางใต้ ฉันตั้งหน้าตั้งตาหาซื้อแต่ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ และงานฝีมือที่มีชื่อเสียงของแต่ละท้องถิ่น
กลับไปบ้านเรือนหอที่นครนายกทุกคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เดินปัดกวาดเช็ดถูบ้าน โยกโน่นย้ายนี่ แต่งนั่น เออ ดีมีความสุข เดินไปยิ้มไปเหมือนคนบ้า กลางค่ำกลางคืนไม่ยอมนอน หามุมแต่งโน้นเก็บนี่ ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่กลับไปที่นครนายก เดินสำรวจตรวจตราเหมือนจับผิดขโมย ตกดึกใครอย่าเดินหลงมาสวนนี้นะ นึกว่าผีบ้านผีเรือนออกมาย่ำราตรีสุดสัปดาห์ เพราะวันธรรมดาบ้านนี้ปิดเงียบเหมือนบ้านร้าง ตกบ่ายนอนอ่านหนังสือ เปลี่ยนชีวิตอันวุ่นวายในวันทำงานของกิจการครอบครัวที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมมาเป็นความสงบเงียบที่ไร้เสียงโทรศัพท์ เครื่องจักร และแตรรถ
บางอาทิตย์มีญาติโยมเพื่อนฝูงมาพักด้วย ยิ่งยินดีมีความสุข ไปปัดกวาดดูดฝุ่นถูส้วมบ้านไม้เก่าที่เพิ่งจะ Renovate ใหม่เอี่ยมตั้งชื่อไว้เก๋ไก๋ว่า บ้าน มณเสน่ห์ (เป็นพยางค์แรกของชื่อคุณแม่ และคุณพ่อของสามี) ไม่ได้รู้สึกลำบาก ทั้งๆ ที่เรื่องทำความสะอาดบ้านนี้หนักเอาการ แต่ปลื้มใจทุกครั้งที่คนมาพักด้วยบอกว่าอยู่สบายดี ไม่ต้องถึงกับชมว่าสวยงาม ตกแต่งดี แค่บอกว่าสบายก็ยิ้มแก้มปริ ทุกวันนี้ยังหาเรื่องตกแต่งบ้านทั้งสองหลังนี้ไปเรื่อยๆ เห็นอะไรที่เข้ากับบ้าน 2 หลังนี้เป็นต้องซื้อมา ว่างๆ ขับรถย้อนไปรังสิตคลอง 15 ไปหมู่บ้านไม้ประดับหาซื้อต้นไม้ใบหญ้ามาปลูก และตกแต่งบ้าน ถึงแม้จะเป็นคนมือร้อนสังหารต้นไม้ไปหลายต้น แต่ก็ยังไม่ย่อท้ออุดหนุนคนขายต้นไม้เรื่อยมา รู้ทั้งรู้ว่าคนขายชอบหลอกว่าไอ้ต้นนี้ปลูกง่าย และไม่ยักบอกว่าตายง่ายด้วยก็ตาม
จากคนที่ไม่เคยเหลียวแลต้นไม้ ทุกวันนี้ฉันรู้จักชื่อต้นไม้ต่างๆ มากขึ้น บ้านที่กรุงเทพฯ เมื่อก่อนมีแต่ต้นไม้ที่คนโน้นคนนี้ให้มา ปลูกแบบตามมีตามเกิด เดี๋ยวนี้ที่บ้านมีต้นไม้หลายต้นที่ฉันเป็นคนซื้อมาลงปลูกกับมือ ว่างๆ นั่งตัดแต่งกิ่ง เล็มใบ ตัดดอก ใส่ปุ๋ย พรวนดิน เออ หนอ เป็นไปได้ยังไงก็ไม่ทราบ
การแต่งงานใช่แต่จะมีเรื่องที่ชวนให้วิตกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ข้อดีอย่างอื่นก็มีถม อย่างน้อยๆ ก็มีเพื่อนไปไหนต่อไหนด้วยกันในยามที่คุณเพื่อนสนิทต่างไปอยู่เหย้าเฝ้าเรือนสามี และมีลูกกันหมดแล้ว คนกลัวผีได้ดูหนังผี เพราะมีคนนอนเป็นเพื่อน คอมพิวเตอร์ถูกไวรัสกิน โยนไปให้สามีจัดการซะ หมดห่วงไม่ต้องอุ้มแบกขึ้นชั้น 6 ลงชั้น 4 ไป Format เครื่องที่พันธ์ทิพย์
ฉันมักจะพูดขำๆ กับเพื่อนๆ ว่าการแต่งงานสำหรับฉันคือการมีอภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์ในการใส่ชุดว่ายน้ำ Two Pieces อภิสิทธิ์ในการเดินจับมือถือแขนผู้ชาย ไร้ความกังวลว่าจะมีสายตาประณาม เพราะถ้าเห็นละก็จะชี้บอกว่า ผัวที่แต่งงานโดยถูกต้องของดิฉันเองค่ะ ดิฉันไม่ใช่เด็กวัยรุ่นใจแตกควงเสี่ยที่ไหนนะยะ อภิสิทธิ์ในการกลับบ้านดึก อภิสิทธิ์ในการมีรูปหล่อกล้ามใหญ่ Bodyguard ส่วนตัว และที่ชอบสุดๆ อภิสิทธิ์ในการไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชาย (ที่เป็นสามี) ฮ่าๆๆๆ
