กล้องไลก้า
ในช่วงแรกของงานศิลปะ นักถ่ายภาพส่วนมากนั้นกังวล ในเรื่องของการเคลื่อนย้ายกล้องของพวกเขา จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง การลองของพวกเขาและการจำลองที่ยากลำบากของ Oscar Barneck ในการค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่สมบูรณ์แบบของการถ่ายภาพ
จนกระทั่งในปี 1905 เขาได้มีความคิดในเรื่องของการลดขั้นตอน ในการตกแต่งฟิมล์ และการขยายภาพหลังจากที่ได้ทำการ exposed ภาพ
สิบปีหลังจากนั้น ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาของ Leica สามารถที่จะนำทฤษฎีของเขานำไปใช้งานได้จริง เขาได้นำเอาอุปกรณ์สำหรับการวัดแสงสำหรับฟิล์มถ่ายภาพยนตร์ และได้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในโลกกับกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ในเครื่องรุ่น ur leica
ในเวลานั้นฟิล์มถ่ายภาพขนาดเล็กขนาด 24x36 มิลลิเมตร ได้เกิดขึ้นโดยการนำเอาฟิล์มถ่ายภาพยนตร์มาอัดสองชั้น รูปถ่ายที่ได้ออกมามีคุณภาพที่ดีในขณะนั้น ในปี 1914 ความต่อเนื่องในการพัฒนานั้นชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้กล้อง Leica ตัวแรกนั้นไม่ได้ผลิตออกมา
จนกระทั่งในปี 1924 ได้มีการนำเสนอสู่สาธารณชนเมื่อปี 1925 นับถอยหลังไปจากการคิดค้นและพลังความคิดในการสร้างสรรค์ นั้นได้เดินทางกลับไปสู่ความคิดของ Barneck และแนวความคิดของเขา ปัจจุบัน Leica ดำเนินการในการสร้างสรรค์เครื่องมีอที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆของความคิดที่นำไปสู่ยุคใหม่
ปี 1849 Kellner ตั้งสถาบัน Optical ใน Wetzlar เยอรมัน เพื่อทำกล้องโทรทัศน์
ปี 1855 การผลิตกล้องโทรทัศน์ได้สิ้นสุดลงเนื่องจากการประสปความสำเร็จอย่างมากของกล้องจุลทรรศน์ที่ได้ที่มีการคิดค้นมาก่อนหน้านั้นหลายปี
ปี 1855 Karl Kellner เสียชีวิตและหุ้นส่วนของเขา Friedrich christian Belthle ได้ซื้อกิจการทั้งหมดและ แต่งงานกับภรรยาของ Karl และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Kellner and Belthle
ปี 1865 Kellner ได้รับวิศวกรรุ่นใหม่ เอิร์นส์ ไลตซ์ (Ernst Leitz), ต่อมาเอิร์นส์ ไลตซ์กลายเป็นหุ้นส่วนกับ Kellner
ปี 1869 Belthle เสียชีวิตและเอิร์นส์ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Ernst
ปี 1887 Carl Metz นักคณิตศาสตร์ ได้เข้ามาร่วมงานกับเอิร์นส์ในการผลิตเลนส์
ปี 1889 กล้องจุลทรรศน์ 54000 เครื่องได้ผลิตขึ้น ในช่วงเวลาปี 1889 ถึงปี 1991 ได้เพิ่มผลิตภัณใหม่ๆ รวมถึง Still&cine projector, กล้องสองตา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสายตาชนิดพิเศษหลายอย่าง
ปี 1903 Henri เหลนของเอิร์นส์ได้เข้าร่วมในบริษัทและกลายเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย
ปี 1911 Oscar ได้ย้ายไปทำงานที่ โรงงานไลตซ์ด้วยแนวความคิดในการผลิตกล้องถ่ายภาพแบบพกพาสะดวก กล้องขนาด 35 มิลลิเมตรจึงเกิดขึ้น
ปี 1912 Prof.Max ได้ร่วมงานกับบริษัทไลตซ์และหลังจากนั้นได้คำนวณและคิดค้นเลนส์ตัวแรกของไลก้า
ปี 1913 Oscar Barneck ได้คิดค้นเครื่องต้นแบบของกล้องรุ่น UR-Lica
ปี 1920 เอิร์นส์เสียชีวิตและเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองเป็นเจ้าของคนเดียวในบริษัท
ปี 1923 มีการผลิตกล้องด้วยมือโดยเรียนแบบเครื่องต้นแบบขนาด 35 มิลลิเมตรซึ่งกล้องที่ผลิตขึ้นมีชื่อรุ่นว่า Leica Nullserie จำนวน 31 เครื่อง
ปี 1924 เอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองตัดสินใจที่จะผลิตกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ซึ่ง Oscar Barneck เป็นผู้ประดิษฐ์ ชื่อไลก้ามาจาก (ไล)ตซ์ และ(คา)เมาร่า ชื่อทางการค้าไลก้าจึงเกิดเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สามจึงได้ร่วมบริษัทกัน
ปี 1925 กล้องของไลก้าได้วางตลาดเป็นครั้งแรก ไลก้า 1, Lixus และ Compure Model ได้ผลิตขึ้นและวางตลาดจนถึงปี 1932 ปริมาณการผลิตทั้งหมดประมาณ 60586 เครื่อง ลุดวิก ไลตซ์ได้เข้าร่วมบริษัท ลุดวิกได้ลงทุนกับ ergonomic ของ m3
ปี 1930 Leica ได้นำเสนอกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้หลายแบบ และหลายบริษัทได้ทำการรวมกิจการและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เอิร์นส์ ไลตซ์ G.m.b.h
ปี 1932 Leica ได้รวมเอาคุณสมบัติ rangefinder อยู่ในตัวกล้องไลก้า Model III
ปี 1933 ได้รวมเอาการออกแบบ shutter ความเร็วต่ำที่ได้นำเสนอในไลก้า III
ปี 1935 Leica ได้รวมเอา Shutter ความเร็วสูงในการออกแบบ Shutter ไว้ในไลก้า IIIa
ปี 1949 Leica ได้สร้าง Leica optical Research Laboratory เพื่อใช้ในการตรวจสอบการผลิตแว่นชนิดพิเศษและสูตรในการผลิตเลนส์
ปี 1950 Leica ได้รวมเอาระบบ flash และการตั้งเวลาได้ด้วยตัวเองในตัวกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ทำให้เกิดเป็นกล้องรุ่นไลก้า IIIf
ปี 1952 กุนเธอร์ ไลตซ์ได้ก่อตั้งโรงงาน Cannadian
ปี 1954 ไลก้าได้นำเสนอไลก้า M3 เป้นกล้องตัวแรกที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบของเลนส์
ปี 1957 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่มีลูกเล่นกว่ารุ่น M3 ที่รู้จักกันในชื่อรุ่นไลก้า M2
ปี 1959 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่ลดลงมาจากกล้องรุ่น M2 สำหรับการใช้ในงานทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคนิค
ปี 1960 ได้ผลิตกล้องไลก้า screwmouth body เป็นรุ่นล่าสุด ชื่อรุ่นไลก้า IIIg, ปริมาณรวมของรุ่นนี้ที่ผลิตขึ้นมาประมาณ 798,200 เครื่อง
ปี 1964 ไลก้าได้นำเสนอกล้อง Single Lens Reflex ตัวแรก, ชื่อรุ่น ไลก้าflex, การผลิตกล้องรุ่น ไลก้าflex จึงเกิดขึ้น
ปี 1967 ได้นำเสนอรุ่น M4 โดยเติมคุณสมบัติ rangefinder flamline สำหรับเลนส์ขนาด 35 และ 135 มิลลิเมตร
ปี 1968 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น ไลก้าflex SL พร้อมกับ อุปกรณ์วัดแสง TTL
ปี 1971 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M5 พร้อมกับได้เพิ่มชุดรวมอุปกรณ์วัดแสง TTL เป็นไลก้าตัวแรกที่มีอุปกรณ์วัดแสง