มีเพื่อนคนหนึ่งมักเล่าระบายความทุกข์จากชีวิตแต่งงานให้ฟังว่าต้องอดทนอดกลั้น และสงบปากสงบคำเวลาที่ทะเลาะกับสามีที่เคยเป็นแฟนกันมานับ 10 ปีแล้ว ว่างๆ ก็ถูกแม่ผัวด่าที่ไม่ยอมปล่อยให้ท้องออกหลานชายให้ ที่เขาแต่งงานนี้เพราะเบื่อแม่ตัวเองที่ค่อยบ่นจู้จี้ กลับบ้านดึกก็ไม่ได้ คิดว่าแต่งงานแล้วจะมีอิสระ เขาแต่งงานเพราะอยากเป็นอิสระ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ออกไปไหน นอกจากรับส่งลูกไปโรงเรียน และเลี้ยงลูกสาวคนเล็กอยู่กับบ้าน ว่างๆ ถูกสามีด่าว่าไม่ทำงานเอาแต่ใช้เงิน ทั้งๆ ที่ก่อนแต่งงาน เขาทำงาน และได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกับฉันบ้างเป็นครั้งคราว ชวนกันไปไหนต่อไหนด้วยกันพอสมควร พอแต่งงานแล้ว เรื่องเที่ยวอย่าริ เพราะสามีแถลงว่าตั้งแต่เขาโตมาไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลย (เพราะฉะนั้นเธออย่าบังอาจออกไปเที่ยวนะ)
การแต่งงานไม่ใช่คำตอบของคำว่าอิสระ การแต่งงานอาจเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ เพื่อไปพบกับปัญหาใหม่ที่อาจจะใหญ่กว่า การแต่งงานไม่ได้ทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงเสมอไป บางทีอาจต้องเป็นตัวคุณเองที่เปลี่ยน เหมือนเพื่อนของฉันคนนี้ที่ทุกวันนี้เธอกลายเป็นแม่บ้าน และสงบปากสงบคำเพื่อความอยู่รอดของชีวิตครอบครัว นี่ไงมันก็ย้อนกลับมาที่คำว่า อดทน อีกแล้ว
2 ปีแห่งชีวิตคู่ที่ผ่านมาของเรา ถึงจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่เมื่อเอาความสุขความทุกข์มาชั่ง ฟากความสุขก็ยังหนักกว่า ถึงจะไม่รู้ชะตากรรมในอนาคตว่าเราจะยังอยู่เป็นคู่กันไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่าก็ตามที ฉันตระหนักดีว่าเมื่อเราแต่งงาน และตราบใดที่เรายังอยู่กินด้วยกัน ชีวิตของเราจะเป็นเรื่องที่จะผูกพันกันไปตลอดชีวิต จนกว่าจะตายจากกัน ชีวิตคู่ก็เหมือนเริ่มเรียนชั้นประถม และจะยังคงเรียนต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีจบ แต่ไม่แน่ วันหนึ่งเราอาจจะลุกขึ้นมาบอกว่าเราเบื่อที่จะเรียนแล้วก็ได้
เพื่อนชายที่สนิทของฉันคนหนึ่งเล่าว่าเขาได้หย่ากับภรรยาที่แต่งงานกันมาได้ 4 5 ปี แต่ใช้เวลาอยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ แค่ไม่กี่เดือน เพราะหลังจากแต่งงาน เขาจำเป็นจะต้องไปดูแลงานสาขาต่างประเทศตามที่บริษัทมอบหมายให้ เขาตั้งใจที่ไปทำงานที่นั้นสักพักเพื่อเก็บเงินสักก้อน เพื่ออนาคตของครอบครัว แต่แล้วก็ต้องมาจบลงด้วยการหย่าร้าง เพื่อนพูดออกมาคำหนึ่งว่า น่าเสียดายที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อย ถ้าหากว่าหลังแต่งงานแล้วมีเวลาอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ คงจะมีความผูกพันกันมากเกินกว่าจะเลิกร้างกันง่ายๆ จึงทำให้นึกถึงคำๆ หนึ่งของชาติ ภิรมย์กุลที่เขียนไว้ในหนังสือชื่อ เกาเหลารัก ว่า ชีวิตคู่ที่ปราศจากความผูกพัน เป็นเพียงความใคร่ที่รอวันเลิกรา
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551 |
|
19 comments |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 22:10:21 น. |
Counter : 794 Pageviews. |
|
|
|
ตอนนี้อยากแต่งเพราะว่าเบื่อที่แม่ของตัวเองล้อมกรอบให้ทำโน่นทำนี่ เหมือนตัวเองเป็นเด็กตลอด จึงคิดว่าอยากแต่งงานกับใครได้เพื่อความเป็นอิสระ......แต่อีกใจก็กลัวว่าหลังแต่งแล้วจะต้องไปเจอกับผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย ซึ่งไม่รู้ว่าเราจะต้องใช้ความอดทน อีกมากแค่ไหน หรือไม่จำเป็นต้องอดทนกัน่เลย ทุกอย่างมันไม่สามารถควบคุมได้เลย.......
ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันประสบการณ์ เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้อย่างมากค่ะ