ปี 1973 ไลก้าได้ร่วมมือกับ Minolta ในการนำเสนอเครื่องที่ทันสมัย, ขนาดเล็กและกล้องที่มีความสามารถในส่วนของ rangefinder ในกล้องรุ่นไลก้า CL, Monolta CL, ไลตซ์-Minolta CL และหลังจากนั้นกล้องรุ่น Minolta CL จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเกี่ยวข้องกันของไลตซ์ กับ Minolta และได้จัดตั้งไลตซ์โปรตุเกส ขึ้น
ปี 1974 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น Leica flex SL2. Wild Heerburg ได้ชื้อกิจการหลักที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท
ปี 1976 ไลก้าผลิตกล้องรุ่นไลก้า R3 และ กล้องไลก้า R series จึงได้เกิดขึ้น Minolta จะเป็นผู้สร้างกล้องรุ่น R3, R4 และ R5 พร้อมกับสลับกับการผลิตไปที่ไลก้า สำหรับการสร้างอย่างต่อเนื่องของกล้องรุ่น R6, R6.2, R7 และ R8 รุ่น R6.2 ( ระบบกลไก) และรุ่น R8 (ระบบอิเล็คโทรนิคส์) ก็ยังมีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน
ปี 1977 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-2 และ M4 พร้อมระบบที่มีความแข็งแรงที่ใช้สำหรับการต่อพ่วงกับชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน รุ่น M4-2 มีลูกเล่นสำหรับแฟลชอิเล็คโทรนิคส์ของเครื่องรุ่น M ทุกรุ่น, ตามรอยเท้าของกล้องรุ่นCL
ปี 1980 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-P โดยเพิ่มเติมในส่วน rangefinder framline สำหรับเลนส์ขนาด 28 มิลลิเมตร และ 75 มิลลิเมตร
ปี 1984 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่นที่มีความนิยมเป็นอย่างมากคือกล้องรุ่นไลก้า M6 รวมคุณสมบัติพิเศษใหม่ๆของรุ่น M ในยุคแรก รวมถึงส่วนที่ได้มีการปรับปรุงใหม่และชุดวัดแสงที่มีความทนทาน เครื่องรุ่น M6 ผลิตโดยมีส่วนของโครเมียม, ดำ และพื้นผิวที่มันวาวมากของไททาเนียม
ปี 1986 สมาชิกคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไลตซ์ได้เกษียณจากสมาชิกของผู้บริหารบริษัท
ปี 1988 บริษัทได้แตกแขนงออกเป็นบริษัทเล็กๆหลายบริษัทและไลก้า คาเมร่า G.m.b.h จึงได้เกิดขึ้น
ปี 1991 โรงงาน Canadian ได้ถูกขายให้กับบริษัทสายการบินขนาดใหญ่ และกลุ่มไลก้าคาเมร่าจึงเป็นอิสระ การผลิตได้ทำการย้ายไปที่โรงงานใหม่ใน Solms ห่างจาก Wetzlar เพียง 5 ไมล์
ปี 1997 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 กับค้นหาภาพขยาย .85 สำหรับความง่ายในการโฟกัสภาพกับเลนซ์ที่ยาวและมีความเที่ยงตรงมากในการโฟกัสภาพด้วยเลนซ์ที่มีความเร็วอย่างไรก็ตาม Rangefingder frameline ขนาด 28 มิลลิเมตรนั้นลดลง
ปี 1998 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 TTL ทั้งในรุ่นที่มีอัตราขยายของช่องมองภาพ (Viewfinder Magnification) .72 และ .85 เครื่องของไลก้า M6 TTL ยังคงมีการผลิตอยู่
ปี 2000 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่นใหม่ M6 .58 กล้องค้นหาภาพสำหรับผู้ใช้ที่สวมแว่นตา และนำเสนอเลนส์ขนาด 28 มิลิเมตร Summicron
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Create Date : 03 มกราคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2554 17:03:12 น. |
Counter : 2284 Pageviews. |
|
|
|